Sunday, 13 October 2024
TheStatesTimes

'วัดราชบพิธฯ' แถลง!! ไม่อนุญาตให้ 'ถ่ายพรีเวดดิ้ง-จัดพิธีมงคลสมรส' ในพระอาราม อนุญาตเฉพาะการจัดพิธีบำเพ็ญกุศลหรือกิจกรรมตามหลักพระพุทธศาสนาเท่านั้น

เมื่อวานนี้ (16 ก.ย.67) เพจ 'สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช' ออกแถลงการณ์ระบุว่า...

ประกาศ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
เรื่อง การใช้สถานที่ในเขตพระอาราม

สืบเนื่องจากมีการเผยแพร่ในสังคมออนไลน์อันก่อให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม โดยพระอนุมัติของเจ้าพระคุณ เจ้าอาวาส จึงออกประกาศกำชับอีกคำรบ ดังนี้...

1. วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามอนุญาตเฉพาะการจัดพิธีบำเพ็ญกุศลหรือกิจกรรมตามหลักพระพุทธศาสนาเท่านั้น โดยให้ขออนุญาตตามระเบียบที่วัดกำหนด

2. วัดไม่อนุญาตให้ประกอบพิธีมงคลสมรสในพระอาราม แต่อนุญาตเพียงบุญพิธี กล่าวคือ การทำบุญถวายสังฆทานหรือเจริญพระพุทธมนต์ ตามข้อ 1.โดยต้องไม่มีการจดทะเบียนสมรส การสวมแหวน การรดน้ำสังข์ หรือพิธีส่วนผนวกใดที่ไม่เหมาะสมต่อความเป็นพุทธศาสนสถาน หากมีกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนและไม่เป็นไปตามแนวทางนี้ ถือเป็นการกระทำโดยพลการ วัดมิได้เห็นชอบหรือมีส่วนรู้เห็นในเรื่องดังกล่าวโดยประการใด ทั้งนี้ ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่เรียกร้องทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใดสำหรับตนหรือผู้อื่น จากผู้มาบำเพ็ญกุศลโดยเด็ดขาด

3. ไม่อนุญาตให้ใช้พระอารามเป็นสถานที่ถ่ายภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหว ทำกิจกรรมเชิงพาณิชย์ โฆษณาสินค้าหรือบริการ หรือทำการอื่นใด เพื่อแสวงหาประโยชน์เชิงธุรกิจ หากมีการกระทำในลักษณะที่ไม่เหมาะสมหรือไม่เอื้อเฟื้อต่อความสงบเรียบร้อย วัดจักขออารักขาจากเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่รับผิดชอบให้ช่วยเหลือในการจัดการ 

ทั้งนี้ การเข้าภายในเขตพระอารามสาธุชนพึงแต่งกายสุภาพเรียบร้อยเหมาะสมแก่สถานที่ตามวิถีประชาและธรรมเนียมประเพณีไทยในการเข้าวัด ตลอดจนพึงสำรวม สังวร และรักษากิริยาอาการให้เหมาะสมแก่การอยู่ในบริเวณศาสนสถาน งดแสดงกิริยาอาการไม่เหมาะสม เช่น การปีนป่าย หรือการใช้ปูชนียสถานเป็นฉากประกอบการนำเสนอกิริยาอาการของคู่สมรส หรือเพื่อความบันเทิงอื่น ๆ จนรบกวนการบำเพ็ญสมณธรรมของพระภิกษุสามเณรหรือการปฏิบัติธรรมของสาธุชน

4. วัดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท ห้างร้าน หรือหน่วยงานใดในการรับจัดพิธีทางศาสนา พิธีมงคลสมรส หรือการอันเอื้อเฟื้อต่อความยินดีในเชิงที่ไม่เหมาะสมต่อความเป็นพุทธศาสนสถาน การแอบอ้างหรือบิดเบือนอันจะทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่าวัดมีส่วนเกี่ยวข้อง ทำให้เกิดความเสียหายซึ่งได้รับเรื่องไว้ตรวจสอบแล้ว และหากพบว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย จะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

5. หากพบผู้ที่แอบอ้างหรือเรียกรับประโยชน์ หรืออาจทำให้เสื่อมเสียโดยประการใด หรือพบการกระทำที่ผิดไปจากประกาศนี้ สามารถรายงานเรื่องได้ที่ กลุ่มงานกิจการพิเศษ สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ [email protected]

ประกาศ ณ วันที่ 15 กันยายน 2567

'กระทรวงพาณิชย์จีน' เตือนค่ายรถท้องถิ่น ระวังความเสี่ยงตั้งโรงงานในต่างแดน

(17 ก.ย. 67) รอยเตอร์ส รายงานว่า เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์จีน (MOFCOM) ได้แจ้งกับบริษัทรถท้องถิ่นที่เข้าร่วมประชุมกว่า 10 แห่งให้งดการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ในอินเดีย และแนะนำอย่างแข็งขันไม่ให้ลงทุนในรัสเซียเช่นเดียวกัน

นอกจากนั้น MOFCOM ยังย้ำความเสี่ยงในการสร้างโรงงานในไทยและยุโรป อีกด้วย

ทางด้านบลูมเบิร์กที่รายงานข่าวนี้เป็นเจ้าแรก ระบุว่า MOFCOM กำหนดให้ผู้ผลิตที่ต้องการลงทุนในตุรกีต้องแจ้งกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศที่รับผิดชอบอุตสาหกรรมอีวี รวมถึงสถานทูตจีนในตุรกีก่อน ระหว่างการประชุมยังมีการแนะนำให้ค่ายรถใช้ชิ้นส่วนน็อกดาวน์สำหรับการประกอบขั้นสุดท้ายในโรงงานต่างแดน ซึ่งหมายความว่า ส่วนประกอบสำคัญของรถจะยังคงทำการผลิตภายในจีน เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์

ทั้งนี้ ชุดน็อกดาวน์ครอบคลุม CKD (Completely Knocked Down) คือการประกอบภายในประเทศ โดยที่ตัวถัง ชิ้นส่วน และอุปกรณ์ต่าง ๆ ผลิตภายในประเทศ และ SKD (Semi Knocked Down) คือการประกอบภายในประเทศ แต่ตัวถัง ชิ้นส่วน และอุปกรณ์ต่าง ๆ นำเข้าจากต่างประเทศ

ค่ายรถจีนบางแห่งปรับใช้กลยุทธ์นี้ในตลาดต่างประเทศแล้ว เช่น เกรท วอลล์ มอเตอร์ ที่ลงนามเป็นหุ้นส่วนในการประกอบรถยนต์กับอีพี มานูแฟกเจอริง เบอร์ฮัดของมาเลเซีย โดยอิงกับรูปแบบ CKD เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านม

อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวยืนยันว่า ไม่มีการกำชับให้ผู้ผลิตต้องทำตัวให้แน่ใจว่า เทคโนโลยีอีวีล้ำสมัยจะไม่หลุดรอดออกนอกประเทศตามที่บลูมเบิร์กรายงานแต่แรก

บลูมเบิร์กตั้งข้อสังเกตว่า แนวทางของ MOFCOM ที่กำหนดให้การผลิตหลักต้องจำกัดอยู่ภายในจีนนั้น ส่งผลกระทบต่อความพยายามในการขยายตัวทั่วโลกของบริษัทรถจีนที่กำลังพยายามหาลูกค้าใหม่ ๆ มาชดเชยการแข่งขันรุนแรงและยอดขายดิ่งในประเทศ

ขณะที่ด้าน MOFCOM ตั้งข้อสังเกตว่า ประเทศที่เชิญชวนค่ายรถจีนเข้าไปสร้างโรงงาน มักเป็นประเทศที่บังคับใช้หรือกำลังพิจารณาใช้กำแพงการค้ากีดกันรถจีน นอกจากนั้น ผู้ผลิตยังได้รับคำแนะนำว่า ไม่ควรหลับหูหลับตาไล่ตามเทรนด์หรือหลงเชื่อคำเชิญเข้าลงทุนของรัฐบาลต่างชาติ

ปัจจุบัน บริษัทรถจีนกำลังพยายามอย่างหนักในการขยายธุรกิจออกนอกประเทศ ท่ามกลางปัญหาศักยภาพการผลิตล้นเกินอันเนื่องมาจากดีมานด์ในจีนซบเซาลงซึ่งนำไปสู่สงครามราคาที่โหดร้ายและยาวนาน ขณะที่ความพยายามในการกระตุ้นยอดขายในตลาดใหญ่อย่างยุโรปและอเมริกาต้องเผชิญอุปสรรคจากการขูดภาษีศุลกากรรถยนต์ไฟฟ้าเมด อิน ไชน่า

ขณะเดียวกัน แม้หลายประเทศในยุโรปที่รวมถึงสเปนและอิตาลี พยายามดึงดูดการลงทุน ทว่า บริษัทรถจีนยังคงระมัดระวังในการลุยเดี่ยวตั้งฐานการผลิตในประเทศเหล่านั้นเนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนสูงมาก รวมทั้งยังต้องพยายามทำความเข้าใจกฎหมายและวัฒนธรรมท้องถิ่นอีกด้วย

โดยบริษัทจีนบางแห่ง เช่น ลีปมอเตอร์ เลือกเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทท้องถิ่นแทน โดยโครงการร่วมทุนของลีปมอเตอร์กับสเตลแลนทิสเริ่มเดินเครื่องผลิตอีวีแล้วในโรงงานในโปแลนด์ของบริษัทสัญชาติฝรั่งเศส-อิตาลีแห่งนี้

'ปิยบุตร' ลั่น!! ใครยกเราเป็น 'นักปฏิวัติ' ให้ถือเป็น 'คำชม-เป็นเกียรติ' แต่มอง 'อนาคตใหม่-ก้าวไกล-ประชาชน' ยังไม่ใช่พรรคปฏิวัติ

(17 ก.ย. 67) นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการคณะก้าวหน้า มีข้อเขียนทางเฟซบุ๊กและ X กรณี นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์พาดพิงพรรคประชาชนเป็นพรรคที่มีแนวความคิดปฏิวัติ ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันเป็นพรรคที่มีแนวความคิดปฏิรูปว่า… 

[กรณีความเห็นของ จักรภพ เพ็ญแข (1)]

ผมชอบ ศึกษา สนใจ เรื่องการปฏิวัติในที่ต่าง ๆ ทั้งในแง่ทฤษฎี และประวัติศาสตร์

จนวันนี้ ก็ยังคงอ่าน ค้น เขียน อยู่ตลอด

ใครกล่าวหาว่า เราเป็น ‘นักปฏิวัติ’ ก็คือ คำชม เป็นเกียรติ แต่จะรู้สึกว่าชมกันเกินจริง เพราะ นักปฏิวัติ การปฏิวัติ ไม่ได้เป็นกันง่ายๆ ไม่ใช่นึกอยากอุปโลกน์เป็นก็เป็น ไม่ใช่ใส่หมวก ใส่ชุด ใส่พร็อพ ก็เป็นกันง่าย ๆ และด้วยภาววิสัย/อัตวิสัย เราอาจไปไม่ถึงเช่นนั้น

แต่ถ้าคนที่ช่วงเวลาหนึ่ง คิดเรื่อง ‘ถอนรากถอนโคน’ จนลี้ภัยไป และได้กลับมา ใช้ชีวิตปกติ มีโอกาสกลับมาดำรงตำแหน่งทางการเมืองเช่นนี้ แต่กลับมาจัดประเภทคนอื่น ๆ ว่าคนนี้ ‘ปฏิวัติ’ คนนี้ ‘ปฏิรูป’ อันนี้น่าสนใจ พิจารณา

พี่เอก จักรภพ ใช้ความคิดวิชาการ นิยามคนนั้นคนนี้ว่าเป็น ปฏิรูป เป็นปฏิวัติ

เรื่องนั้น เรื่องเล็ก ดีเบตกันได้

แต่ที่ผมติดใจมากกว่านั้นคือ พี่เอก จักรภพ เคยนิยามตัวเองและขบวน ช่วงที่ลี้ภัยตอนปี 52 จนกลับมาประเทศไทย หรือไม่ว่า ช่วงนั้นตนเองเป็นอะไร คิดอ่านอะไร วันนี้ คิดอ่านอะไร เปลี่ยนไปหรือไม่ เพราะอะไร

ผมไม่คิดว่าการมาฟื้นฝอยหาตะเข็บ 20 ปี ไล่เรียงมาจนถึงปัจจุบัน จะเป็นประโยชน์อะไร แต่อยากให้พี่เอก จักรภพ คิดดูเสียบ้างว่า สมัยหนึ่งพี่เอกแค่พูดภาษาอังกฤษ คำว่า ระบบอุปถัมภ์ จนโดนฝ่ายตรงข้ามในเวลานั้นไล่ล่าว่าเป็นพวกล้มเจ้า หัวรุนแรง จนต้องลาออกจาก รมต. จนไปเป็นแกนนำ ปราศรัย เขียนบทความในนิตยสาร จำนวนมาก จนต้องลี้ภัย จนพี่สมยศในฐานะบรรณาธิการ ต้องติดคุก 112 แบบนี้ พี่เอกจะมาเที่ยวนิยาม แปะป้าย คนอื่น ๆ ในบริบท สถานการณ์แบบนี้เพื่ออะไร

ผมเข้าใจเรื่องข้อจำกัดแต่ละบุคคล เรื่องการตัดสินใจในชีวิต แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่วันนี้ รอดแล้ว จะมาแปะป้ายคนอื่น เพื่อให้ตนเองและพวกรอดจากคมหอกคมดาบของระบบ

ถ้าวันนี้ ไม่คิดถึงสิ่งที่ตนเองแสดงออกมาในอดีต ก็คิดถึงวีรชน บูรพาจารย์ที่เราเคารพนับถือและฝากความหวังไว้กับพี่เอกในอดีตบ้าง

ถ้าพี่จะเป็นแบบนี้ในวันนี้ พี่ไม่ต้องลี้ภัย ไม่ต้องแสดงออกเป็นตัวแทนความก้าวหน้าก็ได้ สยบยอมตั้งแต่วันนั้น ดีกว่าครับ

[กรณีความเห็นของจักรภพ เพ็ญแข (2)]

ผมศึกษาเรื่องการปฏิวัติมาเกือบครึ่งชีวิต

การบอกว่า พรรคอนาคตใหม่-ก้าวไกล-ประชาชน เป็น ‘พรรคปฏิวัติ’ น่าจะให้ราคาพวกเขามากเกินความเป็นจริงไปเสียหน่อย

พวกเขาไปได้ไกลที่สุด ก็คือ พรรคที่ต้องการปฏิรูป รักษาสิ่งที่มีอยู่ พัฒนา ปรับปรุงให้เท่าทันยุคสมัย พร้อมเผชิญหน้าความท้าทายใหม่ ๆ

เช่นกัน การบอกว่าพรรคเพื่อไทย คือ พรรคปฏิรูป ก็เป็นการโฆษณาเกินจริง เพราะจนถึงวันนี้ สิ่งที่คนจำนวนมากเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยกล้าหาญปฏิรูป ตั้งแต่ 2554 ตั้งแต่ปฏิรูปกองทัพ ลบล้างผลพวงรัฐประหาร การกระจายอำนาจ ทลายทุนผูกขาด ปฏิรูปที่ดินทำกิน หรือ การเอาคนฆ่าประชาชนมารับผิด ก็ยังไม่เกิดขึ้นเลย เพราะ พรรคเพื่อไทยมีข้ออ้างที่ทำให้พวกเราหลงเชื่อ ตั้งแต่ปี 2554 ว่า ยังไม่ถึงเวลา ยังทำไม่ได้ กินข้าวทีละคำ ต้องค่อยเป็นค่อยไป ฯลฯ

การแปะป้ายว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคปฏิรูป เพื่อจะอ้างว่า วันนี้ กูไม่ทำ เพราะ กูต้องเคลียร์เรื่องอื่นก่อน จึงเป็นการโฆษณาเกินจริง

การบอกว่า พรรคประชาชน เป็นพวกปฏิวัติ คือ การโฆษณาให้เครดิตเกินจริง พอ ๆ กับบอกว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคปฏิรูป

ถ้าหากบอกว่า ข้อเสนอที่กดดันไปที่พรรคเพื่อไทย คือ ปฏิวัติ นั่นก็หมายความว่า พรรคเพื่อไทยทำอะไรไม่ได้นอกจากรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มก้อนชนชั้นนำทั้งระบบ

ถ้าเป็นเช่นนี้ อย่าใช้คำว่า ‘ปฏิรูป’ มาทำให้คำว่า ‘ปฏิรูป’ เสียหาย สู้ยอมรับไปเลย โดยไม่ต้อง ‘ประดิษฐ์วาทกรรม’ (คำของ พี่อ้วน ภูมิธรรม) ว่า พรรคเพื่อไทยจะทำเท่านี้โว้ยยยย จบ

'ครม.ไฟเขียว!! 'คลัง' แจกหมื่นกลุ่มเปราะบาง 14.55 ล้านคน เริ่ม 25 ก.ย.นี้ พร้อมยืนยัน!! เดินหน้า 'ดิจิทัลวอลเล็ต' 10,000 บาท เฟส 2 แน่นอน

(17 ก.ย. 67) ทำเนียบรัฐบาล นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 17 ก.ย. 2567 มีมติเห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ โดยรัฐจะจ่ายเงินสดจำนวน 10,000 บาทต่อคน ให้กลุ่มเป้าหมายรวมประมาณ 14.55 ล้านราย ซึ่งสามารถนำไปใช้จ่ายซื้อสินค้าที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตโดยไม่จำกัดประเภทร้านค้า มั่นใจว่าสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบและกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศในช่วงปลายปี 2567 ได้อย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าการมีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจ 145,552.40 ล้านบาท ช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 0.35% ต่อปี เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีโครงการ

“เชื่อว่าโครงการนี้ จะมีผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ให้ขยายตัวได้ อาจไม่ถึง 3% แต่ก็ใกล้เคียง”

โดยรัฐจะจ่ายเงิน 10,000 บาท ให้แก่กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการ ประมาณ 12.40 ล้านราย ผ่านบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชนหรือผ่านบัญชีเงินฝากธนาคารตามที่ได้แจ้งความประสงค์เป็นหนังสือ ณ สำนักงานคลังจังหวัดหรือกรมบัญชีกลาง (เฉพาะกรณีผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป)

ส่วนกลุ่มคนพิการ ซึ่งเป็นผู้เปราะบางที่ขาดความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ประมาณ 2.15 ล้านราย  รัฐจะจ่ายเงินสด 10,000 บาทต่อคน ผ่าน 2 ช่องทาง ได้แก่ 

1.ช่องทางการรับเงินเบี้ยความพิการที่ได้รับข้อมูลจาก อปท. กทม. และเมืองพัทยา 
2.บัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชนของคนพิการ (กรณีไม่ปรากฏข้อมูลช่องทางการรับเงินเบี้ยความพิการตามข้อ 1 ให้มีโอกาสเข้าถึงการใช้จ่ายที่สามารถสนองตอบต่อความต้องการและความจำเป็นของคนพิการแต่ละประเภท

สำหรับการดำเนินการทั้ง 2 โครงการ กระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางจะเริ่มทยอยจ่ายเงินให้แก่ กลุ่มเป้าหมายตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย. 2567 เป็นต้นไป โดยขณะนี้กระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางได้เตรียมความพร้อมที่จะจ่ายเงิน กลุ่มคนพิการ และผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีเลขประจำตัวประชาชนหลักสุดท้ายเป็นเลข 0 จะได้รับเงินวันที่ 25 ก.ย. 2567

คนพิการ และผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีเลขประจำตัวประชาชนหลักสุดท้ายเป็นเลข 1-3 จะได้รับเงินวันที่ 26 ก.ย. 2567

คนพิการ และผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีเลขประจำตัวประชาชนหลักสุดท้ายเป็นเลข 4-7 จะได้รับเงินวันที่ 27 ก.ย. 2567

คนพิการ และผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีเลขประจำตัวประชาชนหลักสุดท้ายเป็นเลข 8-9 จะได้รับเงินวันที่ 30 ก.ย. 2567

ในกรณีที่จ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมายไม่สำเร็จในครั้งแรก จะมีการดำเนินการจ่ายเงินซ้ำ (Retry) ให้กลุ่มเป้าหมายดังกล่าว 3 ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ 1 ภายในวันที่ 22 ต.ค.2567 / ครั้งที่ 2 ภายในวันที่ 22 พ.ย.2567 และครั้งที่ 3 ภายในวันที่ 22 ธ.ค.2567 โดยเมื่อพ้นกำหนดการ Retry ครั้งที่ 3 แล้ว จะยุติการจ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมาย และถือว่ากลุ่มเป้าหมายไม่ประสงค์รับเงินภายใต้โครงการ

อย่างไรก็ตาม ขอให้กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการและคนพิการตามเป้าหมายของโครงการดำเนินการตรวจสอบบัญชีธนาคารที่ผูกพร้อมเพย์ กับเลขประจำตัวประชาชนว่ายังสามารถใช้งานได้หรือไม่ หรือหาก มีบัญชีธนาคารเดิมอยู่แล้วแต่ยังไม่ได้ผูกพร้อมเพย์ ขอให้ดำเนินการผูกพร้อมเพย์ด้วยเลขประจำตัวประชาชน และสำหรับคนพิการที่ไม่มีบัตรประจำตัวคนพิการหรือบัตรประจำตัวคนพิการหมดอายุ ขอให้ทำบัตรหรือต่ออายุบัตรให้เรียบร้อยภายในวันที่ 3 ธ.ค. 2567 เพื่อรับสิทธิตามโครงการดังกล่าว

ทั้งนี้ เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพและเพิ่มศักยภาพของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ให้เข้าถึงการใช้จ่ายที่จำเป็นในการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เมื่อผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้นจะช่วยก่อให้เกิดการผลิต การค้าขาย การจ้างงาน และการคมนาคมขนส่งตามมา ซึ่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นจะเอื้อให้ภาครัฐสามารถจัดเก็บภาษีอากรได้เพิ่มขึ้นในระยะต่อไป

ส่วนการลงทะเบียนสำหรับผู้มีสิทธิรับเงินโครงการดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท แต่ไม่มีโทรศัพท์สมาร์ตโฟนนั้น จะมีการตั้งคณะกรรมการเพื่อหารือและกำหนดรายละเอียดให้มีความชัดเจนหลังจากการจ่ายเงินกลุ่มเปราะบางเสร็จเรียบร้อยแล้วอีกครั้ง พร้อมยืนยันว่าโครงการดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท เฟส 2 ยืนยันจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ยังเป็นการสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของรัฐบาล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

อาชีพ ‘นักการเมืองไทย’ มีไว้เพื่อช่วยพัฒนาชาติ มิใช่เพื่อ ‘รวมหัวซุกหาง’ มุ่งแต่ ‘ล้มล้างสถาบัน’

น้ำป่าไหลทะลักมาครั้งนี้ ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องคนไทยในหลายจังหวัดก็เปียกโชกไปด้วยความใจร้ายของธรรมชาติ เมื่อภูเขาร้างต้นไม้ หน้าดินไร้ความเขียวของหญ้าปกคลุม ป่าทั้งป่าถูกข้าราชการ นักการเมือง และคนใจร้ายตัดจนเหลือแต่ตอเพียงเพื่อ ‘ความเห็นแก่ตัว’ และ ‘บ้องตื้น’ ก็ถึงเวลาที่ ‘อุทกภัยใจเหี้ยม’ โกรธจัด จึงซัดเอาผู้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องหนีตายกันแทบไม่ทัน 

ลำบากไปถึงคนทั้งชาติ ที่ต้องลงแรงลงใจเข้าช่วยเหลือ ยามนี้จึงเห็น ‘น้ำใจคนไทย’ ที่ไหลเย็น และแรงยิ่งกว่าสายน้ำป่า แม้เป็นภาพที่น่าข่มขืน แต่ก็พอยิ้มได้เต็มหน้าที่เห็นแสงสว่างส่องรอดมาจากหัวใจของคนไทยเรา

แต่กระนั้นก็ตาม ขณะที่ทุกแรงบนผืนแผ่นดินไทย มุ่งตรงไปสู่การช่วยเหลือ ‘ผู้ประสบอุทกภัย’ อย่างจริงจัง แข็งขัน และเร่งด่วน ใครมีเงินช่วยเงิน ใครมีเสบียงก็ช่วยจัดส่งไปให้ ด้วยยังขาดแคลนจำนวนมาก ก็ยังมี ‘คนใจมาร’ จำนวนหนึ่ง ห่อหุ้มด้วย ‘เปลือกส้มชั่ว’ แสดงความคิดที่เป็นพิษ หยาบหนา และน่าอดสูยิ่ง นอกจากมือพายไม่เป็น ยังยึดโยงความคิดเข้าเหน็บกัดทหารอาสา ที่มาช่วยชีวิตประชาชนที่โดนสายน้ำล้อมบ้านจนหนีออกมาไม่ได้

ทหารกล้าชั้นผู้น้อย ไปจนถึงชั้นสูงระดับบัญชาการรบทุกนาย ทุกเหล่า สมัครใจมาทำหน้าที่แทนพี่น้องคนไทย ยอมเสี่ยง ยอมสละเวลาแห่งความสุขสบายส่วนตัว ขนเอายุทโธปกรณ์ที่มีพร้อมกว่าองค์กรใด ๆ เพื่อมาช่วยให้อีกหลายชีวิตรอดปลอดภัย ไม่น่าเชื่อว่าจะยังมี ‘นักการเมืองชั่ว’ ฉวยใช้เวลาแห่ง ‘ความเป็นความตาย’ เช่นนี้ กระทบชิ่ง หวังสะกิดให้ ‘สถาบันเบื้องสูง’ ต้องมีตำหนิ จึงไม่รู้ว่าจะสรรหาคำใดมาเปรียบกับพฤติกรรมเลว ๆ ที่นับวันก็ยิ่ง ‘เผยอความกักขฬะ’ ที่ซุกซ่อนอยู่ในจิตใจออกมาให้สังคมเห็น 

คนอาชีพ ‘นักการเมือง’ ที่ดีงามจริง เมื่อประชาชนเลือกเข้ามาให้กินเงินภาษีจากความเหนื่อยยาก ก็ควรต้องช่วยชาติบ้านเมือง เสียสละแรงกายใจ ทุ่มเทให้กับการพัฒนาประเทศ ไม่ต่างจากสุนัขที่เลี้ยงไว้ที่บ้านยังรู้ว่าก็ต้องซื่อสัตย์กับเจ้าของ มิใช่ไปไล่กัดคนที่คอยให้ข้าวให้น้ำเรากิน

คงมีแต่ ‘เดรัจฉาน’ เท่านั้น ที่มีจิตใจต่ำกว่าสัตว์ จึงพูดไม่รู้ฟัง เตือนกี่ครั้งก็ไม่สำนึก ท่องอยู่ไม่กี่คำในกะโหลกหนา ๆ คือ ‘ล้มเจ้า’, ‘ล้มสถาบัน’, ‘แก้ 112’ , ‘ล้มล้างการปกครอง’

มีนักการเมืองเลว ๆ แบบนี้ในประเทศไทย เสียดายเงินภาษีของเราจริง ๆ 

เพจแซะ 'ดอยคำ' แจกข้าวเหนียวไก่ห่อใบตองช่วยน้ำท่วม ถูกชาวเน็ตถามกลับ "ตัวเองเคยช่วยอะไรบ้าง?"

(17 ก.ย. 67) จากกรณี 'ดอยคำ' นำข้าวเหนียวไก่ย่างห่อใบตองไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมทางภาคเหนือ โดยระบุว่าน่าจะเก็บไว้กินได้หลายวัน พร้อมโพสต์ภาพพนักงานดอยคำ กำลังช่วยกันห่อข้าวเหนียวใบตองอย่างขะมักเขม้น

ต่อมาพบว่าเพจหนึ่งในเฟซบุ๊กที่ชอบแซะถึงสถาบันได้ออกมาโพสต์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้าวเหนียวไก่ห่อใบตองของดอยคำว่า...“โถ เอ็นดูดอยคำ นำข้าวเหนียวไก่ย่างห่อใบตอง ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม น่าจะเก็บไว้กินได้หลายวันเลยนะคะ”

อย่างไรก็ตาม พบว่าหลังโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป มีชาวเน็ตจำนวนมากเข้ามาคอมเมนต์วิจารณ์และมองว่าเป็นการด้อยค่าความตั้งใจของ 'ดอยคำ' และทีมงานที่ต้องการช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยมีชาวเน็ตส่วนหนึ่งได้เข้ามาคอมเมนต์ว่า...

“ก็แซะมันทุกอย่าง มือไม่พายยังเอาเท้าราน้ำ โพสต์อื่นไม่เคยเมนต์แต่โพสต์นี้ไม่ไหว แซะให้ถูกเวลาหน่อยไม่ใช่แซะเอาสนุกปาก“

“ห่อใหญ่เบ้อเริ่ม เอาจริง ๆ ข้าวเหนียวไก่ทอดหมูทอดพวกนี้ ได้เยอะและอิ่มกว่าพวกข้าวผัด หรือข้าวกล่อง ที่ใส่กล่องซะอีกค่ะ”

“เคยช่วยอะไรเขาบ้างละ มีแต่แซะ ให้จ้องตาอย่างเดียวมันจะอิ่มไหม ถ้าไม่ช่วยก็หุบปากไปเลย”

“สำหรับภาคเหนือ ข้าวเหนียวห่อใบตองกับหมูทอดทานง่าย ไม่บูดง่ายมีน้ำพริกหน่อยอร่อยเลย เด็กทานได้ ผู้ใหญ่ทานได้แถมไม่มีโฟมทำลายต่อสิ่งแวดล้อม”

“สวยน่าทาน กินง่าย อิ่มท้อง สะดวกแจก ตรงไหนที่ไม่ดี ???”

“อย่าลบโพสต์นะคะ เก็บไว้เป็นที่ระทึก”

“ในฐานะที่เคยเป็นผู้ประสบภัยน้ำท่วมด้วยตัวเอง อันนี้ถือว่าดี น่ากินมาก เค้าไม่ต้องเก็บไว้หลายวันหรอกครับ พอได้รับก็กินได้เลย ข้าวเหนียวหมูทอด อยู่ท้องและไม่บูดง่าย คนเคยเจอน้ำท่วมเข้าใจดี”

'ผบ.ตร.' เป็นประธาน มอบโล่เกียรติคุณด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ให้แก่หน่วยงาน, ตำรวจ และประชาชน ที่มีส่วนร่วมขับเคลื่อนงานด้านยาเสพติด

(17 ก.ย. 67) เวลา 09.30 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. เป็นประธานเป็นประธานมอบโล่เกียรติคุณ

ด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ให้แก่หน่วยงาน, ตำรวจ และประชาชนที่มีส่วนร่วมขับเคลื่อนงานด้านยาเสพติด ณ ห้องประชุมพรหมนอก ชั้น 2 บช.ปส. โดยมี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.ในฐานะ ผอ.ศอ.ปส.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.นิรันดร์ เหลื่อมศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส. ร่วมงาน ตามที่รัฐบาลมีนโยบายสำคัญในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ด้วยการใช้หลัก “การลดความต้องการการใช้ยาเสพติด และลดปริมาณยาเสพติดรวมทั้งดำเนินการกับ ผู้ค้ายาเสพติด อย่างเด็ดขาด” ดังนั้น ทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานราชการ องค์กรต่างๆ และภาคประชาชน จึงต้องร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหายาเสพติด อย่างเต็มกำลัง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. จึงมีนโยบายเน้นหนักด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติด ในทุกมิติอย่างเป็นระบบ และมอบหมายให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. เป็นผู้รับผิดชอบขับเคลื่อนการปฏิบัติ ด้านการป้องกันยาเสพติด ได้ดำเนินการนําผู้เสพเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาในสถานพยาบาล และการบำบัดด้วยการมีส่วนร่วมของชุมชน การเสริมสร้างให้ประชาชนและชุมชนเข้าใจ และรับรู้ปัญหายาเสพติดที่มีผลกระทบต่อตนเอง ครอบครัวชุมชน ส่วนด้านการปราบปรามยาเสพติด ได้ดำเนินการจับผู้ค้ารายย่อยในชุมชน การขยายผลจับกุมและยึดทรัพย์ผู้ค้าทุกระดับ เพื่อทำลายเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดอย่างเด็ดขาด รวมทั้งการสกัดกั้นการลักลอบลำเลียงยาเสพติดเข้าสู่ประเทศ ซึ่งในปีที่ผ่านมา ได้รับการสนับสนุนที่ดีจากหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงาน ป.ป.ส. เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง หน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่น สาธารณสุข เจ้าหน้าที่ทหาร และที่สำคัญคือการได้รับความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน ซึ่งทำให้มีผลการปฏิบัติงานเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับวันนี้ มีหน่วยงานที่ได้รับรางวัลผลการปฏิบัติงานด้านการปราบปรามยาเสพติด ดีเด่น 12 รางวัล ได้แก่ ระดับ บช. ดีเด่นอันดับ 1 คือ ภ.4, ดีเด่นอันดับ 2 คือ ภ.8, ดีเด่นอันดับ 3 คือ ภ.1 / ระดับ บก. ดีเด่น อันดับ 1 คือ ภ.จว.นครศรีธรรมราชดีเด่นอันดับ 2 คือ ภ.จว.สมุทรปราการ, ดีเด่นอันดับ 2 คือ ภ.จว.กาฬสินธุ์/ ระดับ สน./สภ. สถานีตำรวจระดับใหญ่ ดีเด่น สภ.ชะอวด ภ.จว.นครศรีธรรมราช, สถานีตำรวจระดับกลาง (ผกก.) ดีเด่น สภ.ทองแสนขัน ภ.จว.อุตรดิตถ์, สถานีตำรวจระดับกลาง (สวญ.) ดีเด่น สภ.ห้วยไร่ ภ.จว.แพร่, สถานีตำรวจระดับเล็ก ดีเด่น สภ.หนองซอน ภ.จว.มหาสารคาม และ หน่วยงานที่มีผลการปฏิบัติงานด้านการสืบสวน (บก.สส. และกก.สส./กก.สายตรวจ) ได้แก่ บก.สส. ดีเด่น คือ บก.สส.ภ.5 และ กก.สส. ดีเด่น คือ กก.3 บก.สส.ภ.5  ในส่วนของรางวัลผลการปฏิบัติงานด้านการป้องกันยาเสพติด แบ่งเป็นกลุ่มดังนี้ กลุ่มที่ 1 เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการชุมชนบำบัดอย่างยั่งยืน และตำบลที่มีผลการปฏิบัติดีเด่นต้นแบบ ได้แก่ สภ.จัตุรัส ภ.จว.ชัยภูมิ, ระดับดีมาก ได้แก่ สภ.บางละมุง ภ.จว.ชลบุรี, สภ.วังสะพุง ภ.จว.เลย, สภ.หนองแค ภ.จว.สระบุรี และ ระดับดี ได้แก่ สภ.โคกโพธิ์ ภ.จว.ปัตตานี, สภ.ฝาง ภ.จว.เชียงใหม่, สน.ราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร, สภ.บางสะพานน้อย ภ.จว.ประจวบคีรีขันธ์, สภ.หล่มสัก ภ.จว.เพชรบูรณ์ และ สภ.หลังสวน ภ.จว.ชุมพร รวม 22 รางวัล, กลุ่มที่ 2 ข้าราชการและบุคคลผู้มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการฯ จำนวน 18 รางวัล รวมทั้งสิ้น 42 รางวัล

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ MOU ร่วมกับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เพื่อเป็นสถาบันพี่เลี้ยงและจัดการเรียนการสอนในระดับชั้นปีที่ 1-3 กับคณะแพทยศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ผลิตแพทย์ที่มีอัตลักษณ์ตำรวจที่มีประสิทธิภาพ

(17 ก.ย. 67) เวลา 14.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มอบหมาย พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช รอง ผบ.ตร. เป็นผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) ระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เพื่อเป็นสถาบันพี่เลี้ยงและจัดการเรียนการสอนในระดับชั้นปีที่ 1-3 ให้กับคณะแพทยศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ณ ห้องพรหมนอก อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ทั้งนี้ ตามเจตนารมณ์นโยบายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ในเรื่องศักดิ์ศรี ขวัญกำลังใจ คุณภาพชีวิต สวัสดิการของข้าราชการตำรวจและครอบครัว จึงมอบหมายให้โรงพยาบาลตำรวจดำเนินการเปิดหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิตของสำนักงกงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อผลิตแพทย์ที่มีอัตลักษณ์ตำรวจ มีลักษณะเด่น คือ มีความรู้ด้านการแพทย์ ด้านกฎหมาย ด้านนิติเวชศาสตร์ และด้านนิติวิทยาศาสตร์ โดยมอบหมายให้โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ซึ่งเป็นสถาบันอุดมศึกษาในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ในการสนับสนุนการเรียนการสอนสำหรับนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 1-3 และเป็นสถาบันพี่เลี้ยงให้คำปรึกษาและให้ความช่วยเหลือแก่คณะแพทยศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ 

โดยในปี 2529 จนถึงปัจจุบัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติและมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือให้โรงพยาบาลตำรวจเป็นโรงพยาบาลสมทบ ในการจัดการเรียนการสอนและการฝึกปฏิบัติทางคลินิกให้กับนิสิตแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ซึ่งมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒเป็นสถาบันที่มีประสบการณ์ในการจัดการเรียนการสอนให้กับนักศึกษาแพทย์ ตรงตามข้อกำหนดของแพทยสภา ด้วยความสัมพันธ์อันดีระหว่าง 2 สถาบัน ยาวนานกว่า 3 ทศวรรษ ในโอกาสนี้ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒจึงจะได้เป็นสถาบันพี่เลี้ยงให้กับคณะแพทยศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ และให้การสนับสนุนการเรียนการสอนสำหรับนักศึกษาแพทย์ตำรวจ ชั้นปีที่ 1-3 คณะแพทยศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ต่อไป

พล.ต.อ.สราวุฒิฯ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติตกลงทำความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ โดยมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒยินดีเป็นสถาบันพี่เลี้ยงให้แก่คณะแพทยศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ และจะให้การสนับสนุนการศึกษาเพื่อผลิตแพทย์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลและการมีส่วนร่วมของทั้งสองฝ่าย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติยินดีให้การสนับสนุนด้านต่าง ๆ แก่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ตามการดำเนินการตามบันทึกความร่วมมือนี้ ให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อสนับสนุนด้านการพัฒนาทางการแพทย์ งานวิชาการ งานวิจัยและด้านอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาด้านการเรียนการสอนด้านการแพทย์อย่างยั่งยืนและต่อเนื่อง

'ทัปเปอร์แวร์' เตรียมประกาศล้มละลาย หลังเผชิญวิกฤติหนี้กว่า 700 ล้านเหรียญ

(17 ก.ย. 67) ทันโลกกับ Trader KP รายงานว่า Tupperware Brands Corp. ผู้ผลิตกล่องใส่อาหารชั้นนำของโลก กำลังเตรียมยื่นขอคุ้มครองล้มละลาย หลังประสบปัญหาการแข่งขันอย่างหนักและไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขการชำระหนี้ได้ Bloomberg รายงานข้อมูลสำคัญดังนี้...

1) #ปัญหาหนี้สิน Tupperware มีหนี้สินมากกว่า $700 ล้าน ซึ่งเป็นภาระที่บริษัทต้องจัดการท่ามกลางความท้าทายจากการแข่งขัน

2) บริษัทได้ติดต่อที่ปรึกษากฎหมายและการเงินแล้ว และอาจยื่นขอคุ้มครองล้มละลายในศาลเร็ว ๆ นี้

3) หุ้นร่วงหนัก -  หุ้นของ Tupperware ร่วงลง 57.5% ในช่วงการซื้อขายปกติ และอีก 16.7% ในช่วงการซื้อขายหลังเวลาทำการ โดยหุ้นตกลงรวม 74.5% ในปีนี้

4) ผลกระทบจากการแข่งขัน - แม้ Tupperware จะเป็นที่รู้จักในฐานะแบรนด์ภาชนะเก็บอาหารพลาสติก แต่กลับต้องเจอกับการแข่งขันจากแบรนด์อื่น ๆ ที่ผลิตสินค้าคล้ายกันในราคาที่ถูกกว่า

5) ความพยายามปรับโครงสร้าง - ปีที่แล้วบริษัทเปลี่ยนแปลงผู้นำและบอร์ดบริหารเพื่อพยายามฟื้นฟูกิจการ แต่ปัญหาต่าง ๆ ยังคงทับถม รวมถึงการเตือนเรื่องความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจต่อเนื่องและการยื่นรายงานทางการเงินล่าช้า

Tupperware ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1946 เผชิญกับแรงกดดันที่รุนแรงในการหาทางออกเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ

19 กันยายน พ.ศ. 2417 ‘รัชกาลที่ 5’ โปรดเกล้าฯ จัดตั้ง ‘พิพิธภัณฑสถานหอคองคอเดีย’ ถือเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งแรกของประเทศไทย

19 กันยายนของทุกปี รัฐบาลได้ประกาศให้เป็น ‘วันพิพิธภัณฑ์ไทย’ เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

เมื่อปี พ.ศ. 2538 รัฐบาลได้ประกาศให้วันที่ 19 กันยายนของทุกปีเป็น ‘วันพิพิธภัณฑ์ไทย’ เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ทรงเห็นความสำคัญของพิพิธภัณฑสถาน ซึ่งพระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง พิพิธภัณฑสถานหอคองคอเดีย ขึ้นในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2417 และเสด็จพระราชดำเนินไปเปิดพิพิธภัณฑ์ด้วยพระองค์เอง

‘พิพิธภัณฑสถานหอคองคอเดีย’ หรือ ‘หอมิวเซียม’ เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งแรกของไทย โดยสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2417 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่หอคองคอเดีย หรือศาลาสหทัยสมาคม ซึ่งเป็นอาคารใหม่ภายในพระบรมมหาราชวัง จัดแสดงศิลปะโบราณ วัตถุของไทย ของพระมหากษัตริย์ และต่างประเทศ สิ่งเหล่านี้ ได้บอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตของคนรุ่นก่อน ผ่านกาลเวลามานับร้อยปี และได้เปิดให้ประชาชนได้เข้าชมเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2417 เพื่อได้ศึกษา ได้เรียนรู้รากเหง้าตัวของเราเองมากขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top