Friday, 11 July 2025
TheStatesTimes

'ภูมิธรรม' ควง 'นภินทร สุชาติ' โชว์ผลสำเร็จพาณิชย์จับมือทุกภาคส่วน ดูแลพืชเกษตรหลัก พืชเกษตรรอง ดันราคาพุ่ง สร้างรายได้เกษตรกรไทยเพิ่มเฉียด 2 แสนล้าน

'ภูมิธรรม' โชว์ผลสำเร็จมาตรการบริหารจัดการสินค้าเกษตร ทั้งพืชหลัก พืชรอง เผยพืชเกษตรหลัก ข้าว ยาง ปาล์ม ข้าวโพด มันสำปะหลัง ราคาปรับตัวสูงขึ้น ส่วนพืชรอง ใช้แนวคิดใหม่ “คนตัวใหญ่ ช่วยคนตัวเล็ก” ดึงผู้ประกอบการ ปั๊มนน้ำมัน ห้าง หมู่บ้าน คอนโดมิเนียม ช่วยซื้อผลผลิต ดันราคาสูงขึ้นเช่นเดียวกัน รัฐไม่ต้องแทรกแซง ทำประหยัดงบ เผยราคาพืชหลัก พืชรอง เพิ่มขึ้น 23% มูลค่าเฉียด 2 แสนล้านบาท สร้างรอยยิ้มให้กับเกษตรกร 7.4 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศ

เมื่อวานนี้ (9 ส.ค.67) เวลา 10.00 น.นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานแถลงความสำเร็จของการขับเคลื่อนมาตรการดูแลพืชรอง ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชนรายใหญ่กว่า 12 กลุ่มธุรกิจ 20 เครือ 27 หน่วยงาน ณ ห้องมโนปกรณ์นิติธาดา ชั้น 12 กระทรวงพาณิชย์ โดยมีนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์

นายวุฒิไกร ลีวีระพันธ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ บริษัทเอกชนรายใหญ่ เข้าร่วมว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการขับเคลื่อนมาตรการดูแลสินค้าเกษตร ตามนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลความเป็นอยู่ของพี่น้องเกษตรกร เนื่องจากประเทศไทย เป็นประเทศเกษตรกรรม มีประชากรกว่า 27 ล้านคน หรือ 40% อยู่ในภาคการเกษตร มีปริมาณผลผลิตพืชเศรษฐกิจหลัก 87.7 ล้านตัน ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพด ปาล์ม ยางพารา และพืชรอง 8.24 ล้านตัน ได้แก่ ผลไม้ พืช 3 หัว และผัก รวมปีละกว่า 96 ล้านตัน มูลค่ารวมกว่า 1.32 ล้านล้านบาท คิดเป็น 9% ของ GDP และไทยสามารถสร้างรายได้จากส่งออกสินค้าเกษตรและเกษตรอุตสาหกรรม ในปี 2566 กว่า 1.69 ล้านล้านบาท

โดยที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้มีมาตรการดูแลพืชเกษตร ได้วางแผนการจัดผลผลิต มีปฏิทินสินค้ารู้ว่าแต่ละเดือน แต่ละช่วง สินค้าอะไรจะออกสู่ตลาด และได้เตรียมมาตรการบริหารจัดการไว้ล่วงหน้า ไม่รอให้เกิดปัญหา ซึ่งในส่วนของพืชเศรษฐกิจตัวหลัก ได้มีมาตรการบริหารจัดการ และดูแลอย่างใกล้ชิดตั้งแต่เข้ามารับผิดชอบกระทรวงพาณิชย์ ทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น โดยข้าวหอมมะลิราคาสูงสุดในรอบ 5 ปี ข้าวเจ้าราคาสูงสุดในรอบ 20 ปี ข้าวเหนียวสูงสุดในรอบ 4 ปี ยางแผ่นดิบ น้ำยาง ราคาสูงสุดในรอบ 10 ปี ปาล์มน้ำมัน ราคาอยู่ในเกณฑ์สูงที่เฉลี่ย 6 บาท/กิโลกรัม (กก.) สูงสุด 6.40 บาท/กก. ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ราคาที่เกษตรกรขายได้อยู่ที่ 11.2 บาท/กก. มันสำปะหลัง ราคา 2.75-3.15 บาท/กก. และยังได้แก้ช่วยแก้ไขปัญหาโรคใบด่าง ด้วยการจัดหาท่อนพันธ์ทนทานและต้านทานโรค 

ทั้งนี้ เมื่อบริหารจัดการพืชเศรษฐกิจตัวหลักได้สำเร็จแล้ว นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ดำเนินการเชิงรุก ดูแลความเป็นอยู่ของพี่น้องเกษตรกรพืชเกษตรเศรษฐกิจตัวรอง ควบคู่ไปกับพืชหลัก ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้รับนโยบาย และดำเนินการขับเคลื่อนร่วมกับรัฐมนตรีช่วยว่าการทั้ง 2 ท่าน เริ่มจากมีมาตรการบริหารจัดการผลไม้ปี 2567 ที่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้าก่อนที่ผลผลิตจะออกสู่ตลาด และยังได้มีแผนดูแลพืชเศรษฐกิจตัวรอง ได้แก่ ผลไม้ พืช 3 หัว และผัก โดยได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน หน่วยงานพันธมิตร ในแผนงาน “คนตัวใหญ่ ช่วยคนตัวเล็ก” ที่จะร่วมมือกันในการบริหารจัดการพืชรอง ตั้งแต่ช่วงผลผลิตออกจนผลผลิตสู่ตลาด โดยหน่วยงานภาครัฐและเอกชนช่วยรับซื้อพืชรองต่างๆ ไปจำหน่าย แปรรูป หรือเป็นกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) ที่แต่ละบริษัทมีงบประมาณในส่วนนี้อยู่แล้ว ซึ่งจะเป็นกลไกใหม่ในการช่วยดูดซับผลผลิตและเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรไปในคราวเดียวกัน “เครือข่ายพันธมิตรคนตัวใหญ่ ช่วยคนตัวเล็ก“ เป็นการดำเนินการสมดุล

นายภูมิธรรมกล่าวว่า ปัจจุบันเครือข่ายพันธมิตร คนตัวใหญ่ ช่วยคนตัวเล็ก มีจำนวน 12 กลุ่มธุรกิจ 20 เครือ 27 หน่วยงาน อาทิ กลุ่มผู้ผลิตสินค้าในเครือเจริญโภคภัณฑ์ กลุ่มธุรกิจปั้มน้ำมัน ได้แก่ ปตท. พีที บางจาก ซัสโก้ สมาคมโรงพยาบาลเอกชน กลุ่มธุรกิจหมู่บ้าน-คอนโด ได้แก่ แสนสิริ แอสเซทไวส์ เสนา ไอริส ห้างค้าปลีก-ค้าส่ง และห้างท้องถิ่นทั่วประเทศ รวมถึงหน่วยงานภาครัฐพันธมิตร อาทิ กรมราชทัณฑ์ โดยมีเป้าหมายช่วยดูดซับเชื่อมโยงผลไม้ พืช 3 หัว ผัก เป้าหมาย 321,579 ตัน แยกเป็นผลไม้กว่า 2 แสนตัน พืช 3 หัว 2 หมื่นตัน ผัก 3 หมื่นตัน มูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท

โดยปัจจุบันได้ดำเนินการไปแล้วในส่วนของทุเรียน และจะทยอยส่งมอบมังคุด ลำไย ไปจนถึงสิ้น ก.ย.นี้ รวม 33,500 ตัน ไปยังเรือนจำ ธนาคาร ห้าง โรงแรม นิคมอุตสาหกรรม โรงพยาบาล บริษัทเอกชนรายใหญ่ และมีแผน ส่งมอบต่อเนื่องไปถึงต้นปีหน้า ทั้งผลไม้ ส้ม ลองกอง พืชผัก พืช 3 หัว หอมแดง กระเทียม หอมใหญ่ ที่จะเริ่มออกมาก
ในช่วงสิ้นปีไปจนถึงต้นปีหน้า

ทั้งนี้ ผลการดำเนินมาตรการดูแลสินค้าเกษตร ทั้งพืชหลัก พืชรอง สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจของ ข้าวเปลือก ยางพารา ผลไม้ พืช 3 หัว เฉลี่ยสูงขึ้นจากปีก่อน 23% ทำให้เกษตรกร กว่า 7.4 ล้านครัวเรือน มีรายได้รวม เพิ่มขึ้นเกือบ 2 แสนล้านบาท (196,536 ล้านบาท) จากราคาที่ปรับสูงขึ้นกว่าปีก่อน 

“วันนี้เศรษฐกิจฐซบเซา ขาดกำลังซื้อ ประเทศเราเป็นประเทศเกษตรกรรมประชากร 40% เป็นเกษตรกร เราได้ชื่อว่าแหล่งอาหารของโลก ขอบคุณทุกภาคส่วนที่เข้าใจเห็นความเดือดร้อนของเกษตรกร มาร่วมกันพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ทำงานเชิงรุกร่วมกันทำให้ผู้ผลิตได้ราคาที่ดีขึ้นให้คนตัวใหญ่ช่วยคนตัวเล็ก และขอให้เกษตรกรทำสินค้าที่มีคุณภาพ จากนี้กระทรวงพาณิชย์จะเร่งบุกตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น มีเป้าหมายที่ประเทศอินเดียที่มีประชากรถึง 1,400 ล้านคน นอกจากที่เราเร่งบุกตลาดจีนที่มีประชากร 1,200 ล้านคนแล้ว“

นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า เกือบหนึ่งปีของรัฐบาลชุดนี้ที่ได้เข้ามาบริหาร เราสามารถดึงราคาสินค้าเกษตรขึ้นโดยไม่ต้องจำนำสินค้าเกษตร ไม่ต้องประกันราคาสินค้าเกษตร ทำให้พืชหลักและพืชรองราคาสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ สิ่งสำคัญคือความร่วมมือของภาคเอกชนทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น ขอขอบคุณภาคเอกชน หน่วยงานภาครัฐและวิสาหกิจทุกภาคส่วน เราจะร่วมมือกันตลอดไป เพื่อให้สินค้าเกษตรมีราคาสูงขึ้น ทำให้เศรษฐกิจรากฐานของประเทศไทยดีขึ้น

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ขอขอบคุณผู้ประกอบการ สถาบันการเงิน ข้าราชการทุกคน เป็นภาพรวมของการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ เราไม่สามารถทำได้ด้วยตัวของเราเอง ต้องอาศัยภาคเอกชนและหน่วยงานที่มีส่วนร่วม ทำให้คนตัวใหญ่ช่วยคนตัวเล็กเกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรม ขอขอบคุณอีกครั้งในนามของกระทรวงพาณิชย์

สำหรับพืชเกษตรเศรษฐกิจตัวรองที่กระทรวงพาณิชย์ได้เข้าไปดูแล มีจำนวน 18 ชนิด แยกเป็นผลไม้ 11 ชนิด ได้แก่ 1.ทุเรียน 2.มังคุด 3.เงาะ 4.ลองกอง 5.ลำไย 6.สับปะรด 7.ลิ้นจี่ 8.ส้มโอ 9.ส้มเขียวหวาน 10.มะยงชิด 11.มะม่วง ผัก 4 ชนิด ได้แก่ 1.มะนาว 2.มะเขือเทศ 3.ฟักทอง 4.พริกขี้หนูจินดา และพืชสามหัว 3 ชนิด ได้แก่ 1.หอมแดง 2.หอมหัวใหญ่ 3.กระเทียม

‘เศรษฐา’ สั่งติดตามการค้าชายแดน หนุนจัด ‘มหกรรมการค้า’ ชี้!! 6 เดือน ขยายตัวดีขึ้น ส่งสัญญาณบวก ทำมูลค่าเศรษฐกิจเพิ่ม

(11 ส.ค. 67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สั่งการหน่วยงานเกี่ยวข้อง ดำเนินนโยบายระหว่างประเทศด้วยความเป็นมิตร ส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างกันในทุกระดับ เพื่อเพิ่มตัวเลขมูลค่าการค้าชายแดน-ผ่านแดน โดยให้ติดตามสถานการณ์การค้าอย่างใกล้ชิด เชื่อว่าเป็นตลาดที่สำคัญของการส่งออกสินค้าของไทย เพื่อต่อยอดเพิ่มพูนประโยชน์ทางด้านการค้าระหว่างประเทศกับเพื่อนบ้านและประเทศคู่ค้าและความสัมพันธ์ที่ดีของประชาชนในพื้นที่ และเพิ่มมูลค่าการค้าให้เศรษฐกิจไทย

โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 การค้าชายแดน-ผ่านแดน ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งสัญญาณบวก ขยายตัวที่ 3.6% จึงสนับสนุนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าชายแดนใน งานมหกรรมการค้าชายแดนปี 2567 กระตุ้นเศรษฐกิจการค้าชายแดน สร้างพันธมิตรทางการค้าระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศคู่ค้า สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไทย

นายชัย กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ ดำเนินนโยบายตามแนวทางของนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศ ติดตามสถานการณ์การค้าชายแดนและผ่านแดนอย่างใกล้ชิด จากการดำเนินงานที่ผ่านมา ในช่วง 6 เดือนแรก ปี 2567 ที่มีสัญญาณที่ดี อยู่ในแดนบวก มีมูลค่าการค้ารวม 912,283 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยไทยส่งออก 534,316 ล้านบาท ส่วนมูลค่าการนำเข้าของไทยอยู่ที่ 377,968 ล้านบาท โดยที่ไทยได้ดุลการค้า 156,348 ล้านบาท โดยมูลค่าการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ ในช่วงครึ่งปีแรก มีมูลค่าการค้ารวม 493,470 ล้านบาท โดยมูลค่าการค้าสูงสุดตามลำดับ ได้แก่ ลาว มีมูลค่าสูงสุด 150,697 ล้านบาท มาเลเซีย 149,361 ล้านบาท เมียนมา 106,630 ล้านบาท และ กัมพูชา 86,783 ล้านบาท ซึ่งจากมูลค่าการค้ารวมทั้งหมด แบ่งเป็นการส่งออก 305,452 ล้านบาท ในส่วนของการนำเข้าอยู่ที่ 188,019 ล้านบาท ทำให้ไทยได้ดุลการค้ารวม 117,433 ล้านบาท จากสินค้าส่งออกชายแดนที่สำคัญ ได้แก่ น้ำมันดีเซล 23,109 ล้านบาท น้ำมันสำเร็จรูปอื่นๆ 10,432 ล้านบาท และน้ำยางข้น 8,221 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าการค้าผ่านแดนไปประเทศที่สาม ช่วงครึ่งปีแรก มีมูลค่าการค้ารวม 418,813 ล้านบาท โดยการค้าผ่านแดนไปจีนมีมูลค่าสูงสุดที่ 244,175 ล้านบาท สิงคโปร์ 53,137 ล้านบาท และเวียดนาม 36,269 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งจากมูลค่าการค้ารวมทั้งหมด แบ่งเป็นการส่งออก 228,864 ล้านบาท และการนำเข้า 189,949 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.0% โดยสินค้าส่งออกผ่านแดนสำคัญ ได้แก่ ทุเรียนสด 67,601 ล้านบาท ฮาร์ด ดิสก์ ไดรฟ์ 40,957 ล้านบาท และยางแท่ง TSNR 19,500 ล้านบาท

นายชัย กล่าวว่า มูลค่าทางการค้าเพิ่มมากขึ้น เป็นข้อพิสูจน์ถึงการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดกิจกรรม ส่งเสริมการค้าชายแดน-ผ่านแดน งานมหกรรมการค้าชายแดนปี 2567 ระหว่างวันที่ 15 – 18 ส.ค.ที่จ.สงขลา บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมการค้าภายใน ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เข้าร่วม โดยจัดแสดงและจำหน่ายสินค้า ประชุมติดตามสถานการณ์การค้าชายแดน เจรจาจับคู่ธุรกิจออนไลน์ และสัมมนาให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการ เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจการค้าชายแดน

สาวสั่ง ‘ข้าวไข่เจียว’ ผ่านแอป รอกินด้วยความหิว แต่สิ่งที่ได้ ไม่ตรงปกอย่างแรง!! ดูยังไงก็ไม่น่ากิน

(11 ส.ค. 67) ในโลกออนไลน์มีการแชร์ต่อและวิพากษ์วิจารณ์เรื่องราวจากสมาชิกกลุ่มพวกเราคือผู้บริโภครายหนึ่ง หลังจากที่ได้กดสั่งอาหารผ่านแอป แต่กลับต้องหมดอารมณ์รับประทาน หลังจากที่ได้รับเมนูอาหารมา เมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาของข้าวไข่เจียวที่ดูยังไงก็ไม่ตรงปก

โดนสมาชิกดังกล่าว ได้โพสต์ภาพเมนูข้าวไข่เจียวกับตำแตง ที่สั่งผ่านแอปซึ่งจากรูปในเมนูข้าวไข่เจียว กับตำแตงนั้นดูน่ารับประทาน แต่สิ่งที่ได้กลับไม่ตรงปกอย่างมาก

โดยผู้โพสต์ได้ระบุข้อความอีกว่า 

“สั่งอาหารตามรูปจากออนไลน์ แต่สิ่งที่ได้มา ต้องตกใจไรก่อนดี!! ข้าวไข่เจียวที่ตั้งหน้าตั้งตารอนานแสนนาน ทำกันได้ลงคอ ร้านส้มตำเจ็ดยอดแห่งหนึ่ง”

‘นิพิฏฐ์’ โพสต์ให้ความรู้ ม.112 ย้ำชัด!! กฎหมายนี้ แก้ไขได้ ในอดีตก็เคยทำมาแล้ว ตามคำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน

(11 ส.ค. 67) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ทนายความ และอดีต ส.ส.พัทลุง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า ...

มาตรา 112 กับระบบปกครอง และ สถาบันพระมหากษัตริย์ (ตอนที่ 1)

ผมพยายามเขียนให้อ่านง่าย โดยยึดหลักกฎหมายและหลักระบอบการปกครอง สถาบันพระมหากษัตริย์เกี่ยวข้องกับระบบการปกครองด้วยแต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยพูดถึงระบบการปกครองกัน

ใครจะเห็นด้วย หรือ ไม่เห็นด้วยก็ได้ แต่ไม่ควรแสดงความเห็นในที่นี้ (เพราะความเห็นที่ปราศจากความรู้) อาจมีความผิดตามกฎหมายได้ ทางที่ดีอ่านอย่างเดียวจะดีกว่า

คำถามแรก: คือ มาตรา 112 แก้ไขได้หรือไม่

ตอบ: แก้ไขได้ เพราะตั้งแต่มีประมวลกฎหมายอาญา ตั้งแต่ปี 2500 มาตรา 112 ก็เคยแก้ไขมาแล้ว คือ แก้ไขตามคำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519

คำถามที่สอง: การแก้ไขมาตรา 112 แก้ให้โทษหนักขึ้นได้หรือไม่ ตอบว่า ‘ได้’ / หรือ แก้ให้โทษน้อยลงได้หรือไม่ ตอบว่า ‘ได้’

มาตรา 112 แก้ได้ ทั้งแก้ให้โทษสูงขึ้นหรือน้อยลง แล้วแต่ดุลพินิจของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาที่เราเลือกเข้าไป

คำถามต่อไป คือ เมื่อแก้ไขได้ ทำไมพรรคการเมืองที่ทำการแก้ไข จึงถูกยุบพรรคคำถามนี้ ไว้ตอบตอนต่อไปครับ/

‘เศรษฐา’ ปลื้ม ‘ค่ายซินบีมวยไทย’ ที่ภูเก็ต นักท่องเที่ยวต่างชาติ เรียนกันแน่นค่าย เล็งต่อยอดซอฟต์พาวเวอร์ ดันศิลปะการต่อสู้ สร้างรายได้ ให้เป็นห่วงโซ่ทางธุรกิจ

(11 ส.ค. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โพสต์ภาพการฝึกซ้อมมวย พร้อมระบุข้อความผ่าน x หรือทวิตเตอร์ ว่า ...

“ภูเก็ตมีฝรั่งปิดซอยต่อยกันแล้วครับ”

เพื่อนคนภูเก็ตบอกผมและให้ดูรูปค่ายมวยไทย ฟังแล้วน่าสนใจ จุดประกายต่อยอดเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ การท่องเที่ยว และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมและธุรกิจเกี่ยวกับ Mixed martial arts ได้มากเลยครับ

ในภูเก็ตมีค่ายมวยกว่า 300 แห่ง ทั้งค่ายใหญ่ค่ายเล็ก มีรูปแบบการสอนหลากหลาย อย่างในรูปนี่คือ ‘ค่ายซินบีมวยไทย’ ที่หาดในหาดเป็นค่ายมวยขนาดกลางมีครูประมาณ 30 คน

ทำให้ผมรู้ว่าที่ภูเก็ตมี Muay Thai Village ซึ่งตั้งอยู่ใน ‘ซอยตาเอียด’ ต.ฉลอง ในซอยนั้นมีค่ายมวยหลายสิบค่าย และค่ายที่ใหญ่สุดคือค่ายมวยไทเกอร์ที่โด่งดังไปทั่วโลก ไทเกอร์มวยไทยมีครูกว่า 100 คน มีนักเรียนลงทะเบียนเรียนตลอด 1 ปีที่ผ่านมากว่า 80,000 คน มีเวที 12 เวที สำหรับจัดการแข่งขัน คิดดูครับค่ายมวย 1 ค่ายนี้จะนำมาสู่กิจกรรมทางเศรษฐกิจได้มากขนาดไหน

อย่างแรกเลย นักเรียนมวยเหล่านี้ มาเรียนชกมวยคอร์สเริ่มต้น ก็ 15 วันแล้ว และมีคอร์ส 1 เดือน จนไปถึงหลายเดือน บางทีก็มาเรียนกันทั้งครอบครัว รวมเด็กเล็กๆ ก็มาเรียนกับพ่อแม่ด้วย และนี่ทำให้เราได้นักท่องเที่ยวแบบ ‘พำนักระยะยาว’ ซึ่งตอบโจทย์เรื่องการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวที่คุ้มค่ากับโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่เราต้องลงทุนไปกับการท่องเที่ยว

เมื่อพำนักระยะยาวแล้วก็มีธุรกิจตามมาหลายอย่าง แค่ใน ‘ซอยตาเอียด’ ที่เดิมเป็นพื้นที่สวนยาง ชาวบ้านก็ปรับเปลี่ยนบ้านตัวเองเป็นที่พักอาศัย มีร้านอาหาร ร้านขายของ ร้านซักผ้า เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระดับรากฝอย กระจายรายได้ลงสู่ชุมชน

สินค้าที่เกี่ยวข้องกับค่ายมวยก็เป็นที่นิยม เช่น กางเกงมวยจากค่ายดังๆ อย่างไทเกอร์มวยไทย ใส่กันไปทั่ว เป็นของขายที่มีราคา กางเกง เสื้อชื่อค่ายมวย ประเจียดคล้องคอ ประเจียดรัดแขน และมงคลประเจียด (ที่คาดหัว) สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสินค้าที่ผลิตในประเทศ ทำเงินให้กับผู้ผลิตและผู้ขายอย่างมหาศาล

เมื่อนักเรียนมวยเรียนจบแล้วก็มี ‘เวที’ ให้ขึ้นชก ขายบัตรเข้าชมได้ และเมื่อนักเรียนได้แต่งตัว ไหว้ครูขึ้นชกเหมือนเป็นมืออาชีพ มีรูปลงโซเชียลมีเดียก็ทำให้คนอยากมาเรียนกันอีก

สุดท้ายที่น่ายินดี คือ ‘ครูมวย’ คือ นักมวยอาชีพที่เลิกชกแล้ว พวกเขาได้ทำหน้าที่สืบสานศิลปะการต่อสู้ของไทยอย่างมีศักดิ์ศรีและมีรายได้ นักมวยที่มีดีกรีได้ครองเข็มขัดแชมป์จากสนามมวยลุมพินี หรือสนามมวยราชดำเนิน ก็สามารถหารายได้ได้ถึงชั่วโมงละ 2,000 บาท เท่ากับว่า อายุงานของนักมวยอาชีพไม่ได้หยุดอยู่แค่การเป็นนักมวย แต่คือการเป็นเทรนเนอร์มวยไทยที่ยิ่งมากประสบการณ์ค่าตัวยิ่งสูงยิ่งเป็นที่ต้องการของตลาด

มวยไทยอยู่ใกล้ตัวคนไทยและเราชินที่จะเห็นมวยไทยเป็นแค่กีฬาขึ้นชกบนเวที แต่การเติบโตของค่ายมวยอย่างไทเกอร์ที่ตอนนี้เปิดที่สิงคโปร์ ที่จีน หรือค่ายซินบี ทำให้เรามองมวยไทยในฐานะที่เป็นหนึ่งใน Mix martial arts และมีโอกาสขยายเป็นธุรกิจท่องเที่ยว กีฬา แฟชั่น ไปจนถึงเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาวิทยาศาสตร์การกีฬาในประเทศไทย

ทั้งหมดคือห่วงโซ่ทางธุรกิจที่จะสร้างอาชีพสร้างรายได้ให้กับผู้คนได้กว้างขวาง ผมอยากให้ทั้ง ฝรั่ง จีน แขก ไทย อยากมาปิดซอยเรียนต่อยมวยที่ประเทศไทยครับ นายเศรษฐา ระบุทิ้งท้าย 

‘หมอวรงค์’ เดินหน้าเสนอให้ยุบ ‘พรรคประชาชน’ หลังพบหลักฐานสำคัญ ชี้!! ‘ถิ่นกาขาว’ มีสาขาไม่ครบ เป็นพรรคที่สิ้นสภาพ เอามาดำเนินการไม่ได้

(11 ส.ค. 67) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กระบุว่า ... 

#ทำไมต้องเสนอยุบพรรคประชาชน

ตามที่สื่อเสนอข่าวว่า พรรคประชาชนเกิดจาก การที่นำพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล มาเปลี่ยนชื่อพรรค เนื่องจากพรรคการเมืองเป็นสถาบันสำคัญ ของระบอบประชาธิปไตย ต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้

จากการตรวจสอบผ่านเว็บกกต. พบว่าพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล ซึ่งเป็นพรรคต้นกำเนิด ของพรรคประชาชน มีสาขาพรรค3สาขา ภาคเหนือ 2สาขา และภาคกลาง 1 สาขา ไม่มีสาขาภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

กฎหมายพรรคการเมือง กำหนดไว้ว่าพรรคการเมืองย่อมสิ้นสภาพ ถ้ามีสาขาพรรคการเมือง เหลือไม่ถึงภาคละ1สาขา เป็นระยะเวลาติดต่อกัน1ปี นั่นหมายความว่า พรรคถิ่นกาขาวชาววิไล ต้องมีสาขาครบทั้ง4ภาค ห้ามขาดหายไปติดต่อกัน1ปี ถ้าไม่ครบพรรคถิ่นกาขาวชาววิไลต้องสิ้นสภาพ

ข้อมูลหน้าเว็บกกต. พบว่าพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล มีสาขาพรรคเพียงแค่ 2ภาค ซึ่งไม่ครบ4ภาค และจัดตั้งตั้งแต่ปี 2555 เพื่อความโปร่งใส กกต.ต้องตรวจสอบและชี้แจง ให้ประชาชนได้รับทราบ รายละเอียดการมีสาขาในแต่ละปี

ถ้าพรรคถิ่นกาขาวมีสาขาไม่ครบ4ภาค ติดต่อกัน1ปี จะเข้าข่ายการสิ้นสภาพของพรรคตามกฎหมาย นั่นหมายความว่าพรรคประชาชน จะไม่สามารถนำพรรคที่สิ้นสภาพ มาดำเนินการเปลี่ยนชื่อพรรคได้

พรรคไทยภักดีจะไปยื่นเรื่องดังกล่าว ให้กกต.ตรวจสอบ และดำเนินการต่อไปให้เป็นไปตามกฎหมาย

‘หงส์ไทย’ ร่วมอัดฉีด นักกีฬาโอลิมปิก ‘เหรียญละ 2 แสน-ยาดม 1,200 โหล’ เผย!! ดีใจที่ได้เพิ่มกำลังใจ สร้างความสดชื่น ขอเคียงข้างทุกความสำเร็จของคนไทย

(11 ส.ค. 67) จากชัยชนะครั้งสำคัญของนักกีฬายกน้ำหนักไทยที่คว้าเหรียญโอลิมปิก 2024 มาได้ถึง 3 คน ได้แก่ ฟ่าง ธีรพงศ์ ศิลาชัย, ออย สุรจนา คำเบ้า และเวฟ วีรพล วิชุมา

ได้กลายเป็นไวรัลอยู่ช่วงหนึ่ง ในการถ่ายทอดสดการแข่งขันได้ปรากฏภาพของ ฟ่าง ธีรพงศ์ ศิลาชัย นักกีฬายกน้ำหนักทีมชาติไทย คว้าเหรียญเงินจากยกน้ำหนักรุ่น 61 กิโลกรัมชาย ในกีฬาโอลิมปิก 2024 ที่ดมยาดมสมุนไพรตรา ‘หงส์ไทย’ ก่อนขึ้นแข่ง ทำเอาชาวเน็ตถึงขั้นแซวว่า ‘ดมหงส์ไทยแล้วทรงพลัง’ เลยทีเดียว ซึ่งต่อมา บริษัท สมุนไพรไทย หงส์ไทย จำกัด ออกมาแสดงความยินดีกับการชิงคว้าชัยของ ฟ่าง ธีรพงศ์ ก่อนหน้านี้ รวมทั้งนักกีฬาที่คว้าเหรียญโอลิมปิกคนอื่นๆ ด้วย

ล่าสุด บริษัท สมุนไพรไทย หงส์ไทย จำกัด ก็ได้ออกมาร่วมสนับสนุนนักกีฬาไทย ผู้คว้าชัยชิงเหรียญโอลิมปิก ปารีส 2024 ทุกเหรียญรางวัล คนละ 200,000 บาท พร้อมมอบผลิตภัณฑ์สมุนไพร จำนวน 1,200 โหล (คิดเป็น 14,400 ชิ้น) ให้ทางการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.)

โดยระบุว่า หงส์ไทย ร่วมสนับสนุนนักกีฬาไทย ผู้คว้าชัยชิงเหรียญโอลิมปิกเกมส์ปารีส 2024 มอบให้กับนักกีฬาทุกเหรียญรางวัล ท่านละ 200,000 บาท

พร้อมมอบผลิตภัณฑ์สมุนไพร จำนวน 1,200 โหล ให้ทาง กกท. (การกีฬาแห่งประเทศไทย) เพื่อส่งมอบให้ทางสมาคมกีฬาของนักกีฬาที่ได้เข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในครั้งนี้

ขอขอบคุณนักกีฬาทุกท่านที่สนับสนุน ยาดมหงส์ไทย มาโดยตลอด ขอขอบคุณที่ทำให้เรามีทุกวันนี้

(ธรรมชาติพัฒนา เพื่อความพึงพอใจ ของผู้บริโภค)

หงส์ไทยดีใจที่ได้เป็นส่วนร่วม เพิ่มกำลังใจสร้างความสดชื่น เป็นอาวุธลับ อยู่คู่นักกีฬาไทย และอยู่เคียงข้างมุ่งสู่ความสำเร็จของคนไทยทุกคน

‘เทพไท’ ชี้!! พรรคการเมืองต้องมีอุดมการณ์ จุดยืนชัดเจน ไม่จำเป็นต้องใช้เงินซื้อเสียง มอง!! พรรคประชาชน ไม่ลดเพดาน ม.112 ต้องรับความเสี่ยง เคลื่อนไหวอย่างมีบทเรียน

(11 ส.ค. 67) นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส. นครศรีธรรมราช โพสต์เฟซบุ๊ก เทพไท เสนพงศ์-คุยการเมือง ระบุว่าพรรคการเมืองต้องแข่งกันที่อุดมการณ์

หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุคพรรคก้าวไกลไปแล้ว ได้ตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคไป 10 คน ทำให้ส.ส.พรรคก้าวไกล เหลืออยู่ 143 คน และได้ย้ายไปสังกัดพรรคประชาชนทั้งหมด ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนานา ทั้งชื่อของพรรค โลโก้ตราสัญลักษณ์ของพรรค รวมถึงนโยบาย จุดยืน อุดมการณ์ ประกาศเดินหน้านโยบายแบบไม่ลดเพดานลง แต่ได้เรียกเสียงสนับสนุนจากผู้ศรัทธาต่ออุดมการณ์พรรคได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งเห็นได้จากยอดผู้สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคหลายหมื่นคน และมียอดเงินบริจาคภายในเวลา 9 ชั่วโมง ยอดบริจาคหลัก10ล้านบาท ซึ่งเป็นกระแสความศรัทธาอย่างแท้จริง

ผมในฐานะนักการเมืองอิสระ ไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองใด แต่ขอเรียกร้องให้พรรคการเมืองทุกพรรค ได้หันมาต่อสู้แข่งขันกันในเรื่องจุดยืน อุดมการณ์และนโยบาย มากกว่าเรื่องการหาประโยชน์ สะสมทุนเพื่อซื้อเสียงในการเลือกตั้ง เพราะถ้าหากพรรคการเมืองมีจุดยืน อุดมการณ์ถูกใจประชาชนแล้ว สามารถเรียกคะแนนนิยมและศรัทธาจากประชาชนได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินซื้อเสียงเลย

ในอดีตที่ผ่านมาผมได้ตัดสินใจเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ก็เพราะพรรคประชาธิปัตย์ มีจุดยืนที่ชัดเจน ในเรื่องหลักการประชาธิปไตย เชื่อมั่นในระบอบรัฐสภา มีความซื่อสัตย์และเป็นมืออาชีพในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้กับประชาชน ไม่ใช้เงินซื้อเสียง และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ ซึ่งเป็นอุดมการณ์เมื่อ 30 ปีที่แล้ว แต่ปัจจุบันพรรคประชาธิปัตย์ ได้เปลี่ยนแปลงจุดยืนและอุดมการณ์ไปทั้งหมด จนทำให้พรรคประชาธิปัตย์ตกต่ำมากที่สุดในยุคนี้

ส่วนพรรคประชาชนที่ประกาศไม่ลดเพดานการแก้ไขมาตรา112 ก็เป็นจุดขายหนึ่งของพรรค ที่ทำให้ได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนมากถึง 14 ล้านคน เป็นนโยบายที่พรรคประชาชนต้องรับความเสี่ยงทางการเมือง ต้องสรุปบทเรียนการเคลื่อนไหว เพื่อไม่ให้สุ่มเสี่ยงต่อการยุบพรรคเป็นครั้งที่3 และเป็นสิทธิ์ของพรรคประชาชน ที่จะเสนอนโยบาย จุดยืน อุดมการณ์ของพรรคต่อสาธารณชน เพราะผู้ที่ตัดสินใจแท้จริง คือคนไทยทั้งประเทศ ว่าเห็นด้วยหรือยอมรับต่อนโยบายของพรรคประชาชนหรือไม่

ถ้าเสียงส่วนใหญ่ของประเทศยอมรับ เลือกพรรคประชาชนเป็นเสียงข้างมาก ก็ต้องเคารพการตัดสินใจของประชาชน ตามวิถีทางในระบอบประชาธิปไตย อย่าใช้อำนาจนอกระบบมาแทรกแซงกันอีก

ตำรวจภาค 4 เข้ม “ร้อยเอ็ดโมเดล” สกัดจับยาบ้า 1 ล้านเม็ด เตรียมขยายผลจับกุมผู้สั่งการ

ตามนโยบายนายกรัฐมนตรี และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งแก้ไขปัญหายาเสพติดทั่วประเทศ โดยให้จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นพื้นที่ปลอดยาเสพติดและอาชญากรรม พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 ได้ระดมสรรพกำลังทั้งตำรวจในจังหวัดร้อยเอ็ด และจังหวัดใกล้เคียง กวาดล้างจับกุมยาเสพติด และบูรณาการกับหน่วยงานจังหวัดร้อยเอ็ด ดำเนินมาตรการป้องกันและบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด รวมทั้งเปิดปฏิบัติการเด็ดปีกค้ารายย่อยในพื้นที่ตำรวจภาค 4 มาอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุด โดยอำนวยการของ พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4, ตำรวจภูธรจังหวัดร้อยเอ็ด นำโดย พล.ต.ต.ทรงพล บริบาลประสิทธิ์ ผบก.ภ.จว.ร้อยเอ็ด, พ.ต.อ.ภาสกร หินเธาว์ ผกก.สภ.ธวัชบุรี, ตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด ภ.จว.ร้อยเอ็ด พร้อมหน่วยบูรณาการในพื้นที่ ได้ร่วมกันจับกุมคดียาเสพติด 2 ราย ผู้ต้องหา 6 คน ของกลางยาบ้า จำนวน 1,000,000 เม็ด ตรวจยึดทรัพย์สินฯ 1.รถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ จำนวน 1 คัน ราคาประมาณ 500,000  บาท 2.รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อ ฮอนด้า จำนวน 1 คัน ราคาประมาณ 400,000 บาท

คดีที่ 1 ตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด ภ.จว.ร้อยเอ็ด ได้สืบสวนทราบว่า จะมีขบวนการค้ายาเสพติดลำเลียงยาบ้าจำนวนมากผ่านพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด จึงวางแผนจับกุม ต่อมาวันที่ 9 ส.ค.67 เวลา 19.30 น. ตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด ภ.จว.ร้อยเอ็ด ตำรวจ สภ.จังหาร และฝ่ายข่าว กกล.สุรนารี ได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา จำนวน 5 คน คือ นายธีระชัย, นายสุขสรรค์, นายเจษฎา, นายพิสุทธิศักดิ์, นายชโยทัย ได้บริเวณริมถนนเส้นทางระหว่าง จ.กาฬสินธุ์-จ.ร้อยเอ็ด ต่อเนื่อง บริเวณบ้านแซงแหลม ม.6 ต.แสนชาติ อ.จังหาร ต.ร้อยเอ็ด และ บริเวณสวนด้านทิศตะวันตกบ้านหัวขวา-บ้านกุดโค ต.หลักเมือง อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ พร้อมของกลางยาบ้ารวม 1,000,000 เม็ด พร้อมตรวจยึดอายัดทรัพย์สิน เป็นรถกระบะ isuzu สีขาว หมายเลขทะเบียน จฉ 20xx ชลบุรี 1 คัน ราคาประมาณ 500,000 บาท และรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า 1 คัน ราคาประมาณ 400,000 บาท รวม 900,000 บาท เบื้องต้นแจ้งหาว่าร่วมกันจำหน่ายโดยมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท1(ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน โดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นการกระทำเพื่อการค้า จนก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน กระทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐและความปลอดภัยในกลุ่มประชาชน เบื้องต้นผู้ต้องหารับว่า รับจ้างขนยาเสพติดมาแล้ว 2 ครั้ง โดยผู้ว่าจ้างอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน จากนั้นจึงนำผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่ง พงส. สภ.จังหาร เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายและสืบสวนจับกุมผู้ว่าจ้างรวมทั้งผู้ร่วมขบวนการทั้งหมดต่อไป 

คดีที่ 2 เมื่อวันที่ 9 ส.ค.67 เวลาประมาณ 11.00 น.ตำรวจ สภ.ธวัชบุรี จ.ร้อยเอ็ด ได้จับกุมตัวนายเรวัติ อายุ 23 ปี ได้ที่ หมู่ 6 บ้านฝั่งแดง ต.อุ่มเม้า อ.ธวัชบุรี จ.ร้อยเอ็ด หลังพบพฤติกรรมการเสพยาเสพติด เบื้องต้นชุดสืบสวนจะทำการขยายผลหาผู้ค้ายาเสพติด และผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาดำเนินคดีต่อไป พร้อมกันนี้ได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน)โดยผิดกฎหมาย ก่อนนำผู้ต้องหา ส่ง พงส.สภ.ธวัชบุรี ดำเนินคดีตามกฎหมาย และขยายผลจับกุมผู้ค้าและผู้ร่วมขบวนการทั้งหมดต่อไป

สำหรับในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด ได้มีการกวาดล้างจับกุมยาเสพติดอย่างเข้มข้น และสกัดจับกุมการขนยาเสพติดรายใหญ่ผ่านเส้นทาง จ.ร้อยเอ็ด มาแล้ว  หากมีการจับกุมผู้เสพยาเสพติด ก็จะนำตัวไปบำบัด และนำข้อมูลจากผู้เสพไปขยายผลจับไปกุมผู้ค้า ผู้ร่วมขบวนการ รวมทั้งใช้มาตรการยึดทรัพย์ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อแก้ปัญหายาเสพติดตามแนวทาง “ร้อยเอ็ดโมเดล”

‘พรรคประชาชน’ เคาะส่ง ‘โฟล์ค ณฐชนน’ ชิงเลือกตั้งซ่อมพิษณุโลกแทน ‘หมออ๋อง’ เผย!! มีความมั่นใจในอุดมการณ์ที่ชัดเจน พร้อมลงพื้นที่แก้ไขปัญหาให้ประชาชน

(11 ส.ค. 67) นายศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรคประชาชน เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริหารพรรคมีมติส่ง นายณฐชนน ชนะบูรณาศักดิ์ หรือโฟล์ค รับสมัครเลือกตั้งซ่อมสส.จังหวัดพิษณุโลก เขต 1 แทนตำแหน่งที่ว่างลง  

“นายณฐชนน เป็นเจ้าของธุรกิจ และร่วมทำงานการเมืองกับอดีตพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกลมาตลอด โดยพรรคประชาชนมีความมั่นใจในอุดมการณ์และจุดยืนของนายณฐชนน เพราะมีความชัดเจนและทำงานใกล้ชิดกับนายปดิพัทธ์ สันติภาดา โดยเฉพาะงานพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนแทนหมออ๋อง" นายศรายุทธิ์ กล่าว

ทางด้านประวัติของ นายณฐชนน ชนะบูรณาศักดิ์ นั้นได้จบการศึกษาจาก โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม  ปี 2551 และมหาวิทยาลัยนเรศวร วิทยาลัยนานาชาติ สาขานิติศาสตร์ ปี 2556

ประกอบธุรกิจส่วนตัว หจก.พิษณุโลกไทยนครหล่อยาง

ประสบการณ์ที่ผ่านมา อดีตประธาน YEC หอการค้า จังหวัดพิษณุโลก อดีตประธาน Young FTI สภาอุตสาหกรรมจังหวัดพิษณุโลก ผู้ชำนาญการประจำตัว สส.นายปดิพัทธ์ สันติภาดา คณะทำงานประจำตัวรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ตำแหน่งนักวิชาการ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการทหารประจำจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งนำโดย นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top