Monday, 13 May 2024
TCAC

‘บิ๊กตู่’ ย้ำเป้าหมาย Net zero ภายในปี พ.ศ. 2608 วอนคนไทยร่วมรับมือการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

‘บิ๊กตู่’ กล่าวปาฐกถาพิเศษงาน TCAC ยืนยันเจตนารมณ์ในการขับเคลื่อนการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มุ่งใช้นโยบายเศรษฐกิจ BCG เป็นกลไกหลักในการสร้างความสมดุลแห่งการพัฒนา เดินหน้าสร้างความเติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนทุกคน

เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 5 สิงหาคม ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดและกล่าวปาฐกถาพิเศษในการประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย (Thailand Climate Action Conference: TCAC) จัดโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด“อนาคตไทย อนาคตโลก: โอกาสและความรับผิดชอบ (Our Future: Our Responsibility, Our Opportunity)” โดยมีนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงาน

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยินดีที่มาเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมฯ เป็นการยืนยันเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของรัฐบาลในการขับเคลื่อนการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และผลักดันไทยมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ให้ได้ภายในปี พ.ศ. 2608 ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบทวีความรุนแรงมากขึ้นต่อทุกภูมิภาคทั่วโลก ตลอดช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา กิจกรรมของมนุษย์เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้อุณหภูมิพื้นผิวเฉลี่ยของโลกสูงขึ้นประมาณ 1.1 องศาเซลเซียส 

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประชาคมโลกต้องเร่งยกระดับการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก ซึ่งการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิจะส่งผลให้นานาประเทศต้องเผชิญกับวิกฤตการผลิตสินค้าอาจส่งผลกระทบรุนแรงถึงขั้นที่ประชากรทั่วโลกจะประสบกับภาวะขาดแคลนอาหาร และภัยธรรมชาติรูปแบบต่าง ๆ จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นด้วย ดังนั้น World Economic Forum : WEF จึงได้กำหนดให้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นภัยคุกคามระยะยาวของโลกที่มีแนวโน้มจะส่งผลต่อการดำเนินเศรษฐกิจระดับมหภาค ที่ผ่านมา ประชาคมโลกได้พยายามยกระดับการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายใต้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และมุ่งบรรลุเป้าหมายของความตกลงปารีสจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส  และพยายามควบคุมให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเท่ากับต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลกลงร้อยละ 45 ภายในปี 2573 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิต้องเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 พร้อมทั้งสร้างขีดความสามารถในการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้น ควบคู่กันไปอย่างสมดุล

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไทยรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงและกระทันหัน เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล และการเปลี่ยนแปลงของปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย ซึ่งล้วนแต่กระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ในปี 2564 ไทยถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีความเสี่ยงต่อผลกระทบระยะยาวจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสูงสุด เป็นลำดับที่ 9 ของโลก ซึ่งในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา มีมูลค่าความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคมแล้วนับแสนล้านบาท ในวันนี้ ประเทศไทยจึงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวรับผลกระทบที่เกิดขึ้นในมิติต่าง ๆ อย่างจริงจัง

นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า นโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยได้กำหนดทิศทางการพัฒนาสู่ความยั่งยืนในทุกมิติร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมาย โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และแผนแม่บทต่าง ๆ ที่มุ่งสู่การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ ครอบคลุม 3 องค์ประกอบที่สำคัญ การลดก๊าซเรือนกระจกระยะยาวที่สอดคล้องกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ,การปรับตัวเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ สนับสนุนการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐและเอกชน รวมถึงการพัฒนามาตรการทางเศรษฐศาสตร์ การเงิน และการคลัง เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องปรับตัวสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จะเป็นแนวทางสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายตามที่แสดงเจตนารมณ์ต่อ United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top