Wednesday, 8 May 2024
PolitcsQuiZ

“เทพไท” ชี้ความแตกแยกร้าวลึกกว่าอดีต แนะรัฐบาลจัดการผู้ดึงเบื้องสูงมาเป็นคู่ขัดแย้ง

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงบรรยากาศทางการเมืองของประเทศในขณะนี้ว่า ความขัดแย้งทางการเมืองและความแตกแยกในสังคมกำลังร้าวลึกมากกว่าในอดีตที่ผ่านมา  ที่เป็นความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนระบอบทักษิณ กับกลุ่มที่ต่อต้านระบอบทักษิณ 

จนเกิดการชุมนุม หรือม็อบสีเสื้อขึ้นมา และขยายผลมาเป็นการชุมนุมขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์จากกลุ่ม กปปส. จนมีการยุบสภา และบอยคอตการเลือกตั้ง เพราะต้องการให้มีการปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้ง จนบ้านเมืองเข้าสู่ทางตัน และมีการรัฐประหารของ คสช. เข้ามาควบคุมการบริหารประเทศในฐานะคนกลาง 

เพื่อต้องการให้ประเทศกลับเข้าสู่ภาวะปกติไม่มีความขัดแย้งใดๆต้องการสลายสีเสื้อทางการเมือง จึงมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมา เพื่อใช้ปกครองประเทศ และจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป เป็นการคืนอำนาจให้กับประชาชน จึงได้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ภายใต้เงื่อนไขของรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ คสช. ยกร่างขึ้นมาเอง จนเป็นที่มาของการสืบอำนาจ และเป็นจุดเริ่มต้นความขัดแย้งในปัจจุบันอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งกำลังลุกลามไปอย่างกว้างขวาง 

มีการดึงเอาสถาบันเบื้องสูงเข้ามาเกี่ยวข้องทางการเมืองด้วย ซึ่งแตกต่างกับความขัดแย้งในอดีต ที่เกิดขึ้นระหว่าง ความขัดแย้งทางการเมืองของกลุ่มการเมือง2กลุ่มเท่านั้น แต่ปัจจุบันเป็นความขัดแย้งที่พยายามจะดึงสถาบันเบื้องสูงเข้ามาเป็นคู่ขัดแย้งด้วย มีการเคลื่อนไหวยื่นข้อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบัน และมีการเคลื่อนไหวให้ยกเลิกการใช้มาตรา 112 ซึ่งเป็นข้อขัดแย้งที่ก้าวข้ามรัฐบาลในการเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ลาออก หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปแล้ว 

นายเทพไท กล่าวอีกว่า “จึงขอให้รัฐบาลได้รีบตัดไฟแต่ต้นลม ตัดตอนความขัดแย้งไม่ให้ลุกลามไปถึงสถาบันเบื้องสูง และต้องไม่ให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแอบอ้างดึงสถาบันเบื้องสูง มาเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อประโยชน์ของฝ่ายตัวเอง และห้ามไม่ให้มีการจาบจ้วง ก้าวล่วงถึงสถาบันเบื้องสูงอีกด้วย  ถ้าหากรัฐบาลไม่รีบตัดตอนหรือแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง จำกัดให้เป็นแค่คู่ขัดแย้งกับรัฐบาล ก็จะทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่ประชาชน อาจจะพัฒนาไปสู่การเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นได้ แล้วใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ”
 

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (28 ธันวาคม พ.ศ.2563)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 144 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 6,285 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 60 ราย รักษาหายเพิ่ม 19 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 4,180 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 2,045 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 144 ราย เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ และเข้าพักสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จาก สวิตเซอร์แลนด์ 1 ราย ,เนเธอร์แลนด์ 1 ราย ,เนปาล 1 ราย ,สหรัฐอเมริกา 2 ราย ,อินเดีย 1 ราย ,เยอรมนี 1 ราย ,ญี่ปุ่น 3 ราย ,สหราชอาณาจักร 3 ราย ,เดนมาร์ก 1 ราย ,ตุรกี 1 ราย

ผู้ติดเชื้อในประเทศ (มีประวัติเชื่อมโยงกับ Cluster จ.สมุทรสาคร และ จ.ระยอง) จำนวน 115 ราย

ผู้ติดเชื้อในแรงงานต่างด้าว (คัดกรองเชิงรุกในชุมชน) 14 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 152 ราย รักษาหายแล้ว 149 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 364 ราย รักษาหายแล้ว 360 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 7.13 แสน ราย รักษาหายแล้ว 5.84 แสน เสียชีวิต 21,237 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 37 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.05 แสน ราย รักษาหายแล้ว 84,411 ราย เสียชีวิต 452 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.22 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.03 แสน ราย เสียชีวิต 2,601 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.7 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.39 แสน ราย เสียชีวิต 9,109 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,524 ราย รักษาหายแล้ว 58,370 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1,441 ราย รักษาหายแล้ว1,303 ราย เสียชีวิต 35 ราย

ประธานก้าวหน้า พร้อมบวก หลังถูกแจ้งความการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี คดีอาญา มาตรา 112 และผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ กรณีวัคซีน ชี้ต่อให้ดิสเครดิตหรือเอาคดีความมาก่อกวนมากแค่ไหน ก็ยิ่งทำให้ข้อสงสัยที่ผมตั้งไว้เด่นชัดมากยิ่งขึ้น

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงกรณีถูกแจ้งความการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี คดีอาญา มาตรา 112 และผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ กรณีวัคซีนว่า…

ทำไมรัฐต้องรับหน้าแทนบริษัทเอกชนมากขนาดนี้ ยอมรับแล้วหรือไม่ว่า เราให้สิทธิพิเศษแก่บริษัทเอกชนนี้จริงๆ ถ้าอยากจบเรื่องนี้ก็ต้องชี้แจงด้วยเอกสาร-หลักฐานให้กระจ่าง โดยผมขอให้เปิดเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง เช่น...

1.สัญญาจ้างผลิตระหว่าง AstraZeneca กับ Siam Bioscince ว่าตกลงแล้วจะรับผลิตกี่โดส ราคาต้นทุนการผลิตของบริษัทเท่าไหร่ ราคาขายให้ AstraZeneca เท่าไหร่ มีรายละเอียดในสัญญาอย่างไรบ้าง

2. สัญญารับงบประมาณระหว่างสถาบันวัคซีนแห่งชาติกับ Siam Bioscience ว่ามีรายละเอียดเงื่อนไขอย่างไร มีมูลค่าเท่าไหร่กันแน่ และเอาไปใช้ทำอะไร ตรงตามที่เคยแถลงไว้หรือไม่

3. บันทึกการประชุมของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติและเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการวางเงื่อนไข คุณสมบัติ และรายละเอียดของเอกชนที่จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐในการผลิตวัคซีน เพื่อให้ประชาชนแน่ใจว่าการเลือกสนับสนุน Siam Bioscience เป็นไปอย่างโปร่งใส ถูกต้องตามหลักการ ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน

“ยิ่งเปิดเผยมากยิ่งโปร่งใส” นายธนาธร ระบุ

นอกจากนี้ นายธนาธร ยังได้ทิ้งท้ายอีกว่า “ผมเห็นด้วยทุกประการที่รัฐหรือเอกชนไทยจะได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อผลิตวัคซีน แต่ผมตั้งคำถามถึงกระบวนการคัดเลือกเอกชน การใช้ประเด็นเรื่องวัคซีนมาสร้างความนิยมทางการเมือง และวิธีการบริหารจัดการที่ไม่มีการกระจายความเสี่ยง ทำให้ประชาชนได้รับวัคซีนช้าและครอบคลุมประชากรน้อยกว่าประเทศอื่น ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า หากยึดตามไทม์ไลน์ของรัฐบาล กว่าเราจะกลับทำมาหากินได้ตามปกติไม่ต้องเปิดๆ ปิดๆ แบบนี้ ก็อย่างน้อยปี 2565 ซึ่งประชาชนรอไม่ไหว”

กลุ่มราษฎรมาตามนัด จัดกิจกรรมตีหม้อต้านเผด็จการ ขณะที่ผู้ชุมนุมรายหนึ่งพ่นสีบนรั้วสกายวอล์ค จนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าควบคุมตัว

บรรยากาศบริเวณสกายวอล์ค แยกปทุมวัน ได้มีกลุ่มมวลชนทยอยมารวมตัวกัน หลัง น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง แกนนำกลุ่มธรรมศาสตร์ และการชุมนุม แนวร่วมราษฎร ได้ประกาศนัดชุมนุมในเวลา 15.00 น. เป็นต้นไป

ทั้งนี้ได้มีผู้ชุมนุมหญิงรายหนึ่งได้ พ่นสีสเปรย์บริเวณรั้วบนสกายวอล์ค ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูแลความสงบในพื้นที่ ได้เข้าควบคุมตัวผู้ชุมนุมรายนี้

ด้าน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. กล่าวว่า การจัดกิจกรรมขอให้อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย โดยเจ้าหน้าที่กับผู้ชุมนุมจะมีการเจรจากันอยู่แล้ว ถ้าขัดกฎหมายก็ต้องดำเนินคดีเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ฝากประชาชนที่จะมาชุมนุม ขอให้ระลึกถึงความสงบเรียบร้อย

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จัดกำลัง 5 กองร้อยเพื่อดูแลการชุมนุมในครั้งนี้


ที่มา: https://www.posttoday.com/politic/news/645040

'ไฟเซอร์' ออกตัว หลัง 'ทักษิณ' แฉวัคซีนบางส่วนเข้าไทยแล้ว แต่ไม่มากพอฉีดสลิ่ม ย้ำ!! ในภาวะการระบาดต้องส่งมอบผ่านรัฐบาลลูกเดียว

จากกรณีเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม ที่ นายทักษิณ ชินวัตร หรือ โทนี วู้ดซัม ได้ร่วมพูดคุยในช่อง CARE Clubhouse x CARE Talk : คิดเคลื่อนไทย พลิกฟื้นวิกฤติโควิด กับ Tony Woodsome โดยพูดถึงการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการบริหารจัดการพื้นที่คลองเตย รวมถึงเรื่องวัคซีนที่ล่าช้านั้น มีช่วงหนึ่งที่พูดว่า...

“วันนี้ไฟเซอร์ หากเข้าไปดูเว็บไซต์ ประเทศไทยมีเอาเข้ามาแล้ว ไม่รู้เท่าไหร่ แต่ว่า เอาเข้าแล้ว ไม่มาก คงใช้กันไม่มีคน / บรรดากองเชียร์หรือสลิ่มทั้งหลาย ก็อยากได้ไฟเซอร์แหละ แต่มันไม่มีให้"

ล่าสุดฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ออกแถลงการณ์ ระบุว่า ตามที่ได้มีข้อความปรากฎเกี่ยวกับวัคซีนโควิด - 19 ของไฟเซอร์-ไบโอเอนเทค ในประเทศไทยจากหลายแหล่งข่าว และสื่อออนไลน์หลายแห่ง บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ขอเรียนชี้แจงเกี่ยวกับข้อเท็จจริง และการดำเนินงานรวมถึง จุดยืนบริษัทฯ ดังนี้...

1.) ไฟเซอร์มุ่งมั่น และยืนหยัดที่จะให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในประเทศต่างๆ เพื่อให้คนทั่วโลกรวมถึงประชาชนชาวไทยได้สามารถเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ของเราได้อย่างเท่าเทียมกัน

2.) ภาวะของการระบาดในขณะนี้ ไฟเซอร์จำเป็นต้องมุ่งจัดลำดับความสำคัญ โดยมุ่งเน้นการส่งมอบวัคซีนผ่านหน่วยงานรัฐบาลแห่งชาติเท่านั้น ซึ่งขณะนี้ ไฟเซอร์อยู่ระหว่างการทำงาน และหารืออย่างต่อเนื่องกับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อเตรียมการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชนชาวไทย

และ 3.) เราขอรับรองว่าไฟเซอร์-ไบโอเอนเทค ไม่มีนโยบายจัดจำหน่ายวัคซีนโควิด-19 ผ่านตัวแทนหรือตัวกลางใด ๆ

ทั้งนี้ จนถึงปัจจุบันไม่เคยมีการนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ผ่านสำนักงานในประเทศไทยแต่อย่างใดทั้งสิ้น


ที่มา: https://www.nationtv.tv/main/content/378822851

https://www.matichon.co.th/politics/news_2706774

'อุตตม' เตรียมจัดทำนโยบาย 'คาร์บอนเครดิต' รุกสร้างเศรษฐกิจใหม่-รองรับการแข่งขันภาคเอกชนบนเวทีโลก

'สร้างอนาคตไทย' เปิดบ้านแลกเปลี่ยนความรู้บริหารจัดการคาร์บอน ชี้ กระแสโลกร้อน เปลี่ยนกติกาขีดการแข่งขันภาคเศรษฐกิจ ต้องวางนโยบาย-กฎหมายให้สอดรับ เพื่อแก้ปัญหาเชิงรุก-เสริมศักยภาพการแข่งขันภาคธุรกิจไทยทั้งใน-ต่างประเทศ

พรรคสร้างอนาคตไทย จัดสัมมนา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่อง อนาคตตลาดคาร์บอน (Carbon Market) แนวทาง และวิธีการดำเนินการจัดการคาร์บอน โดยได้รับเกียรติจากนายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ร่วมบรรยาย ซึ่งมีผู้เข้าร่วมฟังการบรรยายและร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประกอบด้วย ผู้บริหารพรรค อาทิ นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค นายวิเชียร ชวลิต ผู้อำนวยการพรรค นายนริศ เชยกลิ่น โฆษกพรรค น.ส.โชนรังสี เฉลิมชัยกิจ รองโฆษก นายธันวา ไกรฤกษ์ รองโฆษกพรรค รวมถึงภาคเอกชน และหน่วยงานระหว่างประเทศ

นายอุตตม กล่าวว่า การบริหารจัดการคาร์บอนเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ที่ทั่วโลกต้องให้ความสนใจ ซึ่งประเทศไทยได้ตอบรับเงื่อนไขหลายๆ อย่างมาจากเวทีโลก โดยการพัฒนาประเทศหลังจากนี้ ในส่วนของนโยบายเศรษฐกิจไม่สามารถละเลยเรื่องดังกล่าวได้ เนื่องจากมีผลกระทบต่อทุกภาคส่วน ดังนั้น ประเทศไทยจะต้องมีนโยบายสาธารณะที่ทันสมัย และมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เพื่อเปลี่ยนปัญหาเหล่านี้ให้เป็นโอกาสแก่ภาคประชาชน ภาคอุตสาหกรรม และภาคธุรกิจอื่นๆ โดยเฉพาะ SMEs ให้สามารถปรับตัวได้และมีความสามารถในการแข็งขันที่สูงขึ้น 

ทั้งนี้ ปัญหาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นเรื่องใหญ่ของประเทศ องค์การระหว่างประเทศต่างๆ ได้เรียกร้องให้นานาประเทศมีมาตรการในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในกิจกรรมทั้งบนบก ทางทะเล และทางอากาศ หลายประเทศที่เป็นคู่ค้า และแหล่งทุนสำคัญของประเทศไทยก็ได้เริ่มกำหนดมาตรการเพื่อกีดกันสินค้า และการลงทุน ทั้งในภาคอุตสาหกรรม กสิกรรม การเงิน การธนาคาร และการท่องเที่ยว 

นายอุตตม กล่าวต่อว่า การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ต้องครอบคลุมทุกภาคเศรษฐกิจ ดังนั้นการจัดทำกฎหมายสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงจะต้องเป็นนโยบายที่เร่งด่วน และต้องเป็นกฎหมายที่ทันสมัย สามารถใช้บังคับได้ในทุกภาคเศรษฐกิจของไทย ไม่ใช่เป็นแบบไซโล ต่างคนต่างทำอีกต่อไป ต้องมองในเชิงนโยบาย และการบริหารจัดการ ต้องมีโต้โผดำเนินการอย่างจริงจัง เพราะหากไม่มี เมื่อเอกชนจะขยับทีก็ต้องถอยครึ่งก้าว ถอยสองก้าว เพราะรัฐไม่ชัดเจน ตนมองว่าคณะกรรมการที่ขึ้นกับสำนักนายกรัฐมนตรีอำนาจไม่พอ หากเปรียบเทียบเหมือนตอนทำอีอีซี จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าพวกตนไม่ไปขอนายกฯ เสนอ แต่งตั้ง และออกกฎหมาย ถ้าทำอย่างนี้จึงจะมีการยอมรับ

ดังนั้น ต้องมีตัวกลาง ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานลักษณะไหนก็ตาม แต่ที่สำคัญคือ...

1. ต้องวิเคราะห์ให้ชัดเจนว่าผลกระทบต่อประเทศไทยในอนาคตเป็นอย่างไร ประเทศต้องการการปรับเปลี่ยน พรรคสร้างอนาคตไทยพูดเสมอว่าเราอาสามาทำงานเพื่อขับเคลื่อนการปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจของประเทศ นี่คือหนึ่งในนโยบายห้าสร้างของพรรค คือ สร้างเศรษฐกิจใหม่โครงสร้างพื้นฐานแห่งอนาคต ดังนั้นเรื่องนี้จะอยู่ในนโยบายของพรรคด้วย แต่จะทำอย่างไรให้เกิด หน่วยงานต้องดูให้ลึกว่าผลกระทบเป็นอย่างไร ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ แต่ต้องเป็นดูระยะยาว ส่วนที่ท้าทาย คือจะวางยุทธศาสตร์อย่างไรให้ขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม และภายในระยะเวลาเท่าไหร่  

2. ต้องให้เอกชนเข้าร่วมตั้งแต่ต้น แค่เพียงรัฐบาลไม่พอ รัฐมีหน้าที่สนับสนุนให้เอกชนเดินอย่างมีแต้มต่อ เพราะสุดท้ายต้องเกิดการแข่งขันในเวทีโลกอย่างแน่นอน เป็นกลไกตลาดที่ต้องค้าขาย เราต้องฉลาดที่จะค้าขาย รัฐต้องมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนว่าจะเดินอย่างไร เดินกับใคร 

3. ที่สำคัญ คือเรื่องการสื่อสาร วันนี้จะทำอย่างไรให้คนไทยเข้าใจ ว่าเรื่องดังกล่าวกระทบต่อเขาอย่างไร

“เรื่องการบริหารจัดการคาร์บอน จะเป็นความท้าทายของรัฐบาลหน้าว่าเรื่องนี้จะทำอย่างไร เพื่อให้เกิดประโยชน์กับภาคเศรษฐกิจทั้งการสร้างเศรษฐกิจใหม่ และการแก้ปัญหาเชิงรุกให้กับขีดความสามารถทางการแข่งขันของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งเรื่องนี้เป็นหนึ่งในนโยบาย 5 สร้างของพรรค ที่พร้อมจะเดินหน้าขับเคลื่อน โดยพรรคให้ความสำคัญครอบคลุมทั้งในเรื่องกฎหมายและระบบโครงสร้างพื้นฐานที่จะรองรับเรื่องนี้ ขอย้ำว่าพรรคจะใส่เรื่องนี้ไว้ในนโยบายพรรคอย่างจริงจัง” นายอุตตม กล่าว

‘เด็กเพื่อไทย’ ยำ 'บิ๊กตู่' ทำหน้าทะเล้น ประหนึ่งว่าภูมิใจกับการรัฐประหาร

รองโฆษกเพื่อไทยซัดประยุทธ์ภูมิใจที่ทำรัฐประหาร ไม่รู้จักละอาย ไม่แปลกใจทำไมชอบโยงนายเหนือ ทั้งที่เทียบกันไม่ติด แนะเลิกใช้วาทกรรม ควรอยู่ให้คนรักจากไปให้คนคิดถึงดีกว่า

(21 ก.ค. 65) น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ตอบกลางสภาผู้แทนราษฎรว่าไม่ได้เป็นคนปฏิวัติ และระบุว่าคนที่เกี่ยวข้องเรื่องนี้คือนายกรัฐมนตรีคนเดียว ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหมก็ยกมือรับในสภา ซ้ำยังทำหน้าทะเล้น ลอยหน้าลอยตา ประหนึ่งว่าภูมิใจกับการรัฐประหารยึดอำนาจมาจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ว่าบ่งบอกถึงความไร้ยางอายและไร้วุฒิภาวะ เพราะการรัฐประหารเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ทั่วโลกไม่ยอมรับ เป็นเรื่องที่น่าอับอายมากของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นนายกฯ

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 20 ก.ค. ที่คนในสภาออกมายอมรับว่าเป็นผู้ทำการรัฐประหารและทำการยึดอำนาจแต่เพียงผู้เดียว เป็นสิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในความทรงจำที่เลวร้ายของประชาชน และเช่นเดียวกับผู้ที่สนับสนุนและออกหน้าแทน พล.องประยุทธ์ คือผู้ที่เห็นดีเห็นงามต่อผู้ที่ทำการยึดอำนาจการปกครองประเทศนี้”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top