Tuesday, 3 December 2024
OR

คนใช้รถเฮ!! ‘ปตท.-บางจาก’ ปรับลดราคา ‘เบนซิน-แก๊สโซฮอล์’ ลงอีก 40 สตางค์/ลิตร

(5 ธ.ค. 66) ปั๊มน้ำมันแจ้งปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ ลด 40 สตางค์ กลุ่มดีเซลคงเดิม 

ด้าน PTT Station ปรับราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ ลดลง 0.40 บาท/ลิตร สำหรับกลุ่มดีเซลคงเดิม มีผล 5 ธ.ค. 2566 เวลา 05.00 น.เป็นต้นไป โดยราคาขายปลีกจะเป็นดังนี้…

- ULG = 43.54 บาท
- GSH95 = 35.65 บาท
- E20 = 33.54 บาท
- GSH91 = 33.88 บาท
- E85 = 33.69 บาท
- พรีเมี่ยม GSH95 = 43.44 บาท
- HSD-B7 = 29.94 บาท
- HSD-B10 = 29.94 บาท
- HSD-B20 = 29.94 บาท
- พรีเมี่ยมดีเซล B7 = 41.54 บาท

***ทั้งนี้ราคาขายปลีกข้างต้นยังไม่รวมภาษีบำรุงกรุงเทพมหานคร***

ด้าน บางจากฯปรับราคาน้ำมันเฉพาะกลุ่มแก๊สโซฮอล์ลดลง 0.40 บาท/ลิตร สำหรับกลุ่มดีเซลคงเดิม…

- GSH95S EVO 36.05 บาท
- GSH91S EVO 34.28 บาท
- GSH E20S EVO 33.94 บาท
- GSH E85S EVO 34.09 บาท
- Hi Premium 97 (GSH95++) 47.74 บาท
- Hi Diesel B20S 29.94 บาท
- Hi Diesel S 29.94 บาท
- Hi Diesel S B7 29.94 บาท
- Hi Premium Diesel S B7 43.64 บาท

(ราคาดังกล่าวยังไม่รวมภาษีบำรุงท้องที่ กทม.)

‘OR’ เตรียมตั้ง ‘PTT Station’ แบบไร้หัวจ่ายน้ำมัน มีแต่ที่ชาร์จ EV 100% ตั้งเป้า 600 แห่ง ปี 67 และ 7,000 แห่งภายในปี 73 ทั่วประเทศ

เมื่อไม่นานนี้ นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ ‘OR’ เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนเปิดสถานีบริการน้ำมันรูปแบบใหม่ภายใต้คอนเซปต์แห่งอนาคต ด้วยการไม่มีหัวจ่ายน้ำมันให้บริการ จะมีเพียงแต่สถานีชาร์จไฟฟ้า (Charging Stations) และ ร้านค้าในกลุ่มธุรกิจ Non-Oil เพียงอย่างเดียว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการศึกษาและวางแผนก่อสร้างคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2567

สำหรับ ปัจจุบันแผนการขยายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (Charging Stations) ในปี 2567 จะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 500-600 แห่ง ทั่วประเทศ โดยในส่วนของ OR มุ่งเน้นการขยายสถานีชาร์จใน พีทีที สเตชั่น เป็นหลัก และในปี 2573 จะมีจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 7,000 หัวชาร์จ ตามแผนที่วางไว้ 

ทั้งนี้บริษัทได้ใช้เงินลงทุนราว 600 ล้านบาท ในการก่อสร้างสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น แฟลกชิป วิภาวดี 62 (PTT Station Flagship วิภาวดี 62) ซึ่งเป็นต้นแบบสถานีบริการที่จะสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดในการดำเนินธุรกิจของ OR ที่พร้อมสร้างโอกาสให้ผู้คน ชุมชน สิ่งแวดล้อม เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน ตามแนวคิด SDG ในแบบของ OR ในทุกมิติ 

นายดิษทัต กล่าวว่า พีทีที สเตชั่น แฟลกชิป วิภาวดี 62 มีพื้นที่กว่า 5,000 ตารางเมตร และเป็นสถานีบริการที่เป็นต้นแบบ หรือ ‘แฟลกชิป’ (Flagship) ที่สมบูรณ์แบบที่สุดของ OR โดยมีสัดส่วนของ ธุรกิจ Non-Oil สูงได้ 80% ของสถานี และอีก 20% เป็นธุจกิจ Mobility และยังถือเป็นสถานีบริการต้นแบบสำหรับการออกแบบสู่การขยาย พีทีที สเตชั่น ในอนาคตอีกด้วย

บริษัทยังมีแผนการขยายธุรกิจสู่กลุ่ม Health&Beauty ซึ่งมีแผนที่จะขยายธุรกิจเข้าสู่สินค้าเครื่องสำอางค์และความงาม โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรทางธุรกิจสัญชาติเกาหลี โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 1/2567 รวมถึง ธุรกิจโรงแรม ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วง 5-6 เดือนจากนี้

OR เล็งปั้น ‘อุทยานอเมซอนลำปาง’ เป็นแลนด์มาร์กใหม่ หนุนงาน สร้างรายได้ สยายปีกสู่แหล่งท่องเที่ยวสีเขียว

OR จัดงาน OR Sustainability: SDG In Action ตอกย้ำความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนตามกรอบแนวคิด ESG ผ่านวิถีการดำเนินงานด้วย SDG ในแบบฉบับของ OR จนเป็นองค์กรต้นแบบในการบริหารจัดการธุรกิจอย่างยั่งยืน จากการจัดอันดับทั้งในระดับสากลและระดับประเทศในปี 2566 พร้อมเผยเรื่องราวความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจตามแนวทาง ESG ผ่านการลงมือทำ

(17 ม.ค. 67) นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR กล่าวว่า OR มีวิสัยทัศน์และแนวคิดในการสร้างความยั่งยืน โดยมีการนำประเด็นความยั่งยืนตามแนวทาง SDG ในแบบฉบับของ OR คือ S-Small โอกาสเพื่อคนตัวเล็ก D-Diversified โอกาสเพื่อการเติบโตทุกรูปแบบ และ G-Green โอกาสเพื่อสังคมสะอาด มาผสมผสานกับกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน

พร้อมทั้งนำเป้าหมาย OR 2030 Goals มาติดตามและทบทวนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การดำเนินงานด้านความยั่งยืนถูกผนวกเข้าไปกับการดำเนินธุรกิจอย่างแท้จริง ซึ่ง OR ได้นำไปสู่การลงมือปฏิบัติจริง แบบ In Action ตั้งแต่กลยุทธ์ แผนปฏิบัติการและเป้าหมายธุรกิจจนเกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม อาทิ สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น วิภาวดี 62, โครงการไทยเด็ด และการพัฒนาการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน เป็นต้น

นายดิษทัต กล่าวว่า สิ่งที่ทำมาตลอดคือ การคำนึงถึงชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยดูแลคนตัวเล็กไปสู่ธุรกิจใหม่และอยู่ในระบบนิเวศด้านสิ่งแวดล้อม ยกตัวอย่าง คาเฟ่ อเมซอน ที่มี Value Chain ส่งผลให้ปัจจุบันมีสาขามากกว่า 4,000 สาขา พร้อมมีโรงคั่วกาแฟ และมีการนำหุ่นยนต์มาใช้ในการขนส่ง และช่วยคำนวณสต็อก ฯลฯ

นอกจากนี้ ในส่วนของเมล็ดกาแฟ ทาง OR ก็จะนำร่องจังหวัดลำปาง ด้วยการปลูกกาแฟสายพันธุ์ต่าง ๆ อย่างจริงจังบนพื้นที่ของ OR เองราว 600 ไร่ พร้อมทั้งพัฒนาไปสู่เมืองท่องเที่ยว ซึ่งจะช่วยเหลือเกษตรกร สร้างงาน ยกระดับคุณภาพชีวิต กระจายรายได้ ดูแลสิ่งแวดล้อม ได้อย่างมาก

“เราอยากสร้างอุทยานอเมซอนลำปาง ให้เป็นแหล่งการเรียนรู้เพาะพันธุ์กาแฟ เพราะคนไทยชอบดื่มกาแฟ ซึ่งยังไม่มีองค์กรใดทำอย่างจริงจัง จึงหวังว่าอีก 5 ปี เมื่อเราสามารถเพาะพันธุ์ต้นกล้ากาแฟและพัฒนาให้แข็งแรงและสมบูรณ์ จนส่งมอบให้กับเกษตรกรให้เกิดความยั่งยืน พร้อมรับซื้อกาแฟด้วยราคาที่เป็นธรรมได้แล้ว ก็หวังว่า 3-5 ปีนี้ เราจะเห็นความสวยงามบนพื้นที่สีเขียว เกิดแหล่งเยี่ยมชมของประชาชน สร้างรายได้ให้จังหวัดลำปางต่อไป”

นายดิษทัต กล่าวอีกว่า สำหรับงบประมาณในการสร้างอุทยานดังกล่าว ยังไม่สามารถบอกได้ แต่คาดว่าอีก2-3 เดือน จะขออนุมัติงบการลงทุนจากคณะกรรมการบริการฯ โดยความคืบหน้าขณะนี้ได้เตรียมหน้าดิน เรือนเพาะชำไว้รองรับแล้ว จึงหวังว่ากาแฟที่ OR จะทำการวิจัยพัฒนาและเพาะพันธุ์จะมีความเข้มแข็งมีคุณภาพและรสชาติดีที่สุด

สำหรับงบลงทุนด้านความยั่งยืนนั้น คาดว่าจะมีความกว้างในแง่ของหน้างานอย่างมาก เพราะจะแฝงเผื่อเพื่อสอดรับไปในทุกๆ กลุ่มธุรกิจ อาทิ การทำหลังคาโซลาร์รูฟท็อป, ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System: ESS) รวมถึงอุปกรณ์สนับสนุนที่ก่อให้เกิดพลังงานสะอาด เป็นต้น ซึ่งตรงนี้ OR จะไม่มองเป็นต้นทุน และไม่ได้มองการดำเนินงานในส่วนนี้เป็นเรื่องของผลกำไรเพียงอย่างเดียว แต่หวังให้อีก 15-20 ปี ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจนของการเปลี่ยนผ่านพลังงานฟอสซิลเพื่อตอบโจทย์พอร์ตพลังงานสะอาดเพิ่มเข้ามา

“เราเอาธุรกิจยั่งยืนเข้ามา สิ่งที่ทำจะลดต้นทุนทางการเงิน ตอบโจทย์คาร์บอนเครดิตอนาคต โดยทำเป็นระบบที่ถูกต้อง เช่น การปลูกกาแฟโดยมีต้นไม้บังแสงแดดจะเคลมคาร์บอนเครดิตในตลาดสากลได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนสร้างแลนด์มาร์กแห่งใหม่นี้ในลำปาง” นายดิษทัต กล่าวเสริม

สำหรับดีมานด์ของคาเฟ่อเมซอนตกอยู่ที่เฉลี่ยปีละ 6,000 ตันต่อปี ในขณะที่ความต้องการกาแฟของทั้งประเทศอยู่ที่ 80,000 ตันต่อปี และการที่ OR เข้ามาจริงจังกับเรื่องนี้ เพราะที่ผ่านมาเรื่องของเพาะพันธุ์กาแฟดูจะยังไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจัง ดังนั้น OR จะเข้ามาช่วยเพิ่มดีมานด์ในส่วนนี้ ขณะเดียวกันก็เพื่อสะท้อนให้ประชาชนรักและรับรู้ว่า OR ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐได้ให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง

‘OR’ นำร่องใช้รถไฟฟ้าขนาดใหญ่ขนส่งเมล็ดกาแฟดิบ ระยะทางไกล ‘เชียงใหม่-อยุธยา’ รายแรกของไทย

(21 มี.ค. 67) นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) พร้อมด้วย ดร.อารยา คงสุนทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (WICE) และ นายชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจกลุ่มบริษัท WICE ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) โครงการทดลองการขนส่งเมล็ดกาแฟดิบ โดยยานยนต์ไฟฟ้าที่เป็นรถบรรทุกขนาดใหญ่ (EV Truck) หรือ Green Logistics for Café Amazon Project ระหว่าง บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) โดยมี นายสุชาติ ระมาศ ผู้อำนวยการใหญ่ OR และ นายธเนศ เมฆินทรางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจ WICE ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ห้องพลังไทย 2 ชั้น M อาคาร 2 อาคาร ปตท. สำนักงานใหญ่

นายดิษทัต เปิดเผยว่า ความร่วมมือกับ WICE ในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการร่วมกันศึกษาและสร้างต้นแบบ (Prototype) ‘กรีน โลจิสติกส์’ (Green Logistics) สำหรับทดลองระบบการขนส่งสินค้าระยะไกลด้วย EV Truck เป็นเจ้าแรกของประเทศไทย เพื่อทดสอบความเป็นไปได้ทางเทคโนโลยี และความเป็นไปได้ในทางธุรกิจ ซึ่งจะช่วยพัฒนาศักยภาพทางด้านเทคโนโลยีให้แก่ OR ต่อไป 

โดย OR และ WICE จะร่วมกันออกแบบ EV Truck พร้อมทดลองการขนส่ง โดยกำหนดเส้นทางการขนส่ง ‘กรีน คอฟฟี่ บีน รูท’ (Green Coffee Bean Route) เพื่อขนส่งเมล็ดกาแฟดิบจากต้นทางที่โกดังเก็บเมล็ดกาแฟของ OR อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ มายังปลายทางที่โกดังเก็บเมล็ดกาแฟที่ศูนย์ธุรกิจไลฟ์สไตล์คาเฟ่อเมซอน (OASYS) อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยใช้เครือข่ายสถานีชาร์จ EV Station PluZ ของ OR ในเส้นทาง ‘Green Coffee Bean Route’ เป็นจุดพักเพื่อชาร์จไฟของรถขนส่ง เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำในการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในกิจกรรมการขนส่งสินค้า ตลอดจนช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างต้นแบบของการนำห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจสู่ความเป็น Green ทั้งระบบนิเวศของ OR และการพัฒนา Ecosystem ของกาแฟตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาเมล็ดกาแฟแบบยั่งยืน โดยก่อนหน้านี้ OR ได้เปิดจุดรับซื้อและโรงแปรรูปกาแฟคาเฟ่ อเมซอน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นจุดรับซื้อเมล็ดกาแฟกะลาอะราบิกาจากเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟในพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อรับซื้อเมล็ดกาแฟจากเกษตรกรโดยตรงในราคาที่เป็นธรรม รวมถึงได้เปิดแผนการดำเนินโครงการอุทยาน คาเฟ่ อเมซอน (Café Amazon Park) ที่จังหวัดลำปาง เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจต้นน้ำของคาเฟ่อเมซอน และเป็นการสร้างแลนด์มาร์กแห่งใหม่ ณ จังหวัดลำปาง เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน

ดร.อารยา กล่าวว่า สำหรับความร่วมมือ กับ OR ในครั้งนี้ จะส่งเสริมแนวทางการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG ให้สอดคล้องกับนโยบายและวิสัยทัศน์ของ WICE พร้อมทั้งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจของบริษัท ที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ไปพร้อมกับการดูแลด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมร่วมกัน (Green Logistics) และช่วยสนับสนุนกลยุทธ์ด้าน ESG ของ OR ในการผลักดันการใช้รถไฟฟ้าในการเดินทางและขนส่งให้เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในประเทศ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานอย่างไร้รอยต่อ และมุ่งเน้นให้การใช้ยานยนต์เชื้อเพลิงไฟฟ้า (EV) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของทุกภาคส่วน ซึ่งการให้บริการด้านยานยนต์เชื้อเพลิงไฟฟ้า (EV) เป็นหนึ่งโครงการที่ WICE ได้ริเริ่มและผลักดันมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือกับพันธมิตรและคู่ค้า เพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนและพัฒนาระบบขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ ไปสู่ระบบยานยนต์เชื้อเพลิงไฟฟ้า (EV) อย่างแท้จริง

“ความร่วมมือในครั้งนี้ ยังสอดคล้องกับแนวทางการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่าน OR SDG โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน ‘G’ หรือ ‘GREEN’ หรือการสร้างโอกาสเพื่อสังคมสะอาด โดยมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่คุณค่าของ OR รวมทั้งเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ (Healthy Environment) และบรรลุเป้าหมายของ OR 2030 Goals หรือเป้าหมายขององค์กรในการสร้างโอกาสเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนร่วมกับสังคมชุมชน สิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับผลดำเนินการงานที่ดี” นายดิษทัต กล่าวเสริมในตอนท้าย

‘OR’ จัดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นปี 2567  ยึดถือแนวทาง ‘Carbon Neutral Event’

(10 เม.ย. 67) นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR พร้อมด้วยคณะกรรมการบริษัท และ นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OR จัดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 เพื่อรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทในรอบปีที่ผ่านมา เพื่อให้ผู้ถือหุ้นรับทราบผลการดำเนินงานของบริษัทในรอบปี 2566 การจ่ายเงินปันผล และการอนุมัติเรื่องต่าง ๆ ตามกฎหมาย ในรูปแบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-AGM) 

โดย OR มุ่งมั่นที่จะแสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการจัดการประชุม ผ่านการขอรับรองกิจกรรมชดเชยคาร์บอนตามแนวทาง Carbon Neutral Event ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนในปี 2030 ของ OR (OR 2030 Goals) ที่ครอบคลุมทั้งสังคมชุมชน สิ่งแวดล้อม และผลการดำเนินการที่ดี และได้นำหลักการการจัดประชุมอย่างยั่งยืนตามแนวทางการจัดประชุมสีเขียว หรือ Green Meeting ขององค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน และสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย มาประยุกต์ใช้เพื่อสนับสนุนการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นการงดหรือลดการแจกเอกสาร เพื่อลดการใช้ทรัพยากร การใช้วัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้เพื่อใช้งานบริเวณห้องควบคุมการประชุม รวมถึงจัดให้มีการแยกขยะ เพื่อนำกลับไปรีไซเคิลให้ได้มากที่สุดอีกด้วย

‘OR - GC’ ร่วมขับเคลื่อนโครงการ ‘บอกรักษ์เจ้าพระยา บอกลาขยะแม่น้ำ’ สานพลัง ‘ชุมชนบางน้ำผึ้ง’ แก้ปัญหาขยะในแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างยั่งยืน

OR และ GC รวมกับชุมชนบางน้ำผึ้ง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำร่องโมเดลการจัดการขยะในแม่น้ำเจ้าพระยาแบบยั่งยืน ณ วัดบางน้ำผึ้งนอก จ.สมุทรปราการ โดยร่วมกันเก็บขยะ คัดแยกพลาสติกใช้แล้วออกจากขยะทั่วไป และนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลและอัพไซเคิลภายใต้ ‘GC YOUเทิร์น แพลตฟอร์ม’ สร้างผลิตภัณฑ์ Upcycling เพิ่มมูลค่า พร้อมส่งเสริมองค์ความรู้เกี่ยวกับการคัดแยกขยะ และเป็นต้นแบบขยายผลไปยังพื้นที่อื่น ๆ แก้ปัญหาขยะในแม่น้ำเจ้าพระยา ช่วยลดปริมาณขยะที่จะไหลออกสู่ทะเลอย่างยั่งยืน

(24 พ.ค. 67) นายวิศน สุนทราจารย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านกลยุทธ์องค์กรและความยั่งยืน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR พร้อมด้วย ดร.ชญาน์ จันทวสุ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานความยั่งยืนองค์กร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC และ นางสาวชลาทิพ จันทร์ชมภู ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนบน ร่วมพิธีเปิดโครงการ ‘บอกรักษ์เจ้าพระยา บอกลาขยะแม่น้ำ’ ที่วัดบางน้ำผึ้งนอก จ.สมุทรปราการ ต่อยอดจากความร่วมมือ ภายใต้การลงนามบันทึกแสดงเจตจำนงว่าด้วยการจัดการขยะทะเล โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในบริเวณปากแม่น้ำ ซึ่งริเริ่มโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย GC, OR, เจ้าหน้าที่ และจิตอาสา จะร่วมมือกันจัดการขยะในแม่น้ำเจ้าพระยา 

โดยทั้ง 2 บริษัทได้รับมอบหมายให้ดำเนินกิจกรรมบริหารจัดการขยะทะเลในพื้นที่แม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งมีปริมาณขยะลอยน้ำมากที่สุดตามการศึกษาของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และได้คัดเลือกพื้นที่บริเวณวัดบางน้ำผึ้งนอก ชุมชนบางน้ำผึ้ง จ.สมุทรปราการ เป็นพื้นที่โครงการต้นแบบในการรณรงค์ให้ชุมชนหรือคนในพื้นที่ช่วยกันจัดเก็บขยะที่อยู่ในน้ำเพื่อนำขึ้นไปจัดการอย่างถูกวิธี เนื่องจากเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มักพบปัญหาขยะริมตลิ่งจำนวนมากอันอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยว นอกจากนี้ กิจกรรมในวันนี้ยังถือเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการอนุรักษ์ทะเลและเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมวันสิ่งแวดล้อมโลกที่จะมาถึงในวันที่ 5 มิถุนายน และวันทะเลโลกที่จะมาถึงในวันที่ 8 มิถุนายนนี้อีกด้วย

นายวิศน สุนทราจารย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านกลยุทธ์องค์กรและความยั่งยืน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR  เปิดเผยว่า OR ดำเนินธุรกิจน้ำมันและธุรกิจค้าปลีก โดยตระหนักถึงผลกระทบสิ่งแวดล้อม และให้ความสำคัญกับการจัดการขยะอย่างมาก และได้กำหนดเป้าหมายในการลดปริมาณขยะจากการดำเนินธุรกิจลง 1 ใน 3 ภายในปี ค.ศ. 2030 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ในปี 2050 โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมให้ชุมชนมีความรู้ความเข้าใจในการคัดแยกขยะผ่านโครงการ แยก แลก ยิ้ม สำหรับการจัดการกับปัญหาขยะทะเลนั้น OR ให้ความสำคัญกับการลดปริมาณขยะและจัดการขยะตั้งแต่ก่อนที่จะลงสู่แม่น้ำ ลำคลอง โดยมุ่งเน้นการให้ความรู้แก่ชุมชนริมน้ำ เพื่อลดปริมาณขยะ และส่งเสริมการคัดแยกและจัดการอย่างถูกวิธี ควบคู่ไปกับการจัดเก็บขยะจากลำน้ำ โดยพื้นที่วัดบางน้ำผึ้งนอก ชุมชนบางน้ำผึ้ง นับเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่อยู่ในขอบข่ายการดำเนินงานด้าน CSR ของคลังปิโตรเลียมบางจากของ OR ซึ่งจะสามารถต่อยอดการจัดการขยะอย่างยั่งยืนต่อไปได้อีกด้วย

การจัดโครงการ ‘บอกรักษ์เจ้าพระยา บอกลาขยะแม่น้ำ’ ประกอบด้วยกิจกรรมลงเรือเก็บขยะในแม่น้ำ กิจกรรมเก็บขยะบริเวณริมตลิ่ง กิจกรรมคัดแยกและชั่งน้ำหนักปริมาณขยะ รวมถึงกิจกรรมส่งเสริมความรู้ด้านการคัดแยกขยะ โดยขยะที่ผ่านการคัดแยกแล้ว ส่วนที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ให้จะถูกส่งต่อให้กับ อบต.บางน้ำผึ้งไปบริหารจัดการอย่างถูกต้อง และส่วนที่สามารถรีไซเคิลได้จะถูกนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลที่ได้มาตรฐาน และนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ Upcycling ต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นการส่งเสริมการดำเนินงานตามหลักคิดด้านเศรฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ด้านการจัดการของเสียของ OR (3R Waste Strategy) ได้แก่ Reborn Waste to Value ในการเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บรวบรวมของเสีย และขยายผลนำของเสียเหล่านั้นกลับมาสร้างคุณค่าใหม่อีกครั้ง

ดร.ชญาน์ จันทวสุ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานความยั่งยืนองค์กร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เปิดเผยว่า GC ในฐานะผู้นำธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนด้วยสมดุล ESG มาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายมุ่งสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ในปี 2050 ได้นำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนมาประยุกต์ใช้สนับสนุนการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ริเริ่มและสร้างแนวทางปฏิบัติร่วมกับภาคสังคมเพื่อแก้ไขปัญหาขยะในประเทศไทย ผ่าน ‘GC YOUเทิร์น แพลตฟอร์ม’ โดยความร่วมมือกับ OR ในโครงการ ‘บอกรักษ์เจ้าพระยา บอกลาขยะแม่น้ำ’ ครั้งนี้ เป็นความร่วมมือจัดการขยะในแม่น้ำลำคลอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขยะพลาสติก เพื่อป้องกันไม่ให้ขยะเหล่านี้ไหลลงสู่ทะเล ซึ่งอาจเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ โดยพลาสติกใช้แล้วที่ได้รับการคัดแยกจากกิจกรรมเก็บขยะในครั้งนี้ จะถูกนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลและอัพไซเคิลผ่าน GC YOUเทิร์น เพื่อสร้างคุณค่าและประโยชน์ต่อไป” 

โครงการ ‘บอกรักษ์เจ้าพระยา บอกลาขยะแม่น้า’ จะเป็นโครงการที่มีส่วนช่วยรักษาระบบนิเวศทางทะเล ช่วยผลักดันและส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการรับรู้ด้านการคัดแยกและบริหารจัดการขยะอย่างถูกวิธี รวมถึงเป็นการขยายผลความร่วมมือภาคปฏิบัติของหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน อันจะช่วยสังคมได้เห็นถึงประโยชน์ของการคัดแยกพลาสติกใช้แล้ว ซึ่งหากเราทุกคนแยกและทิ้ง อย่างถูกวิธี พลาสติกจะสามารถกลับ กลับมาสร้างประโยชน์ และยังถือเป็นการช่วยลดเส้นทางขยะพลาสติก รักษาระบบนิเวศทางทะเลร่วมกัน อย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ OR และ GC ยังมีแผนที่จะขยายพื้นที่ดำเนินโครงการไปยังชุมชนข้างเคียงหรือพื้นที่วิกฤตบริเวณอื่น ๆ ของแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อส่งเสริมการให้ความรู้และร่วมพัฒนาองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการขยะร่วมกับชุมชน รวมถึงพัฒนาอุปกรณ์ที่เหมาะสมในการจัดเก็บขยะจากลำน้ำ เพื่อนำไปสู่การบริหารจัดการขยะในทะเลบริเวณปากแม่น้ำอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนต่อไป

ธุรกิจ OR ขึ้นแท่นส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ใน สปป.ลาว เล็งขยายปั๊มเพิ่มเป็น 77 แห่ง-เข็นนอนออยล์รุกเต็มสูบ

(25 ก.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายรชา อุทัยจันทร์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้านธุรกิจต่างประเทศ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยภายหลังนำสื่อมวลชนเยี่ยมชมสถานีบริการน้ำมันใน สปป.ลาว.ว่า กลยุทธ์หลักของ OR ยังคงเน้นการขยายเครือข่ายสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น (PTT Station) และคาเฟ่ อเมซอน (Café Amazon) รวมทั้งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในประเทศที่มีศักยภาพ โดยมี สปป.ลาว เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ OR ให้ความสำคัญ

ทั้งนี้ OR ได้จัดสรรงบลงทุนระยะ 5 ปี (ปี 2567-2571) สำหรับกลุ่มธุรกิจ Global ไว้ที่ 8,007 ล้านบาท หรือคิดเป็น 12% ของงบลงทุนทั้งหมด สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดสากล

นายรชา กล่าวว่า สปป.ลาว เป็นประเทศที่มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ และยังมีโอกาสเติบโตได้อีก OR จึงได้วางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจทั้งกลุ่มธุรกิจ Mobility ได้แก่ การจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น คลังเก็บผลิตภัณฑ์ ธุรกิจหล่อลื่น พีทีที ลูบริแคนทส์ (PTT Lubricants) และศูนย์บริการยานยนต์ ฟิต ออโต้ (FIT Auto) และ ฟิต เอ็กซ์เพรส (FIT Express) รวมถึงการรุกตลาดธุรกิจพลังงานสะอาดด้วยสถานีชาร์จไฟฟ้า อีวี สเตชั่น พลัส (EV station PluZ) และกลุ่มธุรกิจ Lifestyle มีการดำเนินธุรกิจอย่างหลากหลาย ได้แก่ ร้าน Café Amazon ร้านสะดวกซื้อ และร้านอาหารข้าวเปียกปู เป็นต้น

นอกจากนี้ เมื่อต้นปี 2567 OR ยังร่วมกับพันธมิตร ริเริ่มโครงการใช้ระบบวนเกษตรในการพัฒนาไร่กาแฟต้นแบบให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟใน สปป.ลาว (Agroforestry Coffee Plantation) เพื่อเสริมศักยภาพธุรกิจส่งออกเมล็ดกาแฟ (Roasted Coffee and Green Bean Coffee) ให้แก่บริษัทในเครือของ OR ในต่างประเทศ รวมทั้งยังเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ในกลุ่ม OR อีกด้วย

นายพีรเวท ณ ระนอง Managing Director บริษัท พีทีที(ลาว) จำกัด (PTTLAO) กล่าวว่ากลยุทธ์ของ PTTLAO โดยมุ่งเสริมความแข็งแกร่งในตลาด สปป.ลาว พร้อมขยายฐานธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมาธุรกิจของ PTTLAO ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี ทั้งนี้ ยังคงเดินหน้าแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ โดยร่วมมือกับพันธมิตรทั้งจากประเทศไทยและพันธมิตรในพื้นที่ที่มีศักยภาพ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

สำหรับกลุ่มธุรกิจ Mobility PTTLAO มีเครือข่ายคลังเก็บผลิตภัณฑ์ 7 แห่ง รองรับการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยความจุโดยรวมกว่า 7 ล้านลิตร รวมทั้งยังมีสถานีบริการ PTT Station รวม 56 แห่ง ครอบคลุมตลอดเส้นทางการเดินทางในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ นับเป็นสถานีบริการน้ำมันที่ผู้บริโภคของ สปป.ลาว นิยมใช้มากที่สุด โดยตั้งเป้าเพิ่มเป็น 77 ปั๊มในปี 2573 ทั้งนี้ OR มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 อย่างต่อเนื่อง ในปี 2065 -2566 รวมทั้งธุรกิจหล่อลื่น PTT Lubricants และศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto และ FIT Express รวมจำนวน 9 สาขา

ส่วนกลุ่มธุรกิจ Lifestyle มีความโดดเด่นด้วยร้าน Café Amazon เป็นร้านแฟรนไชส์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีจำนวนทั้งสิ้น 92 สาขา และตั้งเป้าขยายสาขาให้ครบ 110 สาขา ภายในปี 2567 นี้ และเพิ่มเป็น 150 สาขา ในปี 2573 โดย OR ได้เปิดร้านคาเฟ่ อเมซอน คอนเซ็ป สโตร์ (Café Amazon Concept Store) สาขาโรงกายะสิน ณ เมืองจันทะบูลี นครหลวงเวียงจันทน์ ซึ่งนับเป็น Café Amazon Concept Store แห่งแรกในต่างประเทศ ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคชาวลาวเป็นอย่างดี และยังมีร้านคาเฟ่ อเมซอน สาขาหลวงพระบาง ณ แหล่งมรดกโลก ที่มีความโดดเด่น ด้วยการผสานแรงบันดาลใจจากเอกลักษณ์วัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นไว้อย่างลงตัว

นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจร้านสะดวกซื้อ และธุรกิจร้านอาหารข้าวเปียกปู ที่ PTTLAO พัฒนาขึ้นเป็นแบรนด์ใหม่ เพื่อรองรับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในสถานีบริการ PTT Station รวมทั้งในวันที่ 7 เดือน ส.ค. 2567 จะร่วมกับร้านสะดวกซื้อ 7-11 เปิดสาขาแรกในปั๊ม OR ที่สาขาสามแยกเซโน แขวงสะหวันนะเขต อีกทั้งยังตอบโจทย์การใช้ชีวิตทุกรูปแบบของผู้บริโภคที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ด้วยการติดตั้งและเปิดให้บริการสถานีชาร์จ EV Station PluZ จำนวน 6 แห่ง ในสถานีบริการ PTT Station เป็นต้น (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2567)

PTTLAO ยังให้ความสำคัญกับการสร้างการเติบโต ใน 3 มิติ อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมาย OR 2030 อีกทั้ง ยังเป็นไปตามกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจตามแนวคิด OR SDG ในทุกมิติ ทั้งในด้าน ‘S’ หรือ ‘SMALL’ เสริมสร้างโอกาสเพื่อคนตัวเล็ก ‘D’ หรือ ‘DIVERSIFIED’ การเปิดโอกาสเพื่อการเติบโตทุกรูปแบบ และ ‘G’ หรือ ‘GREEN’ ที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ (Healthy Environment)

‘OR’ ผนึกกำลัง ‘บาชุนดารา กรุ๊ป’ ขยายธุรกิจ ‘Café Amazon’ ในบังกลาเทศ ตั้งเป้าเปิดสาขาแรกไตรมาส 4 ปีนี้ พร้อมวางแผนต้องมีอย่างน้อย 100 สาขา

(31 ก.ค.67) นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR และนายอาห์เมด อัคบาร์ โซบาน (Ahmed Akbar Sobhan) ประธานกรรมการ บาชุนดารา กรุ๊ป (Chairman of Bashundhara Group) ร่วมลงนามสัญญาการมอบสิทธิ์มาสเตอร์แฟรนไชส์ (Master Franchise) คาเฟ่ อเมซอน ในประเทศบังกลาเทศอย่างเป็นทางการ โดยมี นายพสุศิษฏ์ วงศ์สุรวัฒน์ อัครราชทูต ณ กรุงไคโร ปฏิบัติหน้าที่ราชการ ณ กรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา กระทรวงการต่างประเทศ และ นายโมฮัมหมัด มาซูมูร์ ราฮามาน (Mr. Md. Masumur Rahaman) อัครราชทูตที่ปรึกษา (Counsellor and Head of Chancery) สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ประจำประเทศไทย ร่วมเป็นเกียรติในพิธี ณ ห้องกรุงเทพ 1 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร โดยวางแผนจะเปิดคาเฟ่ อเมซอน สาขาแรกภายในไตรมาส 4 ของปี 2567 และมีเป้าหมายเปิดร้านอย่างน้อย 100 สาขาต่อไป

โดยนายดิษทัต เปิดเผยว่า ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการขยายธุรกิจคาเฟ่ อเมซอน สู่ตลาดบังกลาเทศ ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง ด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็ว ตลาดผู้บริโภคที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และวัฒนธรรมการบริโภคกาแฟที่กำลังเติบโตอย่างมาก นอกจากนี้ ผู้บริโภคชาวบังกลาเทศยังมีความชื่นชอบในสินค้าและแบรนด์จากประเทศไทย เนื่องจากไว้วางใจในคุณภาพและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ รวมถึงมีความเชื่อมั่นในแบรนด์ที่มาจากประเทศไทย และยังเป็นการเสริมสร้างศักยภาพกลุ่มธุรกิจไลฟ์สไตล์ของ OR แข็งแกร่งยิ่งขึ้น สอดคล้องกับหนึ่งในพันธกิจของ OR ที่มุ่งสร้างทางเลือกเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคทุกไลฟ์สไตล์อย่างครบวงจร

ทั้งนี้ การขยายธุรกิจครั้งนี้ OR หวังว่าด้วยความชำนาญในธุรกิจกาแฟของ OR ที่ช่วยส่งเสริมศักยภาพในการเติบโตของคาเฟ่ อเมซอน ผนวกกับความเชี่ยวชาญในการบริหารธุรกิจหลากหลาย ซึ่งครอบคลุมธุรกิจด้านอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มของบาชุนดารา กรุ๊ป จะทำให้ คาเฟ่ อเมซอน ได้รับการต้อนรับจากผู้บริโภคในบังกลาเทศเป็นอย่างดี และสามารถร่วมกันสร้างโอกาสในการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป โดย OR จะเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่ง และจะยังคงพัฒนาธุรกิจคาเฟ่ อเมซอน อย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเสนอเครื่องดื่มและบริการที่ดีที่สุดแก่ผู้บริโภคชาวบังกลาเทศต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของ OR ในการขยายฐานการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตร่วมกันกับสังคม ชุมชน และเศรษฐกิจในพื้นที่ ตลอดจนสร้างความสำเร็จและการยอมรับในตลาดโลก นอกจากนี้ ความร่วมมือดังกล่าวยังเป็นไปตามวิสัยทัศน์ของ OR คือ ‘Empowering All toward Inclusive Growth’ หรือ เติมเต็มโอกาสเพื่อทุกการเติบโตร่วมกัน 

‘OR’ ร่วมพัฒนาพื้นที่บริเวณสำนักงานใหญ่ ‘ไปรษณีย์ไทย’ จัดตั้ง ‘ศูนย์บริการธุรกิจ-สถานีบริการพลังงานทางเลือก-สวนป่ายั่งยืน’

(27 ส.ค. 67) นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR และ ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัดร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) โครงการศูนย์บริการธุรกิจไปรษณีย์ สถานีบริการพลังงานทางเลือก และสวนป่ายั่งยืน ในบริเวณพื้นที่สำนักงานใหญ่ของไปรษณีย์ไทย โดยมีนายสุชาติ ระมาศ ผู้อำนวยการใหญ่ OR และ นายพิษณุ วานิชผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานพัฒนาประสิทธิภาพองค์กร และรักษาการในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจองค์กร บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ร่วมลงนามเป็นสักขีพยาน ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 5 อาคารไปรษณีย์ไทย สำนักงานใหญ่ ถนนแจ้งวัฒนะ

นายดิษทัต กล่าวว่า "ความร่วมมือกับไปรษณีย์ไทยในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญยิ่งในการร่วมกันพัฒนาพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเหมาะสมที่สุด ทั้งในแง่ของภาพลักษณ์ การดำเนินธุรกิจ และประโยชน์ต่อชุมชน โดย OR จะให้การสนับสนุนด้านพลังงานทางเลือก ได้แก่ การให้บริการ EV Charger และการติดตั้ง Solar Cell บนหลังคาเกาะจ่าย อาคารไปรษณีย์ และอาคารร้านค้า ซึ่งที่ผ่านมา OR ได้ให้ความสำคัญในการปรับทิศทางการดำเนินธุรกิจให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผ่านทาง platform ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งเครื่องชาร์จ EV Station PluZ หรือการสร้างสถานีบริการต้นแบบแห่งอนาคต ‘Green Station’ ซึ่งใช้เทคโนโลยีพลังงานสะอาดผ่านการใช้พลังงานจาก Solar Rooftop เป็นต้น"

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยว่าเพื่อตอกย้ำกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจความยั่งยืน ‘ESG + E’ ตามกรอบนโยบายของบริษัทฯ ล่าสุดไปรษณีย์ไทยได้ทำความร่วมมือกับ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เพื่อร่วมกันศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาพื้นที่บริเวณสำนักงานใหญ่ของไปรษณีย์ไทย ในการจัดตั้งโครงการศูนย์บริการธุรกิจไปรษณีย์ สถานีบริการพลังงานทางเลือก และสวนป่ายั่งยืน โดยภายในโครงการจะประกอบด้วยอาคารศูนย์บริการธุรกิจไปรษณีย์ โดยมีสถานีชาร์จรถไฟฟ้า (EV Charger) สถานีบริการน้ำมัน ซึ่งมีความพิเศษที่มีจำนวนแท่นชาร์จมากกว่าสถานีบริการน้ำมันอื่น ๆ อีกทั้งยังมีสถานีสลับแบตเตอรี่ (Swap Battery)ร้านกาแฟร้านจำหน่ายสินค้า และสวนสุขภาพ ทั้งนี้ อาคารภายในโครงการอาจมีการพิจารณานำระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) มาใช้เพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบการใช้งานร่วมกันระหว่าง ไปรษณีย์ไทย กับ OR มีความเป็นไปได้ในทางธุรกิจ และประโยชน์ต่อชุมชน

“ไปรษณีย์ไทยตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์สื่อสารและขนส่งหลักของชาติที่จะเป็นไลฟ์สไตล์แบรนด์ที่เข้าใจคนรุ่นใหม่ เข้าถึงทุกเจนเนอเรชัน ทุกช่วงชีวิต โดยปัจจุบันได้พัฒนาหลากโซลูชันให้ทันกับบริบทการเปลี่ยนแปลง เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมและดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ การจับมือกับ OR ในการจัดตั้งโครงการศูนย์บริการธุรกิจไปรษณีย์ สถานีบริการพลังงานทางเลือก และสวนป่ายั่งยืน เพื่อเป็นสถานที่สำหรับให้คนมานัดพบปะ นัดเพื่อน ใช้บริการสะดวก คล่องตัว สิ่งสำคัญคือการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้พลังงานทั้งในส่วนของระบบการขนส่ง รวมถึงสำนักงานที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้มีการนำยานยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในระบบงานไปรษณีย์ในระยะแรกจำนวน 250 คัน ในพื้นที่นครหลวงและภูมิภาค และมีแผนที่จะติดตั้งระบบการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (SOLAR PV ROOFTOP) ที่อาคารไปรษณีย์ไทยสำนักงานใหญ่ สำนักงานไปรษณีย์นครหลวง สำนักงานไปรษณีย์เขตศูนย์ไปรษณีย์ ให้ได้ 60% ภายในปี 2573 และครบทั้งหมด 100% ภายในปี 2583”

โครงการนี้ จึงไม่เพียงแต่จะเป็นการใช้ประโยชน์จากพื้นที่อย่างคุ้มค่า แต่ยังเป็นการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งจะส่งผลดีต่อชุมชนและสังคมโดยรวม และยังเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจให้กับทั้งสององค์กร โดยการผสานจุดแข็งของแต่ละฝ่ายเข้าด้วยกัน อีกทั้ง ยังสอดคล้องกับแนวทาง OR SDG โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน ‘GREEN’ ที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ครอบคลุมตลอดทั้งการดำเนินธุรกิจ และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ (Healthy Environment) ซึ่งตอบโจทย์เป้าหมาย OR 2030 อย่างมีประสิทธิภาพ

‘GC-OR’ ลงนามความร่วมมือด้านเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (SAF) ผสานองค์ความรู้ระหว่างกัน มุ่งเป้าปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

(30 ก.ย. 67) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ลงนามบันทึกข้อตกลงในความร่วมมือกับบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เพื่อศึกษาโอกาสทางการตลาดและกลยุทธ์การขายน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF) เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงพร้อมสนับสนุนอุตสาหกรรมการบินที่ยั่งยืนของประเทศไทย

GC มุ่งสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ ด้วยการกำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ. 2593 พร้อมผสานแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ควบคู่กับการพัฒนาธุรกิจ จึงเกิดการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่ยั่งยืนด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับน้ำมันพืชใช้แล้ว (Used Cooking Oil: UCO) ผสานเทคโนโลยีการกลั่น ขั้นสูงสู่การผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน หรือ SAF ซึ่งถือเป็นพลังงานหมุนเวียน หรือ Renewable & Sustainable Energy ที่มีวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ ช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม 

OR กำหนดเป้าหมายมุ่งสู่การเป็น Energy Solution Provider ด้วยแนวทางการพัฒนาน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และขยายสู่อุตสาหกรรมการบินของประเทศไทย ด้วยคุณสมบัติพิเศษที่สามารถผสมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน หรือ SAF เข้ากับน้ำมัน JET โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ของเครื่องบิน เป็นหลักการเดียวกับการผสมเอทานอลกับน้ำมันเบนซิน หรือ การผสมไบโอดีเซลกับน้ำมันดีเซล ส่งเสริมให้อุตสาหกรรมภาคการบินทั้งสายการบินในประเทศและสายการบินระหว่างประเทศได้ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง SAF เพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ภายในปี พ.ศ. 2608 

นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GC กล่าวว่า GC ในฐานะผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ มีความพร้อมในด้านโครงสร้างพื้นฐานและความเชี่ยวชาญด้านโรงกลั่นน้ำมัน โดยเพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพโรงกลั่นสู่การผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานที่ยั่งยืนหรือ SAF จากน้ำมันพืชใช้แล้ว การบุกเบิกผลิตภัณฑ์ SAF ในเชิงพาณิชย์ สู่อุตสาหกรรมการบินของประเทศไทย มีทั้งโอกาสและความท้าทาย ซึ่งความร่วมมือระหว่าง GC และ OR ในฐานะผู้นำด้านการตลาดและการจำหน่ายน้ำมันอากาศยานของไทย จะเป็นแรงผลักดันในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพลังงานและอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทยไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นได้สำเร็จ 

นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OR กล่าวว่า "ความร่วมมือระหว่าง OR และ GC ในครั้งนี้ OR ในฐานะผู้นำการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานของไทย มุ่งมั่นที่จะแบ่งปันองค์ความรู้และประสบการณ์ร่วมกับ GC ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่มีการดำเนินงานด้านความยั่งยืนระดับสากล เพื่อศึกษาและนำน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel หรือ SAF) จากกระบวนการ Co-Processing ของ GC มาใช้ในอุตสาหกรรมการบิน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้สายการบินทั้งในประเทศและสายการบินระหว่างประเทศได้ใช้ SAF เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้ง ยังสอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero ของประเทศไทยภายในปี พ.ศ.2608 และยังเป็นการปฏิบัติตามมาตรฐานของ ICAO และ IATA ในอนาคต นอกจากนี้ ความร่วมมือครั้งนี้ ยังสอดคล้องกับนโยบายการเป็นผู้ให้บริการโซลูชันด้านพลังงาน (Energy Solution Provider) ของ OR เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนร่วมกันต่อไป   

GC และ OR ผนึกกำลังผสานจุดแข็งร่วมกันเพื่อยกระดับศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสู่การเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืน ในกลุ่ม ปตท. และร่วมผลักดันให้เกิดการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ส่งผลให้ตอบสนองความต้องการของตลาดในด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top