Thursday, 13 February 2025
GC

โออาร์ ร่วมมือ GC ผลิตน้ำมันดีเซลสูตรพิเศษ กำมะถันต่ำเทียบเท่ามาตรฐานยูโร 5 ช่วยลดฝุ่น PM 2.5 พร้อมจำหน่าย ในราคาเท่าเดิม ตาม พีทีที สเตชั่น กว่า 400 แห่ง ตั้งแต่ 1 พ.ย. 2564 - 31 มี.ค. 2565

นายบุญมา พลธนกรกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ (OR) เปิดเผยว่า ตามที่ศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) คาดการณ์สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ที่จะกลับมาสูงเกินค่ามาตรฐานอีกครั้งในช่วงปลายปี โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โออาร์ เห็นความสำคัญของปัญหาดังกล่าว และในฐานะผู้บริหารแบรนด์สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น โออาร์ พร้อมจำหน่ายน้ำมันอัลตร้าฟอร์ซ ดีเซล (UltraForce Diesel) สูตรพิเศษที่มีกำมะถันต่ำเทียบเท่ากับน้ำมันยูโร 5

โดยมีค่ากำมะถันต่ำเฉลี่ยประมาณ 10 PPM ซึ่งต่ำกว่าค่าที่กฎหมายกำหนด (50 PPM) ถึงประมาณ 5 เท่า ซึ่งเป็นการร่วมมือกับโรงกลั่นน้ำมันของ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ในการกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วกำมะถันต่ำและนำมาผลิตเป็นน้ำมันอัลตร้าฟอร์ซ ดีเซล สูตรพิเศษที่คลังน้ำมันพระโขนงเพื่อจ่ายให้กับสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคกลาง และภาคตะวันออก รวมกว่า 400 สถานี ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2564 - 31 มี.ค. 2565 รวมทั้งจ่ายให้กลุ่มลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรม และหน่วยงานราชการ

GC ภูมิใจใช้ ‘YOUเทิร์น’ บริหารจัดการพลาสติกใช้แล้วจากเอเปคกลับสู่ระบบ

GC นำ 'YOUเทิร์น แพลตฟอร์ม' บริหารจัดการพลาสติกใช้แล้วจากการประชุม APEC 2022 รวม 360 กิโลกรัม ช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 835.20 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ใหญ่ 93 ต้น

พลาสติกใช้แล้วจากการประชุม APEC 2022 จำนวน 360 กิโลกรัม จากจุดรับขยะภายใต้โครงการ แยก แลก ยิ้ม ของ OR นำเข้าสู่ ENVICCO ผู้ผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง เพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์อีกครั้งตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน สามารถช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 835.20 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ใหญ่ 93 ต้น GC ภูมิใจที่ได้สนับสนุนให้การประชุม APEC 2022 เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดีต่อโลก ดีอย่างยั่งยืน

https://www.facebook.com/watch/?v=1816303905401240

‘3 Steps Plus’ พา ‘GC’ พลิกทำกำไรในช่วง ศก.โลกขาลง ‘ยกระดับการแข่งขัน-สร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์-บูรณาการความยั่งยืน’

เมื่อไม่นานมานี้ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC พลิกทำกำไร ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกถดถอยและตลาดเคมีภัณฑ์ขาลง เป็นผลมาจากการวางแผนเตรียมรับมือล่วงหน้า ทำมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยมาตรการภายในที่เข้มแข็ง ได้แก่ ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ รักษาวินัยทางการเงินเข้มแข็ง และกลยุทธ์ 3 Steps Plus ที่มาถูกทาง ช่วยขับเคลื่อนองค์กรท่ามกลางสถานการณ์ธุรกิจเคมีภัณฑ์ทั่วโลกที่ยังผันผวน

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC กล่าวว่า 

“อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างมาก และ Industry Landscape ที่เปลี่ยนไป ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ทั่วโลก ในขณะที่ GC ได้มีการวางแผนเตรียมรับมือล่วงหน้า มุ่งเน้นทำสิ่งที่เราควบคุมได้ และดำเนินมาตรการภายในที่เข้มแข็งมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2559 ผ่านโครงการกว่า 10,000 โครงการ ส่งผลให้เกิดผลประโยชน์สะสมเฉลี่ยมากกว่า 6,900 ล้านบาทต่อปี”

มาตรการภายในที่เข้มแข็งดังกล่าว ได้แก่
>>Business Enhancement: การเพิ่มประสิทธิภาพ เสริมขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการผลิต ได้ผลประโยชน์สะสมเฉลี่ยมากกว่า 5,200 ล้านบาทต่อปี

>>Organization & Digital Transformation: ปรับกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพทั่วทั้งองค์กร นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาปรับใช้ การปรับโครงสร้างองค์กร และเพิ่มศักยภาพบุคลากร ได้ผลประโยชน์สะสมเฉลี่ยประมาณ 1,700 ล้านบาทต่อปี

>>ดำเนินมาตรการทางการเงิน: คงวินัยทางการเงินที่เข้มแข็ง บริหารสภาพคล่อง ควบคุมค่าใช้จ่าย และ บริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

*ลด OPEX ต่อเนื่องทุกปี โดยในปี 2566 คาดว่าจะลดได้ 1,500-2,000 ล้านบาท
*ลด CAPEX ประมาณ 7,000 ล้านบาท โดยการเลือกลงทุนอย่างชาญฉลาดในโครงการที่ให้ผลตอบแทนที่ดี และในขณะเดียวกันสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
*การลดหนี้และบริหารต้นทุนทางการเงิน โดยการซื้อคืนหุ้นกู้ (US Bond buy back) ทำให้มีกำไรประมาณ 460 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาของปี 2566 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี

>>Asset Light Strategy: ปรับโครงสร้างธุรกิจ ลดการถือครองสินทรัพย์ที่เป็น Non-core Assets

“ผลจากการดำเนินตามกลยุทธ์ 3 Steps Plus ส่งผลให้ GC มีพื้นฐานที่ดี และมีผลบวกในด้านต่าง ๆ รวมถึงผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ดีขึ้น พร้อมกันนี้ GC ได้ทำการทบทวนและจัดลำดับความสำคัญให้สอดคล้องกับสถานการณ์ Industry Landscape ที่เปลี่ยนไป โดยกลยุทธ์ 3 Steps Plus ประกอบด้วย 

(1) Step Change ยกระดับความสามารถในการแข่งขัน สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์
(2) Step Out  มุ่งสู่ธุรกิจ High Value (Specialty Chemicals) and Low Carbon ( Bio and Circularity) 
(3) Step Up บูรณาการความยั่งยืนเข้าไปในธุรกิจ มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี พ.ศ. 2593 ซึ่ง GC มีการดำเนินงานได้ตามแผนที่วางไว้”

ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3/2566 ของ GC ปรับตัวดีขึ้น มีกำไรสุทธิ 1,427 ล้านบาท มี Adjusted EBITDA ที่ 12,307 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2/2566 ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงขาลง มีการปรับตัวลดลงของ EBITDA ในไตรมาสที่ 3/2566 เมื่อเทียบกับ ไตรมาสที่ 2/2566 ประมาณ 20 - 40 % 

GC องค์กรยั่งยืนได้รับการยอมรับในระดับสากลและระดับประเทศ
>>GC ได้รับรางวัล DJSI อันดับหนึ่งของโลก ในกลุ่มเคมีภัณฑ์ ต่อเนื่อง 4 ปีติดต่อกัน (2562-2565) และในปี 2566 ได้รับคะแนนสูงสุดในกลุ่มเคมีภัณฑ์ ณ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2566

>>นอกจากนี้ยังมีรางวัลเกียรติยศอื่น ๆ อาทิ รางวัล Platinum ระดับสูงสุดจาก Ecovadis, ดัชนีชี้วัดความยั่งยืน CDP Water and Climate ได้รับการจัดอันดับ A LIST, องค์กรต้นแบบด้านความยั่งยืนระดับสูงสุด (LEAD) ของโลกจาก UN Global Compact Lead, หุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2566 ที่ระดับ AAA

>>ล่าสุดได้ตอกย้ำศักยภาพการเป็น Sustainability Thought Leader จากการจัดงาน GC Sustainable Symposium 2023: We are GEN S ซึ่งเป็นเวทีแบ่งปันองค์ความรู้ด้านความยั่งยืนในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยมีผู้ชมการถ่ายทอดสดผ่าน LIVE ใน 125 ประเทศทั่วโลก ทั้งยังได้ต่อยอดธุรกิจเพื่อก้าวสู่การเป็น ‘องค์กรคาร์บอนต่ำ’ และเพิ่มโอกาสในการร่วมงานกับพาร์ตเนอร์ใหม่ ๆ ที่สำคัญ

“ความสำเร็จของ GC ไม่เพียงตอกย้ำการเป็นองค์กรชั้นนำที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ด้วยความรับผิดชอบต่อโลก แต่ยังสะท้อนถึงความร่วมมือของคณะผู้บริหารและบุคลากรทุกคนที่มุ่งมั่นขับเคลื่อนการเติบโตให้กับองค์กร ควบคู่ไปกับการสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้กับผู้ลงทุน รวมถึงการสร้างคุณค่าระยะยาวให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม” ดร.คงกระพัน กล่าวสรุป

‘OR - GC’ ร่วมขับเคลื่อนโครงการ ‘บอกรักษ์เจ้าพระยา บอกลาขยะแม่น้ำ’ สานพลัง ‘ชุมชนบางน้ำผึ้ง’ แก้ปัญหาขยะในแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างยั่งยืน

OR และ GC รวมกับชุมชนบางน้ำผึ้ง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำร่องโมเดลการจัดการขยะในแม่น้ำเจ้าพระยาแบบยั่งยืน ณ วัดบางน้ำผึ้งนอก จ.สมุทรปราการ โดยร่วมกันเก็บขยะ คัดแยกพลาสติกใช้แล้วออกจากขยะทั่วไป และนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลและอัพไซเคิลภายใต้ ‘GC YOUเทิร์น แพลตฟอร์ม’ สร้างผลิตภัณฑ์ Upcycling เพิ่มมูลค่า พร้อมส่งเสริมองค์ความรู้เกี่ยวกับการคัดแยกขยะ และเป็นต้นแบบขยายผลไปยังพื้นที่อื่น ๆ แก้ปัญหาขยะในแม่น้ำเจ้าพระยา ช่วยลดปริมาณขยะที่จะไหลออกสู่ทะเลอย่างยั่งยืน

(24 พ.ค. 67) นายวิศน สุนทราจารย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านกลยุทธ์องค์กรและความยั่งยืน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR พร้อมด้วย ดร.ชญาน์ จันทวสุ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานความยั่งยืนองค์กร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC และ นางสาวชลาทิพ จันทร์ชมภู ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนบน ร่วมพิธีเปิดโครงการ ‘บอกรักษ์เจ้าพระยา บอกลาขยะแม่น้ำ’ ที่วัดบางน้ำผึ้งนอก จ.สมุทรปราการ ต่อยอดจากความร่วมมือ ภายใต้การลงนามบันทึกแสดงเจตจำนงว่าด้วยการจัดการขยะทะเล โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในบริเวณปากแม่น้ำ ซึ่งริเริ่มโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย GC, OR, เจ้าหน้าที่ และจิตอาสา จะร่วมมือกันจัดการขยะในแม่น้ำเจ้าพระยา 

โดยทั้ง 2 บริษัทได้รับมอบหมายให้ดำเนินกิจกรรมบริหารจัดการขยะทะเลในพื้นที่แม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งมีปริมาณขยะลอยน้ำมากที่สุดตามการศึกษาของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และได้คัดเลือกพื้นที่บริเวณวัดบางน้ำผึ้งนอก ชุมชนบางน้ำผึ้ง จ.สมุทรปราการ เป็นพื้นที่โครงการต้นแบบในการรณรงค์ให้ชุมชนหรือคนในพื้นที่ช่วยกันจัดเก็บขยะที่อยู่ในน้ำเพื่อนำขึ้นไปจัดการอย่างถูกวิธี เนื่องจากเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มักพบปัญหาขยะริมตลิ่งจำนวนมากอันอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยว นอกจากนี้ กิจกรรมในวันนี้ยังถือเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการอนุรักษ์ทะเลและเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมวันสิ่งแวดล้อมโลกที่จะมาถึงในวันที่ 5 มิถุนายน และวันทะเลโลกที่จะมาถึงในวันที่ 8 มิถุนายนนี้อีกด้วย

นายวิศน สุนทราจารย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านกลยุทธ์องค์กรและความยั่งยืน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR  เปิดเผยว่า OR ดำเนินธุรกิจน้ำมันและธุรกิจค้าปลีก โดยตระหนักถึงผลกระทบสิ่งแวดล้อม และให้ความสำคัญกับการจัดการขยะอย่างมาก และได้กำหนดเป้าหมายในการลดปริมาณขยะจากการดำเนินธุรกิจลง 1 ใน 3 ภายในปี ค.ศ. 2030 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ในปี 2050 โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมให้ชุมชนมีความรู้ความเข้าใจในการคัดแยกขยะผ่านโครงการ แยก แลก ยิ้ม สำหรับการจัดการกับปัญหาขยะทะเลนั้น OR ให้ความสำคัญกับการลดปริมาณขยะและจัดการขยะตั้งแต่ก่อนที่จะลงสู่แม่น้ำ ลำคลอง โดยมุ่งเน้นการให้ความรู้แก่ชุมชนริมน้ำ เพื่อลดปริมาณขยะ และส่งเสริมการคัดแยกและจัดการอย่างถูกวิธี ควบคู่ไปกับการจัดเก็บขยะจากลำน้ำ โดยพื้นที่วัดบางน้ำผึ้งนอก ชุมชนบางน้ำผึ้ง นับเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่อยู่ในขอบข่ายการดำเนินงานด้าน CSR ของคลังปิโตรเลียมบางจากของ OR ซึ่งจะสามารถต่อยอดการจัดการขยะอย่างยั่งยืนต่อไปได้อีกด้วย

การจัดโครงการ ‘บอกรักษ์เจ้าพระยา บอกลาขยะแม่น้ำ’ ประกอบด้วยกิจกรรมลงเรือเก็บขยะในแม่น้ำ กิจกรรมเก็บขยะบริเวณริมตลิ่ง กิจกรรมคัดแยกและชั่งน้ำหนักปริมาณขยะ รวมถึงกิจกรรมส่งเสริมความรู้ด้านการคัดแยกขยะ โดยขยะที่ผ่านการคัดแยกแล้ว ส่วนที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ให้จะถูกส่งต่อให้กับ อบต.บางน้ำผึ้งไปบริหารจัดการอย่างถูกต้อง และส่วนที่สามารถรีไซเคิลได้จะถูกนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลที่ได้มาตรฐาน และนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ Upcycling ต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นการส่งเสริมการดำเนินงานตามหลักคิดด้านเศรฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ด้านการจัดการของเสียของ OR (3R Waste Strategy) ได้แก่ Reborn Waste to Value ในการเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บรวบรวมของเสีย และขยายผลนำของเสียเหล่านั้นกลับมาสร้างคุณค่าใหม่อีกครั้ง

ดร.ชญาน์ จันทวสุ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานความยั่งยืนองค์กร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เปิดเผยว่า GC ในฐานะผู้นำธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนด้วยสมดุล ESG มาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายมุ่งสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ในปี 2050 ได้นำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนมาประยุกต์ใช้สนับสนุนการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ริเริ่มและสร้างแนวทางปฏิบัติร่วมกับภาคสังคมเพื่อแก้ไขปัญหาขยะในประเทศไทย ผ่าน ‘GC YOUเทิร์น แพลตฟอร์ม’ โดยความร่วมมือกับ OR ในโครงการ ‘บอกรักษ์เจ้าพระยา บอกลาขยะแม่น้ำ’ ครั้งนี้ เป็นความร่วมมือจัดการขยะในแม่น้ำลำคลอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขยะพลาสติก เพื่อป้องกันไม่ให้ขยะเหล่านี้ไหลลงสู่ทะเล ซึ่งอาจเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ โดยพลาสติกใช้แล้วที่ได้รับการคัดแยกจากกิจกรรมเก็บขยะในครั้งนี้ จะถูกนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลและอัพไซเคิลผ่าน GC YOUเทิร์น เพื่อสร้างคุณค่าและประโยชน์ต่อไป” 

โครงการ ‘บอกรักษ์เจ้าพระยา บอกลาขยะแม่น้า’ จะเป็นโครงการที่มีส่วนช่วยรักษาระบบนิเวศทางทะเล ช่วยผลักดันและส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการรับรู้ด้านการคัดแยกและบริหารจัดการขยะอย่างถูกวิธี รวมถึงเป็นการขยายผลความร่วมมือภาคปฏิบัติของหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน อันจะช่วยสังคมได้เห็นถึงประโยชน์ของการคัดแยกพลาสติกใช้แล้ว ซึ่งหากเราทุกคนแยกและทิ้ง อย่างถูกวิธี พลาสติกจะสามารถกลับ กลับมาสร้างประโยชน์ และยังถือเป็นการช่วยลดเส้นทางขยะพลาสติก รักษาระบบนิเวศทางทะเลร่วมกัน อย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ OR และ GC ยังมีแผนที่จะขยายพื้นที่ดำเนินโครงการไปยังชุมชนข้างเคียงหรือพื้นที่วิกฤตบริเวณอื่น ๆ ของแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อส่งเสริมการให้ความรู้และร่วมพัฒนาองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการขยะร่วมกับชุมชน รวมถึงพัฒนาอุปกรณ์ที่เหมาะสมในการจัดเก็บขยะจากลำน้ำ เพื่อนำไปสู่การบริหารจัดการขยะในทะเลบริเวณปากแม่น้ำอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนต่อไป

‘GC’ เตรียมออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน ผ่าน ‘12 สถาบันการเงิน’ หนุนโครงสร้างการเงินแกร่ง

(25 ก.ย. 67) นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายทศพร บุณยพิพัฒน์ ผู้จัดการใหญ่ และนางสาวภัทรลดา สง่าแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC พร้อมกับผู้บริหารสถาบันการเงิน 12 แห่ง เข้าร่วมพิธีแต่งตั้งผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน ไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัท หรือ Perpetual Bond

นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ CEO GC ผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล และแกนนำธุรกิจเคมีภัณฑ์ของกลุ่ม ปตท. กล่าวว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างเตรียมการออกและเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน ไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัท ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนด และมีสิทธิเลื่อนชำระดอกเบี้ยโดยไม่มีเงื่อนไข (หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน) ต่อผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering) เพื่อสนับสนุนโครงสร้างทางการเงินของกลุ่มบริษัท GC ให้แข็งแกร่ง เสริมสร้างธุรกิจและต่อยอดการเติบโตของบริษัทในอนาคต 

นายณะรงค์ศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เป็นครั้งแรกของ GC ที่ออกและเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน และเป็นการออกหุ้นกู้ประเภทนี้ในประเทศไทยในรอบ 10 ปี ของกลุ่ม ปตท. ซึ่งการออกและเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของการ #ก้าวต่อไปกับการเติบโตที่ยั่งยืนของ GC นอกจากนี้ ยังเป็นการขยายฐานผู้ถือหุ้นกู้รายย่อยของ GC และเพิ่มทางเลือกการลงทุนที่มั่นคงและให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป

หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนที่จะเสนอขายในครั้งนี้ ทาง GC สามารถใช้สิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนดได้เมื่อหุ้นกู้มีอายุครบ 5 ปี 6 เดือน เป็นต้นไป มีกำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก ๆ 6 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ โดยมีอัตราดอกเบี้ยและวันจองซื้อที่แน่นอน โดยทาง GC จะแจ้งให้ทราบต่อไป 

สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป สามารถจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท ผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 12 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ธนาคารกสิกรไทย บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส ธนาคารกรุงศรีอยุธยา บริษัทหลักทรัพย์กรุงไทย เอ็กซ์สปริง บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ธนาคารทหารไทยธนชาต และบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) 

ซึ่งทาง GC มั่นใจว่า หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนของ GC จะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ลงทุน ด้วยพื้นฐานธุรกิจ ความแข็งแกร่งทางการเงินของ GC และความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ของกลุ่ม ปตท. จะเป็นปัจจัยสนับสนุนความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนต่อการตัดสินใจลงทุนในหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนของ GC ในครั้งนี้

การออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนในครั้งนี้ จะเป็นโอกาสของผู้ลงทุนที่จะลงทุนในหุ้นกู้ของ GC ซึ่งเป็นองค์กรต้นแบบความยั่งยืนในระดับสากล โดย GC เป็นบริษัทหนึ่งเดียวในโลกที่ได้รับการจัดอันดับจากดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI) ในกลุ่ม World Index ให้เป็นที่ 1 ในกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์ ด้วยคะแนนสูงสุด 5 ปีต่อเนื่อง โดย S&P Global ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเป็นองค์กรต้นแบบความยั่งยืนในระดับสากล ด้วยการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงดุลยภาพของสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ (Governance & Economic) (ESG) ตั้งเป้าหมายการขับเคลื่อนธุรกิจยั่งยืนตลอดห่วงโซ่ธุรกิจ พร้อมมุ่งสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 สอดคล้องกับความตกลงปารีสตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ทั้งนี้ อันดับความน่าเชื่อถือของ GC อยู่ที่ระดับ ‘AA(tha)’ แนวโน้ม ‘มีเสถียรภาพ’ เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2567 และอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนที่เสนอขายในครั้งนี้อยู่ที่ระดับ ‘A+(tha)’ จัดอันดับโดยบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2567 

นอกจากนี้ GC จะเป็นบริษัทแรกในประเทศไทยที่จะสามารถนำหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนไปนับเป็นส่วนของทุนของบริษัท สำหรับการพิจารณาอันดับความน่าเชื่อถือกับบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลกทั้ง Moody’s Investors Service S&P Global Ratings และ Fitch Ratings Inc. ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันความแข็งแกร่งของ GC ในระดับสากล โดย GC จะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนครั้งนี้เพื่อใช้ชำระคืนหนี้สินสกุลเงินบาทและสกุลเหรียญสหรัฐฯ ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ ผู้สนใจสามารถติดต่อจองซื้อ หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

-ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bangkok Bank Mobile Banking
-ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02-626-7777 

-ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02-888-8888 กด 869 และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
-บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02-165-5555 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปฯ Dime! และรวมถึง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)

-ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02-111-1111 หรือจองซื้อออนไลน์บนแอปพลิเคชัน Krungthai Next ผ่านระบบ Money Connect by Krungthai
-ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02-777-6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) 

-บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02-680-4004
-ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร.1572
-บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด โทร. 02-695-5000

-บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050
-ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 1428 กด #4 (เปิดจองซื้อเฉพาะผู้ลงทุนรายใหญ่เท่านั้น) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน)
-บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-009-8351-56

หมายเหตุ:
-แบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนยังไม่มีผลใช้บังคับ เนื่องจากอยู่ระหว่างยื่นขออนุญาตต่อสำนักงาน ก.ล.ต.
-การจัดสรรหุ้นกู้ดังกล่าวให้อยู่ในดุลยพินิจของผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ตามแต่จะเห็นสมควร

คำเตือน:
-การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
-ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th

‘GC-OR’ ลงนามความร่วมมือด้านเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (SAF) ผสานองค์ความรู้ระหว่างกัน มุ่งเป้าปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

(30 ก.ย. 67) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ลงนามบันทึกข้อตกลงในความร่วมมือกับบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เพื่อศึกษาโอกาสทางการตลาดและกลยุทธ์การขายน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF) เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงพร้อมสนับสนุนอุตสาหกรรมการบินที่ยั่งยืนของประเทศไทย

GC มุ่งสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ ด้วยการกำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ. 2593 พร้อมผสานแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ควบคู่กับการพัฒนาธุรกิจ จึงเกิดการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่ยั่งยืนด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับน้ำมันพืชใช้แล้ว (Used Cooking Oil: UCO) ผสานเทคโนโลยีการกลั่น ขั้นสูงสู่การผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน หรือ SAF ซึ่งถือเป็นพลังงานหมุนเวียน หรือ Renewable & Sustainable Energy ที่มีวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ ช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม 

OR กำหนดเป้าหมายมุ่งสู่การเป็น Energy Solution Provider ด้วยแนวทางการพัฒนาน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และขยายสู่อุตสาหกรรมการบินของประเทศไทย ด้วยคุณสมบัติพิเศษที่สามารถผสมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน หรือ SAF เข้ากับน้ำมัน JET โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ของเครื่องบิน เป็นหลักการเดียวกับการผสมเอทานอลกับน้ำมันเบนซิน หรือ การผสมไบโอดีเซลกับน้ำมันดีเซล ส่งเสริมให้อุตสาหกรรมภาคการบินทั้งสายการบินในประเทศและสายการบินระหว่างประเทศได้ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง SAF เพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ภายในปี พ.ศ. 2608 

นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GC กล่าวว่า GC ในฐานะผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ มีความพร้อมในด้านโครงสร้างพื้นฐานและความเชี่ยวชาญด้านโรงกลั่นน้ำมัน โดยเพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพโรงกลั่นสู่การผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานที่ยั่งยืนหรือ SAF จากน้ำมันพืชใช้แล้ว การบุกเบิกผลิตภัณฑ์ SAF ในเชิงพาณิชย์ สู่อุตสาหกรรมการบินของประเทศไทย มีทั้งโอกาสและความท้าทาย ซึ่งความร่วมมือระหว่าง GC และ OR ในฐานะผู้นำด้านการตลาดและการจำหน่ายน้ำมันอากาศยานของไทย จะเป็นแรงผลักดันในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพลังงานและอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทยไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นได้สำเร็จ 

นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OR กล่าวว่า "ความร่วมมือระหว่าง OR และ GC ในครั้งนี้ OR ในฐานะผู้นำการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานของไทย มุ่งมั่นที่จะแบ่งปันองค์ความรู้และประสบการณ์ร่วมกับ GC ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่มีการดำเนินงานด้านความยั่งยืนระดับสากล เพื่อศึกษาและนำน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel หรือ SAF) จากกระบวนการ Co-Processing ของ GC มาใช้ในอุตสาหกรรมการบิน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้สายการบินทั้งในประเทศและสายการบินระหว่างประเทศได้ใช้ SAF เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้ง ยังสอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero ของประเทศไทยภายในปี พ.ศ.2608 และยังเป็นการปฏิบัติตามมาตรฐานของ ICAO และ IATA ในอนาคต นอกจากนี้ ความร่วมมือครั้งนี้ ยังสอดคล้องกับนโยบายการเป็นผู้ให้บริการโซลูชันด้านพลังงาน (Energy Solution Provider) ของ OR เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนร่วมกันต่อไป   

GC และ OR ผนึกกำลังผสานจุดแข็งร่วมกันเพื่อยกระดับศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสู่การเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืน ในกลุ่ม ปตท. และร่วมผลักดันให้เกิดการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ส่งผลให้ตอบสนองความต้องการของตลาดในด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

‘รองนายกฯ ประเสริฐ’ ปลุกทุกภาคส่วน ร่วมผลักดันประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญปัญหาสิ่งแวดล้อม เตรียมพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ชื่นชม ‘GC’ จับมือทุกฝ่ายผลักดันแนวคิด ‘ยั่งยืนไม่ยาก’    

(18 ต.ค.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวในการปาฐกถาพิเศษ เปิดงาน GC Sustainable Living Symposium 2024 ซึ่งจัดโดยบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ภายใต้แนวคิด ‘ยั่งยืนไม่ยาก’ ซึ่งเป็นการรวมพลังครั้งสำคัญของคนหัวใจรักษ์โลก หรือ GEN S (Generation Sustainability) เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำว่า ขอแสดงความยินดีและชื่นชมกับ พีทีที โกลบอล เคมิคอล หรือ GC ที่ได้จัดงาน Sustainable Living Symposium 2024 ขึ้นเป็นครั้งที่ 5 ในปีนี้ เพื่อให้ Gen S ได้มาแสดงจุดยืนร่วมกันว่า ‘การสร้างความยั่งยืน≠ยาก’ และเป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคน

เวทีการเสวนาที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้จะเกิดการระดมความคิดเห็น บอกเล่าวิธีแก้ปัญหา แบ่งปันเรื่องราวการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตของผู้คน ตลอดจนสะท้อนให้เห็นว่า บทบาทของภาคธุรกิจที่จะร่วมกันก้าวข้ามความยากสู่ความยั่งยืนไปด้วยกันเป็นอย่างไร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการผลักดันประเทศไทยไปสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำอย่างเป็นรูปธรรม 

นายประเสริฐ กล่าวว่า การขับเคลื่อนการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับความร่วมมือระหว่างกัน และกระผมรู้สึกประทับใจมากที่ได้เห็น Gen S จากทุกภาคส่วน ทั้งภาคเอกชน ภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม มาร่วมหาแนวทางและแบ่งปันประสบการณ์และเผยแพร่นวัตกรรมที่ทันสมัยที่จะมาสร้างสมดุลทางสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของทุกคนอย่างเท่าเทียม และจะส่งผลต่อเศรษฐกิจ และสังคมตลอดจนความน่าเชื่อถือของประเทศไทยบนเวทีโลก  
ภาครัฐได้ให้ความสำคัญและขับเคลื่อนเรื่องการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนและพยายามร่วมกันลดผลกระทบมานับ 10 ปี  

“วันนี้เราทุกคนได้ตระหนักชัดแล้วว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีความรุนแรงมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทั่วโลกและประเทศไทย และมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นบ่อยครั้งมากขึ้นในอนาคต เมื่อภาวะโลกร้อนได้ยกระดับความรุนแรงจนเรียกได้ว่าเข้าสู่ภาวะโลกเดือด (Boiling World) ที่ส่งผลให้เกิดความแห้งแล้งรุนแรงในหลายพื้นที่ทั่วโลก ขณะที่พายุฝนประจำถิ่นสร้างความเสียหายแก่หลายประเทศมากกว่าที่เคยเป็นมา และอุณหภูมิของน้ำในมหาสมุทรที่สูงขึ้นทำให้เรายังได้พบเจอกับ Rain Bomb ที่มีคนเปรียบเทียบว่าเหมือนระเบิดฝนที่ตกลงมาคล้ายกับ ‘สึนามิจากฟ้า’ มีความรุนแรงและความรวดเร็วจนพี่น้องประชาชนในภาคเหนือและทภาคใต้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมหนักเฉียบพลัน ซึ่งสร้างความเสียหายทั้งทางความเป็นอยู่ ทรัพย์สินและเศรษฐกิจท้องถิ่นในวงกว้าง” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีกล่าว   

รัฐบาลจะเดินหน้าทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนในการแก้วิกฤตสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย โดยมีนโยบายและแผนพลังงานชาติที่กำหนดแนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี พ.ศ.2065 เรากำหนดเป้าหมายให้มีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50% ภายใน ปี พ.ศ.2573 ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากภาคไฟฟ้าและขนส่งได้อย่างมีนัยสำคัญ และที่สำคัญไม่แพ้กันคือความท้าทายจากการใช้กลไกราคาคาร์บอนมากำหนดมาตรการทางภาษี ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันและการดำเนินธุรกิจทั่วโลก ดังนั้น การกำหนดนโยบาย เช่น กลไกภาษีคาร์บอน ควบคู่กับการกลไกสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำต่าง ๆ ของประเทศไทย จึงมีความจำเป็นต้องขับเคลื่อนโดยการร่วมคิดของทุกภาคส่วน เพื่อสนับสนุนและเสริมสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการไทย

รัฐบาลมุ่งที่จะสนับสนุนภาคเอกชนในการใช้พลังงานหมุนเวียน การพัฒนาเทคโนโลยีสะอาดไปพร้อมกับการส่งเสริมการปรับตัวเพื่อลดความสูญเสียจากภัยธรรมชาติ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงในมิติของการลงทุน รัฐบาลให้การสนับสนุนแนวทางของกองทุน ESG ที่เพิ่งจัดตั้งขึ้น อันจะเป็นกลไกสำคัญในการลงทุนเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจ เพื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และยังช่วยภาคธุรกิจสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งในยุคที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีโครงการแก้ปัญหาขยะล้นเมือง โดยรัฐจะสนับสนุนระบบ Circular System เพื่อลดปริมาณขยะและเป็นการสร้าง Value chain สนับสนุนการคัดแยก การขนส่ง การจัดเก็บและการทำลายให้ถูกวิธี อย่างไรก็ดี การที่ประเทศไทยของเราสนับสนุนกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศด้านการดูแลสิ่งแวดล้อมให้มีความเข้มแข็ง เป็นการสร้างผลลัพธ์ที่ดี ด้านการลงทุนจากต่างประเทศ นักลงทุนจากทั่วโลกเชื่อมั่นในภาคอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานที่มีความยั่งยืน รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมความร่วมมือทุกระดับ เพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น การเข้าถึงบริการพลังงานสะอาด ในราคาที่เหมาะสมและมีความน่าเชื่อถือภายในปี พ.ศ.2573 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพลังงานหมุนเวียนต่าง ๆ เช่น การสร้าง Ecosystem ของการผลิตและใช้พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ผลิตพลังงานชีวมวล และการลงทุนด้านการบริหารจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมของไทยได้รับเสียงชื่นชมในระดับโลก  

นายประเสริฐ กล่าวว่า ในวันนี้ขอเชิญชวน Generation Sustainability หรือ Gen S ทุกท่านร่วมมือกันสร้างอนาคตที่ยั่งยืนเพื่อเป็นประโยชน์ของคนไทยและประเทศไทยของเราและเราจะทำเรื่องยากให้กลายเป็นเรื่องง่ายได้ เพื่อปกป้องโลกใบนี้ไปด้วยกัน  และกระผมเชื่อมั่นว่าเวทีเสวนาในงานนี้จะนำไปสู่แนวทางใหม่ๆ ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) และสร้างอนาคตที่ดีขึ้นสำหรับพวกเราและลูกหลานของเรา

GC และ KBC ร่วมมือยกระดับการเปลี่ยนผ่าน เดินหน้าสู่ดิจิทัลอัจฉริยะในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี

เมื่อวันที่ (4 ธ.ค.67) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ผู้นำในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมีของประเทศไทย และ KBC Advanced Technology Pte Ltd (KBC), a Yokogawa company บริษัทที่ปรึกษาเชิงเทคโนโลยีชั้นนำที่ให้บริการอุตสาหกรรมพลังงานและปิโตรเคมี ได้ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของ GC โดยมีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) The Intelligent Digital Technology Collaboration Program

ความร่วมมือครั้งนี้จะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี Advanced Process Simulation ที่ล้ำสมัยและความรู้ความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมของ GC และ KBC เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมดของ GC โดยเริ่มจากการมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) และประสิทธิภาพการผลิต (production efficiency) ที่ดียิ่งขึ้น การผสานการวิเคราะห์ขั้นสูง ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ากับการจำลองกระบวนการที่ซับซ้อน (Advanced Process Simulation) จะช่วยให้ GC และ KBC สามารถมีเครื่องมือในการตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น ขับเคลื่อนการสร้างนวัตกรรม และสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในการดำเนินธุรกิจได้อย่างสูงสุด ความร่วมมือนี้จะช่วยให้ GC สามารถเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้เข้ากับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของตลาดปิโตรเคมีและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น ตามกลยุทธ์องค์กร

นายพรศักดิ์ มงคลตรีรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจเพื่อความเป็นเลิศ  GC. กล่าวว่า “ความร่วมมือกับ KBC นี้เป็นการลงทุนตามกลยุทธ์ Holistic Optimization ของ GC ในการเพิ่มประสิทธิภาพองค์กร ด้านดิจิทัลของ GC โดยการใช้ประโยชน์จาก Advanced Process Simulation ระดับโลกของ KBC เพื่อเสริมศักยภาพในการแข่งขัน เพิ่มความแข็งแกร่งในด้านเทคโนโลยี สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทานได้อย่างมาก รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต และเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างนวัตกรรม 

Mr. Takayuki Matsubara, Chief Executive Officer (CEO) of KBC กล่าวว่า “KBC รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ GC ผู้นำในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ความร่วมมือนี้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของ GC โดยการผสานซอฟต์แวร์จำลองกระบวนการ (Process Simulation) ของเรากับ AI เราตั้งเป้าที่จะยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานของ GC และสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรม

ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง GC และ KBC นี้เป็นตัวอย่างของความมุ่งมั่นร่วมกันในการสร้างนวัตกรรมและความเป็นผู้นำด้านดิจิทัลในอุตสาหกรรมการกลั่นและปิโตรเคมี โดยการใช้จุดแข็งร่วมกัน GC และ KBC พร้อมที่จะขับเคลื่อนความก้าวหน้านด้านประสิทธิภาพการดำเนินงาน ความยั่งยืน และประสิทธิภาพทางธุรกิจโดยรวม

GC เดินเครื่องผลิต ‘เชื้อเพลิง SAF’ เป็นรายแรกของไทย เฟสแรก 6 ล้านลิตร/ปี หนุนไทยสู่ศูนย์กลางการบินคาร์บอนต่ำ

GC ผลิต SAF เชิงพาณิชย์สำเร็จเป็นรายแรกของไทย วางแผนเฟสแรกผลิต 6 ล้านลิตรต่อปี ใช้น้ำมันพืชใช้แล้วเป็นวัตถุดิบหลัก พร้อมกางแผนจ่อขยายการผลิต 24 ล้านลิตรต่อปีในอนาคตรับความต้องการพลังงานทดแทนอุตสาหกรรมการบินพาณิชย์

(15 ม.ค. 68) นายทศพร บุณยพิพัฒน์ ผู้จัดการใหญ่ GC กล่าวว่า “การผลิต SAF เชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการในวันนี้ พร้อมรองรับความต้องการพลังงานทดแทนของอุตสาหกรรมการบินพาณิชย์ไทยที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว และให้ความสำคัญกับการนำแนวปฏิบัติที่ยั่งยืนมาใช้เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่ง SAF ของ GC ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISCC CORSIA (International Sustainability and Carbon Certification – Carbon Offsetting and Reduction Scheme for International Aviation) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ยอมรับในอุตสาหกรรมการบินสำหรับการรับรองความยั่งยืน และสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 80%* เมื่อเทียบกับการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานทั่วไป (*อ้างอิงตามมาตรฐานการรับรอง ISCC CORSIA) นอกจากนี้ GC ยังได้รับรองมาตรฐาน ISCC Plus (International Sustainability and Carbon Certification Plus) ซึ่งมุ่งเน้นการใช้วัตถุดิบชีวภาพและวัสดุหมุนเวียนใน การพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างยั่งยืน โดย GC ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูงอีกกว่า 10 ชนิด เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมสิ่งทอ ถือเป็นการยืนยันถึง ความมุ่งมั่นในการดำเนินงานภายใต้กรอบความยั่งยืนสูงสุด”

ความท้าทายของตลาด
ความต้องการของตลาด SAF กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว อันเป็นผลจากความตระหนัก ด้านสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้นของอุตสาหกรรมการบินเชิงพาณิชย์และการกำหนดกรอบกฎหมายที่สนับสนุนการใช้พลังงานทดแทนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  

GC ได้เตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับความท้าทายและโอกาสนี้ ด้วยจุดแข็งสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในการกลั่นน้ำมัน และการบริหารจัดการวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการนำน้ำมันพืชใช้แล้วภายในประเทศมาผลิตเป็น SAF เชิงพาณิชย์

นอกจากนี้ GC ยังได้สร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับพันธมิตรสำคัญในอุตสาหกรรมการบิน ซึ่งจะช่วยให้ GC สามารถรักษาส่วนแบ่งตลาด SAF ได้อย่างมั่นคง และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมการบินพาณิชย์และพลังงานในอนาคต
 
จุดเด่นที่สำคัญโรงกลั่นชีวภาพ (Biorefinery) 
• นวัตกรรมการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง : ในเฟสแรก GC วางแผนผลิต SAF 6 ล้านลิตรต่อปี โดยใช้น้ำมันพืชใช้แล้วเป็นวัตถุดิบหลัก และมีแผนขยายการผลิตเป็น 24 ล้านลิตรต่อปีในอนาคต ด้วยการใช้เทคโนโลยีการปรับปรุงโรงกลั่นที่มีอยู่เดิม ทำให้สามารถประหยัดการลงทุนเมื่อเทียบกับการสร้างโรงงานใหม่ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการขยายขีดความสามารถการผลิตพลังงานชีวภาพเพื่อรองรับการเติบโตที่ยั่งยืน (ให้เพิ่มเรื่องการลงทุนต่ำไปด้วย)

• พันธมิตรเชิงกลยุทธ์: ความร่วมมือระหว่าง GC กับพันธมิตรสำคัญอย่าง OR และการบินไทยในการนำ SAF ไปใช้กับเที่ยวบินทั้งในประเทศและต่างประเทศ นับเป็นก้าวสำคัญของ การพัฒนาเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมทั่วภูมิภาค พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมการบินที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

• ต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง: GC ได้พัฒนาเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมสำคัญหลากหลายประเภท ได้แก่ บรรจุภัณฑ์ยั่งยืน ชิ้นส่วนยานยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ รวมถึงยาและเวชสำอาง โดยมุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัตถุดิบทางการเกษตรในประเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม  

• ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม: การลงทุนในโครงการนี้ไม่เพียงช่วยเสริมความมั่นคงทางพลังงานของประเทศและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการบิน แต่ยังเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ในอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ พร้อมสนับสนุนเกษตรกรและชุมชนท้องถิ่นผ่านการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตร ตอกย้ำบทบาทของ GC ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนของประเทศ  

แผนการเติบโตในอนาคต:
• ขยายกำลังการผลิตเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่ใช้พลังงานทดแทน และการลงทุนในเทคโนโลยีที่ยั่งยืน เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตลาดเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ชีวภาพในอนาคต ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในระยะยาว

• เสริมสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและขยายฐานการตลาด รวมถึงการทำงานร่วมกับองค์กรที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีชีวภาพและพลังงานทดแทน เพื่อผลักดันการพัฒนาและขยายตลาดผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน

• พัฒนาและส่งเสริมความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การคัดเลือกแหล่งวัตถุดิบทางชีวภาพที่ยั่งยืนไปจนถึงการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ เพื่อให้กระบวนการผลิตเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ชีวภาพมีความยั่งยืนมากขึ้น ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม

• ส่งมอบโซลูชันอย่างครบวงจรสำหรับภาคอุตสาหกรรม โดยมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่สนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่อุปทาน 

• สร้างภาพลักษณ์องค์กรในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน ด้วยการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักการความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมและธรรมาภิบาล พร้อมสร้าง ความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคและผู้ถือหุ้นในระยะยาว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top