Sunday, 5 May 2024
F35

‘ผบ.ทอ.’ วอน กมธ.งบฯ ผ่านงบซื้อ F-35 ย้ำจัดซื้อโปร่งใส - มีไว้เพื่อความมั่นคงของชาติ

‘ผบ.ทอ.’ วอน กมธ.งบฯ ผ่านงบ F-35 จำนวน 2 ลำ ย้ำจัดซื้อ โปร่งใส ไม่มีนอก-มีใน ยอมรับ ผ่าน ‘คองเกรส’ ไม่ง่าย แต่มีโอกาสลุ้น เผย ทอ.สหรัฐฯ หนุนเต็มที่

เมื่อเวลา 08.00 น.วันที่ 2 ส.ค.ที่กองบิน 41 กองทัพอากาศ จังหวัดเชียงใหม่ พล.อ.อ. นภาเดช ธูปะเตมีย์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ให้สัมภาษณ์ถึงการจัดซื้อจัดหาโครงการเครื่องบิน F-35 หลังถูกคณะอนุกรรมาธิการคุรุภัณฑ์ ไอซีที รัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียน สภาผู้แทนราษฎร ตัดออกจากงบงบประมาณประจำปี 2566 และได้ยื่นเรื่องอุทรณ์ซึ่งจะเข้า คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 ในวันนี้ว่า 

ประชาชนมุ่งหวังเห็นสิ่งสำคัญ 3 ประการ คือ 
1. กองทัพซื้อของดีมีประสิทธิภาพใช้งานได้นาน คุ้มค่า คุ้มราคากับภาษีของประชาชน 
2. การซื้อต้องไม่มีการคอร์รัปชัน หมายถึงผู้บังคับบัญชาระดับสูง ผู้นำเหล่าทัพไม่มีผลประโยชน์ รวมถึงคนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเงินทุกบาททุกสตางค์จะต้องใช้อย่างคุ้มค่ากับโครงการเท่านั้น 
และ 3. การจัดซื้อจะต้องสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติอย่างเต็มที่ทั้งทางตรง ก่อให้เกิดความมั่นคงของชาติ และทางอ้อมคือสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาคน พัฒนาองค์ ความรู้ การถ่ายทอดเทคโนโลยีต่าง ๆ 

ทั้งนี้โครงการจัดซื้อเครื่องบิน F-35 A ที่กองทัพอากาศเสนอ ขณะนี้อยู่ระหว่างการอุทธรณ์ เพราะถูกตัดงบประมาณ และเครื่องบิน F-35 A ถือเป็นหนึ่งในเครื่องบินรบที่ดีที่สุดของโลก สามารถใช้กับอาวุธได้หลายอย่าง รวมถึงอาวุธที่กองทัพอากาศมีใช้ในปัจจุบัน จึงไม่มีความจำเป็นต้องจัดซื้ออาวุธเพิ่มเติม อีกทั้งการซื้อเครื่องบินก็จะทำให้ประหยัดงบประมาณ และในอนาคตหากมีอาวุธใหม่ๆที่มีประสิทธิภาพก็สามารถสั่งซื้อเพิ่มเติมได้ โดย F-35 ถูกออกแบบมาให้รองรับกับอาวุธใหม่ ๆ

พล.อ.อ. นภาเดช กล่าวต่อว่า กองทัพอากาศจัดซื้อโดยแบบวิธีความช่วยเหลือทางการทหาร ( FMS) ซึ่งเป็นการจัดซื้อเจรจาระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล จึงมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไม่มีนอก ไม่มีใน ไม่มีผลประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น นับว่าเป็นกระบวนการจัดซื้อที่เป็นแบบอย่างที่ประชาชนต้องการ ทั้งนี้ การไปเจรจา รัฐบาลไม่สามารถไปแบบมือเปล่าได้จะต้องมีความพร้อมเรื่องงบประมาณและแผนการดำเนินการที่สมบูรณ์ เพื่อให้ผู้ขายเห็นความพร้อม

‘พูดง่าย ๆ เราไม่สามารถเดินตัวเปล่าเข้าไปซื้อ ได้และกองทัพอากาศ เคยจัดซื้อในรูปแบบดังกล่าวมาแล้ว คือเครื่องบิน F-16 ซึ่งอยู่ยงคงกระพันใช้งานมาเกือบ 40 ปี และเป็นเครื่องบินรบหลักของกองทัพอากาศ ดังนั้นหากเครื่องบิน F-35 A ผ่านการอนุมัติ เราใช้งานไปอีก 35-40 ปีเช่นเดียวกัน ย้ำว่า  F-35 A เป็นเครื่องบินล้ำสมัย เต็มไปด้วยเทคโนโลยีที่เราไม่เคยมีมาก่อน ก็จะเกิดการศึกษาเรียนรู้ การถ่ายโอนเทคโนโลยีเพิ่มเติมก็ถือว่าเป็นประโยชน์ในการพัฒนาคนและงาน รวมถึงความมั่นคงของชาติด้วย ดังนั้นหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 จะเล็งเห็นถึงองค์ประกอบที่สำคัญที่ได้กล่าวมา และกรุณาสนับสนุนโครงการสำคัญนี้ของกองทัพอากาศด้วย ย้ำว่าขอให้ประชาชนมีความเชื่อใจ ในความซื่อสัตย์และซื่อตรงและกองทัพอากาศ ได้ทำตามภาระหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว ‘พล.อ.อ.นภาเดช  กล่าว

เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีใน ฐานะรมว.กลาโหม ได้เห็นชอบในการจัดซื้อ F-35 อย่างไรบ้าง พล.อ.อ. นภาเดช กล่าวว่า เรามีผู้บังคับบัญชาที่ดีมาก ท่านได้พิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ในสภาวะเศรษฐกิจที่รุมเร้า แต่กองทัพอากาศได้ใช้งบประมาณของตัวเองในการจัดซื้อไม่ได้ขอเพิ่ม จากที่รัฐบาลได้ตั้งกรอบเอาไว้ให้ ส่วนที่จัดซื้อเพียง 2 เครื่อง และจะทยอยซื้อในระยะที่ 2 และ 3 เพิ่มเติมโดยใช้เวลา 10 ปี ซึ่งหากโครงการนี้ประสบความสำเร็จ ในปี 2575 กองทัพอากาศจะมีเครื่องบิน F-35 ประจำการจำนวน 12 เครื่อง และพร้อมที่จะปฏิบัติการรบในปี 2576 ภายหลังเตรียมการในทุกด้านเรียบร้อยแล้ว

ส่วนที่มองกันว่าการจัดซื้อเพียง 2 เครื่องน้อยเกินไปนั้น เราได้ศึกษา จากกองทัพอากาศต่างประเทศ ซึ่งทยอยจัดซื้อเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่ร่ำรวย หรือปานกลาง ก็มีวิธีการจัดซื้อที่แตกต่างกันไป บางประเทศซื้อเพียง 1 เครื่อง หรือ 2 เครื่องหรือ 4 เครื่อง และที่จัดซื้อครั้งเดียวครบฝูงมีน้อยมาก 

เมื่อถามว่าหากผ่านขั้นตอนทางสภาของไทยแล้วแนวโน้มที่จะผ่านสภาคองเกรสของสหรัฐฯ มีมากน้อยเพียงใด 

‘ต้องบอกว่ามันเป็นเรื่องยาก และโอกาสที่เราจะได้นั้น ก็อยาก แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส เรายังมีโอกาส แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือเราได้รับการสนับสนุน เห็นพ้องต้องกัน เป็นหนึ่งเดียว เพราะโครงการนี้มีประโยชน์ ไม่มีสิ่งที่เป็นโทษ ไม่มีการทุจริต และไม่ได้ซื้อของไม่ดี และเราได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและประชาชน ผมก็เชื่อว่าเปอร์เซ็นต์ความสำเร็จจะมีสูงอย่างมาก ‘

‘บิ๊ก บลจ.บัวหลวง’ ชี้!! ถึงเวลาที่ไทยต้องสวมบท ‘รจนา’ เลือกข้างระหว่าง ‘จีน - สหรัฐฯ’ หลังมะกันไม่ขาย F-35 ให้

เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 66 นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง จำกัด โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘ไม่ขาย ก็ไม่ซื้อ’ มีเนื้อหาว่า…

สหรัฐฯ ปฏิเสธไม่ยอมขาย F-35 ให้ไทย เพราะไม่ผ่านการอนุมัติจากสภาของเขา ซึ่งน่าจะมาจากการที่เราซ้อมรบกับจีนบ่อยขึ้น และเราไม่เข้าร่วมขบวนการนาโต้ 2

แต่นี่ไม่ใช่ข่าวร้ายสำหรับไทย เป็นข่าวดีด้วยซ้ำ เพราะ F-35 เนี่ยะมันมีปัญหาเยอะ เช่น บางทีก็บินไม่ขึ้น หลายครั้งที่เครื่องยนต์มีปัญหา ระบบนำร่องไม่เสถียร ฯลฯ เรียกว่าซ่อมมากกว่าใช้ (อันนี้ข้อมูลมาจากผู้รู้จริง จะลองหาเพิ่มในกูเกิ้ลก็ได้)

ถ้าไม่ติดว่าโยกงบที่จะซื้อ F-35 ไปใช้อย่างอื่นไม่ได้ ก็อาจจะเล็งไปที่ SU-35 จะดีกว่า

ผู้สันทัดกรณีระบุว่า “SU-35 ของรัสเซียนี่น่ะหลายชาติอยากได้มาก เนื่องจากถ้ามีไว้ก็เรียกได้ว่าน่านฟ้าเป็นของเขาเพียงผู้เดียว ขนาด F-35 เห็นแล้วต้องรีบหลบ เพราะ SU-35 มีเรดาร์ขั้นเทพ จะพรางตัวก็ขั้นเซียน ยิงได้ไกลโคตรจนเป้าหมายตายทั้งที่ยังไม่เห็นหน้าในจอเรดาร์”

ส่วนเรื่องการเมืองในไทยยุคนี้ ต้องขอย้ำว่า อย่าไปอินอะไรมากนัก ข่าวสารที่ได้รับต่าง ๆ ก็ไม่แน่ว่าใครเป็นคนเผยแพร่ให้แฟนคลับเกิดอาการคลุ้มคลั่ง ให้เขาตกลงกันเล่นเถิดเทิงตั้งรัฐบาลกันไปตามลำบากเหอะ พวกเราคั่วป๊อปคอร์นกินไป ดูไป บันเทิงใจดีออก

แต่ถ้าจะดูทิศทางการเมืองที่ถูกต้อง ก็ขอให้ดูที่การต่อสู้ของมหาอำนาจสองฝั่งที่กำลังรุกคืบมาแถวนี้แล้ว โดยที่กระแสโลกที่ ‘ไม่เอานาโต้ ไม่เอากองทัพสหรัฐฯ’ กำลังแพร่กระจายอย่างฉุดไม่อยู่… แหม มันสาแก่ใจอีช้อยยิ่งนัก

ผู้สันทัดกรณีระบุอีกว่า “ไทย พม่า ลาว คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะทำให้อาเซียนรอด มีรัสเซียกับจีนคอยโอบอุ้ม กับพร้อมลงมือทันทีหากฝ่ายตรงข้ามเขยิบ”

สรุปคือ สองขั้วมหาอำนาจขยายอิทธิพลและเป้าหมายมาที่อาเซียนแล้ว แบบไม่มีใครยอมใคร ประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนต่างเลือกข้างแล้ว

เหลือแต่พี่ไทยนี่แหละ ซึ่งมันชัดขึ้นทุกทีว่าเราถูกกดดันให้เลือกข้าง จะเล่นบทเดิมเป็นนางวันทองสองใจอีกไม่ได้ ต้องเป็นรจนาเสี่ยงพวงมาลัยเลือกระหว่าง ‘หยางหยาง’ กับ ‘คริส อีแวนส์’

แหม ก็มันหล่อคนละแบบ จะให้ตัดใครไปได้ลงเล่า!?


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top