Thursday, 16 May 2024
Crime

กลุ่มผู้เสียหาย ร้องตร.ไซเบอร์ เอาผิด เท้าแชร์แม่หนิง หลอกเล่นแชร์ออนไลน์ ผ่อนสินค้าแบรนด์เนม สุดท้ายถูกเชิด

เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2566 ที่กองบังคับการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 (บก.สอท.1) ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กทม. กลุ่มผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อแชร์ “แม่หนิง”เข้าร้องขอความเป็นธรรมกับ ตำรวจ บก.สอท. เพื่อให้ดำเนินคดีกับเท้าแชร์ในความผิดฐาน “ฉ้อโกง ประชาชน” หลังเล่นแชร์ออนไลน์ ลงทุนออนไลน์ (สินค้าผ่อน) แล้วสูญเงินไปไม่ต่ำกว่าคนละ 5 แสน ถึง 1 ล้านบาท

หนึ่งในผู้เสียหาย กล่าวว่า ตนรู้จักกับเท้าแชร์ที่ชื่อแม่หนิงผ่านทางเฟซบุ๊ก และเคยเล่นแชร์ด้วยมานานกว่า 7 ปี โดยก่อนหน้านี้ไม่เคยถูกหลอกจึงเชื่อใจมาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ตนเล่นแชร์ทองหนัก 2 บาท ซึ่งผ่อนจนครบทั้งหมด 17 งวด งวดละ 2,950 บาท แต่กลับไม่ได้รับทองตามวันที่กำหนด

จึงรู้สึกเอะใจ เลยทักไปถามลูกแชร์คนอื่นที่เล่นแชร์ทองไปก่อนหน้านี้ จนทราบว่าลูกแชร์คนดังกล่าวก็ยังไม่ได้รับทองเช่นกัน ถึงรู้ตัวว่าถูกหลอก นอกจากนี้ยังทราบภายหลังว่ามีผู้เสียหายบางรายตั้งแต่ปี 64 ยังได้ของไม่ครบ ก่อนจะรวบรวมจำนวนผู้เสียหายเพื่อมาแจ้งความข้อหาฉ้อโกงประชาชน เบื้องต้นมีผู้เสียหายที่รวบรวมได้ประมาณ 12 คนทั่วประเทศ

ด้านผู้เสียหายแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่ม หลอกเล่นแชร์ออนไลน์ กลุ่มหลอกขายแชร์และกลุ่มผ่อนสินค้าออนไลน์ เช่น ของแบรนด์เนม, ทอง , ไอโฟน รวมมูลค่าความเสียหายเบื้องต้น 3.3 ล้านบาท เฉลี่ยรายละหลักหมื่นบาทถึงหลักล้านบาท มีผู้เสียหายมียอดถูกโกงมากสุด 1.6 ล้านบาท

ก่อนหน้านี้กลุ่มผู้เสียหายเคยรวมตัวไปติดต่อแจ้งความที่โรงพักแห่งหนึ่ง ใน จ.สมุทรปราการ เนื่องจากผู้ก่อเหตุพักอยู่ที่ ต.สำโรงเหนือ แต่ตำรวจปฏิเสธรับแจ้งความ ซึ่งกลุ่มผู้เสียหายเชื่อว่าอาจเป็นเพราะสามีของท้าวแชร์แม่หนิงเป็นคนคุมบ่อนและชอบอ้างชื่อหรือแสดงตัวว่าสนิทสนมกับตำรวจตั้งแต่ระดับ ร้อยตำรวจตรีจนถึงพันตำรวจเอก ซึ่งน่าจะใช้อิทธิพลทำให้แจ้งความชั้นโรงพักไม่ได้

อย่างไรก็ตามผู้เสียหายได้พยายามติดต่อเท้าแชร์แม่หนิงแต่ได้คำตอบบ่ายเบี่ยง อ้างว่ากำลังทำบัญชี ทำระบบ และล่าสุดผ่านมา 3 วันไม่สามารถติดต่อได้ แต่หน้าเพจยังเปิดรับลูกแชร์อยู่ตามปกติ นอกจากนี้ยังมีการขู่ผู้เสียหายว่าถ้ารอไม่ได้ก็แจ้งความ หรือไม่ก็ไปเจอกันที่ชั้นศาลเลย และคาดว่าอาจจะทำกันเป็นกระบวนการ ทั้งนี้ตนอยากได้เงินคืนและขอความชัดเจน

ขณะที่พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 กล่าวว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น ทราบว่ากรณีดังกล่าวมีผู้เสียหายหลายส่วนและเกิดในหลายพื้นที่ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ซึ่งจะต้องตรวจสอบดูว่าลักษณะเป็นแชร์หรือไม่ หรือเป็นการฉ้อโกงประชาชนอย่างไร เบื้องต้น สอท.1 ได้รับเรื่องไว้ และจะให้พนักงานสอบสวน สอบปากคำผู้เสียหาย หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จะนำเรื่องเข้าสู่ระบบ เพื่อดำเนินการตามกระบวนการต่อไป

‘ตร.ไซเบอร์’ เปิดปฏิบัติการล่าตัวราชาคริปโตฯ เครือข่ายจีนแสบ หลังหลอกตุ๋นลงทุนข้ามชาติ เสียหายทั่วโลกนับหมื่นล้าน!!

(27 มิ.ย. 66) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. สั่งการให้ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์, พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท., พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ, พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์, พล.ต.ต.ไพโรจน์ สุขรวยธนโชติ, พล.ต.ต.นิเวศน์ อาภาวศิน รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.สอท.2, พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 ปฏิบัติการ ‘Trust No One ล่าข้ามโลกราชาคริปโตฯ Ep : 2’ ปิดล้อมตรวจค้น 10 จุด ประกอบไปด้วย ในพื้นที่กรุงเทพกรีฑา 7 จุด ย่านสาทร 1 จุด จังหวัดสมุทรปราการ 1 จุด และพัทยา จังหวัดชลบุรี 1 จุด แสวงหาพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง

โดยจุดสำคัญคือการเข้าตรวจค้นห้องชุดชั้น 37 มูลค่า 128 ล้านบาท ภายในคอนโดหรูย่านสาทร ซึ่งห้องดังกล่าวมีการตกแต่งบิ้วอินสุดหรู โดยพบว่าห้องดังกล่าวเป็นของ ‘นายอาบิน เย่’ สามีของ ‘นางเคอ ยี เย่’ หรือ ‘คี ยี’ เย่อายุ 25 ปี ผู้ต้องหาชาวจีนตามหมายจับศาลอาญาที่ 1665-1666/2566 ลงวันที่ 26 พ.ค. ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันฟอกเงิน ที่ถูกจับกุมไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งทางนายอาบิน เย่ คือ ผู้ต้องหาตามหมายแดงของตำรวจสากล ในความผิดฉ้อโกงประชาชน ที่ทางสาธารณรัฐประชาชนจีนต้องการตัวหลังก่อเหตุหลอกคนจีน สูญเงินมากกว่า 180 ล้านหยวน หรือมากกว่า 900 ล้านบาท

เบื้องต้นพบพยานเอกสารจำนวนมาก และเครื่องใช้ไฟฟ้าบางส่วนที่ถูกทิ้งไว้ จึงได้ทำการตรวจยึดไว้ตรวจสอบ นอกจากนี้ ในจุดอื่นๆ ส่วนใหญ่เป็นบ้านหรูหลังละ 60-80 ล้านบาท รวมทั้งในส่วนที่ จ.สมุทรปราการ และ จ.ชลบุรี ซึ่งในทางสืบสวนพบว่าถูกซื้อในนามนิติบุคคลของกลุ่มทุนจีน เจ้าหน้าที่จึงได้ยึดอายัดไว้เพื่อดำเนินการตามกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้อง

มีรายงานว่า ปฎิบัติการครั้งนี้เป็นการขยายผลจากปฏิบัติการ ‘Trust No One ล่าข้ามโลกราชาคริปโตฯ  Ep : 1’ โดยครั้งนั้นบช.สอท.ได้เข้าตรวจค้น 6 จุด ในย่านศรีนครินทร์ และจับกุมนายเซาเซียน ซู อายุ 31 ปี และนางคี ยิ ยี อายุ 25 ปี ผู้ต้องหาชาวจีนตามหมายจับศาลอาญาที่ 1665-1666/2566 ลงวันที่ 26 พ.ค. ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันฟอกเงิน  หลังก่อเหตุใช้โปรไฟล์ปลอมตีสนิท ผู้เสียหายผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ ก่อนจะชวนลงทุนในแพลตฟอร์มปลอมสําหรับเทรดเงินสกุลดิจิตอลหรือ สินทรัพย์ต่างๆ ในลักษณะหลอกลงทุนไฮบริดสแกรม ซึ่งมีผู้เสียหายในพื้นที่สน.ศาลาแดง,สน.โชคชัย และ สภ.บางสะพาน จ. ประจวบคีรีขันธ์ รวมมูลค่ากว่า 35 ล้านบาท อย่างไรก็ตามสำหรับผลการปฎิบัติทางตำรวจไซเบอร์จะแถลงในเวลา 13:00 น. ที่ บช.สอท.ต่อไป
 

เตือนสติ กลุ่มเยาวชนปาหินใส่รถไฟ สุดท้ายถูกตำรวจคลองตัน ดำเนินคดี ทำบันทึกทัณฑ์บน พร้อมผู้ปกครอง

27 มิ.ย. 2566 ความคืบหน้าเหตุ กลุ่มเยาวชน ร่วมกันก่อเหตุปาหิน ใส่ขบวนรถไฟ สายกรุงเทพ-ปราจีนบุรี ใกล้สถานีแอร์พอร์ตลิงก์รามคำแหง กรุงเทพฯ จนทางตำรวจ สน.คลองตัน ได้ลงพื้นที่เร่งติดตามตัวผู้ปกครองเด็กเหล่านี้มาดำเนินการทำทัณฑ์บน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอยอีกนั้น
ล่าสุด เมื่อค่ำที่ผ่านมา พ.ต.อ.วชิรากรณ์ วงศ์บุญ ผกก.สน.คลองตัน สั่งการให้ พ.ต.ท.ประเสริฐ จันทร์อักษร รอง ผกก.สส.สน.คลองตัน นำกำลังติดตามตัวเยาวชนชาย อายุระหว่าง 13-16 ปี จำนวน 7 ราย พร้อมกับผู้ปกครองมาที่ สน.คลองตัน 

จากการสอบถามเยาวชน รับว่าตนเองนั้นลงมือก่อเหตุจริง โดยทำเป็นครั้งแรก เกิดจากสาเหตุความคึกคะนองของกลุ่มเยาวชนดังกล่าว  เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้จัดทำบันทึกทัณฑ์บนความผิดครั้งแรก แก่ผู้ปกครองและเยาวชนว่า จะไม่ประพฤติตนเช่นนั้นอีก ซึ่งเป็นถือเป็นพฤติกรรมที่ถือว่าเป็นเด็กที่เสี่ยงต่อการกระทำผิด 

ตามกฎกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่อง กำหนดเด็กที่เสี่ยงต่อการกระทำผิด พ.ศ.2549 ออกตามความมาตรา 4 พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 โดยหากฝ่าฝืนจะถือว่าเป็นความผิดฐาน ปล่อยปละละเลย หรือยุยงส่งเสริมเด็กหรือเยาวชนให้กระทำความผิด ซึ่งผู้ปกครองได้รับทราบและเข้าใจดี   
และยังบันทึกข้อตกลงการเลี้ยงดูเด็ก โดยตกลงว่าจะดูแลเยาวชนเป็นอย่างดี และไม่ให้มาก่อเหตุเช่นนี้อีก พร้อมทั้งลงประจำวัน ไว้เป็นหลักฐาน และส่งตัวเยาวชนให้แก่ผู้ปกครองต่อไป

‘ชัยวุฒิ’ ย้ำ กม.ใหม่ ไม่ต้องรอแจ้งความ ให้ธนาคารอายัดบัญชีได้ทันที ลดความเสียหาย

(10 ส.ค. 66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า  เรื่องการอายัดบัญชีหรือระงับบัญชีม้า เราได้มีการแก้กฎหมายออกเป็นพระราชกําหนดปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งให้อํานาจธนาคารสามารถระงับบัญชีได้เลยเมื่อมีเหตุอันสงสัยว่าเป็นบัญชีม้า หรือมีประชาชนที่โดนหลอกลวงแจ้งไปที่ธนาคาร ทางธนาคารก็ต้องระงับบัญชีเลย เมื่อพูดคุยแล้วสอบถามแล้วเป็นบัญชีม้า มีผู้เสียหายมาร้องเรียน ธนาคารต้องระงับบัญชีเลยตามกฎหมายฉบับใหม่ที่ได้แก้ไขไปแล้ว 

ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่มีผู้ไปร้องและธนาคารไม่ยอมรับอายัดบัญชีนั้น นายชัยวุฒิ ให้ความเห็นว่า คิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะถูกต้อง ต้องไปตรวจสอบโดยละเอียดอีกครั้ง เนื่องจากที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยทำความเข้าใจกับสมาคมธนาคารไทยแล้ว และเข้าใจว่าทางธนาคารทุกแห่งก็ทราบแล้วก็มีการปรับปรุงระบบการทํางานให้มีการรับแจ้งความหรือรับเรื่องร้องเรียน เพื่อจะได้ระงับบัญชีม้าได้เลย โดยไม่ต้องมาดําเนินคดีหรือแจ้งตํารวจก่อนไประงับบัญชีที่ธนาคาร ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถดึงเงินกลับมาได้มากที่สุด พูดง่าย ๆ ก็เพื่อไม่ให้บัญชีเหล่านี้ไปสร้างความเสียหายให้ประชาชนต่อไปนั่นเอง

“ผมคิดว่า ธนาคารทุกธนาคารทราบและมีระบบรองรับอยู่แล้ว ซึ่งก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ได้อย่างไร เดี๋ยวจะไปตรวจสอบอีกครั้ง แต่อีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะพูดถึงก็คือเรื่องของ ประชาชนที่ได้รับ link ส่ง link ส่งไลน์ โทรมาคุยจากมิจฉาชีพที่อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นกรมโน้นกรมนี้ เป็นเจ้าหน้าที่ตํารวจ หรือบางทีก็อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารหรือส่งอีเมลมาก็ตาม ผมก็ฝากเตือนทุกคน ว่าอย่าไปเชื่อ เจ้าหน้าที่และหรือหน่วยงานต่าง ๆ ไม่มีใครโทรหาประชาชนเพื่อไปให้ทําธุรกรรมต่าง ๆ ถ้ามีก็จะติดต่อไปเป็นเอกสารหรือเป็นอะไรต่าง ๆ แล้วให้ท่านพยายามติดต่อธนาคารทําธุรกรรมต่าง ๆ ทุกเรื่อง ให้เข้าไปที่เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของธนาคารหรือของหน่วยงานนั้นโดยตรง อย่าไปติดต่อผ่านคนที่โทรมาหาท่าน เพราะในความเป็นจริงไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนของหน่วยงานรัฐโทรไปหาประชาชน มีแต่เป็นคนร้ายทั้งนั้น ไม่ต้องไปคุยไม่ต้องไปฟังเลย เสียเวลา แล้วก็อาจจะโดนหลอกด้วย

อย่างไรก็ดี จากในข่าวที่มีเรื่องการรั่วไหลของข้อมูลกรมที่ดิน ในส่วนนี้เป็นเรื่องสำคัญที่หน่วยงานอย่าง สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) และสำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล PDPA ของกระทรวงดิจิทัลฯ จะเข้าตรวจสอบว่ามีการรั่วไหลจริงหรือไม่ หรือเป็นเรื่องของพนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมที่ดินนำข้อมูลไปขายซึ่งการกระทำดังกล่าว ถือว่ามีความผิด ฝากเตือนยังเจ้าหน้าที่รัฐทุกคนที่เก็บข้อมูลประชาชนต้องเก็บให้ดี อย่านำข้อมูลไปขายจะมีโทษมีความผิด และจะต้องดำเนินการเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด

‘ชัยวุฒิ’ จี้ ตร.ล่าแก๊งแอปฯ ดูดเงิน หลังผู้ประกาศดังสูญเงินนับล้าน ลั่น!! จะพยายามทำให้ดีที่สุด ย้ำความสำคัญ ‘ไซเบอร์ซีเคียวริตี้’

‘ชัยวุฒิ’ จี้ ตำรวจเร่งติดตามแก๊งแอปฯ ดูดเงินมาดำเนินคดี หลังผู้ประกาศข่าวดังสูญเงินนับล้าน รับจะพยายามทำให้ดีที่สุด ย้ำ ไทยมี กม.อายัดบัญชี้ม้าแล้ว ยอมรับเป็นห่วงด้วยสังคมให้สิทธิสูง ไซเบอร์ซีเคียวริตี้จึงสำคัญ มั่นใจ สูญญากาศก่อนจัดตั้งรัฐบาลไม่กระทบแก้ปัญหา

(12 ส.ค. 66) ที่ท้องสนามหลวง นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการดำเนินการช่วยเหลือ เหยื่อ ถูกหลอกลวงทางออนไลน์ กรณีผู้ประกาศข่าวดังสูญเงินกว่า 1 ล้านบาท ว่า ต้องยอมรับว่าคดีหลอกลวงทางออนไลน์มีเยอะจริงๆ ซึ่งช่องทางสื่อสารออนไลน์มีหลายช่องทาง ขอแจ้งเตือนประชาชนเป็นเคสตัวอย่าง ว่าอย่าไปพูดคุยที่หลอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ “ไม่มีหรอก ไม่มีใครโทรหาหรอก” แต่ส่วนที่เกิดความผิดพลาดไปแล้ว ต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งสืบพาคนร้ายกลุ่มนี้มาดำเนินคดี และพยายามดำเนินการดึงเงินคืนมาให้ได้มากที่สุด

ซึ่งวันนี้เรามีกฎหมายเรื่องของการอายัดบัญชีม้าแล้ว ก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด แต่สุดท้ายด้วยระบบการเงินที่คล่องตัว และการสื่อสารที่เป็นระบบเปิดกว้าง ในสังคมไทยเราที่ให้สิทธิเสรีภาพสูงก็เป็นห่วงประชาชนจริงๆ ว่าจะโดนหลอกแบบนี้ ทั้งนี้ ขอฝากสื่อมวลชนช่วยเตือนพี่น้องประชาชนว่า ไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐคนใด ทุกกรมทุกกระทรวง โทรหาประชาชนเพื่อหลอก เพราะไม่ได้ว่างขนาดนั้น

เมื่อถามว่า ส่วนช่วงสุญญากาศก่อนการจัดตั้งรัฐบาล จะไม่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการใช่หรือไม่ นายชัยวุฒิ กล่าวว่า เรื่องของคดี การแก้ไขปัญหาปราบปรามออนไลน์ เป็นเรื่องของตำรวจอยู่แล้ว ซึ่งทำงานร่วมกับธนาคาร, DSI, สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) มีคณะทำงานและติดตามเรื่องนี้ตลอด มีการรับแจ้งความออนไลน์และระบบติดตามหลังบ้านอยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญคือเรื่องไซเบอร์ซีเคียวริตี้ เพราะแอปฯ ดูดเงินคือการแฮกเข้ามาในมือถือ แต่เราก็ต้องเข้าไปกดลิงค์ก่อน แต่วิธีที่ดีที่สุดระบบจะต้องบล็อกได้ ต้องมีการป้องกัน ซึ่งธนาคารและหน่วยที่เกี่ยวข้องพยายามอัพเดทระบบอยู่ตลอดเวลา ก่อนที่จะย้ำว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดคือเรื่องไซเบอร์ ซีเคียวริตี้

‘DSI’ สั่งฟ้อง ‘นอท-แทนไท’ พร้อมพวก  ฐานโยงฟอกเงินพนันกว่า 500 ล้าน

(13 ส.ค. 66) จากกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยกองคดียาเสพติด นำโดย นายพงษธร อินอำนวย ผู้อำนวยการกองคดียาเสพติด และคณะพนักงานสอบสวน ได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษที่ 6/2566 เกี่ยวกับแพลตฟอร์มลอตเตอรี่ออนไลน์ของ นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หรือ ‘นอท กองสลากพลัส’ และบรรดานายทุนของนายพันธ์ธวัช ไปก่อนหน้านี้นั้น

ล่าสุด นายพงษธร อินอำนวย ผอ.กองคดียาเสพติด และในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน เปิดเผยว่า สำหรับคดีพิเศษที่ 6/2566 ตนได้มีการประสานกับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการนับจำนวนสลากลอตเตอรี่ที่ได้ยึดมาจากกองสลากพลัส และตรวจสอบว่าเป็นสลากลอตเตอรี่จริงหรือไม่ ซึ่งอยู่ระหว่างการนับจำนวนของกลาง อีกทั้งเจ้าหน้าที่งานธุรการจะต้องทำการบันทึกลงเลขในเอกสารว่า ลอตเตอรี่จำนวนดังกล่าวนี้มีทั้งหมดกี่ใบ เป็นหมายเลขใด และจากงวดใดบ้าง ซึ่งจำนวนของกลางลอตเตอรี่ที่ได้ตรวจยึดมีประมาณ 10 ล้านฉบับ

ส่วนจำนวนผู้ต้องหาที่คณะพนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องมี 4 ราย ประกอบด้วย นิติบุคคล 2 ราย ได้แก่ 1.) บริษัท ไททันแคปปิตอล กรุ๊ปโฮลดิ้งส์ จำกัด 2.) บริษัท ลอตเตอรี่ออนไลน์ จำกัด ส่วนบุคคลอีก 2 ราย คือ 1.) นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) กองสลากพลัส และ 2.) นายแทนไท ณรงค์กูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไททันแคปปิตอล กรุ๊ปโฮลดิ้งส์ จำกัด

โดยสั่งฟ้องความผิด 2 ข้อกล่าวหา ฐานร่วมกันจัดให้มีการเล่นพนันและร่วมกันฟอกเงิน ทั้งนี้ คณะพนักงานสอบสวนเตรียมส่งสำนวนให้พนักงานอัยการคดีพิเศษภายในสิ้นเดือน ส.ค.นี้

นายพงษธร เผยอีกว่า สำหรับสำนวนคดีพิเศษที่ 6/2566 นี้ดำเนินการในส่วนของการขายลอตเตอรี่บนแพลตฟอร์มกองสลากพลัส เพราะจากพยานหลักฐานพบว่าเป็นการจัดให้มีการเล่นพนัน เนื่องจากทางนายพันธ์ธวัช ได้มีการกำหนดราคา เข้าลักษณะการรับกิน - รับจ่ายเอง โดยการเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นองค์ประกอบในการเล่น โดยมีนายแทนไท รับหน้าที่เป็นนายทุนให้ อีกทั้งเมื่อนายแทนไทต้องรับเงินจากนายพันธ์ธวัช เจ้าตัวจะใช้บัญชีธนาคารบริษัท ไททันแคปปิตอล กรุ๊ปโฮล ดิ้ง จำกัด ในการรับเงิน จึงทำให้ทั้งสองคนมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันในเรื่องเส้นทางการเงินและถูกแจ้งข้อหาร่วมกันฟอกเงิน

ส่วนจำนวนเงินที่มีการโอนจากบัญชีธนาคารของนายพันธ์ธวัชไปยังนายแทนไท พบมูลค่า 200 ล้านบาท ขณะที่เส้นเงินจากนายแทนไทโอนไปยังนายพันธ์ธวัช มีมูลค่า 500 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ขณะนี้นายแทนไทก็ยังไม่ได้เงินคืนจากนายพันธ์ธวัช จากการร่วมลงทุนกองสลากพลัส ซึ่งนายแทนไทก็ได้ยื่นเอกสารแจ้งมายังดีเอสไอว่า ได้ดำเนินการฟ้องเรื่องเงินกับนายพันธ์ธวัช แต่พนักงานสอบสวนก็ยืนยันว่าให้พิสูจน์เรื่องนี้ในชั้นศาลแทน เพราะพยานหลักฐานที่รวบรวมได้ในตอนนี้ พนักงานสอบสวนสามารถใช้พิจารณาจนเห็นสมควรแก่การสั่งฟ้องทั้ง 4 ราย ตามฐานความผิดข้างต้น

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับจำนวนเงิน 200 ล้านบาท ที่ถูกโอนจากบัญชีธนาคารของนายพันธ์ธวัชไปยังบัญชีธนาคารของนายแทนไทนั้น นายแทนไทได้เคยเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน โดยชี้แจงว่า เงินจำนวน 200 ล้านบาท ที่ให้นายพันธ์ธวัชกู้ยืมเป็นเงินของบริษัท โดยแบ่งเป็น 2 ยอด ได้แก่ 150 ล้านบาท และ 50 ล้านบาท และเป็นการจ่ายผ่านแคชเชียร์เช็ค ส่วนสาเหตุที่ไว้วางใจให้กู้ยืมเงิน เนื่องมาจากฝั่งนายพันธ์ธวัชมีการติดต่อมา เพื่อเสนอแนวทางการทำธุรกิจ อยากได้เงินกู้ รวมถึงนายพันธ์ธวัชยังได้แจ้งว่า จะกู้ยืมเงินเพื่อไปประกอบธุรกิจสลากกินแบ่งออนไลน์

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่นายพันธ์ธวัชมีกระแสข่าวเกิดขึ้น นายแทนไทได้พยายามบอกยกเลิกสัญญา กระทั่งนายพันธ์ธวัชได้นัดหมายวันที่ 30 ม.ค. 66 เพื่อทำการโอนคืนเงินให้นายแทนไท สำหรับสาเหตุที่นายแทนไทต้องยกเลิกสัญญาเพราะว่าในฐานะนายทุน ก็จะต้องพิจารณาว่านายพันธ์ธวัชและบริษัทฯ จะสามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้หรือไม่ เพราะนายแทนไทก็มีความจำเป็นต้องปกป้องเงินทุนของตัวเองด้วย พร้อมกันนี้ ยืนยันว่าเงินที่นายแทนไทให้นายพันธ์ธวัชกู้ยืมเป็นเงินที่ได้จากการลงทุนในต่างประเทศทั้งหมด ไม่ใช่เงินจากการทำธุรกิจผิดกฎหมายแต่อย่างใด

‘อดีตพระอาจารย์คม-พวก’ ปฏิเสธยักยอกเงินทำบุญวัด 182 ล้าน ศาลอาญาคดีทุจริตฯ เตรียมนัดตรวจหลักฐาน 7 พ.ย.นี้

(15 ส.ค. 66) ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติ มิชอบกลาง ตลิ่งชัน ศาลนัดสอบคำให้การในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 125/2566 ที่พนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ยื่นฟ้องนายวุฒิมาหรือ ‘พระมหาวุฒิมา เถาว์หมอ’ กับพวกรวม 9 คน ในความผิด (แต่ละรายพฤติการณ์ข้อหาต่างกัน) ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริต ยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตหรือ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษา ทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอา ทรัพย์นั้นไปเสีย หรือรับของโจร

วันนี้โจทก์ จำเลยทั้ง 9 คน ทนายจำเลยมาศาล

ศาลอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยทั้ง 9 คนฟัง แล้วจำเลยทั้งหมดยืนยันให้การปฏิเสธ

เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการตรวจพยานหลักฐานและการพิจารณาคดี ศาลเห็นสมควร มอบหมายให้เจ้าพนักงานคดีดำเนินการตามข้อบังคับของประธานศาลฎีกาว่าด้วยวิธีการดำเนินคดีทุจริต และประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2560 ข้อ 11 ให้เจ้าพนักงานคดีได้ดำเนินการตรวจสอบและรวบรวม พยานหลักฐาน และให้คู่ความมาศาล เพื่อดำเนินการในเรื่องดังกล่าวร่วมกับเจ้าพนักงานคดี ให้นัดตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานโดยเจ้าพนักงานคดีรวม 1 นัด ในวันที่ 25 ก.ย.2566 เวลา 09.00 น. ตามที่คู่ความมีวันว่างตรงกัน

โดยให้เจ้าพนักงานคดีช่วยควบคุมและแนะนำให้คู่ความ ดำเนินคดีนี้ให้เป็นไปตามขั้นตอนกฎหมายและคำสั่งศาล หากพบว่ามีข้อบกพร่องหรือขัดข้องเกี่ยวกับ กระบวนพิจารณาหรือการได้มาซึ่งพยานหลักฐานที่คู่ความอ้างอิง ให้รายงานต่อศาลพร้อมด้วย แนวทางแก้ไขโดยเร็ว

เพื่อให้ศาลพิจารณาสั่งการตามที่เห็นสมควรให้คู่ความดำเนินการดังต่อไปนี้ ก่อนวันนัดตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานดังกล่าวไม่น้อยกว่า 7 วัน

1.) ยื่นคำแถลงแนวทางการเสนอพยานหลักฐานในการไต่สวนต่อศาล รวมทั้ง ความเกี่ยวข้องกับประเด็นและความจำเป็นที่ต้องสืบพยานหลักฐานเช่นว่านั้น เพื่อพิสูจน์สนับสนุน ข้อเท็จจริงใดที่ยกขึ้นอ้างในแนวทางการไต่สวนนั้น พร้อมสำเนาแก่คู่ความอีกฝ่าย

2.) ยื่นบัญชีระบุพยาน พร้อมคำแถลงวิธีการได้มาซึ่งพยาน และสำเนาแก่คู่ความอีกฝ่าย

3.) ส่งพยานเอกสารหรือพยานวัตถุที่ประสงค์อ้างอิงและยังอยู่ในความครอบครอง ของตนต่อศาลเพื่อให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตรวจสอบ กรณีพยานเอกสารให้ส่งพร้อมสำเนาในจำนวน ที่เพียงพอต่อคู่ความฝ่ายอื่น

4.) จัดทำสารบัญรายการพยานเอกสารหรือพยานวัตถุ

5.) กรณีคู่ความประสงค์อ้างอิงพยานเอกสารหรือพยานวัตถุที่อยู่ในความครอบครอง ของบุคคลภายนอกให้คู่ความตรวจสอบเอกสารที่มีอยู่ในสำนวนก่อน หากไม่มี ให้ขอศาลมีคำสั่งเรียก พยานหลักฐานนั้นจากผู้ครอบครอง

6.) ยื่นคำแถลงเสนอแนวทางไต่สวนพยานบุคคลที่จะนำเข้าสืบพยานว่ามีจำนวน เท่าใด แต่ละปากเบิกความเพื่อพิสูจน์เกี่ยวกับข้อเท็จจริงใดโดยย่อ

กรณีที่คู่ความไม่มาในวันนัดตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานโดยเจ้าพนักงาน คดีหรือไม่ดำเนินการตามคำสั่งศาลดังกล่าว ถือว่าคู่ความมีความพร้อมในการดำเนินกระบวนพิจารณา และไม่มีข้อขัดข้องใด ๆ ศาลจะพิจารณาตรวจพยานหลักฐานไปตามรูปคดีที่ปรากฏในสำนวนและ ตามรายงานของเจ้าพนักงานคดีต่อไป

เมื่อเจ้าพนักงานคดีและคู่ความร่วมกันดำเนินการตรวจสอบและ รวบรวมพยานหลักฐานเสร็จสิ้นในกำหนดนัดดำเนินการดังกล่าวแล้ว ให้คู่ความดำเนินการดังต่อไปนี้

1.) ตรวจสอบพยานหลักฐานของอีกฝ่ายหนึ่งและจัดทำคำแถลงยื่นต่อศาลว่ายอมรับ หรือโต้แย้งพยานหลักฐานดังกล่าว หากโต้แย้งให้แสดงเหตุแห่งการโต้แย้งโดยชัดแจ้ง มิฉะนั้นถือว่า ยอมรับพยานหลักฐานของอีกฝ่ายหนึ่ง

2.) ยื่นคำแถลงแนวทางการเสนอพยานหลักฐานในประเด็นที่ยังโต้แย้งกัน ทั้งพยาน วัตถุ พยานเอกสาร พยานบุคคลและหลักฐานอื่นที่คู่ความชี้ช่องประสงค์ให้ศาลกำหนดให้นำเข้าไต่สวน

โดยให้คู่ความจัดทำคำแถลงดังกล่าวข้างต้นยื่นต่อศาลก่อนวันนัดตรวจพยานหลักฐาน ไม่น้อยกว่า 30 วัน เพื่อให้เจ้าพนักงานคดีตรวจสำนวน จัดทำสรุปย่อการกระทำความผิดของจำเลย ทั้ง 9 คน ตามฟ้อง สรุปรายงานการพยานหลักฐานต่าง ๆ ของคู่ความ โดยระบุพยานหลักฐานที่คู่ความ ไม่โต้แย้งกันเพื่อความสะดวกในการที่ศาลจะสอบถามคู่ความ และให้คู่ความรับข้อเท็จจริงหรือ พยานหลักฐานนั้นโดยไม่ต้องสืบพยาน สรุปประเด็นแห่งคดีที่คู่ความโต้แย้งกัน จำนวนพยานบุคคล และความเกี่ยวข้องกับประเด็น ความจำเป็นที่ต้องสืบพยานดังกล่าว และวิธีการได้มาซึ่งพยานหลักฐาน รวมทั้งจัดเรียงลำดับพยานบุคคลที่จะนำเข้าสืบก่อนหลังตามความประสงค์ของคู่ความ รายงานเสนอ ศาลก่อนวันนัดตรวจพยานหลักฐาน ศาลนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 7 พ.ย.นี้ เวลา 09.30 น.ตามที่คู่ความมีวันว่างตรงกัน และให้เบิกตัวจําเลยที่ 1-4 ที่ 6 และที่ 8 มาในวันนัด

สำหรับรายชื่อจำเลย ประกอบด้วย อดีตพระอาจารย์คม อภิวโร หรือ ‘พระวชิรญาณโกศล’ อดีตประธานฝ่ายสงฆ์วัดป่าธรรมคีรี อายุ 39 ปี, นายวุฒิมา หรือ ‘อดีตพระมหาวุฒิมา เถาว์หมอ’ อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าธรรมคีรี อายุ 38 ปี, น.ส.จุฑาทิพย์ ภูบดีวโรชุพันธุ์ อายุ 35 ปี, นายบุญส่ง หรือ ‘อดีตพระมหาบุญส่ง ผ่านภูวงษ์’ อายุ 34 ปี, นายบุณยศักดิ์ ภัทรโกศล, นายบุญเหลือ หรือ ‘พระบุญเหลือ โพธิ์ทอง’ อายุ 37 ปี, นายธนกฤต หรือ ‘อดีตพระธนกฤต ยศสุรินทร์’ อายุ 34 ปี, นายบัณดิษฐ์ หรือ ‘อดีตพระบัณดิษฐ์ ย่อยชา’ อายุ 38 ปี, นายณัฐพัชร์ หรือ ‘อดีตพระณัฐพัชร์’ หรือ ‘เบนซ์ ตั้งใจสนอง’ อายุ 35 ปี

ซึ่งกลุ่มจำเลยได้ร่วมกันเบียดบังเอาเงินของวัดป่าธรรมคีรี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ไปเป็นของตนเอง หรือของผู้อื่นโดยทุจริต เป็นเหตุให้วัดป่าธรรมคีรี ได้รับความเสียหายรวมเป็นเงินจำนวน 182,776,733 บาท

‘ผบช.กมค.’ ชี้!! PCT ทำคดี ‘มินนี่’ ถูกต้องตามขั้นตอนกฎหมาย ไม่อยากพูดเยอะ เพราะนายกฯ ตั้ง กก.ตรวจสอบด้วยแล้ว

(29 ก.ย. 66) จากกรณี น.ส.ธันยนันท์ หรือ สุชานันท์ สุจริตชินศรี หรือ ‘มินนี่’ หนึ่งในผู้ต้องหาคดีเว็บพนันออนไลน์ ได้ออกมาเปิดใจกรณีการถูกเจ้าหน้าที่ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (PCT ) อย่างน้อย 2 นาย บุกค้นบ้านตอนตีสาม พร้อมยึดโทรศัพท์มือถือนำไปตรวจสอบก่อนมีภาพหลุดส่วนตัวถ่ายคู่กับนายตำรวจที่ถูกกล่าวหาพัวพันกับบัญชีม้าเว็บพนัน ตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น

ล่าสุด พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบช.กมค.) ในฐานะหัวหน้าชุดปฏิบัติการ PCT กล่าวว่า เรื่องการสอบสวนได้ส่งให้พนักงานสอบสวนตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ทุกเรื่องควรจะอยู่ในสำนวนได้แล้ว เพราะตนได้ชี้แจงไปเยอะแล้ว ประกอบกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ตั้งคณะกรรมการมาตรวจสอบการปฏิบัติการในวันตรวจค้นด้วยแล้ว ซึ่งจะรอผลการตรวจสอบ

นอกจากนี้ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ PCT เข้าตรวจค้นและจับกุม ‘มินนี่’ ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายทุกประการ

และเมื่อถามต่อว่า ตำรวจที่ชื่อ ‘เจ’ ที่มินนี่อ้างว่ายึดมือถือไปนั้นมีตัวตนจริงหรือไม่ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ได้ปฏิเสธตอบคำถามดังกล่าว บอกเพียงว่าทุกอย่างอยู่ในสำนวน ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการตามขั้นตอนของกฎหมาย แล้วขออนุญาตให้สัมภาษณ์เพียงแค่นี้ก่อน

‘อนุทิน’ กวดขันเข้ม บุกจับผับผิด กม. รับนโยบายเปิดผับถึงตี 4  พบ ‘เปิดเกินเวลา-ใบประกอบการหมดอายุ-ยาเสพติด’ เพียบ!!

(10 ธ.ค. 66) นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการปกครอง,นายรณรงค์ ทิพย์ศิริ ผู้ตรวจราชการกรมการปกครอง, พ.ต.อ.วิชัย ณรงค์ รองผบก.น.4 , พ.ต.อ.เศรษฐพันธ์ ศรีสาคร ผกก.สน.โชคขัย, น.ส.สุวรรณา ว่องวาณิช ผอ.ส่วนวิเคราะห์ข่าวเฝ้าระวัง พร้อมชุดปฏิบัติการพิเศษ กรมการปกครอง, เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. และเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตลาดพร้าว, ตำรวจ สน.โชคชัย  สนธิกำลังการเข้าตรวจผับ ‘SONIC’ ถนนประดิษฐ์มนูธรรม แขวงและเขตลาดพร้าว กทม. หลังมีเบาะแสว่า ผับดังกล่าวเปิดโดยไม่ได้รับอนุญาต เปิดเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด และมีการใช้ยาเสพติดในสถานบริการ
จากการเข้าตรวจค้นพบเป็นร้านอาคารสูง 1 ชั้น ภายในเป็นห้องโถงที่มีการจัดวางโต๊ะ หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นักเที่ยวชายหญิง 220 คน กำลังเต้นรำ-ดื่มกันอย่างสนุกสนาน เจ้าหน้าที่จึงสั่งให้หยุดการใช้เครื่องเสียง และประกาศขอตรวจบัตรประชาชนและยาเสพติด โดยกลุ่มนักเที่ยวบางรายพยายามหลบหนีออกด้านนอก แต่กำลังของเจ้าหน้าที่ปิดล้อมไว้ทุกด้าน เบื้องต้นตรวจสอบไม่พบใบอนุญาตประกอบสถานบริการ

จากการตรวจบริเวณร้าน พบสารเสพติดบรรจุอยู่ในซองพลาสติก ประเภท ยาอี ยาเค ยาไอซ์ และ Happy water รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในการเสพถูกโยนทิ้งเกลื่อนพื้น เจ้าหน้าที่จึงตรวจยึดไว้เป็นหลักฐาน พร้อมตรวจบัตรประชาชนและตรวจปัสสาวะนักเที่ยวทุกคน

นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การตรวจค้นในครั้งนี้ พบนักท่องเที่ยว 220 คน แบ่งเป็นชาย 100 คน หญิง 120 คน และยังพบอีกว่า สถานประกอบการดังกล่าว ใบอนุญาตประกอบการหมดอายุตั้งแต่ปี พ.ศ 2563 แต่ยังคงลักลอบเปิดให้บริการเกินเวลาที่กฎหมายกำหนดมาจนถึงปัจจุบัน จากการตรวจค้นภายในร้านยังพบยาเสพติดหลายประเภท เช่น ยาบ้า ยาอี ไอซ์ เคตามีน Happy water เป็นต้น และยังพบอีกว่า ภายในร้านได้มีการจัดพื้นที่ให้ผู้ใช้บริการเข้าไปเสพยาเสพติด โดยห้องดังกล่าวจะเป็นห้องแยกอยู่ในห้องน้ำ ส่วนตัวเลขผู้ติดยาเสพติดนั้นอยู่ระหว่างการตรวจสอบอย่างละเอียด ซึ่งจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งในภายหลัง เบื้องต้นได้มีคำสั่งให้ปิดสถานประกอบเป็นเวลา 5 ปี ตามคำสั่งของ คสช.ที่ 22/2558 โดยหลังจากนี้ จะมอบอำนาจให้กองบัญชาการตำรวจนครบาลจัดการในเรื่องการดำเนินคดีทางกฎหมายต่อไป รวมทั้งจะดำเนินการขยายผลไปหาเจ้าของสถานประกอบการที่แท้จริง 

นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยืนยันว่า การบุกจับกุมในครั้งนี้ เป็นการตอบรับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่อนุญาตให้เปิดสถานบันเทิงถึงเวลา 04.00 น. เพื่อให้ผู้ประกอบการรายอื่น ๆ คำนึงไว้อยู่เสมอว่า จำเป็นต้องมีใบอนุญาตประกอบการ และปฏิบัติตามข้อกฎหมายอย่างเคร่งครัด

‘ขกท.ทบ.’ ร่วม ‘ตร.ปส.’ บุกรวบแก๊งลอบขนยาจากชายแดน พร้อมยึดยาบ้า 1.1 ล้านเม็ด เร่งขยายผลสืบหาเครือข่ายใหญ่

(17 ธ.ค. 66) หน่วยข่าวกรองทางทหาร กองบัญชาการกองทัพบก (ขกท.ทบ.) บูรณาการร่วมกับ กก.2 บก.ปส.3 บช.ปส. (นปส.เชียงราย) หลังจากได้รับแจ้งจากสายข่าวว่า นายจะแจ จะสึ อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่ 314 หมู่ที่ 12 ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ (อาศัยอยู่ที่บ้านในพื้นที่ตำบลห้วยชมพู อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย)  มีพฤติการณ์ ลักลอบลำเลียงยาเสพติด จากพื้นที่ชายแดนด้าน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เข้ามาเก็บพักไว้พื้นที่ตำบลแม่ยาว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ซึ่งมีการทำกันเป็นขบวนการ และดำเนินการลักลอบลำเลียงยาเสพติดอยู่อย่างต่อเนื่อง จึงดำเนินการสืบสวนเพื่อจับกุมบุคคลในเครือข่าย

โดยเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 19.30 น. นายจะแจ ได้ขับรถยนต์ ทะเบียน ยต 1928 เชียงใหม่ ออกจากบ้านพัก ในพื้นที่ ต.แม่ยาว อ.เมือง จ.เชียงราย ลักษณะการขับ ช้าบ้าง เร็วบ้าง และขับวนไป-มาในหมู่บ้าน จนกระทั่งเวลาประมาณ 20.30 น. นายจะแจ ได้ขับรถยนต์ จอดบริเวณบ้านไม่มีเลขที่ ต.แม่ยาว อ.เมือง จ.เชียงราย เจ้าหน้าที่จึงร่วมกันเข้าพิสูจน์ทราบ แต่นายจะแจ ไหวตัวทัน และได้ขับหลบหนี ไปทางบ้านกะเหรี่ยงรวมมิตร ต.แม่ยาวฯ เจ้าหน้าที่พยายามติดตามแต่ไม่พบตัว กระทั่งรุ่งเช้าของวันที่ 16 ธ.ค. 66 จึงได้ประสานผู้นำ ท้องถิ่น และเจ้าของ/ผู้ครอบครองบ้านหลังดังกล่าว เพื่อขอเข้าทำการตรวจค้น

จากการตรวจค้นพบของกลาง เป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน 4 กระสอบ จำนวนประมาณ 1,118,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่บริเวณบ้านดังกล่าว เจ้าหน้าทราบข่าว จึงได้ทำการตรวจยึด และลงบันทึก จากนั้นได้นำของกลางยาเสพติดดังกล่าว ส่ง พงส.บก.ปส.3 บช.ปส. เพื่อดำเนินการตามกฏหมาย และตืดตามตัวนายจะแจ มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top