Sunday, 28 April 2024
Bitkub

'กรณ์' มองกรณีศึกษา SCBS เทก Bitkub เพราะสุดท้ายดิจิทัล = ธุรกิจแบงก์ยุคต่อไป

"กรณ์" ชี้ 5 สัญญาณสำคัญ อนาคตการเงิน หลังกลุ่มธนาคาร ซื้อกิจการ Crypto Exchange 

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวถึงกรณี บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของธนาคารไทยพาณิชย์ ทำสัญญาซื้อหุ้นในบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (Bitkub) ว่า เห็นสัญญาณบางเรื่องจากดีล Bitkub x SCBx ซึ่งการที่กลุ่มธนาคารมาซื้อกิจการ Crypto Exchange ด้วยเงินมหาศาลส่งสัญญาณสำคัญหลายข้อ คือ 

1.) เป็นการยืนยันว่า นายธนาคารมองว่า crypto เป็นส่วนสำคัญใน "อนาคตการเงิน" แน่นอน ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ที่จะเกิดจากการ synergy ของผลิตภัณฑ์ทางการเงินของธนาคารปัจจุบันร่วมกับสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลกระทบต่อการบริหารการลงทุนของนักลงทุนไทยในสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลที่จะมีมากขึ้น ซึ่งต้องติดตามต่อว่าจะทำให้เงินทุนหมุนเวียนในตลาดทุน (ตลาดหลักทรัพย์) ได้รับผลกระทบมากน้อยแค่ไหน เมื่อนักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นหรือได้รับการชี้ชวนจากสถาบันการเงินเดิมที่ตนเชื่อมั่นและคุ้นเคย 

2.) แนวโน้มจากที่ในอดีตธนาคารพาณิชย์ขยายฐานธุรกิจด้วยการซื้อหรือควบรวมกันเอง จากนี้เราจะเห็นธนาคารพาณิชย์ซื้ออนาคตด้วยการลงทุนใน alternative finance (การเงินทางเลือกใหม่) ซึ่งแปลว่าธนาคารที่ขาดวิสัยทัศน์หรือขาดกำลังทุนมีแนวโน้มสูญพันธุ์สูง การตอบโต้ทางการแข่งขันระหว่างธนาคารพาณิชย์กันเองในเรื่องนี้ จะมีผลสำคัญในการกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมการเงินไทยให้ชัดเจนยิ่งขึ้น 

อุดรธานี - อาชีวะอุดร อินเทรนด์!! วิชัย ทองแตง นำ Bitkub และ Finn ร่วม "ปั้น" อาชีวะสู่ Digital Transformation

วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี ปรับตัวเร็วและแรงมาก จัดโครงการ "ปั้น" อาชีวะสู่ Digital Transformation โดยความร่วมมือกับ Bitkub World Tech และสถาบัน Finn School of Business and Tourism ซึ่งนำโดย คุณวิชัย  ทองแตง นักธุรกิจ นักลงทุนชั้นนำเมืองไทยและประธานกรรมการบริษัท Bitkub World Tech จำกัด

ทั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี กล่าวต้อนรับและกล่าวเพิ่มเติมว่า "วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานีถือเป็นสถานศึกษาชั้นนำที่มีการปรับตัวพัฒนาหลักสูตรที่ทันสมัย โดยได้ประสานเครือข่ายสถานประกอบการและหน่วยงานระดับชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ เพื่อที่จะมาร่วมพัฒนาการจัดการอาชีวศึกษาให้ตอบสนองความต้องการของพื้นที่จังหวัดอุดรธานีและพื้นที่อีสานตอนบน ซึ่งกำลังมีการเติบโตและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้ทางจังหวัดได้มียุทธศาสตร์ แผนงานและโครงการที่สำคัญที่จะเป็นฐานการผลิต การลงทุนและการพัฒนาอย่างเต็มรูปแบบให้เชื่อมโยงไปยังกลุ่มประเทศอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง ประกอบด้วย ประเทศจีน เวียดนาม สปป.ลาว พม่าและกัมพูชา ขอชื่นชมผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานีและคุณวิชัย ทองแตง ที่ได้ร่วมกันนำสิ่งดี ๆ มาดำเนินการโครงการฯ ในวันนี้ถือว่าเป็นการเตรียมกำลังคนเพื่อที่จะมารองรับการพัฒนาดังกล่าว"

ดร.นิรุตต์ บุตรแสนลี ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี กล่าวความเป็นมาและวัตถุประสงค์ของโครงการฯ "ตามที่วิทยาลัยฯ ได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นางสาวตรีนุช เทียนทอง โดยเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ดร.สุเทพ แก่งสันเที้ยะ ได้ส่งเสริม สนับสนุนให้ตระหนักถึงการปรับตัว จากสถานการณ์โลกปัจจุบันที่มีพลวัตน์การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเทคโนโลยีดิจิทัลถือเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและการประกอบอาชีพต่าง ๆ

ดังนั้น วิทยาลัยฯ จึงได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานและสถานประกอบการต่าง ๆ โดยโครงการนี้ ได้รับการประสานและสนับสนุน จากคุณวิชัย ทองแตง ซึ่งได้ประสานให้บริษัท Bitkub World Tech และสถาบัน Finn School for Business and Tourism มาร่วมพัฒนาหลักสูตรและจัดการสอนหลักสูตรระยะสั้น ด้าน Digital Transformation เป็นสำคัญ  เพื่อให้นักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วไปที่สนใจ ได้เข้าใจและพัฒนาตนเองให้ตอบสนองความต้องการของโลกอาชีพแห่งอนาคต และได้ร่วมพัฒนาหลักสูตรอาชีวะอินเตอร์ สาขาวิชาการโรงแรม เพื่อป้อนตลาดอาชีพ Butler และสาขาอื่น ๆ อีกเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง"

นายวิชัย ทองแตง นักธุรกิจและนักลงทุนระดับประเทศ ประธานกรรมการ บริษัท Bitkub World Tech จำกัด บรรยายพิเศษ ประเด็นสำคัญ คือ " ตนเองเป็นคนบ้านนอก เป็นคนธรรมดา ได้พัฒนาตนเอง พัฒนางาน โดยใช้การประสานเครือข่าย มีความกตัญญู เคารพผู้ใหญ่ ความสำเร็จ ไม่ได้อยู่ที่การพูด แต่อยู่ที่การเริ่มต้น แล้วลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ ด้วยสติ ปัญญา ความเพียรพยายาม มุ่งมั่น ไม่ท้อแท้ และหมั่นศึกษา ตรวจสอบจุดบกพร่อง จุดอ่อน จุดแข็ง และหาโอกาสในการทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ ใช้การตัดสินใจจาก Logic โดยโลกปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงแรงและเร็วมาก ทุกคนต้องเรียนรู้และพัฒนาตนเองให้ทัน และต้องสร้างโอกาสจากโลกยุคดิจิทัล

โดยต้องยึดหลักการที่สำคัญ 3 ข้อ 1. เราจะไม่ใช้เทคโนโลยี เพื่อโกง หรือหลอกลวงผู้อื่น 2. เราจะเรียนรู้ เพื่อสร้างสรรค์สังคมที่ดี มีคุณธรรม 3. เราจะแบ่งปันความรู้ และโอกาส แก่ผู้ที่ด้อยกว่า "

หลังจากนั้น เป็นการบรรยายโดยวิทยากรที่สำคัญ ประกอบด้วย คุณสุกฤษฎิ์ พุทธวิริยะ กรรมการบริหาร บริษัท บิทคับ เวิลด์เทค จำกัด บรรยายพิเศษ หัวข้อ "โอกาสทางธุรกิจในโลก Metaverse"

ดร.ปริญญ์ ศุกรีเขตร ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการและผู้ก่อตั้งสถาบัน Finn School of Business and Tourism และผู้เชี่ยวชาญ Blockchain, Cryptocurrency, NFT และMetaverse จาก Blockchain Counciประเทศสหรัฐอเมริกาคุณปิติภูมิ รักษ์ชูชีพ Senior Academy Business Development บริษัท Bitkub Academy และผู้เชี่ยวชาญด้าน Bitcoin and Cryptocurrencies และ Blockchain Technology จาก Berkley X, มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ร่วมบรรยายพิเศษ หัวข้อ "วิถีชีวิตใหม่ในโลกเสมือน (Metaverse)" 

‘ท๊อป Bitkub’ เล็งขยายธุรกิจไป ‘ฮ่องกง’ หลังโดน ก.ล.ต. สั่งปรับหลายครั้ง

'ท๊อป จิรายุส' ผู้ก่อตั้งกระดานเทรด Bitkub เผยผ่าน The South China Morning Post ว่าเตรียมย้ายบ้านธุรกิจซื้อขายเหรียญคริปโต จากประเทศไทย ไปจดทะเบียนในฮ่องกง

จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งกระดานเทรด Bitkub ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและกระดานซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตชื่อดังของไทยเปิดเผยในระหว่างการให้สัมภาษณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่การประชุมสุดยอดกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือ APEC2022 ว่า กระดานเทรด Bitkub ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจแลกเปลี่ยน cryptocurrency มากที่สุดของประเทศไทย กำลังเล็งการขยายธุรกิจ ไปยังเขตพื้นที่ปกครองพิเศษฮ่องกง โดยเป็นจุดหมายปลายทางในการจดทะเบียนธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งคาดว่าเป็นไปได้ว่าเร็วที่สุดภายในปี 2567

"เนื่องจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์มีส่วนสำคัญในการพิจารณาเลือกฮ่องกงมากกว่านิวยอร์ก เช่นเดียวกับศูนย์กลางทางการเงินในเอเชียที่มีหลักนิติธรรมและสภาพคล่องสูงในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งผมคิดว่าจุดแข็งของเราอยู่ที่ภูมิภาคอาเซียนตะวันออกเฉียงใต้ดังนั้นจึงเป็นการดีที่จะเชื่อมต่อกับตลาดใกล้บ้าน”

นอกจากนี้ ท๊อป ยังได้สะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นจากการล้มละลายของ FTX อีกด้วยว่า ความผิดพลาดของ FTX ซึ่งเป็นหนึ่งในการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งได้ยื่นฟ้องล้มละลายในสหรัฐอเมริกา สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อความเชื่อมันในอุตสาหกรรมคริปโตอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม ท๊อป จิรายุส ยังคงไม่หวั่นไหวเกี่ยวกับอนาคตของสินทรัพย์ดิจิทัล

“บริษัทส่วนกลางไม่กี่แห่งจัดการเงินของลูกค้าผิดพลาดหรือมีธรรมาภิบาลที่แย่มากไม่ได้หมายความว่าสกุลเงินดิจิทัลนั้นไม่ดี จริงไหม ซึ่งจริง ๆ แล้ว Cryptocurrency เป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่ามาก และลูกค้าจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาเสมอ” ท๊อป จิรายุส กล่าว

อย่างไรก็ดี การที่ผู้ประกอบการ เรียกร้องให้ฮ่องกงเร่งปฏิรูปกฎระเบียบสำหรับแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัล หากตั้งใจที่จะแสวงหาบริษัทด้านการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล และบริษัทอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เพื่อผลักดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แม้ว่าจะไม่ได้ยกตัวอย่างเฉพาะเจาะจงก็ตาม

“ฮ่องกงเป็นผู้นำด้านการเงินเสมอมา แต่เพื่อให้โมเมนตัมดำเนินต่อไปและยังคงเป็นผู้นำ พวกคุณควรมีกฎระเบียบที่เสรีและเปิดกว้างมากขึ้น และเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ มากขึ้น” ท๊อป จิรายุส กล่าวถึงกฎระเบียบที่ฮ่องกงควรมีเพื่อรองรับอุตสาหกรรมคริปโต

ขณะที่ Bitkub ซึ่งเป็นบริษัทแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลในประเทศไทย โดยมีศูนย์กลางธุรกิจในกรุงเทพฯ ซึ่งมีสัดส่วนปริมาณธุรกรรมเงินเสมือนจริงมากถึง 90% ในประเทศ โดยมีปริมาณการซื้อขายสูงถึง 23,000 ล้านบาทไทย (642 ล้านเหรียญสหรัฐ) ต่อวัน

อย่างไรก็ตาม Bitkub เกือบจะกลายเป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นรายแรกของไทย แม้ว่าบริษัทมีมูลค่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ แต่ธนาคารไทยพาณิชย์ได้ประกาศในเดือนสิงหาคมว่าได้ล้มเลิกแผนการที่จะซื้อหุ้น 51% ในบริษัทย่อยแห่งหนึ่งของบริษัท ท่ามกลางปัญหาด้านกฎระเบียบกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

นอกจากนี้ ท๊อป ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า จากภาวะเงินเฟ้อและปัญหาเศรษฐกิจที่สร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมคริปโตอย่างชัดเจน ทำให้การขยายธุรกิจสู่สาธารณะนั้นไม่ใช่เรื่องที่ Bitkub ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกในตอนนี้ โดยเรียกปีที่จะมาถึงนี้ว่าเป็น 'ฤดูหนาว' สำหรับทุกภาคส่วน แต่บริษัทจะมุ่งเน้นไปที่การรวมผลผลิตให้มากขึ้น ในขณะที่ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง

“ปี 2567 เป็นปีที่เราหวังว่าจะสามารถเปิดเผยแผนงานระยะต่อไปสู่สาธารณชนได้ เมื่อสถานการณ์ต่างๆ กลับสู่ภาวะปกติ ซึ่งขณะนี้ เรายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการสำรวจ” ท๊อป จิรายุส กล่าว

เมื่อเปรียบเทียบกับสิงคโปร์ ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นคู่แข่งตัวฉกาจในด้านการลงทุน ท๊อป จิรายุส ให้ความเห็นว่า ฮ่องกงมีสภาพคล่องสูงกว่า หมายความว่าการแปลงสินทรัพย์เป็นเงินสดทำได้ง่ายกว่า โดยปัจจุบัน ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง มีบริษัทจดทะเบียนจากประเทศไทยเกือบ 40 แห่ง

นอกจากนี้ ท๊อป จิรายุส ยังได้ ฉายภาพเศรษฐกิจในอนาคตว่า 2 ชาติมหาอำนาจที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือจีนและสหรัฐฯ แบ่งประเด็นระดับโลกตั้งแต่การค้าไปจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งรุนแรงขึ้นจากสงครามรัสเซียกับยูเครน ซึ่งจะส่งผลต่อการตัดสินใจของบริษัทต่างๆ ที่เข้าจดทะเบียนด้วย โดยเฉพาะบริษัทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะชอบฮ่องกง ในขณะที่บริษัทตะวันตกมีแนวโน้มที่จะมุ่งหน้าไปยังนิวยอร์ก

‘Bitkub’ ร่วมประชุม ‘World Economic Forum 2023 ครั้งที่ 14’ แลกเปลี่ยนแนวคิดธุรกิจ พา ‘สตาร์ตอัปไทย’ ก้าวไกลสู่เวทีโลก

(16 ก.ค. 66) เป็นความภาคภูมิใจของวงการสตาร์ตอัปไทยอีกครั้ง เมื่อ Bitkub, Wisesight และ a-commerce ได้รับเชิญเข้าร่วมการประชุมสภาเศรษฐกิจโลก ‘World Economic Forum 2023’ หรือ Summer Davos Forum ครั้งที่ 14 ณ เมืองเทียนจิน สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 27-29 มิถุนายน 2566 อย่างเป็นทางการ โดยคุณท๊อป จิรายุส ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ได้ขึ้นเวทีแสดงวิสัยทัศน์เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจร่วมกับผู้นำระดับโลกด้วย

การประชุม ‘World Economic Forum 2023’ หรือ Summer Davos Forum ครั้งที่ 14 ณ เมืองเทียนจิน สาธารณรัฐประชาชนจีนในครั้งนี้ จัดขึ้นภายใต้ธีม “ผู้ประกอบการยุคใหม่กับพลวัตในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” โดยมีผู้เข้าร่วมการประชุมทั้งระดับผู้นำภาคการเมืองของแต่ละประเทศ ผู้บริหารระดับสูงจากภาคธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ องค์การระหว่างประเทศ นักวิชาการจากทั่วโลก และภาคประชาสังคม จำนวนกว่า 1,500 คนทั่วโลก เพื่อหารือแนวทางหรือจุดยืนในการกำหนดนโยบายด้านเศรษฐกิจ สังคม และการพัฒนาในระดับระหว่างประเทศ ตลอดจนเสนอแนะแนวทางให้กับผู้ประกอบการในสายงานต่าง ๆ รวมไปถึงการสำรวจแนวทางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีนและเอเชียอย่างยั่งยืน

Bitkub ซึ่งเป็นสมาชิกสมาคม Thai Startup ในฐานะหนึ่งในสมาชิก World Economic Forum ด้วยจึงได้รับสิทธิ์ในการเชิญบริษัทสตาร์ตอัปไทยชั้นนำ เข้าร่วมการประชุมสภาเศรษฐกิจโลก ‘World Economic Forum 2023’ หรือ Summer Davos Forum ครั้งที่ 14 ที่ผ่านมา จึงได้ประสานกับสมาคม Thai Startup เพื่อร่วมกันสนับสนุนสตาร์ตอัปไทยสู่เวทีโลก โดยรอบนี้ได้เชิญคุณกล้า ตั้งสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) (Wisesight) และคุณวีระพงษ์ ศรีวรกุล ผู้ร่วมก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท เอคอมเมิร์ซ จำกัด (มหาชน) (ACOM) เพื่อพบปะพูดคุยกับ ผู้นำภาคการเมืองของแต่ละประเทศ ผู้บริหารระดับสูงจากภาคธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ องค์การระหว่างประเทศ นักวิชาการจากทั่วโลก และภาคประชาสังคม  เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและหารือร่วมกันถึงมุมมองของอนาคตทางเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ ภายในงาน ‘ท๊อป จิรายุส’ ในฐานะนักธุรกิจจากประเทศไทยและผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจดิจิทัล และหนึ่งในสมาชิกสมาคม Thai Startup ยังได้ขึ้นแสดงวิสัยทัศน์ในหัวข้อ ‘Education Disrupt-Ed’ และ ‘Beyond the Hype: Non-Fungible Tokens for Business’ ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากนานาชาติ ซึ่งการเข้าร่วมงานในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่สตาร์ตอัปจากประเทศไทยได้ขึ้นแสดงวิสัยทัศน์บนเวทีระดับโลก

‘ท็อป’ ยก ‘ดิจิทัล-กรีน’ เสียงสะท้อนหลักจากเวทีดาวอส หาก ‘ไทย’ ไม่อยากตกขบวน ต้องพัฒนา ‘คน-กลยุทธ์’ ด่วน

ไม่นานมานี้ ‘ท็อป’ จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ผู้เป็นมันสมองหลักของ ‘Bitkub’ ได้เปิดเผยผ่านรายการ Deep talk ว่า หลังจากได้เข้าร่วมการประชุม World Economic Forum 2024 หรือ การประชุมสภาเศรษฐกิจโลก เป็นปีที่ 3 เมื่อวันที่ 15-19 ม.ค.67 ที่ผ่านมา ณ กรุงดาวอส สมาพันธรัฐสวิส ภายใต้แนวคิด ‘Rebuilding Trust’ หรือการฟื้นคืนความเชื่อมั่นให้กลับมา หลังจากที่เศรษฐกิจทั่วโลกเผชิญกับการชะงักงันในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดของโลกที่กระทบต่อระบบเศรษฐกิจและการเติบโตของจีดีพีของโลกแล้ว

ท็อป เผยว่า โจทย์สำคัญต่อจากนี้ คือ โลกจะทำยังไงให้ ‘ความเชื่อใจ’ กลับมาได้ โดยหากอ้างถึงคำกล่าวของ ‘หลี่ เฉียง’ นายกรัฐมนตรีจีน จะเห็นถึง 6 โซลูชัน ที่เรียกว่า ‘ทรัสต์ระดับโลก’ ด้วยการกลับมาเริ่มต้นผ่าน...

1.ผู้นำโลกต้องพูดคุยกันมากกว่านี้ เพื่อแชร์มายเซ็ตในการขับเคลื่อนโลกไปด้วยกัน

2.แต่ละประเทศไม่ควรออกนโยบายระดับมหภาคระดับประเทศที่ขัดแข้งขัดขา เพราะโลกเราเชื่อมโยงกันมากกว่าที่เราคิด ซึ่งควรต้องคำนึงถึงว่า จะออกกฎเกณฑ์อย่างไรให้ได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย

3.สร้างความแข็งแกร่งให้กับซัพพลายเชนทั่วโลก เพื่อทำให้เทรดดิ้งพาร์ตเนอร์ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน

4.ภาคพลังงานต้องถูกเปลี่ยนแปลงไปสู่รูปแบบการผลิต ให้เป็น ‘สีเขียว’ โดยด่วนและต้องทำให้กรีนฮับที่ตอนนี้กระจุกตัวอยู่ในยุโรปกระจายตัวไปยังภูมิภาคอื่นด้วย เพื่อผลักดันให้ทุกคนเปลี่ยนแปลงไปสู่กรีนซัพพลายเชนอย่างราบรื่นที่สุด

5.โลกกำลังเข้าสู่การปฏิวัติทางเทคโนโลยี ‘ดิจิทัล’ หรือ 4th Industrial Revolution ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ดังนั้น จะทำยังไงให้ไม่เกิดการแย่งชิงและร่วมกันคิดค้นเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ๆ รวมทั้งผลิตบุคลากรที่มีความสามารถเข้าสู่ตลาด

สุดท้ายคือ 6.สร้างความเท่าเทียมระหว่างความสัมพันธ์ระหว่าง Global North รวมทั้งกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว และ Global South ซึ่งประกอบด้วย แอฟริกา, อเมริกาใต้ ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย ซึ่งเกิดความไม่เท่าเทียม จาก Climate Tech เทคโนโลยีที่ควบคุมหรือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกระจุกตัวอยู่ใน Global North รวมไปถึงตัวเลขการลงทุนทิ้งห่าง แล้วจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังได้อย่างไรในเมื่อโลกที่แตกเป็นเศษส่วนและกำลังเกิดการเปลี่ยนผ่านกันอย่างมหาศาล

ท็อป กล่าวอีกว่า ผู้นำทุกคนในเวทีดาวอสเห็นตรงกันว่า ในปี 2567 จะเป็นปีที่โลกจะเข้าสู่จุด ‘สมดุล’ มากขึ้น เริ่มจากตัวเลขเงินเฟ้อเริ่มลดลงในทุกประเทศทั่วโลก ตามด้วยการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นในโลก ทั้งการกระจายขั้วอำนาจ และ ‘เทรดแพทเทิร์น’ ที่จะเปลี่ยนกฎของโลกธุรกิจไปอย่างสิ้นเชิง

ท็อป กล่าวต่อว่า ในปีที่ผ่านมาธีมของ ‘ดิจิทัล เซอร์วิส’ และ ‘กรีน’ มีการเติบโตอย่างเร็ว ยิ่ง ‘กรีน’ ที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในภาคพลังงานนั้นเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 300% ในปีที่ผ่านมา ดังนั้น สัดส่วนของจีดีพีจะมีโอกาสเติบโตนับต่อจากนี้ มาจากการเปลี่ยนแปลงธุรกิจ และการซื้อขายผ่านเศรษฐกิจดิจิทัลที่จะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ

ดังนั้น จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘กรีนโปรเจกต์’ จะทำให้เกิดกฎใหม่ของโลกธุรกิจ ที่เข้ามาบีบเค้นให้บริษัทที่ไม่คำนึงถึง ‘ธุรกิจสีเขียว’ ให้ไม่สามารถส่งออกหรือนำเข้า ธนาคารไม่ปล่อยกู้ หรือถึงขั้นโดนแซงก์ชัน ทำให้เม็ดเงินกลุ่มเก่าเข้าสู่กลุ่มใหม่ และสร้างกำไรให้กับธุรกิจที่ใส่ใจเรื่องกรีนมากขึ้น ซึ่งจะสามารถเรียกเม็ดเงินลงทุนจากกลุ่มสถาบันเข้ามาลงทุนมากขึ้น เพราะโลกที่กำลังเคลื่อนที่ไปสู่การเปลี่ยนแปลงของเรื่อง ‘กรีนซัพพลายเชน’ นั้น ต้องขับเคลื่อนด้วยเงินลงทุนจากกลุ่มสถาบันที่ต้องอาศัยเงินทุนสูงถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ทุกปี ไปจนถึงปี 2050 ซึ่งคิดเป็น 5% ของจีดีพีโลกเพื่อให้โลกบรรลุเป้าหมายร่วมกัน

ในเรื่องเกี่ยวกับ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI กลายเป็นหัวข้อใหญ่ที่ถูกพูดถึง โดย ท็อป เผยว่า ในปี 2566 คือ ปีแห่งการทดลองเล่น AI แต่ปีนี้เป็นปีของการใช้จริง และ AI จะเป็นจุดกำเนิดของจริงสำหรับ Future of Job และ Future of Growth เพราะตลอดปีที่ผ่านมาโลกของเราอยู่กับที่ ไม่มีใครเป็น Growth Engine หรือผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกรายใหม่ เว้นแต่อินเดียที่เติบโตเป็น The new winner ปีนี้จึงต้องมี Growth Engine ใหม่ที่จะปลดล็อก

ฉะนั้น ทุกเสียงในที่ประชุมดาวอส จึงมองว่า AI เป็น The most powerful of technology หรือ ที่สุดของเทคโนโลยีอันทรงพลังที่ไม่ได้มีมานานแล้วตั้งแต่ยุคอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะเข้ามาปลดล็อก Productivity ใหม่ให้กับโลก และจะเป็น The New Driver สิ่งที่ขับเคลื่อนโลกต่อไป

ในแง่ของ AI กับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับผู้คนในอนาคตนั้น ท็อป เผยว่า การทำงานที่จะถูก Automated หรือควบคุมโดยขบวนการอัตโนมัติด้วย AI มากขึ้น ซึ่งกระทบมากที่สุดต่อคนที่ทำงานด้วย ‘สมอง’

ยกตัวอย่างกลุ่ม White-Collar Worker หรือคนที่ทำงานโดยที่ใช้มันสมองเป็นหลักนั้น น่าห่วงเพราะอีก 5 ปี ข้างหน้า 44% ของทักษะมนุษย์จะไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่ทุกงานที่ AI จะสามารถทำแทนมนุษย์ และอาจมีตำแหน่งงานใหม่ ๆ ที่ถูกรวมเข้ากับเทคโนโลยี AI

นอกจากนี้ วิวัฒนาการของ AI จะขยายวงมากขึ้น จะมีการใส่ ‘ศีลธรรม’ ลงไปใน AI เพื่อดีไซน์ให้ AI มีศีลธรรมควบคู่ไปด้วย เพราะถ้าไม่มีการป้องกันเทคโนโลยีที่กำลังพลุ่งพล่านแล้ว ความเสี่ยงจะเกิดขึ้นในแง่ของการถูกนำมาใช้ในด้านลบ จึงต้องมีการกำหนดกรอบว่าอะไรไม่ควรล้ำเส้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้นำทั่วโลกต้องช่วยกันกำหนดกฎเกณฑ์ของ AI

ในด้าน ‘รูปแบบการค้าใหม่’ (New Trade Pattern) ท็อป เผยว่า จะมีความน่าสนใจโดยอาเซียนเป็นจุดโฟกัส ซึ่งอาเซียนกำลังจะมี 3 สิ่งใหม่ที่น่าจะเกิดขึ้นในปี 2025 ได้แก่...

1.One Asian Strong ทำให้การหมุนเวียนเม็ดเงินผ่านระบบชำระเงินในอาเซียนเกิดขึ้นได้ง่ายโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม

2.ระบบโลจิสติกส์ ที่พูดคุยเป็นภาษากฎหมายเดียวกัน ซึ่งจะทำให้การนำเข้าและส่งออกของภูมิภาค ที่ปัจจุบันใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกนั้นไหลลื่น

3.ความลื่นไหลของคน ด้วย ‘One Visa’ หรือพาสพอร์ตเล่มเดียว จะทำให้ผู้คนไปได้ทั่วทั้งอาเซียน

คำถาม คือ จะทำยังไงให้อาเซียนจับมือกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน และชนะไปด้วยกันทั้งอาเซียน เพราะอย่าลืมว่า สหรัฐฯ เริ่มย้ายฐานการผลิตออกจากจีนและมุ่งเป้ามาที่อาเซียนมากขึ้น ขณะที่ที่จีนก็มองเอเชียเป็น Growth Engine ใหม่ ซึ่งมิตินี้ ถือเป็นการตอกย้ำอย่างชัดเจนว่า ‘อาเซียนกำลังเข้าสู่ปีทอง’ และกำลังจะกลายเป็นขุมทรัพย์ใหม่ ภายใต้มุมมอง อาทิ เศรษฐกิจใต้น้ำที่ถูกค้นพบแค่ 16%, กลุ่มคนทำงานที่อยู่ในวัยกลางคน, การเป็นแหล่งแร่หายาก และที่สำคัญที่สุดคือ ภายในภูมิภาคไม่ทะเลาะกับใคร มีแต่ความสงบสุข

จุดนี้เองจะทำให้บทบาทของอาเซียนบนเวทีโลกเข้มแข็งขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับ ‘ไทย’ ที่ถูกส่องแสงขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่นายกรัฐมนตรี ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ทำให้ประเทศไทยกลับมามีแสงส่องสว่างบนเวทีโลก ด้วยการเรียกนักลงทุนเข้ามาในประเทศไทย ภายใต้จุดขายใหม่ จากการเป็นพื้นที่ที่มีความสามัคคี ผู้นำในกลุ่มอาเซียนสื่อสารกัน นอกเหนือจากการเป็นแค่กลุ่มประเทศแรงงานราคาถูก

ดังนั้น นี่อาจเป็นโอกาสที่ใหญ่มากของไทย เพียงแต่ต้องปรับทัพขบวนการตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ตั้งแต่บริษัทเล็กระดับ, SME ไปถึงบริษัทใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ต้องมุ่งสู่ ‘กรีนซัพพลายเชน’ มากขึ้น

ท็อป สรุปตอนท้ายอีกด้วยว่า ‘ดิจิทัล’ และ ‘กรีน’ เป็น 2 คำที่ภาคธุรกิจไทยต้องเริ่มพูดถึงในทุก ๆ หมุดหมายในการดำเนินการ เพื่อคว้าเม็ดเงินลงทุนในระยะยาว ต้องสร้างความตระหนักรู้ในเรื่อง Climate Tech ซึ่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะมีบทบาทสำคัญมาก...เศรษฐกิจดิจิทัลและกรีน จะเป็นตัวชูโรง GDP ไทยในอนาคต ประเทศไทยต้องพัฒนาบุคลากรและเตรียมกลยุทธ์ใหม่ ๆ ไว้เพื่อคว้าโอกาส

‘บิทคับ’ ดำเนินการว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงิน เตรียมยื่นเข้าเทรดหุ้น IPO ใน SET ปี 2568

สื่อนอกเผย กระดานเทรดบิทคับ มีแผนเสนอขายหุ้น IPO ในตลาดหุ้นไทยภายในปี 2568 หลังกระแสบิทคอยน์ และตลาดคริปโตฟื้นตัวกลับมาสู่ช่วงเฟื่องฟูอีกครั้ง โดยราคาบิทคอยน์ปรับตัวพุ่งสูงขึ้นระดับ $70000 ต่อเหรียญบิทคอยน์ 

เมื่อไม่นานมานี้ นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Bitkub Capital Group กล่าวกับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า มีแผนที่จะนำ บิทคับ ออนไลน์ ซึ่งเป็นแพล็ตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของไทย เข้าจดทะเบียนซื้อขายหุ้น IPO ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือ ตลท. ภายในปี 2568 โดยขณะนี้อยู่ในช่วงของการว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงิน

ขณะที่ในส่วนของงวดบัญชีผลประกอบการล่าสุด บริษัทมีกำไรประมาณ 80% โดยปี 2564 บิทคับมีรายได้ 5,510 ล้านบาท กำไร 2,545 ล้านบาท ขณะที่ปี 2565 บริษัทมีรายได้ 2,846 ล้านบาท และกำไร 341 ล้านบาท

โดยก่อนหน้านี้ได้ขายหุ้นจำนวน 9.2% ให้กับ Asphere Innovation เป็นมูลค่าประมาณ 600 ล้านบาท เท่ากับมูลค่าทั้งกิจการ 6,500 ล้านบาท (ขณะที่บริษัท Asphere หรือชื่อเดิมคือ Asiasoft หรือ AS ซึ่งประกอบธุรกิจด้านซอต์ฟแวร์และการให้บริการเกมออนไลน์ในตลาดหุ้นไทย

ทั้งนี้จากความต้องการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อเก็งกำไรเพิ่มขึ้น ควบคู่ไปกับการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาบิทคอยน์ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 57% แล้วในในปี 2567 นี้

ในขณะที่ดัชนี CoinDesk20 ซึ่งเป็นตัวชี้วัดตลาดคริปโตในวงกว้างเพิ่มขึ้น 49% เมื่อเดือนที่แล้ว ทำให้จำนวนบัญชีที่ใช้งานในประเทศพุ่งถึงระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2565 บลูมเบิร์กกล่าว โดยอ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ของประเทศไทย

อย่างไรก็ตามกระดานเทรดบิทคับ ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือนมกราคม เนื่องจาก ‘ไบแนนซ์ ไทยแลนด์’ ซึ่งเป็นบริษัทแลกเปลี่ยนคริปโตที่ใหญ่ที่สุดในโลกตามปริมาณการซื้อขาย ซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนของธุรกิจดิจิทัลครบวงจรของ ‘กัลฟ์ อินโนวา’ ได้เปิดให้บริการอย่างเป้นทางการ

ทั้งนี้หากย้อนกลับไปในปี 2565 ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ยื่นเสนอซื้อกิจการของบิทคับ ออนไลน์ ในสัดส่วน 51% มูลค่ากว่า 17,850 ล้านบาท แต่ท้ายที่สุดแล้วดีลดังกล่าวก็ถูกยกเลิกไป หลังจากที่บิทคับถูกสำนักงาน ก.ล.ต. สั่งปรับจากความผิดในการสร้างออเดอร์ปริมาณการซื้อขายปลอม และทาง SCB ประเมินว่ามูลค่าหุ้นที่จะลงทุนนั้น ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน ด้วยมูลค่าที่แพงกว่าความเป็นจริงมากเกินไป 

และต่อมาทาง SCB ได้จัดตั้งศูยน์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลและยื่นขอใบอนุญาติกับทางสำนักงาน ก.ล.ต. ในชื่อบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX Securities Co., Ltd. ชื่อย่อ INVX (เดิมชื่อ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์​ จำกัด)) บริษัทภายใต้กลุ่ม SCBX ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2538 ปัจจุบันให้บริการการลงทุนทุกรูปแบบ อาทิ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ กองทุน ตราสารหนี้ รวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัล ผ่านผู้แนะนำการลงทุน และแพลตฟอร์ม ‘InnovestX Super App’


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top