TOPIC 26 : ปิดบังอะไรรึเปล่า? วิศวกร Google ถูกไล่ออก หลังบอก AI มีความรู้สึกเหมือนคน
ปิดบังอะไรรึเปล่า? วิศวกร Google ถูกไล่ออก หลังบอก AI มีความรู้สึกเหมือนคน
Click on Clear Original
โดย ปริม THE STATES TIMES (กุญชนิตา กุญชร ณ อยุธยา)
.
.
ปิดบังอะไรรึเปล่า? วิศวกร Google ถูกไล่ออก หลังบอก AI มีความรู้สึกเหมือนคน
Click on Clear Original
โดย ปริม THE STATES TIMES (กุญชนิตา กุญชร ณ อยุธยา)
.
.
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิด 'ศูนย์ปัญญาประดิษฐ์' คิดค้นนวัตกรรมสู่การพัฒนา 'เศรษฐกิจ-สังคม' ในอนาคต
Marketingoops เผย 5 เทรนด์ AI ในปี 2023 ที่จะเกิดขึ้นจริง ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมาจนสามารถทดแทนความสามารถของมนุษย์ได้หลายๆ เรื่องกันเลยทีเดียว
1. AI จะต่อยอดศักยภาพให้ 5G
การสื่อสารแบบ 5G เมื่อมาเชื่อมต่อกับ AI จะทำให้นวัตกรรมล้ำยุคต่าง ๆ ใช้งานได้อย่างแพร่หลาย เช่น รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ กล้องวีดีโอสตรีมมิ่งเรียลไทม์ความละเอียดสูง โดรนควบคุมระยะไกล ฯลฯ
2. AI จะสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและเชื่อถือได้
ความกดดันทางธุรกิจอันเกิดจากความผันผวนทางเศรษฐกิจสามารถแก้ไขได้ด้วย AI ซึ่งจะอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ ทั้งการคาดการณ์การคำนวณสิ่งที่จำเป็นและการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
3. AI ช่วยลดต้นทุนและหลีกเลี่ยงปัญหา
ปัญหาของโลกยุคใหม่มีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น แต่ AI จะช่วยคำนวณ การลดต้นทุน และคาดการณ์ปัญหาที่จะเกิดขึ้นเพื่อหาทางหลีกเลี่ยง
(10 พ.ย. 65) กลายเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ หลังไก่ทอดเจ้าดังในเยอรมนี ปล่อยให้เจ้าระบบปัญญาประดิษฐ์โพสต์ข้อความสุดสยองเชิญชวนให้คนกินไก่ทอดในวันสังหารหมู่ยิว
โดยเพจ 'เดือดทะลักจุดแตก' ได้นำเรื่องราวนี้มาเผยแพร่ ระบุว่า...
ย้อนไปเมื่อวันที่ 9 พ.ย. 1938 เกิดเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ เรียกว่า Kristallnacht หรือ Reichspogromnacht ซึ่งนาซีบุกสังหารหมู่ยิว เป็นบาดแผลฝังใจ
แต่ แอปฯ เคเอฟซี เยอรมัน ดันพลาดมหันต์ ระบบกึ่งอัตโนมัติ (Ai) ดันโฆษณาให้กินไก่ทอดเฉลิมฉลองถึงวันอันโหดเหี้ยมนี้
ทัวร์ลงสิครับ!!
นี่จึงเป็นตัวอย่างที่ดี ว่าทำไมพวกระบบประดานี้ ต้องมี ‘คน’ คอยตรวจตราเป็นด่านสุดท้าย ก่อนจะออกสู่สายตาประชาชี
หรือที่จริง ก็ไม่จำเป็น หากก่อนหน้านั้น ‘คน’ รอบคอบรัดกุมทดสอบมันให้ดีก่อนแอปฯ จะออกสู่ตลาด (หน้าที่ของ Quality Assurance Engineer)
‘Siri’ เสียง A.I. หญิงสาวใน Iphone แท้จริงแล้วเป็นฝีมือของคนไทย
.
ติดตามได้ใน THE STATES TIMES Y World x Open Up
.
#THESTATESTIMESYWORLD
#THESTATESTIMESYWORLDxOpenUp
#Siri
#Iphone
#AI
5 เทรนด์ เทคโนโลยีล้ำหน้า Ai ปี 2023
.
ติดตามได้ใน THE STATES TIMES Y World
บริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด ร่วมมือวิจัยนวัตกรรมกับ ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดยการพัฒนาน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพชนิดติดไฟยากจากน้ำมันปาล์ม และนำร่องการทดสอบภาคสนามเชิงบูรณาการ เพื่อผลักดันให้เกิดการใช้งานเชิงพาณิชย์อย่างยั่งยืน ภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG (BCG Economy Model)
ดร. บุญญาวัณย์ อยู่สุข หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าว ขอขอบคุณทางบริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด ที่ร่วมโครงการวิจัยครั้งนี้และขอขอบคุณความร่วมมือจากผู้ร่วมทุนในหลายภาคส่วนที่เป็นองค์กรหลักในอุตสาหกรรมน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้า ตั้งแต่ผู้ที่มีศักยภาพในการผลิตและจำหน่ายน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพ ผู้ใช้งานหลักของหม้อแปลงไฟฟ้าของประเทศอย่างการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ร่วมทั้งหน่วยงานจัดทำมาตรฐานสินค้าของประเทศ เรียกได้ว่าเป็นการบูรณาการร่วมกันของทุกภาคส่วนเพื่อขับเคลื่อนผลงานวิจัยและผลักดันให้เกิดการใช้งานผลิตภัณฑ์น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพจากน้ำมันปาล์ม เชิงพาณิชน์อย่างแพร่หลายภายในประเทศของเรา ความร่วมมือนี้จะส่งผลให้การดำเนินวิจัยเป็นไปอย่างครบวงจร มีแผนและผลการดำเนินงานที่ชัดเจน ผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นมีแนวทางการขับเคลื่อนผลการวิจัยให้สามารถไปสู่การใช้ประโยชน์ได้อย่างครบวงจร
ดร.ศุภกิตติ์ โชติโก อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ การวิจัยและส่งเสริมการพัฒนาน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพชนิดติดไฟยากจากน้ำมันปาล์ม นำร่องการทดสอบภาคสนามเชิงบูรณาการ เพื่อผลักดันให้เกิดการใช้งานเชิงพาณิชย์อย่างยั่งยืน จะช่วยยกระดับให้ผลผลิตทางการเกษตรถูกแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ในภาคอุตสาหกรรมมูลค่าสูงด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นภายในประเทศ รวมทั้งช่วยกระตุ้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ทางด้านสนับสนุนเกษตรกรปาล์มน้ำมัน และเป็นแนวทางหลักที่สามารถนำพาปาล์มน้ำมันไทยไปสู่จุดมุ่งหมายในการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โครงการวิจัยนี้มีเป้าหมายที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG (BCG Economy Model) โดย สร้างฐานข้อมูลและองค์ความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพชนิดติดไฟยากจากน้ำมันปาล์ม เพื่อใช้เป็นแนวทางในการสร้างมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ของประเทศต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการส่งเสริมการใช้งานภายในประเทศและ การทำตลาดในต่างประเทศ อีกทั้งยัง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ให้มีศักยภาพในการเป็นเจ้าของเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญต่อการสร้างและผลักดันอุตสาหกรรมใหม่ที่มีมาตรฐานคุณภาพและมีมูลค่าสูงกว่าอุตสาหกรรมเดิมจากพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ ก่อให้เกิดความยั่งยืนทางด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย
(29 มี.ค. 66) สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า ธนาคารเพื่อการลงทุน ‘โกลด์แมน แซคส์’ เปิดเผยรายงาน ชี้ว่า ปัญญาประดิษฐ์ หรือ ‘เอไอ’ อาจเข้ามาแทนที่งานประจำกว่า 300 ล้านตำแหน่งในสหรัฐหรือราว 1 ใน 4 ของงานประจำในตลาดงานทั้งในสหรัฐ และยุโรป
แต่นั่นก็อาจหมายถึงการเพิ่มขึ้นของตำแหน่งงานแบบใหม่ และผลิตภาพการทำงานที่เพิ่มมากขึ้น โดย ‘เอไอ’ อาจเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์และบริการแบบรายปีทั่วโลกมากถึงร้อยละ 7 ต่อปีในอีก 10 ปีข้างหน้า
ปัญญาประดิษฐ์แบบ Generative AI หรือ ‘เอไอ’ ที่สร้างสิ่งใหม่จากข้อมูลชุดที่มีอยู่แล้ว และมีความเป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากผลงานของมนุษย์ ถือเป็น ‘พัฒนาการยิ่งใหญ่’
ตามรายงานของโกลด์แมน แซคส์ ระบุว่า ผลกระทบจากการเข้ามาของเอไออาจส่งผลกระทบไปยังอุตสาหกรรมในภาคส่วนต่าง ๆ คือ ด้านงานธุรการร้อยละ 46 และงานด้านกฎหมายร้อยละ 44 ขณะที่งานก่อสร้างจะได้รับผลกระทบเพียงร้อยละ 6 ส่วนงานบำรุงรักษาหรือเมนเทนแนนท์จะได้รับผลกระทบน้อยสุดเพียงร้อยละ 4 เท่านั้น
ขณะเดียวกันในสหรัฐ ระบบเอไออาจนำไปใช้แทนแรงงานได้ประมาณร้อยละ 63 ส่วนแรงงานร้อยละ 30 ที่ทำงานด้านนอกไม่ได้รับผลกระทบจากเอไอ แม้งานเหล่านั้นอาจอ่อนไหวต่อระบบเอไอรูปแบบอื่นก็ตาม
นอกจากนี้ ผลวิจัยชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่เหมือนกันในยุโรป รวมถึงระดับโลก สัดส่วนการจ้างงานที่ทำด้วยตนเองในประเทศกำลังพัฒนามีมากกว่า จึงคาดว่างาน 1 ใน 5 อาจถูกแทนที่ด้วยเอไอ หรือคิดเป็นงานประจำประมาณ 300 ล้านตำแหน่งทั่วประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญ กล่าวเพิ่มเติมว่า “สิ่งหนึ่งที่มั่นใจ คือ เราไม่มีทางรู้เลยว่า งานตำแหน่งไหนที่จะถูกแทนที่โดยเอไอ ยกตัวอย่าง กระแส ‘แชทจีพีที (ChatGPT)’ ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ ณ ขณะนี้ทำให้คนทั่วไปสามารถผลิตเรียงความและบทความได้โดยไม่ต้องเพิ่งผู้ที่มีความรู้เฉพาะด้าน”
(30 มี.ค.66) เฟซบุ๊ก 'ไทยคำจีนคำ' ได้โพสต์เรื่องราวหลังจากได้เห็นข่าวในเมืองจีนมาสักระยะแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นจริงตรงหน้า ว่า...
เมื่อเพื่อนคนจีนของแอดมิน #ไทยคำจีนคำ โทรศัพท์มาขอให้ช่วยเซตอัพทีมถ่ายทำ Green Screen หรือ “ฉากเขียว” โดยจะให้เพื่อนจีนอีกคนที่ปกติทำงานเป็นผู้ดำเนินรายการออนไลน์มาอ่านข่าว 🎬
เราก็จัดไปตามการร้องขอ ต้องการสตูดิโอ, กล้อง, ไมค์, ไฟ เราจัดให้ได้หมด
สุดท้ายมาหน้างานรู้สึกสงสัย เลยถามเพื่อน “พวกนายจะเอาวิดีโอแบบนี้ไปทำอะไร?” 🤔
ที่ถามเพราะมันเป็นการอ่านข่าวธรรมดา ๆ รวม 3 ข่าวยาว ๆ ทุกข่าวเปลี่ยนเสื้อผ้า 1 ชุด อ่านผิดก็ไม่เป็นไรแค่อ่านต่อไปให้ครบ 10 นาที พูดอะไรก็ได้ บางท่อนไม่ต่อเนื่องกันด้วยซ้ำ
สุดท้ายได้คำตอบว่า “พวกเราส่งวิดีโอนี้ไปให้บริษัทเทคโนโลยีที่เมืองจีนทำการสร้างเป็น ‘ผู้ประกาศข่าว AI’ ”
AI หรือที่ย่อมาจาก Artificial Intelligence แปลเป็นไทยว่า “ปัญญาประดิษฐ์”
ภารกิจของเราในวันนี้แค่บันทึกภาพของการอ่านข่าว โดยเฉพาะการขยับปาก และการเคลื่อนไหวของมือเล็กน้อย เพื่อสะท้อนถึงการแสดงออกทางอารมณ์
รวมถึงบันทึกเสียง เพื่อเป็นแค่หลักยึดให้กับระบบในคอมพิวเตอร์
สุดท้ายแล้วบริษัทที่เมืองจีน ซึ่งรับเอาวิดีโอนี้ไป จะนำหน้าหล่อ ๆ ของเพื่อนคนจีนที่มานั่งอ่านข่าวในวันนี้ ไปสร้างเป็นผู้ประกาศข่าว AI
คือแค่ยืมรูปลักษณ์ภายนอก และบุคลิกภาพ โดยไม่ได้สนใจเนื้อหาที่เราบันทึกกัน
“ต่อไปคือเราแค่นำบทความ หรือเนื้อข่าวใส่เข้าไปในโปรแกรม มันจะสั่งการให้ผู้ประกาศข่าว AI อ่านตาม และแสดงอารมณ์ออกมาตามเนื้อข่าว”
หน้าตาของผู้ประกาศข่าว AI ถอดแบบมาจากคนจริง ๆ (เพื่อนจีนของแอดที่มานั่งอ่านข่าววันนี้) และการขยับปาก จะเปลี่ยนแปลงไปตามเนื้อหาหรือบทที่เราใส่เข้าไป
นั่นหมายความว่าต่อไป ไม่จำเป็นต้องให้คนจริง ๆ มาแต่งหน้า ใส่สูท และอ่านตามบทที่ปริ้นท์ออกมาในกระดาษ 🖨
แต่ใช้แค่การพิมพ์บทเข้าไปในระบบ แค่นี้ผู้ประกาศข่าว AI จัดการอ่านให้ และผู้ชมก็แค่รอดูข่าวเหมือนเดิม
“เทคโนโลยีตัวนี้เมืองจีนเริ่มใช้กันแล้ว ต่อไปคาดการณ์ว่าอาชีพผู้ประกาศข่าวที่เป็นคนจริง ๆ จะตกงานหมด”
“คนเขียนบทยังอาจจะพอมีงานทำอยู่บ้าง หรืออาจจะตกงานเหมือนกัน ต้องรอดู”
พูดง่าย ๆ คือเนื้อหายังคงมีความสำคัญ แต่ผู้ประกาศข่าวที่เดิมมีหน้าที่แค่อ่านตัวหนังสือและพูดออกมา อาจจะไม่จำเป็นอีกแล้ว
ทุกวันนี้ผู้ประกาศข่าวโทรทัศน์ในเมืองจีนที่มีชื่อเสียง ถูกเชิญมา Copy บุคลิกและใบหน้าแบบนี้ และนำไปใช้งานอย่างแพร่หลายในแพลตฟอร์มออนไลน์แล้ว
(30 มี.ค.66) World Maker เผยว่า เรื่องของกระแส AI ยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่องและขณะเดียวกันก็มีข่าวออกมาให้หลายคนกลัว !!! เพราะล่าสุดทาง Elon Musk ซึ่งเป็น 1 ในผู้นำเทคโนโลยีโลกได้ออกมาเรียกร้องให้บริษัททั้งหมดทั่วโลกหยุดการพัฒนา AI ขั้นสูงที่ฉลาดกว่า ChatGPT-4 เอาไว้ก่อนโดยด่วน !
ซึ่งเหตุผลคือเขากลัวว่าโลกของเราจะเป็นอันตราย อาจมีการใช้ AI ที่ฉลาดล้ำเหล่านี้เป็นอาวุธและโลกอาจพัฒนาด้านความปลอดภัยไม่ทันความฉลาดของ AI !!! โดยจดหมายเปิดผนึกของ Musk มีคนร่วมลงนามมากกว่า 1,100 คน ในรายละเอียดระบุว่า โลกควรหยุดพัฒนา AI ขั้นสูงเป็นเวลา 6 เดือนอย่างน้อย ! เพื่อให้ระบบต่าง ๆ ได้เตรียมตัวสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลก
Musk มองว่านับตั้งแต่การเปิดตัว ChatGPT ทำให้ทั่วโลกเข้าสู่การแข่งขันทางด้าน AI อย่างบ้าคลั่งและไม่สามารถควบคุมได้ ขณะที่แม้แต่บริษัทผู้สร้าง AI เองก็ยังไม่สามารถเข้าใจ ทำนาย หรือควบคุมมันได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ ดังนั้นหากปล่อยให้พัฒนาเร็วเกินไปจะเสี่ยงทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น !
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังวิจารณ์ Bill Gates อยู่ซ้ำ ๆ หลายครั้ง โดยเน้นย้ำว่า ความรู้ด้าน AI ของ Bill Gates นั้น “มีจำกัด” ทำให้ Bill Gates อาจไม่เข้าใจถึงอันตรายของการพัฒนาระบบ AI
Elon Musk เองถือเป็น 1 ในผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI แต่เขาได้จากบริษัทไปในปี 2018 และตั้งแต่นั้นมาเขาก็เริ่มตั้งตัวเป็นผู้วิจารณ์บริษัทนี้ (โดยเฉพาะหลังจาก Microsoft เข้าลงทุนใน OpenAI ในปี 2019) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ค่อยถูกกับ Bill Gates มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว และไม่รู้ว่าเขาหวังดี ๆ จริง ๆ หรือมีเหตุผลอื่นแฝงกันแน่ ? หรือว่าเขารับรู้ถึงอันตรายอะไรที่เราไม่รู้ ? เพราะขณะเดียวกันก็มีข่าวว่า Musk เองกำลังเร่งพัฒนา Generative AI เป็นของตนเองอยู่ด้วย
นอกจากนี้ยังมีข่าวอีกว่า Sam Altman และผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI ได้ปฏิเสธข้อเสนอของ Musk ในการที่เขาจะขึ้นบริหารบริษัทด้วยตนเอง ทำให้เราไม่รู้ชัดเจนว่าที่เขาออกมาเตือนเป็นไปเพราะเรื่องส่วนตัวหรือห่วงโลกจริง ๆ กันแน่ ? และก่อนหน้านี้ยังมีข่าวที่ Bill Gates เข้า Short Sell หุ้น Tesla ก่อนจะร่วงยับราว -80% เมื่อเร็ว ๆ นี้อีกด้วย
แต่ทั้งนี้ ก็ไม่มีใครปฏิเสธว่า ChatGPT และ Bing AI ของ Microsoft ที่ใช้เทคโนโลยีของ OpenAI สามารถทำงานหลายอย่างและอย่างน่าเหลือเชื่อและมีผลงานดีมากกว่ามนุษย์หลายคนด้วย แต่นั่นก็ทำให้หลายคนกลัวว่ามันจะฉลาดมากเกินไปจนกลายเป็นภัยคุกคามต่อมนุษย์ ?
ตอนนี้ Microsoft, Google กำลังเป็นผู้นำในแง่ของการนำ AI มาใช้งาน ในขณะที่ธนาคารยักษ์ใหญ่ของ Wall Street อย่าง Morgan Stanley ก็กำลังฝึก Algorithm ของ ChatGPT-4 เพื่อสร้าง AI ที่ใช้ในการ ”ให้คำปรึกษาด้านความมั่งคั่ง” โดยเฉพาะ ! ซึ่งแน่นอนว่าในอนาคต AI เหล่านี้จะฉลาดกว่า ChatGPT เวอร์ชั่นปัจจุบันอีกมาก
แถลงการณ์ระบุว่า “การวิจัยและพัฒนา AI ควรมุ่งเน้นไปที่การทำให้ระบบที่ทรงพลังและล้ำสมัยในปัจจุบันมีความแม่นยำ ปลอดภัย ตีความได้ โปร่งใส แข็งแกร่ง สอดคล้องกัน เชื่อถือได้ และมีความภักดีมากขึ้น เนื่องจากระบบ AI ที่มีความฉลาดในการแข่งขันของมนุษย์สามารถก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างร้ายแรงต่อสังคมและมนุษยชาติ”
และดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่แถลงการณ์เล่น ๆ เพราะมีการกล่าวเสริมอีกว่า “รัฐบาลควรเข้ามาใช้กฏหมายบังคับ” หากบริษัทต่าง ๆ ไม่ยอมหยุดพัฒนาและเปิดเผยต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส
แน่นอนว่าการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วของ AI ทำให้แม้แต่นักวิจัย ผู้นำด้านเทคฯ และนักจริยธรรมจำนวนไม่น้อยเกิดความกังวล ซึ่งผลกระทบเหล่านี้อาจเกิดขึ้นกับการจ้างงาน วิถีชีวิตของผู้คน การใช้เป็นอาวุธสงครามหรือทำเรื่องเลวร้าย และสุดท้ายคือการที่มนุษย์อาจปรับตัวตามไม่ทันความฉลาดของมัน ?