Friday, 17 May 2024
เครื่องบิน

'โค้ชแหม่ม' เผย!! เมื่อผู้โดยสารบนเครื่องบินกลายเป็นศพ แอร์ฯ รันงานบริการต่อ-ประคองใจญาติผู้เสียชีวิตจนถึงสุดทาง

เมื่อไม่นานนี้ ผู้ใช้ TikTok บัญชี @skycoachmamteam หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม ‘โค้ชแหม่มสอนแอร์’ ได้ออกมาเล่าประสบการณ์ในการทำงานอาชีพแอร์โฮสเตส เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ผู้โดยสารเสียชีวิตกะทันหัน ขณะกำลังบินอยู่เหนือน่านฟ้า พร้อมอธิบายข้อปฏิบัติที่แอร์ฯ จะต้องทำการจัดการ โดยระบุว่า…

“จากประสบการณ์ตรงของโค้ชที่ท่านผู้โดยสารเสียชีวิต บนไฟล์ทจากดูไบเพื่อบินไปนิวยอร์ก ไฟล์ทนั้นเราต้องนําศพท่านผู้โดยสารใส่ลงใน Body Bag ซึ่งก็คือ ‘ถุงเก็บศพ’ นั่นเอง แต่เราห้ามรูดซิปปิดไว้ทั้งหมด ทำไม่ได้เด็ดขาด เพราะว่าแอร์ฯ ไม่ใช่หมอ โดยตามกฎหมายแล้ว เราไม่สามารถที่จะประกาศได้ว่าท่านผู้โดยสารคนนี้เสียชีวิตตอนกี่โมง เพราะฉะนั้น เราจะรูดซิปถึงแค่คอ และยังคงต้องเปิดหน้าท่านผู้โดยสารเอาไว้

“ดังนั้น เราควรจะนำศพของท่านผู้โดยสารไปวางไว้ที่ไหน? ซึ่งไม่ควรวางไว้ที่ Crew Bunk เด็ดขาดเลย สําหรับสายการบินเอมิเรตส์ เราจะเก็บศพท่านผู้โดยสารไว้ในครัว ซึ่งในไฟล์ทนั้น เหตุเกิดตอนประมาณสามชั่วโมงก่อนการ Landing นั่นแปลว่า หลังจากที่ท่านผู้โดยสารเสียชีวิตแล้ว แอร์ฯ ยังต้องทําหน้าที่เซอร์วิสผู้โดยสารบนเครื่องบินต่อไป แล้วศพท่านผู้โดยสารนั้นเก็บที่ครัวหน้า โดยที่มีโค้ชเป็นหัวหน้าประจำไฟลท์นั้น…”

“ดังนั้น โค้ชเลยต้องถามลูกเรือว่า ลูกเรือในทีมโอเคไหม? ที่จะต้องทํางานอยู่ครัวหน้า ใครไหวหรือใครไม่ไหวอย่างไร ย้ายไปทําครัวหลังได้นะ ซึ่งก็มีน้องลูกเรือที่เขาไม่ไหวจริง ๆ กับการที่ทํางานแล้วจะต้องมีศพท่านผู้โดยสารอยู่ในครัว โค้ชก็เลยโทรศัพท์ขึ้นไปขอความช่วยเหลือจากลูกเรือเฟิร์สคลาส แล้วอธิบายว่าเรามีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น ขอให้มาช่วยหน่อย จากนั้นจะมีน้อง Cabin Service Attendant หรือ ‘พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน’ ซึ่งปกติน้องเขาจะเป็นคนที่ดูแลทําความสะอาดห้องน้ำและสปาในเฟิร์สคลาส โดยปกติน้องจะไม่เสิร์ฟ แต่วันนั้นพอเกิดเหตุฉุกเฉิน น้องเขาก็มาช่วยโค้ชเสิร์ฟ ซึ่งน้องน่ารักมาก มีสปิริตมาก… วันนั้นเราก็เลยทําหน้าที่เซอร์วิสโดยที่มีศพท่านผู้โดยสารอยู่ในครัวไปกับเราด้วย”

“จนกระทั่งก่อนที่จะ Landing ฝ่าย Purser ได้เข้ามาแจ้งว่าอยากให้มีใครสักคนไปนั่งจับมือกับคุณป้า เพราะว่าคุณลุงเพิ่งเสียชีวิตไป โค้ชจึงอาสา เพราะเป็นคนที่คุยกับคุณป้าตั้งแต่ตอนแรก โค้ชเป็นคนแรกที่ทำ CPR และเป็นคนที่ปิดตาท่านผู้โดยสาร ดังนั้น โค้ชจึงอาสาไปนั่งจับมือกับคุณป้า ซึ่งตอนที่ไปนั่งจับมือ คุณป้าได้บอกกับโค้ชก่อน Take Off ว่า…

“Befor taking off, I still had husband. Now i am widow.” (ตอนนี้ฉันน่ะ กลายเป็นม่ายแล้ว…)

สิ่งที่โค้ชบอกกับคุณป้าคือ “At least, when he is gone. He is close to God.” (อย่างน้อยตอนที่เขาจากไป คุณลุงก็ได้อยู่ใกล้กับพระเจ้านะ)

โดยคุณป้าได้เอ่ยขอบคุณที่พวกเราพยายาม ซึ่งเขาก็ได้เห็นว่าเราพยายามอย่างมาก ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถช่วยชีวิตคุณลุงได้…

“พอ Landing และไปถึงที่ JFK เมื่อประตูเครื่องบินเปิด จะมีหน่วย NYPD ซึ่งคือตํารวจของที่นิวยอร์กขึ้นมาสอบสวนเราว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง จากนั้นก็มีคุณหมอได้ให้นามบัตรกับตํารวจเพื่อคุยกัน แล้วเขาจึงนําศพออกไป ซึ่งมีการสืบสวนอยู่ตรงบริเวณนั้นประมาณเกือบชั่วโมง และในที่สุดลูกเรือก็ได้ออกจากสนามบิน…”

31 สิงหาคม พ.ศ. 2530 เครื่องบิน ‘เดินอากาศไทย’ เที่ยวบินที่ 365 ตกกลางทะเลก่อนถึงภูเก็ต เสียชีวิตยกลำ 83 ราย

วันนี้เมื่อ 36 ปีก่อน สายการบินของ บริษัท เดินอากาศไทย จำกัด เที่ยวบินที่ 365 นำผู้โดยสารจากหาดใหญ่ ทั้ง 74 คนและลูกเรืออีก 9 ปลายทาง จ.ภูเก็ต ตกก่อนถึงจุดหมายเสียชีวิตยกลำ

เหตุการณ์เศร้าในครั้งนั้น เกิดขึ้นเมื่อเครื่องบินของ เดินอากาศไทย เที่ยวบินที่ 365 นำผู้โดยสารบินจากหาดใหญ่ไปยังจังหวัดภูเก็ต เที่ยวบินนี้บริการด้วยเครื่องบินโบอิง 737 ทะเบียน HS-TBC เครื่องบินเกิดหมุนกลางอากาศ และควงสว่านก่อนตกทะเล ทางทิศตะวันออกของเกาะภูเก็ต ห่างจากสนามบินประมาณ 8 กิโลเมตร มีผู้เสียชีวิต 83 คน เป็นผู้โดยสาร 74 คน ลูกเรือ 9 คน ไม่มีผู้รอดชีวิต

ผลการสอบสวนอย่างเป็นทางการสรุปว่า อุบัติเหตุเกิดจากมีเครื่องบินเดินอากาศไทยและดรากอนแอร์ เดินทางมาถึงสนามบินในเวลาเดียวกัน เจ้าหน้าที่หอบังคับการบินจัดให้เครื่องทั้งสองลำมีระยะห่างไม่เพียงพอ หอบังคับการบินสั่งการให้นักบินเดินอากาศไทยนำเครื่องหลบออกนอกเส้นทาง ให้เครื่องดรากอน แอร์ไลน์ ลงก่อนอย่างกระชั้นชิดเกินไป ทำให้เครื่องเดินอากาศไทยเกิดอาการหัวปัก เครื่องสะบัดทางขวาอย่างแรง นักบินพยายามแก้ไขโดยดึงหัวขึ้น แต่เครื่องได้ตกลงถึงพื้นน้ำเสียก่อน

ภายหลังเหตุการณ์ รัฐบาลสั่งการให้ท่าอากาศยานขนาดใหญ่ทั่วประเทศไทย ดำเนินการติดตั้งระบบเรดาร์อย่างเร่งด่วน

‘การบินไทย’ อยู่ระหว่างเจรจาจัดหาเครื่องบินใหม่กว่า 95 ลำ หวังขยายขีดความสามารถการให้บริการในอนาคต

เมื่อวันที่ 9 ก.ย.66 การบินไทยกำลังเจรจากับทั้ง Boeing และ Airbus เพื่อสั่งซื้อเครื่องบินใหม่มากกว่า 95 ลำ ซึ่งประกอบด้วยเครื่องบินลำตัวแคบ 15 ลำ และเครื่องบินลำตัวกว้าง 80 ลำ ทั้งนี้ เพื่อเป็นไปตามการดำเนินการปรับโครงสร้างใหม่และเตรียมพร้อมรับตลาดการท่องเที่ยวที่กำลังเติบโต

เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา การบินไทยได้ประกาศว่ากำลังจัดหาเครื่องบิน A321neo จำนวน 10 ลำ และ A350-900 เพิ่มเติมอีก 11 ลำ แม้ว่าจะอยู่ในช่วงกลางของการฟื้นฟูกิจการ แต่สายการบินก็ต้องการเพิ่มขีดความสามารถเพื่อรองรับความต้องการเดินทางที่เพิ่มขึ้น

แหล่งข่าวรายงานว่า ในเบื้องต้นยังไม่ได้ข้อสรุปว่าเครื่องบินใหม่ทั้ง 95 ลำนี้จะเป็นรุ่นใดบ้าง แต่คาดว่าการตัดสินใจขั้นสุดท้ายจะเกิดขึ้นก่อนสิ้นปีนี้ หากเป็นไปตามแผน เครื่องบินใหม่จะทยอยรับมอบในช่วงทศวรรษหลังจากการสั่งซื้อ และนี่จะเป็นคำสั่งซื้อขนาดใหญ่อีกหนึ่งรายการของสายการบินจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

Boeing และ Airbus ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น

จากข้อมูลของ planespotters.net ปัจจุบัน ฝูงบินของการบินไทยมีจำนวน 52 ลำ ประกอบด้วย A320-200 จำนวน 4 ลำ A330-300 จำนวน 3 ลำ A350-900 จำนวน 14 ลำ Boeing 777-200ER จำนวน 6 ลำ Boeing 777-300ER จำนวน 17 ลำ Boeing 787-8 จำนวน 6 ลำ และ Boeing 787-9 จำนวน 2 ลำ

ทั้งนี้ สายการบินกำลังอยู่ในระหว่างการควบรวมกิจการของสายการบินในกลุ่ม Thai Smile เข้าดำเนินการภายใต้การบินไทย และรับโอนย้ายเครื่องบิน Airbus A320-200 ที่เหลืออีก 16 ลำ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้

‘สุวรรณภูมิ’ แจง หลังผู้โดยสารชาวต่างชาติแอบนำสัตว์ขึ้นเครื่องบิน เผย จนท.ละเลยหน้าที่-สั่งพักงานทันที ยัน!! ระบบตรวจค้นได้มาตรฐาน

เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 66 ‘ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ’ ชี้แจง กรณีมีผู้โดยสารลักลอบนำสัตว์ขึ้นเครื่องบินไปยังไต้หวัน โดยระบุว่า…

“ตามที่ได้มีการเผยแพร่ข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์ กรณีมีผู้โดยสารลักลอบนำสัตว์ขึ้นเครื่องบินของสายการบินไทยเวียตเจ็ท ออกเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2566 เวลา 15.32 น. ปลายทางท่าอากาศยานไต้หวันเถาหยวนนั้น

ทสภ. ได้ตรวจสอบการปฏิบัติงานของพนักงานตรวจค้น บริษัท รักษาความปลอดภัย ท่าอากาศยานไทย จำกัด (บรท.) ซึ่งเป็นบริษัทจัดจ้างของ ทสภ. ตามสัญญางานจ้างบริการรักษาความปลอดภัย ผ่านระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ย้อนหลัง พบว่าผู้โดยสารที่นำสัตว์ขึ้นเครื่องดังกล่าวเป็นชาวต่างชาติ 2 ราย ซึ่งได้มีการนำกระเป๋าผ่านเครื่อง X-Ray บริเวณจุดตรวจค้นในเวลาประมาณ 13.45 น. โดยพนักงานวิเคราะห์ภาพเกิดข้อสงสัยจึงส่งกระเป๋าให้พนักงานอีกคนหนึ่งทำการเปิดกระเป๋า เพื่อพิสูจน์ทราบว่าสิ่งที่สงสัยนั้นเป็นวัตถุอันตราย หรือวัตถุต้องห้ามหรือไม่ แต่พนักงานคนดังกล่าวมิได้ทำการเปิดตรวจกระเป๋า และอนุญาตให้ผู้โดยสารผ่านจุดตรวจค้นเดินทางขึ้นเครื่องบินต่อไป

ทสภ. ขอเน้นย้ำว่า ระบบเทคโนโลยีที่นำมาใช้ภายในจุดตรวจค้นของ ทสภ. สามารถทำงานได้ตามมาตรฐาน และขั้นตอนการตรวจสอบวัตถุต้องห้ามที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน แต่กรณีนี้เกิดขึ้นจากความผิดพลาดของพนักงานเปิดตรวจสอบกระเป๋า ที่ไม่ดำเนินการตามขั้นตอนการปฏิบัติงานที่กำหนดไว้ โดย ทสภ. มีคำสั่งให้พนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวหยุดปฏิบัติงานทันที และหากผลการสอบสวนพบว่า เป็นการละเลยขั้นตอนการปฏิบัติงานตามมาตรฐาน จะต้องถูกดำเนินการลงโทษตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ ทสภ. ขอย้ำเตือนผู้เดินทางทั้งชาวไทยและต่างชาติทุกท่าน ไม่กระทำผิดกฎหมายโดยการลักลอบนำสัตว์ หรือ ซากสัตว์ ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตขึ้นเครื่องเข้า-ออกนอกประเทศ หากประสงค์จะนำสัตว์เลี้ยงเดินทาง ขอให้ทำการขออนุญาตให้ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นจะมีความเสี่ยงต่อการกระทำผิดกฎหมายทั้งกฎหมายไทยและต่างประเทศ ที่ต้องรับโทษทั้งปรับและจำคุก”

‘การบินไทย’ ช่วยชีวิตผู้โดยสารหญิงวัย 99 ปี หลังหมดสติในห้องน้ำ ชาวเน็ตแห่ชม!! ‘แพทย์-ลูกเรือ’ รับมือสถานการณ์ฉุกเฉินได้ดีเยี่ยม

เมื่อวันที่ 2 พ.ย. 66 ผู้ใช้งานติ๊กต็อก ชื่อ nakokatt หรือ ‘ครูคัท คัทลียา’ คุณครูผู้ฝึกสอนแอร์โฮสเตส และเป็นแอร์โฮสเตสของ ‘การบินไทย’ ได้โพสต์คลิปวิดีโอแชร์ประสบการณ์การกู้ชีพฉุกเฉินบนเครื่องบิน และบอกเล่าเรื่องราวอันน่าประทับใจที่เกิดขึ้นบนเครื่องบินโบอิ้ง TG 624 ของ ‘การบินไทย’ เส้นทางบินจากกรุงเทพฯ ไปยังกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 66 โดยระบุว่า…

“เหตุการณ์ทั้งหมด ได้เกิดขึ้นก่อนที่เครื่องบินจะทำการลงจอดประมาณ 1 ชั่วโมง มีผู้โดยสารชายท่านหนึ่ง แจ้งกับลูกเรือว่า คุณแม่วัย 99 ปีของเธอ หมดสติอยู่ในห้องน้ำ หลังจากได้รับข้อมูลจากลูกชายแล้ว ลูกเรือของโบอิ้ง TG 624 จึงได้ทำการช่วยเหลือคุณยายผู้โดยสารที่หมดสติ และทำการตรวจสัญญาณชีพ จากนั้นจึงนำอุปกรณ์ถังออกซิเจนออกมา เพื่อทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นโดยทันที

ขณะเดียวกัน หัวหน้าลูกเรือได้มีประกาศหาแพทย์จากกลุ่มผู้โดยสารบนเครื่องบิน โดยในเที่ยวบินนั้นมีผู้โดยสารที่เป็นแพทย์หลายท่านแสดงตัว และรีบเข้าช่วยเหลือผู้ป่วยทันที โดยแอร์โฮสเตสอีกคนหนึ่งที่เคยเป็นพยาบาล ทำหน้าที่เป็นลูกมือในการช่วยเหลือแพทย์อย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ ยังมีผู้ฝึกงานด้านบริการการแพทย์การบินและอวกาศ (Air Force Combat Medic) คอยช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกให้ทุกฝ่ายอีกแรงด้วย

จนกระทั่งในที่สุด อาการของคุณยายก็กลับมาเป็นปกติ และยิ้มได้อีกครั้งหนึ่ง ในตอนที่เครื่องบินกําลังทำการลดระดับเพื่อเตรียมลงจอดพอดี”

ครูคัท ยังเล่าเรื่องราวที่น่าประทับใจไว้อีกด้วยว่า “หลังสถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติ Combat Medic ก็ได้ลุกขึ้นยืน เพื่อแจ้งให้ผู้โดยสารทราบว่า เมื่อสักครู่นี้ได้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น และที่สําคัญคือ Combat Medic ได้กล่าวชื่นชมความเป็นมืออาชีพของลูกเรือการบินไทย ในการตอบสนองและรับมือต่อสถานการณ์ฉุกเฉินได้เป็นอย่างดี”

“ถ้ารอยยิ้มของผู้โดยสาร คือรางวัลสําหรับลูกเรือ รอยยิ้มของคุณยายและญาติๆ ก็คือรางวัลพิเศษสําหรับลูกเรือในเที่ยวบินนี้ รวมถึงลูกเรือการบินไทยทุกๆ คน และนี่คืออีกหนึ่งความภูมิใจของพวกเราชาวการบินไทยค่ะ” ครูคัท กล่าวทิ้งท้าย

‘Boeing’ เล็งจัดหาเครื่องบิน ‘Boeing 787’ ให้ ‘การบินไทย’ หนุนแผนพัฒนาฟื้นฟูองค์กร เพิ่มขีดการแข่งขันตลาดการบิน

เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 66 สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า ‘Boeing’ กำลังมีความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการหารือกับ ‘การบินไทย’ เพื่อจัดหาเครื่องบินลำตัวกว้าง ‘Boeing 787 Dreamliner’ ประมาณ 80 ลำให้กับสายการบิน

รายงานที่เกิดขึ้น บ่งชี้ถึงความได้เปรียบของ ‘Boeing’ ที่มีเหนือ ‘Airbus’ ในการเจรจาอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับแผนการพัฒนาฝูงบินของการบินไทย ซึ่งนี่จะถือเป็นหนึ่งในคำสั่งซื้อเครื่องบินลำตัวกว้างที่สำคัญที่สุดรายการหนึ่ง ที่เกิดขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ข้อตกลงที่จะเกิดขึ้นจะถือเป็นความสำเร็จที่โดดเด่นของ Boeing ในตลาดการบินที่มีการแข่งขันสูง

การเจรจาจัดหาเครื่องบินใหม่นี้ รายงานโดยรอยเตอร์เป็นครั้งแรกในเดือนกันยายน โดยเน้นย้ำถึงความตั้งใจของการบินไทยที่จะขยายฝูงบินด้วยเครื่องบินลำตัวกว้างสูงสุด 80 ลำ และเครื่องบินลำตัวแคบ 15 ลำ แผนการปรับปรุงฝูงบินนี้ จุดชนวนให้เกิดการแข่งขันกันอย่างดุเดือดระหว่างเครื่องบิน Boeing 787 Dreamliner จาก Boeing และเครื่องบินรุ่น Airbus A350 จาก Airbus ทั้งนี้ Boeing, Airbus และรวมถึงการบินไทย ยังคงงดแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ 

ด้านการบินไทย ตั้งเป้าที่จะใช้ประโยชน์จากการเดินทางที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยการปรับปรุงเส้นทางบินในภูมิภาคด้วยฝูงบินที่ได้รับการปรับปรุงใหม่

อย่างไรก็ตาม มีความกังวลเกี่ยวกับขีดความสามารถของผู้ผลิตเครื่องบินรายใหญ่อย่าง Boeing และ Airbus ในการเพิ่มการผลิตเครื่องบิน เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น การตัดสินใจของสายการบินในการจัดหาฝูงบิน Boeing 787 Dreamliners จำนวนมาก ถือเป็นการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับสถานะของตนในตลาดการท่องเที่ยวที่กำลังเติบโต

ระทึก!! ‘เจแปนแอร์ไลน์’ เครื่องบินไฟไหม้บนรันเวย์ ‘ผู้โดยสาร-ลูกเรือ’ รวม 379 ชีวิต รอดตายยกลำ!!

(3 ม.ค. 67) อุบัติเหตุเครื่องบินของสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ที่เกิดชนกับเครื่องบินของหน่วยยามฝั่งญี่ปุ่นในสนามบินฮาเนดะ กรุงโตเกียว เมื่อวันที่ 2 มกราคม ที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่สร้างความตื่นตกใจให้กับผู้ที่ได้เห็นภาพเหตุการณ์

คำถามที่เกิดขึ้นตามมาคือการอพยพผู้โดยสารรวมทั้งลูกเรือ 379 ชีวิตออกมาอย่างปลอดภัย ที่ต้องบอกว่าไม่ต่างจากปาฏิหาริย์นั้นเกิดขึ้นอย่างไร จากภาพที่คนเห็นจากด้านนอกเมื่อเกิดอุบัติเหตุดังกล่าว คือเปลวไฟสีส้มได้ระเบิดขึ้นบนรันเวย์ จากนั้นก็ดูเหมือนเครื่องบินของเจแปนแอร์ไลน์ก็พุ่งต่อไปบนรันเวย์ในสภาพไฟลุกท่วมลำ

บีบีซี รายงานว่า ผู้โดยสารบนเครื่องบินแอร์บัส A350 เที่ยวบินที่ JL516 จากชิโตเสะ ฮอกไกโด ระบุว่า พวกเขารู้สึกได้ว่าเครื่องบินชนกับอะไรบางอย่างขณะที่มันกำลังลงจอดที่สนามบิน จากนั้นมีความร้อนพวยพุ่งขึ้นตามด้วยควันหนาแน่น

สัญชาตญาณในการเอาตัวรอดของทุกชีวิตถูกปลุกขุ้น ผู้โดยสารต่างตะเกียกตะกายเพื่อหนีออกจากเครื่องบินที่เต็มไปด้วยกลุ่มควัน ด้วยตระหนักดีว่าชีวิตของพวกเขาขึ้นกับเสี้ยวเวลาไม่กี่วินาทีข้างหน้า

การที่ผู้โดยสารพร้อมด้วยลูกเรือทั้งหมดสามารถหลบหนีออกไปจากเครื่องบินได้นั้นถือเป็นเรื่องไม่ธรรมดา ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การอพยพที่เกิดขึ้นโดยปราศจากที่ติ และเทคโนโลยีใหม่ๆ มีส่วนอย่างสำคัญต่อการรอดชีวิตของพวกเขา

อันทอน เดเบ ผู้โดยสารชาวสวีเดนวัย 17 ปี กล่าวถึงความวุ่นวายหลังอุบัติเหตุดังกล่าว ขณะเครื่องบินหยุดอยู่บนรันเวย์ ให้หนังสือพิมพ์ Aftonbladet ของสวีเดนฟังว่า ห้องโดยสารทั้งหมดปกคลุมไปด้วยควันภายในไม่กี่นาที และควันพวกนั้นก็เหมือนเหมือนนรก เหมือนพวกเราอยู่ในนรกอย่างไรอย่างนั้น

เดเบบอกว่า เราทิ้งตัวลงบนพื้น จากนั้นประตูฉุกเฉินของเครื่องบินก็เปิดออกมา พวกเขาพุ่งตัวออกไปตามๆ กัน เราไม่รู้ว่าเรากำลังจะไปไหน ดังนั้นเราก็เลยวิ่งออกไปบนที่โล่ง มันวุ่นวายมาก

เดเบ พร้อมด้วยพ่อแม่และน้องสาวของเขาสามารถหลบหนีออกมาจากเครื่องบินได้โดยไม่มีใครได้รับอันตราย

ซาโตชิ ยามาเกะ วัย 59 ปี บอกว่า เขารู้สึกว่าเครื่องบินเอียงไปด้านข้าง และรู้สึกว่าเกิดแรงกกระแทกครั้งใหญ่ในการชนกันครั้งแรก ด้านผู้โดยสารอีกรายหนึ่งที่ไม่เปิดเผยชื่อกล่าวว่า มีอุบัติเหตุเหมือนเครื่องบินชนกันระหว่างลงจอด เขาเห็นประกายไฟนอกหน้าต่าง ขณะที่ห้องโดยสารก็เต็มไปด้วยควัน

ผู้โดยสารบางคนเก็บภาพแสงสีแดงของประกายไฟจากเครื่องยนต์ขณะที่เครื่องบินหยุดนิ่งแล้ว อีกคนหนึ่งถ่ายวิดีโอเหตุการณ์ภายในตัวเครื่อง ที่แสดงให้เห็นถึงควันไฟที่พวยพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ผู้โดยสารร้องตะโกน ด้านลูกเรือพยายามที่จะบอกว่าพวกเขาจะต้องทำอะไรต่อไป

เอ็นเอชเคอ้างผู้โดยสารหญิงรายหนึ่งว่า บนเครื่องมืดลงเพราะไฟลามมากขึ้นหลังเครื่องจอด บนเครื่องบินเริ่มร้อนขึ้น และเธอก็คิอว่าตัวเองคนไม่รอด ด้านผู้โดยสารอีกคนบอกว่า แผนการหลบหนีทำได้ยาก เพราะใช้ประตูฉุกเฉินได้เพียงจุดเดียวทางด้านหน้าของเครื่อง เนื่องจากประตูฉุกเฉินของเครื่องบินทางตอนกลางและท้ายเครื่องบินไม่สามารถเปิดได้

ภาพและวิดีโอแสดงให้เห็นถึงช่วงเวลาที่ผู้คนบนเครื่องบินกระโดดลงจากสไลเดอร์เป่าลมของสายการบิน บางส่วนก็ล้มลงขณะพยายามหนีออกจากเครื่องที่ไฟลุกไหม้ และวิ่งหนีออกไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยกว่า

ไม่มีใครถือกระเป๋าลากขึ้นเครื่องของตัวเองออกมา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การอพยพผู้โดยสารออกจากเครื่องบินเป็นไปอย่างรวดเร็วมากขึ้น

อเล็กซ์ มาเชอรัส นักวิเคราะห์การบินบอกกับบีบีซีว่า ลูกเรือสามารถเริ่มการอพยพตามที่พวกเขาได้รับการฝึกฝนมาในช่วงไม่กี่นาทีแรกหลังเกิดอุบัติเหตุขึ้น และในช่วง 90 วินาทีแรก ไฟที่ลุกไหม้เกิดขึ้นในพื้นที่เดียว ทำให้พวกเขามีช่วงเวลาสั้นๆ ที่จะพาทุกคนออกไปจากเครื่องบิน

มาเชอรัสบอกอีกว่า ลูกเรือเข้าใจชัดเจนว่าประตูไหนอยู่ห่างจากเปลวไฟ ซึ่งเป็นสาเหตุที่เราได้เห็นในรูปภาพว่า ประตูฉุกเฉินทั้งหมดไม่สามารถเปิดออกเพื่อให้ผู้คนหลบหนีได้ ขณะที่ผู้โดยสารเองก็มีส่วนช่วยลดความตื่นตระหนก ด้วยตัวอย่างเช่นที่พวกเขาไม่พยายามที่จะเอากระเป๋าออกมาจากที่เก็บของเหนือศีรษะ

เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งเป็นเพราะเครื่องบินแอร์บัส A350 เป็นหนึ่งในเครื่องบินเชิงพาณิชย์รุ่นแรกๆ ที่ทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์คอมโพสิต ซึ่งมีความทนทานต่อการชนในครั้งแรกรวมถึงต่อเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นตามมา

ยามาเกะบอกว่า ในความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ผู้โดยสารใช้เวลาราว 5 นาทีก็สามารถออกจากเครื่องบินได้ จากนั้นในเวลาราว 10-15 นาที เขาก็เห็นเปลวไฟลามออกไปยังส่วนอื่นๆ ของเครื่องบิน

สึบาสะ ซาวาดะ วัย 28 ปี บอกว่า การที่พวกเขารอดตายมาได้ถือเป็นปาฏิหาริย์ แต่เขาก็มีคำถามเช่นกันว่า ทำไมถึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น และเขาไม่มีแผนจะขึ้นเครื่องบินอีกครั้งจนกว่าจะได้รับคำตอบ

หลังจากใช้เวลาดับไฟที่ไหม้เครื่องบินหลายชั่วโมง ในที่สุดไฟบนเครื่องเจแปนแอร์ไลน์ก็ถูกควบคุมไว้ได้ โดยผู้โดยสารและลูกเรือได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเพียง 14 คนเท่านั้น

ความโชคดีแบบเดียวกันไม่ได้เกิดขึ้นกับเครื่องบินเล็กของหน่วยยามฝั่งญี่ปุ่น ที่กำลังจะออกเดินทางไปช่วยผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวทางตะวันตกของญี่ปุ่น มีรายงานว่าลูกเรือ 5 คนเสียชีวิต ขณะที่กัปตันเครื่องบินแม้จะรอดตายแต่ก็บาดเจ็บสาหัส

ขณะที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนกำลังเร่งทำงานเพื่อไขคำตอบว่า เหตุใดเครื่องบินทั้ง 2 ลำจึงอยู่ในรันเวย์พร้อมกัน ซึ่งเป็นต้นเหตุของโศกนาฎกรรมรับปีใหม่ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดเช่นนี้

ชายชาวเยอรมนี วัย 63 ปี เสียชีวิตบนเครื่อง  หลังไอ-มีเลือดออกจำนวนมาก จาก ‘ปาก-จมูก’

(11 ก.พ.67) จากเพจ ‘World Forum ข่าวสารต่างประเทศ’ ได้โพสต์เนื้อหากรณี ชายชาวเยอรมนี วัย 63 ปี เสียชีวิตบนเครื่อง ด้วยอาการไอ มีเลือดออกจำนวนมากจากปากและจมูกเป็นลิตร จนกระเด็นเลอะที่นั่ง ผนัง และพื้นที่โดยรอบ

‘ลุฟท์ฮันซา’ (Lufthansa) เที่ยวบิน LH773 แอร์บัส A380 จากกรุงเทพฯ ไปมิวนิก ประเทศเยอรมนี โดยเที่ยวบินได้เดินทางออกจากกรุงเทพฯ เวลา 23.40 น. ของวันพฤหัสบดีที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมา

***จากคำบอกเล่าจากผู้เห็นเหตุการณ์ และนั่งใกล้ผู้โดยสาร (ชั้นประหยัดพรีเมียม)

“ชายชาวเยอรมนี วัย 63 ปี เดินทางมากับภรรยาชาวฟิลิปปินส์ โดยชายวัย 63 ปีรายนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะป่วย มีเหงื่อออกเป็นจำนวนมาก (Cold Sweats) และเขาหอบหายใจเร็วมาก” คู่รักชาวสวิตเซอร์แลนด์ที่นั่งด้านหลังและลูกเรือเล่า อีกทั้งพวกเขาได้สอบถามอาการจากภรรยาชาวฟิลิปปินส์ และได้คำตอบว่า “อาจเพราะเหนื่อยจากการเร่งรีบ เพื่อวิ่งมาขึ้นเครื่องบิน”

ทั้งนี้ คู่รักชาวสวิตเซอร์แลนด์ที่นั่งด้านหลัง ซึ่งเป็นฝ่ายหญิงนั้นเธอเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพยาบาล ในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยซูริค เธอมองว่าอาการชายวัย 63 ไม่ดีขึ้น จึงแจ้งลูกเรือว่า เขาจำเป็นต้องได้รับการตรวจจากแพทย์อย่างเร่งด่วน และผู้โดยสารคนอื่นๆ ยังพยายามให้ความช่วยเหลืออีกด้วย

กัปตันได้ประกาศหาแพทย์บนเที่ยวบิน ต่อมา แพทย์ชายชาวโปแลนด์วัยประมาณ 30 ปี (ภาษาอังกฤษไม่คล่อง) บนเครื่องบิน ได้มาดูอาการ โดยแพทย์ถามผู้ป่วยเพียงสั้นๆ ว่าเขารู้สึกอย่างไรและสัมผัสชีพจร จากนั้นแพทย์บอกว่า เขาโอเค เขาสบายดี 

จากนั้น ลูกเรือได้เสิร์ฟ ‘ชาคาโมมายล์’ (ชาดอกไม้) ให้ผู้ป่วย แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที เขากลับไอ และกระอักเลือดพุ่งออกมาใส่ถุงที่ภรรยาเตรียมไว้รองน้ำลาย จนมีเลือดไหลออกมาทั้
ทางปากและจมูก

ผู้โดยสารบนเครื่องที่เห็นเหตุการณ์ต่างกรีดร้อง และตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น 

จากคำบอกเล่าคู่รักชาวสวิตเซอร์แลนด์ที่นั่งด้านหลัง บอกว่าชายวัย 63 ปีรายนี้ เสียเลือดเป็นลิตร เลือดของเขาได้กระเด็นเลอะผนังเครื่องบินและบริเวณโดยรอบนั้น

ลูกเรือพยายามช่วยเหลือชายคนดังกล่าวด้วยการทำ CPR ประมาณ 30 นาที แต่ไม่สามารถช่วยเหลือได้…

ต่อมา กัปตันประกาศแจ้งการเสียชีวิตให้ผู้โดยสารคนอื่นๆ ทราบ ภายใต้บรรยากาศบนเที่ยวบินขณะนั้นที่เงียบสงัด

ลูกเรือได้นำร่างของชายวัย 63 ปี ไปเก็บไว้ในส่วนห้องครัวของเครื่องบิน และกัปตันได้นำเครื่องบินวนกลับกรุงเทพฯ ประเทศไทยในทันที

ข้อมูลเที่ยวบินระบุว่า เครื่องบินลำดังกล่าว ได้เดินทางออกจากกรุงเทพฯ เวลา 23.50 น. ของวันพฤหัสบดีที่ 8 ก.พ. และเดินทางกลับถึงประเทศไทย เวลา 02.35  น. ของวันศุกร์ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา

***ผู้โดยสารคนอื่นๆ ร้องเรียนว่า พวกเขาต้องรอนานกว่า 2 ชั่วโมง โดยไม่มีคำแนะนำใดๆ จากสายการบินลุฟท์ฮันซาเลย และต่อมาได้ถูกจองเที่ยวบินอื่นให้เดินทางไปยังเยอรมนี โดยต้องแวะพักที่ฮ่องกง

ด้านภรรยาชาวฟิลิปปินส์ของชายผู้เสียชีวิต ได้อยู่ที่สนามบินในกรุงเทพฯ เพื่อดำเนินการในเรื่องต่างๆ ต่อ เพียงลำพัง

อย่างไรก็ตาม ข่าวต้นทางไม่ได้เปิดเผยชื่อและอาการของโรคของผู้โดยสาร

ภาพจาก : Blick

‘ผู้โดยสาร’ ช็อก!! เจอ ‘ฝูงหนอน’ ตกใส่ ขณะนั่งอยู่บนเครื่อง สืบต้นตอพบ ‘ปลาเน่าเป็นเหตุ’ วุ่น!! จนต้องบินกลับไปจอดต้นทาง

เที่ยวบินลำหนึ่งของสายการบินเดลตา แอร์ไลน์ มุ่งหน้าสู่สหรัฐฯ ต้องวกกลับไปลงจอด ณ ท่าอากาศยานต้นทางในเนเธอร์แลนด์ หลังหนอนยั้วเยี้ยจากช่องเก็บสัมภาระเหนือศีรษะร่วงใส่ผู้โดยสาร ตามรายงานของสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์ 2 ในดีทรอยต์

เมื่อวันที่ 13 ก.พ.67 เที่ยวบิน 133 ของสายการบินเดลตา แอร์ไลน์ ได้ขึ้นบินออกจากอัมสเตอร์ดัม สู่เมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน แต่หลังจากผ่านไป 1 ชั่วโมง เครื่องบินโบอิ้ง A330-300 ต้องเลี้ยวกลับไปยังท่าอากาศยานสคิปโพล หลังจากได้รับแจ้งว่ามีหนอนจากช่องเก็บสัมภาระเหนือศีรษะร่วงลงมาใส่ผู้โดยสารรายหนึ่ง

ฟิลิป ชอตต์ ผู้โดยสารชายเนเธอร์แลนด์ ซึ่งปัจจุบันพำนักอยู่ในรัฐไอโอวา เล่าว่าเขาเห็นหนอนหลายสิบตัวหล่นใส่ผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งถัดไปจากเขา "เธอแตกตื่นอย่างที่สุด พยายามทำทุกอย่างเพื่อปัดหนอนพวกนี้ออกไป แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนมาก ผมทำอะไรไม่ถูก เรารอจนกว่าจะมีคนเข้ามาช่วยเหลือ"

ชอตต์ เล่าต่อว่า สุดท้ายแล้วพนักงานต้อนรับบนเที่ยวบินสามารถแกะรอยหาต้นทางพวกหนอนเหล่านี้จนเจอ โดยมันมาจากกระเป๋าใบหนึ่งของผู้โดยสาร ซึ่งภายในบรรจุปลาเน่าห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ และกระเป๋าถูกเคลื่อนย้ายไปบริเวณท้ายเครื่อง และกัปตันประกาศแจ้งว่าเครื่องบินกำลังเลี้ยวกลับไปยังอัมสเตอร์ดัม

ผู้โดยสารรายนี้บอกกับฟ็อกซ์ 2 ว่าเขาจำเป็นต้องขึ้นเครื่องบินอีกลำ สำหรับมุ่งหน้าสู่สหรัฐฯ ในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น อย่างไรก็ตาม ซีเอ็นเอ็นไม่ขอยืนยันรายละเอียดคำกล่าวอ้างของชอตต์

อ้างอิงข้อมูลจาก FlightAware เว็บไซต์ติดตามการบิน พบว่าเที่ยวบิน 133 บินอยู่บนท้องฟ้าแค่ราว 1 ชั่วโมง 49 นาที ส่วนสายการบินเดลตา แอร์ไลน์ ยืนยันกับซีเอ็นเอ็น ว่าเที่ยวบินจำเป็นต้องเลี้ยวกลับ แต่ไม่ตอบคำถามตรงๆ เกี่ยวกับปัญหาหนอนบนเครื่อง

"เราขออภัยคุณลูกค้าของเที่ยวบิน 133 AMS-DTW ซึ่งการเดินทางของท่านต้องติดขัดสืบเนื่องจากกระเป๋าถือที่บรรจุหีบห่อที่ไม่เหมาะสม" เดลตา แอร์ไลน์ ระบุในถ้อยแถลงที่ส่งถึงซีเอ็นเอ็น "เครื่องบินกลับสู่ประตูเทียบท่า และผู้โดยสารถูกพาขึ้นเที่ยวบินถัดไป และเครื่องบินถูกถอดจากการให้บริการเพื่อทำความสะอาด"

ทั้งนี้ เดลตา แอร์ไลน์ ไม่มีกฎระเบียบห้ามนำวัตถุดิบอาหารเน่าเปื่อย ในนั้นรวมถึงปลาขึ้นเครื่อง ตราบใดที่มันไม่ละเมิดข้อจำกัดด้านการเกษตรของประเทศจุดหมายปลายทาง

'หนุ่มนักศึกษามหาลัยในแคนาดา' เลือกขึ้นเครื่องบินมาเรียนแทนการเช่าหออยู่ เจ้าตัวเผย!! ประหยัดกว่าหลายหมื่น ฟากโซเชียลแชร์จนเป็นไวรัลไปทั่วโลก

(23 ก.พ. 67) กลายเป็นเรื่องฮือฮาขึ้นมาทันที เมื่อนักศึกษามหาวิทยาลัยชาวแคนาดาเลือกที่จะขึ้นเครื่องบินมาเรียนแทนการเช่าหออยู่ เพราะประหยัดกว่า โดยล่าสุดเรื่องราวของเขาได้ออกข่าวในช่องทีวีระดับประเทศไปแล้ว

นักศึกษาคนนี้มีชื่อว่า 'ทิม เฉิน' บ้านเขาอยู่ที่เมือง Calgary ส่วนสถานที่ที่เขากำลังเรียนอยู่นั้นคือที่ The University of British Columbia ซึ่งอยู่ในเมือง Vancouver

โดยทั้งสองเมืองนี้ หากเดินทางด้วยรถจะใช้เวลาราว 11 ชั่วโมง ส่วนเครื่องบินก็ 1.30 ชั่วโมง (หากเทียบเป็นไทยก็น่าจะประมาณเชียงราย-กรุงเทพ)

ด้วยการที่ปัจจุบัน ทิม มีคลาสเรียนแค่ 2 วันต่อสัปดาห์ เขาเลยตัดสินใจกลับไปอยู่บ้าน แล้วเลือกที่จะขึ้นเครื่องบินมาเรียนแทน เรียนเสร็จก็กลับไปนอนบ้านพ่อแม่ที่ไม่ต้องเสียค่าเช่า

ส่วนที่ ทิม ตัดสินใจทำแบบนี้ เพราะอพาร์ทเมนต์ 1 ห้องนอนที่ถูกสุดค่าเช่าจะอยู่ที่ 2,100$/เดือน (ราว 76,000 บาท/เดือน)

ขณะที่ซื้อตั๋วเครื่องบินมาเรียน 8 ครั้ง/เดือน จะตกอยู่ที่ 1,200$/เดือน (ราว 43,000 บาท)

หมายความว่าเขาประหยัดเงินไปถึง 23,000 บาท (แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการตื่นเช้ามาขึ้นเครื่อง)

การที่ ทิม เลือกทำแบบนี้ ก็ทำให้ล่าสุด CTV News ช่องข่าวระดับประเทศของแคนาดามาเลือกทำข่าวเขา แล้วก็กำลังไวรัลไปทั่วโลกเลยตอนนี้ ทำให้เกิดคอมเมนต์ฮาๆ ขึ้นมาเลย เช่น...

"หนุ่มคนนี้ถูกสร้างมาให้แตกต่าง และผมรู้สึกชื่นชมในตัวเขา"

"ประเทศนี้มันแปลกๆ นะเนี่ย"

"จะแปลกใจว่าถ้าสายการบินไม่เคยดีเลย์ แล้วไอ้หนุ่มนี่ก็ไม่เคยเข้าคลาสสายเลยสักครั้ง"

"นี่น่าจะเป็นพรีเซนเตอร์ของสายการบิน Air Canada ที่ดีที่สุดในตอนนี้ ในการโปรโมตว่า ไฟลต์ของเราถูกกว่าค่าเช่าของคุณ"


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top