Tuesday, 30 April 2024
ฟอกเงิน

งานนี้ไม่รอด!! ‘อัยการคดีพิเศษ’ สั่งฟ้อง ‘แยม-สามี’ พร้อมพวกหลายข้อหา ลั่น!! แยกคดี ‘ปล่อยกู้’ เก็บดอกเกินกฎหมายเป็นอีกคดี

(12 มี.ค. 66) นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีที่อัยการสำนักงานคดีพิเศษสำนักงานอัยการสูงสุด ได้รับสำนวนสอบสวนจากพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ซึ่งมีความเห็นสั่งฟ้องนายภูมิพัฒน์ หรืออั้ม ประเสริฐวิทย์ อายุ 42 ปี และน.ส.ธมลพรรณ์ หรือแยม ประเสริฐวิทย์ อายุ 40 ปี ภรรยานายภูมิพัฒน์อดีตนักแสดงแนวพื้นบ้านผู้ต้องหาคดีพนันออนไลน์และฟอกเงินฯว่าด้วยเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวน บก.ป.ได้ส่งสำนวนคดีอาญาที่ 35/2565 โดย พ.ต.ท. ปรัชญา บุญยืน กล่าวหานายสุด ภูวสิษฐ์ กับพวกรวม 16 คน ผู้ต้องหาร่วมกันเพื่อประสงค์แห่งการค้าทำให้แพร่หลายโดยประการใดๆ ซึ่งรูปภาพ ภาพโฆษณา รูปถ่าย ภาพยนตร์ แถบบันทึกเสียง แถบบันทึกภาพ หรือสิ่งใดอันลามก, ร่วมกันจัดให้มีการเล่นหรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวน โดยทางตรงหรือทางอ้อม ให้ผู้อื่นเข้าเล่น หรือเข้าพนันในการเล่นทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน, สมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำผิดความผิดฐานฟอกเงินฯ , ร่วมกันฟอกเงิน, ร่วมกันให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด และร่วมกันประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับของกระทรวงการคลังเป็นทางการค้าปกติโดยไม่ได้รับอนุญาต มายังสำนักงานอัยการคดีพิเศษ

ทั้งนี้ นายวิรุฬห์ ฉันท์ธนนันท์ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ ได้มอบหมายให้สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 5 รับผิดชอบพิจารณาสำนวนและแต่งตั้งคณะทำงานอัยการพิจารณาสำนวนดังกล่าว พบว่า ผู้ต้องหาทั้ง 16 รายร่วมกันแบ่งหน้าที่กันทำ จัดให้มีการเล่นการพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านเว็บไซต์ www.ufa24h.net และแพร่ภาพยนตร์ลามกที่มีภาพเปลือยอวัยวะเพศ และภาพชายหญิงแสดงการร่วมเพศอันมีลักษณะลามก เสื่อมเสียศีลธรรมอันดี ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตทางเว็บไซต์ https://hd.star4k.com โดยให้ประชาชนเข้าดูได้ และเรียกเก็บเงินในการสมัครเป็นสมาชิก และมีการโอนเงินระหว่างบัญชีม้า บัญชีพัก บัญชีจ่าย และมีการถอนเงินออกจำนวนมากรวมกันหลายร้อยล้านบาท อันมีลักษณะสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน จึงมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมด

ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม 2566 อัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 5 ได้ยื่นฟ้องผู้ต้องหาโดยมี นายภูมิพัฒน์ เป็นจำเลยที่ 2 และน.ส.ธมลพรรณ์ เป็นจำเลยที่ 7 ต่อศาลอาญา เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ. 669/2566 กับพวกรวม 12 คนในความผิดฐานร่วมกันเพื่อประสงค์แห่งการค้า ทำให้แพร่หลายโดยประการใดๆ ซึ่งรูปภาพ ภาพ โฆษณา รูปถ่าย ภาพยนตร์ แถบบันทึกเสียง แถบบันทึกภาพ หรือสิ่งอื่นใดอันลามก, ร่วมกันจัดให้มีการ เล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวน โดยทางตรงหรือทางอ้อม ให้ผู้อื่นเข้าเล่นพนันในการเล่นทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินฯ และร่วมกันฟอกเงิน ส่วนผู้ต้องหาอีก 4 คนได้มีความเห็นควรสั่งไว้เช่นกัน แต่ยังอยู่ระหว่างหลบหนี

ในส่วนข้อหาร่วมกันให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด และร่วมกันประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับของกระทรวงการคลังเป็นทางการค้าปกติโดยไม่ได้รับอนุญาต ได้กล่าวหานายเชษฎ์ชัย หงส์คำ นายภูมิพัฒน์ และน.ส.ธมลพรรณ์ อัยการได้มีคำสั่งให้แยกสำนวนการสอบสวนเป็นอีกคดีเนื่องจากพยานหลักฐานมีความเชื่อมโยงกับการมีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดหรือไม่ ซึ่งอาจเป็นความผิดฐานสมคบกันฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน โดยพนักงานสอบสวนยังสอบสวนประเด็นนี้ในสาระสำคัญไม่ครบถ้วน และคดีจะครบฝากขังครั้งที่ 7 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายในวันที่ 9 มีนาคม 2566 เมื่อการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน จึงให้แยกสำนวนคดีต่อไป
 

‘ทนายรัชพล’ เผย!! ตร. จ่อเรียกสอบ ‘ชูวิทย์’ ปมรับเงิน ‘สารวัตรซัว’ ชี้!! โดนคุก 10 ปี

งานเข้า!ทนายดังชี้ตร.จ่อเรียกสอบ ‘ชูวิทย์’ เสี่ยงผิดฟอกเงิน ปมรับเงิน ‘สารวัตรซัว’

(24 มี.ค.66) จากกรณีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ออกมายอมรับว่าเงินสด 6 ล้านบาท ที่ถูกนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม โพสต์เปิดโปงและตั้งโต๊ะแถลงว่าเป็นเงินจาก ‘สารวัตรซัว’ โดยนายชูวิทย์ ระบุว่า เป็นเงินของตำรวจผู้ใหญ่นอกราชการมาพยายามเคลียร์ในกรณีการเปิดสถานที่อาบอบนวด ซึ่งเจ้าตัวพยายามปฏิเสธ แต่ถูกยัดเยียด จึงตัดสินใจนำเงินก้อนดังกล่าวไปบริจาคแก่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ และโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งโรงพยาบาลทั้ง 2 แห่ง ได้ขอคืนเช็คเงินดังกล่าวให้นายชูวิทย์แล้ว

‘ตำรวจ สอท.’ จับกุม ‘เมฆ รามา’ เอี่ยวเว็บพนัน-ฟอกเงิน เตรียมเรียก ‘หยาดทิพย์’ สอบปากคำเพิ่มเติม

ตร.เผยสืบสวนทางลับ จนพบเส้นทางการเงินจากเว็บพนันไปยัง “เมฆ รามา” สามี “หยาดทิพย์” แต่คนละเครือข่าวกับมาเก๊า 888 เตรียมเรียกหยาด สอบปากคำ รู้เห็นเป็นใจหรือไม่ ชม “ดิว อริสรา” ให้ข้อมูลเป็นประโยชน์

(30 มี.ค.66) เวลา 12.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาตำรวจ สอท.ได้เปิดปฏิบัติการเข้าตรวจค้นปฏิบัติการรวม 17 จุด สามารถจับผู้ต้องหาตามหมายจับความผิดเกี่ยวกับเว็บพนันออนไลน์และฟอกเงิน 8 ราย ในจำนวนนี้มี นายเมฆ รามา รัศมีรามา สามี ‘หยาดทิพย์ ราชปาล’ นางเอกชื่อดัง ซึ่งปฏิบัติการดังกล่าว สืบเนื่องจากได้รับการร้องเรียนจาก ‘นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์’ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมและ ‘ดิว อริสรา ทองบริสุทธิ์’

ดารานักแสดงชื่อดัง ที่ให้ข้อมูลซึ่งตำรวจได้มีการสืบสวนสอบสวนทางลับ จนพบความผิดชัดเจนโดยเฉพาะเส้นทางการเงินจากเว็บพนันไปยัง เมฆ รามา สามีของนางเอกดัง ซึ่งตำรวจจะต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยตนเองยังไม่ได้มีการพูดคุยกับผู้ต้องหาแต่ทางพนักงานสอบสวนจะต้องดำเนินการสอบปากคำก่อนแจ้งข้อหา พร้อมกับยืนยันว่าจากการสอบสวนเครือข่ายเว็บพนันของเมฆ รามา เป็นคนละเครือข่ายกับเครือข่ายมาเก๊า 888 ส่วนนางเอกดัง ภรรยาของเมฆ รามา เบื้องต้น ยังไม่พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องแต่ตามหลักของกฎหมายในฐานะสามีภรรยา พนักงานสอบสวนจะต้องเชิญภรรยาซึ่งเป็นนางเอกดังมาให้ปากคำว่ามีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือไม่ เนื่องจากความผิดดังกล่าวเข้ามูลฐานการฟอกเงิน ดังนั้นต้องตรวจสอบรายละเอียดทรัพย์สินและบุคคลใกล้ชิดทั้งหมด เพื่อดำเนินการให้สิ้นกระแสความเพราะมิฉะนั้นการรวบรวมหลักฐานที่จะยื่นในชั้นอัยการและศาลจะสมบูรณ์ส่งผลคดี ทำให้ประชาชนมองว่าเป็นมวยล้มต้มคนดู เพราะตนเองได้สั่งกำชับในการทำงานของพนักงานสอบสวนไซเบอร์ไปแล้ว ส่วนกรณีที่มีการกล่าวอ้างว่ามีบุคคลพยายามเข้ามาแทรกแซงแลกกับไม่ดำเนินคดีเมฆ รามา และเครือข่าย ส่วนตัวยืนยันไม่มี และยืนยันว่าใครที่ไปอ้างว่ารับเคลียร์จะเสียเงินเปล่าเพราะตนเองไม่รับเคลียร์อย่างแน่นอน

รองผบ.ตร.กล่าาวชื่นชม ดิว อริสรา ที่ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของตำรวจจนสามารถขยายผลจับกุมเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ทั้งมาเก๊า 888 และเครือข่าย เมฆ รามา ซึ่งทราบว่ามีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัย ซึ่งได้ให้ความมั่นใจว่าตำรวจจะดูแลอย่างเต็มที่


ที่มา : https://mgronline.com/entertainment/detail/9660000029647

‘อัยการ’ ยื่นฟ้อง ‘เบนซ์ เดม่อน’ และพรรคพวกอีก 21 ราย ข้อหาร่วมกันฟอกเงิน เปิดเว็บไซต์หวยสดพลัส-มาเก๊า 888

(วันที่ 27 เม.ย. 66) นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกเผยข้อมูลวันนี้สำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด โดยนายวิรุฬ ฉันทนนันท์ อธิบดีอัยการยื่นฟ้องคดี เบนซ์ เดม่อน กับพวก เป็นคดีอาญาหมายเลขดำ อ.1140 / 2566 ต่อศาลอาญา

โดยพนักงานอัยการคดีพิเศษ 4 มีความเห็นสั่งฟ้อง นายชัยวัฒน์ หรือ ‘เบนซ์ เดม่อน’ ขจรบุญถาวร กับพวกรวม 21 คน ข้อหา “ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อม ให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน และสมคบกันโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคน่ขั้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน”

กรณีเปิดเว็บไซต์การพนันชื่อ ‘หวยสดพลัส’ (www.huaysodplus.com) เเละเว็บไซต์อื่นที่เคยเว็บไซต์ มาเก๊า 888

โดยคณะทำงานของสำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด พิจารณาพยานหลักฐานในสำนวนแล้ว มีความเห็นและคำสั่งฟ้อง ผู้ต้องหาที่ 1, ผู้ต้องหาที่ 2, ผู้ต้องหาที่ 3, ผู้ต้องหาที่ 5, ผู้ต้องหาที่ 6, ผู้ต้องหาที่ 7, ผู้ต้องหาที่ 8, ผู้ต้องหาที่ 11 และผู้ต้องหาที่ 13 ในความผิดฐาน ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน

และสมคบกันโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคน่ขั้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน ตามข้อกล่าวหา

เห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 4, ผู้ต้องหาที่ 9, ผู้ต้องหาที่ 10, ผู้ต้องหาที่ 12, ผู้ต้องหาที่ 14, ผู้ต้องหาที่ 15, ผู้ต้องหาที่ 16, ผู้ต้องหาที่ 17, ผู้ต้องหาที่ 18, ผู้ต้องหาที่ 19, ผู้ต้องหาที่ 20 และผู้ต้องหาที่ 21 จำนวน 11 คน ตามข้อกล่าวหา ตามความเห็นของพนักงานสอบสวน

โดยในวันนี้จะยื่นฟ้องผู้ต้องหาที่ 1, ผู้ต้องหาที่ 2, ผู้ต้องหาที่ 3, ผู้ต้องหาที่ 5, ผู้ต้องหาที่ 6, ผู้ต้องหาที่ 7, ผู้ต้องหาที่ 8, ผู้ต้องหาที่ 11 และผู้ต้องหาที่ 13 ที่ได้ตัวมาต่อศาลรวมจำนวน 9 คน

ส่วนผู้ต้องหาที่หลบหนี ประกอบด้วย ผู้ต้องหาที่ 4, ผู้ต้องหาที่ 9, ผู้ต้องหาที่ 10, ผู้ต้องหาที่ 12, ผู้ต้องหาที่ 14, ผู้ต้องหาที่ 15, ผู้ต้องหาที่ 16, ผู้ต้องหาที่ 17, ผู้ต้องหาที่ 18, ผู้ต้องหาที่ 19, ผู้ต้องหาที่ 20 และผู้ต้องหาที่ 21 จำนวน 11 คนดังกล่าว สำนักงานคดีพิเศษจะได้แจ้งให้พนักงานสอบสวนจัดการให้ได้ตัวภายในอายุความ 15 ปี นับตั้งแต่วันที่กระทำความผิด

สำหรับคดีดังกล่าวพนักงานอัยการ ได้รับสำนวนจากสำนักงานตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 3 ในข้อหาร่วมกันจัดให้มีการเล่นพนันออนไลน์ฯ สมคบกันฟอกเงินฯ และร่วมกันฟอกเงินฯ

เมื่อวันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา วันเวลาเกิดเหตุคดีนี้วันที่ 24 ม.ค.2565 เวลากลางวันที่ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น

เปิดสตอรี่ ‘เก่งลายพราง’ อดีตคนคุกกลับใจกับชีวิตกินหรูอยู่สบาย หรือแท้จริง ‘ธุรกิจหมึกย่าง’ เป็นแค่ฉากบังหน้าเพื่อไว้ฟอกเงิน

เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 66 รายการ ‘ถอนหมุดข่าว’ เผยแพร่ทางแอปพลิเคชั่น SONDHI APP สถานีโทรทัศน์ NEWS1 ช่องยูทูป NEWS1 และเฟซบุ๊กแฟนเพจ NEWS1 วันพุธที่ 10 พฤษภาคม 2566 นำเสนอรายงานพิเศษ เปิดลับ เก่ง ลายพราง ฟอกเงินจากเว็บพนัน ผ่านสตอรี่หมึกย่างอำพราง

‘เก่ง ลายพราง’ นายจิรายุ ยิ้มอำไพ อินฟลูเอนเซอร์ดัง ที่ขายลุค ‘คนคุก’ ได้เวลากลับเข้าคุกอีกรอบแล้ว หลังโดนตำรวจไซเบอร์จับข้อหาชักชวนคนเล่นการพนัน จากการโฆษณาเชิญชวนคนไปเข้าเว็บพนันออนไลน์ อย่างโจ๋งครึ่ม ทั้งแปะลิงก์ ทั้งพูดโต้งๆ ออกไลฟ์สด พอถูกจับก็อ้างว่า เพราะธุรกิจ “หมึกย่างลายพราง” ของตัว ที่เคยขายดีทำรายได้วันละเป็นแสนบาท ตอนนี้ยอดตกหนัก เหลือแค่วันละ 6 พันบาท เงินไม่พอยาไส้ จำต้องมารับจ้างดึงคนไปเล่นพนัน มีรายได้เดือนละ 300,000 บาท

หากพิจารณาเรื่องราวของ ‘เก่ง ลายพราง’ ตั้งแต่ต้น สามารถฟันธงได้เลยว่า มันล้วนเป็น ‘สตอรี่’ ที่เขาจงใจสร้างมา ให้มีความดรามาเรียกคนติดตาม

เขาขายสตอรี่คนคุกที่ออกมาสร้างครอบครัวใหม่อย่างสุจริต โอ้โห ช่างโดนใจสายโซเชียล สังคมไทยเป็นนักให้โอกาสคนอยู่แล้ว

‘หมึกย่างลายพราง’ ไม้ละ 120 บาท ของ ‘เก่ง ลายพราง’ เลยดังเปรี้ยงปร้าง ขายดีจนเจ้าตัวออกอาการคึก ประกาศจะขยายสาขา แต่สตอรี่จริงๆ ที่ซ่อนไว้เนียนๆ ก็คือ ธุรกิจหมึกย่างของเขา มันก็มีไว้เพื่อฟอกเงินกลายๆ เพื่อจะตอบสังคมได้ว่า ทำไมเขาถึงใช้ชีวิตแบบกินหรูอยู่สบาย มีทั้งบ้านหลังใหญ่ รถแพงๆ หลายคัน เที่ยวนอนรีสอร์ท พลูวิลล่าแพงๆ เอามาอวดให้ FC ฮือฮาตลอด เขาเบี่ยงเบน ให้คนเข้าใจไปว่าเขารวยจาก ‘หมึกย่างลายพราง’ ทั้งที่เขารวยจากเว็บพนันต่างหาก

‘หมึกย่างลายพราง’ จึงมีสถานะก็แค่ ‘หมึกย่างอำพราง’ ธุรกิจทำเงินจริงๆ ของเขา คือเว็บพนัน จากที่อ้างว่าได้เงินจากแอดมินแค่เดือนละ 300,000 บาท ก็ไม่น่าจะเป็นคำให้การตามจริง เนื่องจากทุกวันนี้ ธุรกิจเว็บพนันเจอปัญหาใหญ่ คือ ขาดแคลนอินฟลูเอนเซอร์ ที่จะมาชักชวนเด็กๆ เยาวชน มาเป็นเหยื่อ เพราะหลายรายถูกจับเข้าตะรางไปแล้ว หลายรายก็เริ่มไหวตัว ขืนทำต่อละก็คุกแน่นอน เลยชิงวางมือกันไปหมด เหลือแต่อินฟลูเอนเซอร์ ที่วอนนอนคุกอย่าง ‘เก่ง ลายพราง’ ที่ยังวาดลวดลายอย่างไม่แคร์สื่อ

ซึ่งภาวะที่วงการขาดแคลน ‘คนชั่วที่ใจกล้า’ นี่เอง ประกอบกับเขาทำงานแบบเกินร้อย ชักชวนคนเล่นพนันต่อหน้ากล้องอย่างชัดเจน ในสไตล์คล้ายกับ ‘เสี่ยโป้’ เคยทำมาก่อน

ราคาค่าตัวของ ‘เก่ง ลายพราง’ น่าจะไม่ใช่แค่ 300,000 ต่อเดือน อย่างที่เขาอ้างกับตำรวจ แต่น่าจะเป็นเงินถึงหลักล้าน สอดคล้องกับชีวิตกินหรูอยู่สบาย หรือแม้แต่พูดอวดว่า เขายังติดการพนัน แค่เจียดเงินบางส่วนมาเล่น ก็ยังเล่นเสียไปถึง 3 ล้านบาท รายได้แค่ 300,000 บาทต่อเดือน จากเว็บพนัน คงไม่มากพอที่จะทำเช่นนั้นได้

เรื่องนี้จึงเป็นบทเรียนของสังคมไทย อย่าหลงเชื่อสตอรี่ดราม่าอะไรง่ายๆ และก็อย่าโลกสวย เชื่อว่าคนบางคนจะกลับตัวกลับใจ ทำมาหากินสุจริตได้

‘DSI’ สั่งฟ้อง ‘นอท-แทนไท’ พร้อมพวก  ฐานโยงฟอกเงินพนันกว่า 500 ล้าน

(13 ส.ค. 66) จากกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยกองคดียาเสพติด นำโดย นายพงษธร อินอำนวย ผู้อำนวยการกองคดียาเสพติด และคณะพนักงานสอบสวน ได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษที่ 6/2566 เกี่ยวกับแพลตฟอร์มลอตเตอรี่ออนไลน์ของ นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หรือ ‘นอท กองสลากพลัส’ และบรรดานายทุนของนายพันธ์ธวัช ไปก่อนหน้านี้นั้น

ล่าสุด นายพงษธร อินอำนวย ผอ.กองคดียาเสพติด และในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน เปิดเผยว่า สำหรับคดีพิเศษที่ 6/2566 ตนได้มีการประสานกับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการนับจำนวนสลากลอตเตอรี่ที่ได้ยึดมาจากกองสลากพลัส และตรวจสอบว่าเป็นสลากลอตเตอรี่จริงหรือไม่ ซึ่งอยู่ระหว่างการนับจำนวนของกลาง อีกทั้งเจ้าหน้าที่งานธุรการจะต้องทำการบันทึกลงเลขในเอกสารว่า ลอตเตอรี่จำนวนดังกล่าวนี้มีทั้งหมดกี่ใบ เป็นหมายเลขใด และจากงวดใดบ้าง ซึ่งจำนวนของกลางลอตเตอรี่ที่ได้ตรวจยึดมีประมาณ 10 ล้านฉบับ

ส่วนจำนวนผู้ต้องหาที่คณะพนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องมี 4 ราย ประกอบด้วย นิติบุคคล 2 ราย ได้แก่ 1.) บริษัท ไททันแคปปิตอล กรุ๊ปโฮลดิ้งส์ จำกัด 2.) บริษัท ลอตเตอรี่ออนไลน์ จำกัด ส่วนบุคคลอีก 2 ราย คือ 1.) นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) กองสลากพลัส และ 2.) นายแทนไท ณรงค์กูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไททันแคปปิตอล กรุ๊ปโฮลดิ้งส์ จำกัด

โดยสั่งฟ้องความผิด 2 ข้อกล่าวหา ฐานร่วมกันจัดให้มีการเล่นพนันและร่วมกันฟอกเงิน ทั้งนี้ คณะพนักงานสอบสวนเตรียมส่งสำนวนให้พนักงานอัยการคดีพิเศษภายในสิ้นเดือน ส.ค.นี้

นายพงษธร เผยอีกว่า สำหรับสำนวนคดีพิเศษที่ 6/2566 นี้ดำเนินการในส่วนของการขายลอตเตอรี่บนแพลตฟอร์มกองสลากพลัส เพราะจากพยานหลักฐานพบว่าเป็นการจัดให้มีการเล่นพนัน เนื่องจากทางนายพันธ์ธวัช ได้มีการกำหนดราคา เข้าลักษณะการรับกิน - รับจ่ายเอง โดยการเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นองค์ประกอบในการเล่น โดยมีนายแทนไท รับหน้าที่เป็นนายทุนให้ อีกทั้งเมื่อนายแทนไทต้องรับเงินจากนายพันธ์ธวัช เจ้าตัวจะใช้บัญชีธนาคารบริษัท ไททันแคปปิตอล กรุ๊ปโฮล ดิ้ง จำกัด ในการรับเงิน จึงทำให้ทั้งสองคนมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันในเรื่องเส้นทางการเงินและถูกแจ้งข้อหาร่วมกันฟอกเงิน

ส่วนจำนวนเงินที่มีการโอนจากบัญชีธนาคารของนายพันธ์ธวัชไปยังนายแทนไท พบมูลค่า 200 ล้านบาท ขณะที่เส้นเงินจากนายแทนไทโอนไปยังนายพันธ์ธวัช มีมูลค่า 500 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ขณะนี้นายแทนไทก็ยังไม่ได้เงินคืนจากนายพันธ์ธวัช จากการร่วมลงทุนกองสลากพลัส ซึ่งนายแทนไทก็ได้ยื่นเอกสารแจ้งมายังดีเอสไอว่า ได้ดำเนินการฟ้องเรื่องเงินกับนายพันธ์ธวัช แต่พนักงานสอบสวนก็ยืนยันว่าให้พิสูจน์เรื่องนี้ในชั้นศาลแทน เพราะพยานหลักฐานที่รวบรวมได้ในตอนนี้ พนักงานสอบสวนสามารถใช้พิจารณาจนเห็นสมควรแก่การสั่งฟ้องทั้ง 4 ราย ตามฐานความผิดข้างต้น

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับจำนวนเงิน 200 ล้านบาท ที่ถูกโอนจากบัญชีธนาคารของนายพันธ์ธวัชไปยังบัญชีธนาคารของนายแทนไทนั้น นายแทนไทได้เคยเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน โดยชี้แจงว่า เงินจำนวน 200 ล้านบาท ที่ให้นายพันธ์ธวัชกู้ยืมเป็นเงินของบริษัท โดยแบ่งเป็น 2 ยอด ได้แก่ 150 ล้านบาท และ 50 ล้านบาท และเป็นการจ่ายผ่านแคชเชียร์เช็ค ส่วนสาเหตุที่ไว้วางใจให้กู้ยืมเงิน เนื่องมาจากฝั่งนายพันธ์ธวัชมีการติดต่อมา เพื่อเสนอแนวทางการทำธุรกิจ อยากได้เงินกู้ รวมถึงนายพันธ์ธวัชยังได้แจ้งว่า จะกู้ยืมเงินเพื่อไปประกอบธุรกิจสลากกินแบ่งออนไลน์

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่นายพันธ์ธวัชมีกระแสข่าวเกิดขึ้น นายแทนไทได้พยายามบอกยกเลิกสัญญา กระทั่งนายพันธ์ธวัชได้นัดหมายวันที่ 30 ม.ค. 66 เพื่อทำการโอนคืนเงินให้นายแทนไท สำหรับสาเหตุที่นายแทนไทต้องยกเลิกสัญญาเพราะว่าในฐานะนายทุน ก็จะต้องพิจารณาว่านายพันธ์ธวัชและบริษัทฯ จะสามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้หรือไม่ เพราะนายแทนไทก็มีความจำเป็นต้องปกป้องเงินทุนของตัวเองด้วย พร้อมกันนี้ ยืนยันว่าเงินที่นายแทนไทให้นายพันธ์ธวัชกู้ยืมเป็นเงินที่ได้จากการลงทุนในต่างประเทศทั้งหมด ไม่ใช่เงินจากการทำธุรกิจผิดกฎหมายแต่อย่างใด

เปิดวิธีการ ‘ทุนจีนเทา’ ฟอกเงินในสิงคโปร์ ‘ซื้อสัญชาติ-ถือครองทรัพย์หรู-ซื้อหุ้นหลากบริษัท’

(17 ก.ย. 66) เพจ ‘World Forum ข่าวสารต่างประเทศ’ ได้เผยผลสอบสวนคดีฟอกเงินจากประเทศสิงคโปร์ โดยเมื่อ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา (***ลิงก์ต้นข่าวสิงคโปร์ เมื่อวันที่จับกุม 17 ส.ค. 66 >> https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=843361127352891&id=100050370353740&mibextid=Nif5oz) ได้มีการจับกุม 10 ผู้ต้องหาสัญชาติจีน พร้อมตรวจค้น และยึดทรัพย์สินได้กว่า 46,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นสถิติมากสุดในประวัติศาสตร์

โดย 10 คนสัญชาติจีนนี้ ส่วนใหญ่มาจากฟูเจี้ยน ถือพาสปอร์ต กัมพูชา 3 ราย และวานาอูตู, ไซปรัส, ตุรกี ตามลำดับ ซึ่งผลสอบสวนล่าสุด พบว่า มีการซื้อขายสัญชาติเฉพาะกัมพูชา อยู่ที่ราคาประมาณ 4.6 ล้านบาท

ทั้งนี้ การซื้อขายสัญชาติ เป็นสวรรค์ของแก๊งมิจฉาชีพ และผู้หนีคดี อาทิ แก๊งคอลเซ็นเตอร์  หลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต, การพนันออนไลน์, การซื้อขายสินทรัพย์เสมือน (เงินดิจิทัล) และการขนเงินออกจากจีน เพื่อมาซื้อสินทรัพย์ต่างประเทศ หรือเงินทุจริตยักยอกออกนอกประเทศ ที่เรียกว่า ‘ธนาคารใต้ดิน’

ในส่วนของประเด็นการฟอกเงินในสิงคโปร์ สามารถสรุปวิธีการได้ ดังนี้...
1.) ขายสินค้าออนไลน์ แบรนด์เนม กระเป๋านาฬิกา ไวน์ รถยนต์ อสังหาฯ
2.) ครอบครองอสังหาฯ หรู รถยนต์ บ้าน คอนโด
3.) ซื้อหุ้น บริษัทต่างๆ
4.) รับเงินโอน แทน แรงงานต่างด้าว (อาทิ แรงงานจะโอนเงินออกจากสิงคโปร์ แล้วแก๊งจะเป็นตัวแทนโอนแทน โดยมีเครือข่ายในประเทศต้น-ปลายทาง ได้ฟอก และกำไรจากเรทเงิน)

สเตป!! ธุรกิจเพลงไทย ในจังหวะที่ไม่พ้นเงื้อมมือนักฟอกเงิน ผลงานถี่-มีแต่เพลงไร้คุณภาพ-ไม่ถูกจดจำ-ปิดตัวแยกย้าย

ถ้านับย้อนกลับไปสัก 15-20 ปีก่อน ฉากหลังของ ‘นักธุรกิจสีเทา’ หรือ ‘มาเฟียต่างชาติ’ ที่ซุกตัวทำมาหากินอยู่ในเมืองไทยมานาน มักจะสร้างเงินได้มหาศาลจากการค้ามนุษย์, ยาเสพติด และรถยนต์หรูนำเข้าแบบหนีภาษี โดยมีตำรวจ และนักการเมืองไทยขี้ฉ้อมีเอี่ยวตามเคย และการเปิด “ค่ายเพลงไทย” ในห้วงเวลานั้น ก็หนีไม่พ้นเป็นหนึ่งในวิธีบังหน้าเพื่อจะฟอกเงินให้ขาวใส เพราะด้วยการทำธุรกิจค่ายเพลงไทยในช่วงเวลาขาลง เป็นจังหวะเวลาที่ดูน่าเชื่อถือ และน่ายกย่องในสายตาสังคมที่สุด ประหนึ่งเป็นพ่อพระผู้ใจดี ที่แม้วงการเพลงไทยกำลังถอยหลังลงคลอง ความคึกคักเริ่มจะหดหายไป กลับมีคนรวยที่มีน้ำใจเดินเข้ามาหวังจะปลุกวงการเพลงไม่ให้เงียบสงัด

แต่ ‘ความน่าเชื่อถือขององค์กร’ จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัย ‘คนที่น่าเชื่อถือ’ ในวงการเพลงมาออกหน้านั่งแท่นบริหารงาน คอยดีลทีมงาน ชวนศิลปินนักร้อง ดึงนักดนตรี เข้าสังกัด เพื่อมาช่วยกันสร้างผลงานเพลงที่มาจากการ ‘ถลุงเงินบาป’ แบบไม่อั้นในการผลิต 

เงินหนา ๆ ของผู้ลงทุนในคราบโจร เป็นที่หอมหวานของเหล่านักแต่งเพลงไส้แห้ง และโปรดิวเซอร์ทางดนตรีที่ไม่สนว่าจะได้เงินมาจากคนประเภทไหน รวมศิลปินนักร้องมีชื่อจำนวนหนึ่งที่อยากได้ค่าทำงานแพงลิบเพื่อจะยกระดับตัวเองโดยไม่เคยฉุกคิดว่า ที่เขาจ่ายในราคาสูงเกินจริง มันสมเหตุสมผลหรือไม่? ก็เลยทำให้เกิด ‘ค่ายเพลงจากนักฟอก’ ก่อตัวขึ้นไม่น้อยในสังคมดนตรีไทย เวลาเปิดค่ายจะแถลงข่าวใหญ่โต มีเหล่า ‘คนดังที่คิดน้อย’ แทบจะทุกวงการขึ้นเวทีไปยืนถ่ายรูปช่วยกันฟอกโจรด้วยความชื่นมื่น แต่เมื่อถึงคราวสังคมรู้ถึงกลิ่นที่ผิดปกติ ก็จะแอบปิดตัวไปแบบเงียบ ๆ ในเวลาเพียงปีสองปีเสมอ

ค่ายเพลงจากเงินเทาเหล่านี้ มักจะมีผลงานออกมาถี่ ๆ แต่มักจะเป็นผลงานเพลงที่ไร้คุณภาพ ไม่เป็นที่จดจำ หลังปิดตัวแยกย้ายกันไปไม่นานนักสังคมก็จะลืมทั้งชื่อค่าย และชื่อของศิลปินแต่ละเบอร์ที่เคยออกผลงานมา

แต่ถ้าพูดถึง 5-6 ปีที่ผ่านมาถึงชั่วโมงนี้ ‘กลุ่มทุนเทา’ คือผู้อยู่เบื้องหลัง ‘บ่อนพนันออนไลน์’ เป็นหลัก และแน่นอนยังคงเลี้ยงดูปูเสื่อนายตำรวจใหญ่ ๆ สายโฉด รวมถึงนักการเมืองสายดาร์กบางคน เพื่อการทำมาหารับประทานที่คล่องตัว ส่วนอีกหนึ่งวิธีที่ยังคงใช้ ‘ฟอกตัวตน’ ก็คือการดำเนินธุรกิจเพลงไทยเพื่อใช้เป็นฉากบังหน้าเหมือนเคย เพียงแต่ไม่ใช่วิธีเปิดค่ายเพลงทื่อ ๆ ตรง ๆ เหมือนแต่ก่อน ครั้งนี้หันไปใช้วิธีให้สังคมรู้จักในนาม ‘ผู้ห่วงใยวงการเพลง’ ประกาศจ่ายค่าทำเพลงในอัตราสูง ๆ เพื่อกระตุ้นให้คนทำงานเพลงทุกแขนงตื่นตาตื่นใจ ที่สุดปลาที่ว่ายไปงับเบ็ดธงที่โจรปักหลอกไว้ก็มีแต่คนหน้าตาเดิม ๆ 

ถ้าการเมืองไทยยังไม่ไปถึงไหน วงการเพลงไทยก็..ไม่ต่างกัน

สตม.จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ “ฟอกเงิน” พบมีเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 70 ล้านบาท

ตม.จว.สมุทรสาคร ร่วมกับ สภ.ม่วงสามสิบ จับกุม นางสุด (นามสมมุติ) อายุ 30 ปี สัญชาติลาว ตามหมายจับศาลจังหวัดอุบลราชธานี ที่ 281/2566 ลงวันที่ 28 กันยายน 2566 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) เพื่อการค้าและการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน โดยไม่ได้รับอนุญาต, สนับสนุนหรือช่วยเหลือผู้กระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิดจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) เพื่อการค้าและการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน โดยไม่ได้รับอนุญาต, รับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดจากผู้กระทำความผิดเพื่อประโยชน์ หรือให้ความสะดวกแก่การกระทำความผิด หรือเพื่อมิให้ผู้กระทำความผิดถูกลงโทษ นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ม่วงสามสิบ จว.อุบลราชธานี ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสมุทรสาคร (สถานีย่อยกระทุ่มแบน) ต.อ้อมน้อย อ.กระทุ่มแบน จว.สมุทรสาคร ดำเนินคดีตามกฎหมาย

ช่วงต้นเดือน กุมภาพันธ์ 2567 ตม.จว.สมุทรสาคร ได้รับการประสานงานจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สภ.ม่วงสามสิบ ว่านางสุด (นามสมมุติ) ซึ่งผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดอุบลราชธานีความผิดเกี่ยวกับจำหน่ายยาเสพติด และฟอกเงิน ได้หลบหนีหมายจับมาซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร จึงได้ร่วมกันได้ออกสืบสวนหาข่าวและติดตามตัวนางสุด จนกระทั่งสืบทราบว่านางสุด จะมาติดต่อธุระส่วนตัวบริเวณใกล้กับที่ทำการ ตม.จว.สมุทรสาคร จึงได้ไปตรวจสอบ จนกระทั่งพบบุคคลซึ่งมีตำหนิรูปพรรณตรงกับบุคคลตามหมายจับดังกล่าว จึงขอตรวจสอบหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง จากการตรวจสอบพบว่าคนต่างด้าวดังกล่าวคือนางสุดซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับ จึงได้แสดงหมายจับทำการจับกุม จากการสืบสวนทราบว่านางสุด ได้เปิดบัญชีธนาคารสำหรับรับโอนเงินกลับประเทศลาว โดยมีเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 70 ล้านบาท ซึ่งจะได้ทำการสืบสวนขยายผลต่อไป  

‘ศาลฮ่องกง’ ตัดสินจำคุก ‘นักศึกษาฮ่องกง’ วัย 22 ฐานฟอกเงินทุนที่ช่วยผู้ประท้วงที่ถูกจับกุมเมื่อปี 2019


Yu Yan-yuk นักศึกษาวิทยาลัยจีนจากฮ่องกงวัย 22 ปี ซึ่งขณะก่อเหตุนั้นอายุเพียง 17 ปี ได้ถูกตัดสินจำคุก 16 เดือน หลังถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาฟอกเงินเกือบ 600,000 ดอลลาร์ฮ่องกง (76,620 ดอลลาร์สหรัฐฯ) จากการใช้ Spark Alliance HK แพลตฟอร์มระดมทุนสำหรับใช้ช่วยเหลือผู้ประท้วงที่ถูกจับกุมในช่วงเหตุการณ์ความไม่สงบต่อต้านรัฐบาลในปี 2019 โดยศาลแขวง WANCHAI ของฮ่องกง ได้ตัดสินว่า เขาเป็นผู้จัดการเงินสดในฐานะอาสาสมัครของ Spark Alliance HK

ทั้งนี้ Spark Alliance HK แพลตฟอร์มนี้ตั้งขึ้นหลังเหตุการณ์จลาจลที่มงก๊กเมื่อปี 2016 เพื่อช่วยจับกุมหรือจำคุกนักเคลื่อนไหว

อย่างไรก็ตาม คำพิพากษาระบุว่า Yu Yan-yuk ได้ฝากเงิน 23 ครั้ง และถอนเงินจากบัญชีธนาคารของเขามากกว่า 90 ครั้ง ในช่วง 6 เดือน ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงธันวาคม 2019 ระหว่างการประท้วงต่อต้านรัฐบาล และจัดการฟอกเงินประมาณ 585,000 ดอลลาร์ฮ่องกง จากแพลตฟอร์ม Spark Alliance HK

“ระยะเวลาการฟอกเงินและจำนวนเงินที่เกี่ยวข้องค่อนข้างน้อยและระยะเวลาค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบกับคดีที่คล้ายกัน และไม่มีองค์ประกอบของการฟอกเงินข้ามแดน” ผู้พิพากษากล่าว

ผู้พิพากษากล่าวเสริมอีกว่า “ไม่มีหลักฐานที่แสดงว่า เงินสดที่ถูกฟอกนั้นเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางอาญา หรือ Yu Yan-yuk จัดการเงินนั้นแม้จะรู้ว่าเกี่ยวข้องกับความผิดทางอาญา แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ช่วยบรรเทาโทษได้ และจำเลยไม่เพียงแต่ให้บัญชีของเขาแก่ผู้อื่นเท่านั้น แต่เขาเป็นผู้ดำเนินการบัญชีแต่เพียงผู้เดียว เขาไม่เชื่อว่าคำกล่าวอ้างของจำเลยที่ว่าเงินดังกล่าวเป็นการบริจาคให้กับ Spark Alliance HK เพื่อใช้ในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เนื่องจากองค์กรมีบัญชีธนาคารเอง และจะไม่ใช้บัญชีของอาสาสมัคร” 


Yu Yan-yuk ซึ่งขณะนั้นอายุ 17 ปี เป็น 1 ใน 4 คนที่ถูกจับกุมเมื่อเดือนธันวาคม 2019 ด้วยหลักฐานที่มีความเกี่ยวข้องกับการสอบสวนกลุ่มไม่แสวงหาผลกำไร (NGO) เขาไม่ยอมรับผิดฐานฟอกเงิน แต่ถูกตัดสินว่ามีความผิดตามคำพิพากษาของศาลแขวงเมื่อเดือนที่แล้ว Fiona Nam Hoi-yan ทนายจำเลยแถลงในศาลเพื่อขอให้บรรเทาโทษว่า Yu Yan-yuk เชื่อว่าเงินดังกล่าวมาจากแหล่งที่ถูกกฎหมาย และขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาลงโทษเขาในสถานกักกันเป็นการชั่วคราว เพราะขณะก่ออาชญากรรมเขาอายุเพียง 17 ปี

ทางด้านทนายจำเลยได้เสนอให้กักขังเขาในศูนย์กักกันสำหรับผู้กระทำผิดชายที่มีอายุตั้งแต่ 14-24 ปีเท่านั้น ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งนอกเหนือจากการจำคุกในเรือนจำ โดยศูนย์กักกันเน้นที่การใช้แรงงานและวินัยเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้กระทำความผิดที่เป็นเยาวชนก่ออาชญากรรมอีก 

สำหรับผู้กระทำผิดที่มีอายุระหว่าง 21-24 ปี ระยะเวลาการควบคุมตัวในศูนย์กักกันคือตั้งแต่ 3 เดือนถึง 12 เดือน โดยจะมีการคุมประพฤติอีก 1 ปี หลังจากได้รับการปล่อยตัว โดยมีข้อจำกัด เช่น การถูกกำหนดเวลาเคอร์ฟิว 

“พ่อแม่และแฟนสาวของจำเลยอธิบายว่า เขาเป็นคนเรียบง่าย ชอบช่วยเหลือ และมีความกระตือรือร้น” ทนายจำเลยกล่าวและยังชี้อีกว่า ขณะก่อเหตุอายุของจำเลยในขณะนั้นเพียง 17 ปี และเขาได้เรียนรู้บทเรียนจากประสบการณ์ดังกล่าวแล้ว “เขาได้ไตร่ตรองการกระทำของเขาอย่างลึกซึ้ง และกล่าวว่า หากสามารถย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่กระทำเช่นนี้อีก” ทนายจำเลยกล่าวเสริม “จำเลยยังกล่าวอีกว่าเขาเสียใจที่ทำให้คนที่เขารักกังวล และเข้าใจถึงความรุนแรงของอาชญากรรมของเขา เมื่อเขาพลาดงานศพของคุณยายขณะถูกคุมขัง”

แต่ผู้พิพากษาปฏิเสธข้อเสนอแนะให้กักขังในศูนย์กักกัน และตัดสินว่า ลักษณะของข้อกล่าวหาและความร้ายแรงของพฤติการณ์นั้นมีความร้ายแรง แต่ได้ลดโทษในการตัดสินโทษจาก 18 เดือนเหลือ 16 เดือน เนื่องจาก Yu Yan-yuk มีผลการสอบที่ยอดเยี่ยมเมื่อเขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้อีกครั้ง และได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของจีน แม้ว่าจะถูกกดดันอย่างมากนับตั้งแต่เขาถูกจับกุมในปี 2019


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top