Saturday, 5 July 2025
ททท

‘เศรษฐา’ เร่ง ‘ททท.’ ปั้นทริปเที่ยวตอบโจทย์แต่ละชาติช่วงโลว์ซีซัน ล็อกเป้า!! 'กลุ่มตะวันออกกลาง-รัสเซีย-คาซัคฯ-อินเดีย' ดีมานด์สูง

(24 มิ.ย.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเดินทางเข้าปฎิบัติภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาลว่า ภารกิจเช้านี้เตรียมและติดตามงาน 2 เรื่อง เรื่องแรกตนได้เชิญทาง ททท. มาเตรียมแผนการท่องเที่ยวในช่วง Q2 - Q3 ที่เป็นช่วง Low Season ของไทย 

“ผมได้ขอให้ ททท. เตรียมแพ็กเกจสำหรับแต่ละประเทศที่มีศักยภาพเพื่อจะทำแผนการท่องเที่ยวราย Segment ให้ตอบโจทย์ของแต่ละกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักท่องเที่ยวจากกลุ่มตะวันออกกลาง เช่น ซาอุดีอาระเบีย หรือประเทศอื่น ๆ เช่น รัสเซีย, คาซัคสถาน, อินเดีย ที่มีความต้องการมาท่องเที่ยวในประเทศไทยสูงและมีความชอบเฉพาะที่แตกต่าง” นายกรัฐมนตรีกล่าว

นายเศรษฐา เปิดเผยว่า นอกจากนี้ยังได้พบกับ Mr. Marcus Wallenberg ประธานกลุ่มบริษัท SAAB SEB ซึ่งตนเคยพบตอนห้วงประชุม World Economic Forum ที่ Davos เพื่อติดตามประเด็นต่าง ๆ ที่เคยคุยไว้ เช่น การดึงดูดการลงทุนในไทย การเข้ามาตั้งโรงงานของ Astra Zeneca ซึ่งได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุมแล้ว และทางบริษัทฯ จะวางแผนพบกับนักลงทุนไทย เพื่อทำงานร่วมกันระหว่างการประชุม Davos ในปีหน้า

‘ททท.’ มั่นใจปี 68 ต่างชาติเที่ยวไทยแตะ 40 ล้านคน  เล็งดึง ‘นักท่องเที่ยวคุณภาพ’ เติม-เพิ่มรายจ่ายต่อหัว

(2 มิ.ย.67) ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า ททท.จะพยายามรักษาอันดับของประเทศไทยให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนเหนือกว่าญี่ปุ่นไว้ให้ได้ แม้ว่าตอนนี้สถานการณ์ท่องเที่ยวของญี่ปุ่นจะมีปัจจัยเงินเยนอ่อนค่ามากระตุ้นการจับจ่ายของนักท่องเที่ยว สร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขัน เห็นได้จากนักท่องเที่ยวไทยเองก็นิยมเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นซ้ำจำนวนมาก

“ททท.จะโฟกัสการดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยให้ได้ตามเป้าหมายรัฐบาล 36.7 ล้านคนในปีนี้อย่างดีที่สุด ขณะที่รายได้ก็ต้องเดินหน้าเต็มที่เพื่อไปให้ถึงเป้ารายได้รวม 3.5 ล้านล้านบาท ถ้าเรายังสามารถรักษาแรงส่งด้านการจับจ่ายท่องเที่ยวไว้ได้ที่ 50,000 บาทต่อคนต่อทริป ก็ถือว่าน่าพอใจ ส่วนในปี 2568 ททท.มั่นใจว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยไม่น้อยกว่า 40 ล้านคน”

โดยในการประชุมบูรณาการแผนปฏิบัติการ ททท. ประจำปี 2568 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-12 ก.ค. และจัดแถลงใหญ่เกี่ยวกับทิศทางการทำตลาดและแผนปฏิบัติการในวันที่ 15 ก.ค. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ทาง ททท.จะมีการหารือเกี่ยวกับการเปลี่ยนนิยามของ ‘นักท่องเที่ยวคุณภาพ’ จากเดิมนิยามไว้ว่าเป็นกลุ่มที่มีรายได้มากกว่า 60,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี เพราะจากการวิเคราะห์พฤติกรรมการจับจ่ายของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ในปัจจุบัน น่าจะเหลือใช้จ่ายด้านท่องเที่ยว 10% ของรายได้ หรือคิดเป็น 6,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ทำให้ ททท. ต้องเปลี่ยนนิยามของนักท่องเที่ยวคุณภาพว่าเป็น ‘คนรวยสองด้าน’ ด้านแรกคือ รวยด้วยพฤติกรรมการใช้จ่าย กินหรูอยู่ดี และด้านที่ 2 คือ รวยด้วยจิตสำนึก ใส่ใจด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม 

ด้าน ชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวว่า สทท.คาดหวังว่าในปี 2568 ซึ่งรัฐบาลประกาศผลักดันเป็นวาระแห่งชาติ ‘ปีแห่งการท่องเที่ยวไทย’ จะเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยมากถึง 40-45 ล้านคน 

ขณะที่แหล่งข่าวผู้เชี่ยวชาญภาคการท่องเที่ยวไทย วิเคราะห์ว่า จากสถิติ 6 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย.) มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยสะสมแล้ว 17 ล้านคน เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายของรัฐบาล 36.7 ล้านคน เท่ากับว่าช่วงโลว์ซีซันไตรมาส 3 ต้องดึงเข้ามาให้ได้อย่างน้อย 3 ล้านคนต่อเดือนก่อน และเร่งเครื่องในไฮซีซันไตรมาส 4 ให้ได้มากกว่า 3.5 ล้านคนต่อเดือน เฉพาะเดือน ธ.ค. ต้องให้ได้ถึง 4 ล้านคน

เพราะถ้าวางเป้าหมายรายเดือนแบบนี้ ก็สามารถจี้ลงไปในรายละเอียดแผนได้ว่าจะดึงนักท่องเที่ยวจากตลาดระยะสั้นเท่าไร ตลาดระยะไกลอีกเท่าไร การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ต้องใช้งบประมาณและเครื่องมือใดบ้างในการบูสต์ยอดเพิ่มจากการเติบโตแบบออร์แกนิก เพราะตอนนี้อะไรทำได้เร็ว ต้องรีบทำเพื่อความชัวร์ ให้ได้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยเดือนละ 3.5 ล้านคนตั้งแต่เดือน ก.ย. ก็จะช่วยเซฟตัวเลขให้ได้ตามเป้าหมาย หากต้องรอข่าวดีเรื่องจำนวนเที่ยวบินช่วงตารางบินฤดูหนาว 2567/2568 เท่ากับว่าต้องรอนานถึงปลายเดือน ต.ค. ทั้งที่สามารถลุยทำการตลาดตั้งแต่ช่วงกลางปีนี้ได้เลย

อย่างตลาด ‘นักท่องเที่ยวจีน’ เดินทางเข้าไทยมากเป็นอันดับ 1 ถ้าอยากให้ไปถึงเป้าหมาย 8 ล้านคนในปีนี้ ก็ต้องทำเพิ่ม ให้ไดเรกชันชัดเจนว่าต้องเจาะตลาดอย่างไร เพราะจากการประเมินแนวโน้มล่าสุดของภาคเอกชนคาดว่าสิ้นปีนี้น่าจะปิดที่ 7 ล้านคน น้อยกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้

ทั้งนี้ พอเห็นสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้า ‘ญี่ปุ่น’ ช่วง 5 เดือนแรกแล้ว ประเมินว่าปีนี้มีสิทธิ์เห็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางไปญี่ปุ่นแซงไทยเป็นครั้งแรก จากปัจจัยเงินเยนอ่อนค่าหนัก อย่างไรก็ตาม เรื่องจะโดนญี่ปุ่นแซงหรือไม่นั้น ไม่ใช่ปัญหา การไปถึงเป้าหมายรัฐบาลดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยให้ได้ 36.7 ล้านคนต่างหากที่สำคัญกว่า! ทาง ททท.ต้องเร่งเช็กยอดจองที่นั่งเครื่องบินล่วงหน้าว่าติดปัญหาเรื่องอะไร เพื่อเร่งเติมตลาดให้ทัน เช่น การทำเที่ยวบินเช่าเหมาลำจากจีนและรัสเซีย

อย่างไรก็ตาม แม้ปีนี้ภาคการท่องเที่ยวไทยจะอยู่ในยุคฟื้นตัว กลับไปมีนักท่องเที่ยวต่างชาติใกล้เคียงภาวะปกติ แต่ก็ต้อง ‘บริหารความเสี่ยง’ ระหว่างปีให้ดีในยุคเศรษฐกิจโลกเต็มไปด้วย ‘ความไม่แน่นอน’ ไม่ใช่ว่าจะไปรอไฮซีซัน 3 เดือนสุดท้าย เพราะอาจเจอเหตุการณ์อื่นๆ มาเซอร์ไพรส์กลับ ทำยอดหก หลุดเป้าหมายได้

“ส่วนเป้าหมายรายได้รวมการท่องเที่ยว 3.5 ล้านล้านบาทในปีนี้ ลืมไปได้เลย เพราะล่าสุดตัวเลขยอดการใช้จ่ายด้านท่องเที่ยวต่ำกว่ายุคก่อนโควิดด้วยซ้ำ เฉลี่ย 46,000 บาทต่อคนต่อทริปเท่านั้น จากปี 2562 ก่อนโควิดเฉลี่ยอยู่ที่ 49,000 บาทต่อคนต่อทริป หลังได้รับผลกระทบจากปัญหากำลังซื้อและเศรษฐกิจโลก อีกปัจจัยคือการเข้ามาของตลาดระยะสั้น เช่น มาเลเซีย ที่นิยมเดินทางข้ามแดน เข้ามาพักไม่นานแค่ 2-3 วัน ทอนภาพรวมค่าเฉลี่ยการใช้จ่ายลดลง” แหล่งข่าวกล่าว

‘ททท.’ ปักหมุดโคราช ‘เมือง 3 มรดกโลกยูเนสโก’ ต่อยอดท่องเที่ยวไทย ชูซอฟต์พาวเวอร์เด่น ผ่านแนวคิด ‘5 Must Do in Nakhon Ratchasima’

(4 ก.ค.67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงผลสำเร็จตามนโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวของรัฐบาลว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 ตั้งแต่ 1 ม.ค. - 30 มิ.ย. มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดินทางเข้าไทยสะสมกว่า 17.5 ล้านคน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวแล้วกว่า 8.25 แสนล้านบาท และจากนโยบาย IGNITE Thailand’s Tourism ส่งเสริมศักยภาพการท่องเที่ยวไทยทุกมิติ เดินหน้ากระตุ้นการท่องเที่ยวต่อเนื่อง และนำเสนอเส้นทางการท่องเที่ยวในเมืองหลัก เชื่อมโยงไปยังเมืองน่าเที่ยว ขยายไปยังจังหวัดต่าง ๆ ในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวตามกระแส โดยเตรียมเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ไทย-จีน ครบ 50 ปี ผ่านโครงการ ‘ลาบูบู้เที่ยวไทย’ (Welcome Ceremony of LABUBU)ตามรอยลาบูบู้ ตามกลยุทธ์ ‘5 Must Do in Thailand’

นายชัย กล่าวว่า นักท่องเที่ยว 5 อันดับแรกที่เดินทางเข้าไทยสูงสุด ได้แก่ จีน มาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย ตามลำดับ และในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมิ.ย.ที่มีการจัดกิจกรรมงาน Pride month 2024 ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ เข้ามาท่องเที่ยว 659,830 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 19,083 คน หรือ 2.98% หรือเฉลี่ยวันละ 94,262 คน 

สำหรับการต่อยอดท่องเที่ยว การเที่ยวแห่งประเทศไทย จะผลักดันจ.นครราชสีมา ‘เมือง 3 มรดกโลกยูเนสโก’ (UNESCO Triple Heritage City) ที่เป็นจังหวัดแรกและจังหวัดเดียวในไทย ที่มีโปรแกรมของยูเนสโกครบทั้ง 3 โปรแกรม ได้แก่ 

- สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช อ.วังน้ำเขียว 
- มรดกโลกทางธรรมชาติผืนป่าดงพญาเย็นเขาใหญ่ 
- อุทยานธรณีโลกโคราช 

โดยจะเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวไปสู่เมืองน่าเที่ยวอื่น ในภูมิภาค เช่น กลุ่มจังหวัดนครชัยบุรินทร์ (ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์) รวมทั้งส่งเสริม Soft Power โดยใช้ต้นทุนทางวัฒนธรรมเป็นจุดขายผ่านแนวคิด 5 Must Do in Nakhon Ratchasima คือ

1. Must Eat อิ่มอร่อยอาหารจานเด็ด 

2. Must See ละลานตาการแสดงวัฒนธรรม 

3. Must Seek แหล่ง unseen ถิ่นน่าเที่ยว 

4. Must Buy ของกินของฝากล้ำค่าน่าซื้อหา

5. Must Beat กีฬาท้าทายกายใจ 

นอกจากนั้นจะร่วมกับ POP MART จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว เตรียมเฉลิมฉลองการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีนครบรอบ 50 ปี ผ่านโครงการ ‘ลาบูบู้เที่ยวไทย’ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 - 4 ก.ค.เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์เชิงบวก ให้มาสคอตลาบูบู้แต่งกายด้วยชุดไทย พร้อมถ่ายทำคลิปวิดีโอประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวไทยสื่อสารไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน ตามโปรแกรมการท่องเที่ยว 5 Must Do in Thailand ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อตามรอยลาบูบู้ รวมถึงช่วยบอกต่อและเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวจีนเลือกประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางในการท่องเที่ยว และ กก. คาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยเพิ่มมากขึ้นอีกจากปัจจัยส่งเสริมการเดินทาง ทั้งกระแสการท่องเที่ยวตามรอย MV เพลงใหม่ ‘ROCKSTAR’ ของลิซ่า และการเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว Summer holiday ของตลาดภูมิภาคยุโรป รวมถึงการท่องเที่ยวตามรอยลาบูบู้ เป็นต้น

“นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพของไทย ประกอบกับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไทยสามารถดำเนินการผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวฟื้นตัวจนเห็นผลสำเร็จอย่างต่อเนื่อง และเชื่อมั่นว่าด้วยการส่งเสริม ต่อยอดของรัฐบาล สนับสนุนการดำเนินงานทั้งเพื่อความปลอดภัย และความสะดวกทันสมัยตอบโจทย์ และตามกระแสของนักท่องเที่ยว จะทำให้ไทยสามารถมีรายได้จากการท่องเที่ยวตามเป้า เพิ่มโอกาสเป็นประโยชน์ต่อวิถีชีวิตพี่น้องประชาชนทุกคน” นายชัย กล่าว

'ททท.' คาด โค้งสุดท้ายปี 67 นทท.แห่เข้าไทย 12.22 ล้านคน หนุนยอดทั้งปีนี้เฉียด 36 ล้านคน สร้างรายได้ประเทศ 1.8 ลลบ.

(2 ก.ย. 67) ช่วงเวลาที่ผ่านมา นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ตลาดท่องเที่ยวต่างประเทศ 4 เดือนสุดท้ายของปี 2567 (ก.ย.-ธ.ค.) เดินทางเข้าประเทศไทย มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว คาดว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 12,226,500 คน หรือขยายตัวเพิ่มขึ้น 20% สร้างรายได้ 652,826 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% เทียบช่วงเดียวกันของปี 2566 ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายที่กำหนด 4 เดือนสุดท้ายของปี 2567 คิดเป็นสัดส่วน 97% ของเป้าหมายที่ตั้งไว้ทั้งปีที่รายได้ 673,738 ล้านบาท

สำหรับ คาดการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยในช่วง 4 เดือนสุดท้าย ยังคงเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวตลาดหลักจากเอเชียตะวันออก รองลงมาคือกลุ่มภูมิภาคยุโรป และเอเชียใต้ ส่วนที่เหลือจากตลาดในภูมิภาคอื่นๆ เช่น โดย 10 อันดับแรกของประเทศที่เดินทางเที่ยวไทยมากที่สุด ได้แก่ จีน 2.03 ล้านคน มาเลเซีย 1.83 ล้านคน อินเดีย 7.07 แสนคน เกาหลีใต้ 7.4 แสนคน รัสเซีย 6.98 แสน ลาว 4.34 แสนคน สิงคโปร์ 4.28 แสนคน ไต้หวัน 3.77 แสนคน ญี่ปุ่น 3.46 แสนคน และสหรัฐ 3.41 แสนคน

“แนวโน้มปี 2567 คาดมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยจำนวน 35.99 ล้านคน เพิ่มขึ้น 28% ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่ ททท. กำหนดไว้ไม่น้อยกว่า 35 ล้านคน ส่วนรายได้ทางการท่องเที่ยวคาดประมาณ 1.818 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% เมื่อเทียบปีก่อนหน้า”

สำหรับปัจจัยบวกต่อภาคการท่องเที่ยวไทย มีทั้งนโยบายผลักดันการเดินทางผ่านมาตรการ Ease of Traveling ของประเทศไทย อาทิ การผ่อนคลายวีซ่าประเภทท่องเที่ยว การขยายเวลาพำนักในไทยนานขึ้น การยกเว้นยื่นใบ ตม.6 บริเวณด่านชายแดนทางบกทั่วประเทศ เพื่อจูงใจและอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่กำลังวางแผนจะเดินทางให้สามารถตัดสินใจเดินทางมาเที่ยวไทยง่ายขึ้น
รวมถึงปัจจัยจำนวนที่นั่งโดยสาร (Seat Capacity) เส้นทางระหว่างประเทศ มีจำนวนรวม 46 ล้านที่นั่ง คิดเป็นการฟื้นตัว 82% ของจำนวนที่นั่งโดยสารระหว่างประเทศเมื่อปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาด และเติบโตขึ้น 24% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีจำนวนที่นั่งโดยสารประมาณ 37 ล้านที่นั่ง

สอดคล้องกับแนวโน้มความต้องการการเดินทางท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น รวมถึงเทศกาลและกิจกรรมสำคัญ อาทิ วันชาติจีน (1 ต.ค.) เทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ และการเดินทางท่องเที่ยวตามรอยอินฟลูเอนเซอร์ ศิลปินชื่อดังของชาวไทยและต่างชาติ ผ่านการนำเสนอคอนเทนต์ สถานที่ถ่ายทำซีรีส์ คอนเสิร์ต หรือแฟนมีตติงศิลปินไทยและต่างชาติ

ส่วนปัจจัยท้าทายที่คาดว่าจะกระทบต่อการท่องเที่ยวของไทย อาทิ การส่งเสริมตลาดเชิงรุกของคู่แข่งในตลาดเอเชียแปซิฟิก เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน และเวียดนาม ที่จัดโปรโมชันดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มเดียวกับไทย รวมถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความเสี่ยงเศรษฐกิจขนาดใหญ่ชะลอตัว ความขัดแย้งระหว่างประเทศ ได้แก่ สงครามอิสราเอลกับปาเลสไตน์ อิหร่านกับอิสราเอล รัสเซียกับยูเครน หากยืดเยื้ออาจส่งผลกระทบต่อราคาบัตรโดยสารเครื่องบินแพงขึ้น

นอกจากนี้ ภัยคุกคามจากภัยพิบัติธรรมชาติและภัยก่อการร้าย มีแนวโน้มเพิ่มความถี่เกิดบ่อยครั้งหรือรุนแรง โดยเฉพาะอุณหภูมิโลกมีแนวโน้มสูงขึ้นจากผลของวิกฤติคลื่นความร้อน (เอลนีโญ) แผ่นดินไหว น้ำท่วมใหญ่ จนอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สิน แผนการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวออกต่างประเทศ หรือมาตรการความปลอดภัยในการเดินทาง

นางสาวฐาปนีย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับภาพรวมสถานการณ์ท่องเที่ยวตลาดในประเทศ 4 เดือนสุดท้ายของปี 2567 (ก.ย.-ธ.ค.) มีการเติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง คาดมีจำนวนผู้เยี่ยมเยือน 72.47 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 6% หรือคิดเป็น 92% ซึ่งเข้าใกล้เป้าหมายจำนวน 4 เดือนสุดท้ายของปี 2567 ที่ตั้งไว้ และมีรายได้รวม 335,240 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา หรือคิดเป็นสัดส่วน 83% ของเป้าหมายรายได้ 4 เดือนสุดท้ายของ ปี 2567 ที่ตั้งไว้

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มทั้งจำนวนและรายได้ตลาดในประเทศปี 2567 จะยังคงเป็นไปตามคาดการณ์ไว้ โดยมีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ มาตรการการกระตุ้นท่องเที่ยวจัดผ่านอีเวนต์ การท่องเที่ยวโดยซอฟต์พาวเวอร์ อาทิ อาหาร ภาพยนตร์และซีรีส์ แฟชั่น มวยไทย และเฟสติวัล โดยนโยบายส่งเสริมท่องเที่ยวในประเทศภายใต้แคมเปญ “สุขทันที...ที่เที่ยวไทย” และโครงการ “365 วันมหัศจรรย์เมืองไทย ...เที่ยวได้ทุกวัน” 

ททท. จัด Workshop 12 StartUp แลกเปลี่ยนแนวคิดพัฒนาอุตฯ ท่องเที่ยว

(31 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อ 22 ต.ค. 67 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยฝ่ายส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ได้จัดกิจกรรม Founder First Date ภายใต้โครงการ TAT TRAVEL TECH STARTUP 2024 ณ ท่าเรือ ICONSIAM คลองสาน กรุงเทพฯ โดยมีนางจิระวดี คุณทรัพย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว ททท. เป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมทั้งคุณกิตติ พรศิวะกิจ กรรมการ ททท. ร่วมแสดงความยินดีและกล่าวเปิดงาน

กิจกรรมนี้เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ Travel Tech Startup ทั้ง 12 ทีมที่ผ่านการคัดเลือกจากผู้สมัครทั้งหมด 76 ทีม ได้ทำความรู้จักและแลกเปลี่ยนไอเดียร่วมกัน โดยได้รับคำแนะนำจากองค์กรพันธมิตรด้านการสนับสนุนธุรกิจท่องเที่ยวหลากหลายภาคส่วน

รายชื่อทีมผู้ผ่านคัดเลือกทั้ง 12 ทีมได้แก่
1. AAppoint (บริษัท แอพพ้อยท์เม้นท์ เอนี่แวร์ จำกัด)
2. Ascend Travel (บริษัท แอสเซนด์ แทรเวิล จำกัด)
3. Carbonwize (บริษัท คาร์บอนไวซ์ จำกัด)
4. CARMEN (บริษัท คาร์เมน ซอฟต์แวร์ จำกัด)
5. CERO (บริษัท เวคิน (ประเทศไทย) จำกัด)
6. CFoot (บริษัท แพลนเน็ตซี จำกัด)
7. Giant Stride (บริษัท ไจแอนท์ สไตรด์ จำกัด)
8. HAUP (บริษัท ฮ๊อปคาร์ จำกัด)
9. SHIN Platform (บริษัท ชิบะรูม จำกัด)
10. Socialgiver (บริษัท โซเชียลโมชั่น วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด)
11. YACHT ME Platform (บริษัท ยอร์ช มี คอร์เปอเรชั่น จำกัด)
12. สะอาดทริป (นายสิทธิเดช เฑียรแสงทอง)

ในงานยังมีผู้แทนจากองค์กรพันธมิตรเข้าร่วมกิจกรรม ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa), สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA), ธนาคาร SME D BANK, สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย, บริษัท เทคซอส มีเดีย จำกัด, บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด, SCBx NEXT TECH, The Able By KING POWER, ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC), บริษัท เดนท์สุ (ประเทศไทย) จำกัด, สมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย, Mission To The Moon, Greenery Media และ THE STATES TIMES

ทีมที่ผ่านเข้ารอบจะเข้าร่วมกิจกรรม TAT Startup Bootcamp 1-2 เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันรอบสุดท้ายซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 ณ SCBX Space สยามพารากอน ชิงเงินรางวัลรวม 350,000 บาท พร้อมสิทธิประโยชน์จากพันธมิตรในโครงการ

เช็กรายละเอียดรับส่วนลดจากโครงการ ‘แอ่วเหนือ...คนละครึ่ง’ ที่นี่ รับส่วนลด 400 บาทหมื่นสิทธิ์ จาก ททท. หนุนกอบกู้ภาคเหนือ

(31 ต.ค. 67) ททท. จัดแคมเปญ 'แอ่วเหนือ...คนละครึ่ง' เริ่ม 1 พฤศจิกายนนี้ มอบส่วนลด 50% รวมไม่เกิน 400 บาท 10,000 สิทธิ์ แบบ First Come First Served ลงทะเบียนก่อนรับสิทธิ์ก่อน ณ โรงแรมในโครงการที่นักท่องเที่ยวเข้าพัก

แคมเปญแอ่วเหนือ...คนละครึ่ง กิจกรรมภายใต้ โครงการเหนือพร้อม…เที่ยว เป็นแคมเปญกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวระยะเร่งด่วนในช่วงเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม 2567 เพื่อฟื้นฟูการท่องเที่ยวภาคเหนือ ภายหลังสถานการณ์อุทกภัย มุ่งสร้างกระแสการเดินทางท่องเที่ยว สร้างความเชื่อมั่นในการเดินทางท่องเที่ยวภาคเหนือ ตลอดจนกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายและกระจายรายได้จากการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงฤดูท่องเที่ยวช่วงโค้งสุดท้าย ปี 2567 คาดว่าจะสร้างรายได้หมุนเวียนทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 44.34 ล้านบาท

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ร่วมกับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ กว่า 550 ราย มอบส่วนลด 50% ของการใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการในสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ รวมมูลค่าไม่เกิน 400 บาท จำนวน 10,000 สิทธิ์ ให้แก่นักท่องเที่ยว (1 คน/1 สิทธิ์) 

โดยผู้ที่ลงทะเบียนก่อนได้รับสิทธิ์ก่อน (First Come First Served) นักท่องเที่ยวสามารถลงทะเบียนรับสิทธิ์ ณ โรงแรมที่เข้าพักที่เข้าร่วมโครงการในพื้นที่ภาคเหนือ 17 จังหวัด โดยสแกน QR Code และกรอกข้อมูล ชื่อ-สกุล ภูมิลำเนา เบอร์โทรศัพท์ เพื่อรับ SMS ยืนยันการเข้าร่วม (ไม่สามารถจองสิทธิ์ล่วงหน้าได้) 

สำหรับการใช้สิทธิ์ส่วนลด นักท่องเที่ยวสามารถใช้สิทธิ์ เมื่อใช้จ่ายกับสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ อาทิ โรงแรม/ที่พัก ร้านอาหาร สปา ผ่านการสแกน QR code ณ สถานประกอบการที่ต้องการใช้สิทธิ์ จากนั้นกรอกเบอร์โทรศัพท์ที่ลงทะเบียน และยอดค่าใช้จ่าย ทั้งนี้สามารถใช้สิทธิ์ได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งในวงเงินไม่เกิน 400 บาท แต่จะต้องไม่ซ้ำกับสถานประกอบการเดิมที่เคยใช้สิทธิ์ส่วนลดไปแล้ว และจำกัดระยะเวลาการใช้สิทธิ์ภายใน 3 วัน (72 ชั่วโมง) นับจากเวลาที่ได้รับ SMS ยืนยันการเข้าร่วมแคมเปญ

สำหรับสถานประกอบการที่เข้าร่วมแคมเปญแอ่วเหนือ...คนละครึ่ง 554 แห่ง แบ่งสัดส่วนออกเป็น โรงแรมที่พัก 59% (326 แห่ง) ร้านอาหาร/ร้านคาเฟ่ 29% (160 แห่ง) ร้านของฝากของที่ระลึก 7% (38 แห่ง) และอื่นๆ อาทิ แหล่งท่องเที่ยวชุมชน สปา 5% (30 แห่ง) ทั้งนี้ เนื่องจากสิทธิ์ส่วนลดมีจำนวนจำกัด ททท. จึงขอสงวนสิทธิ์ดำเนินการในรูปแบบลงทะเบียนก่อนรับสิทธิ์ก่อน (First Come First Served) 

โดยนักท่องเที่ยวสามารถเริ่มลงทะเบียนรับสิทธิ์ได้ ณ โรงแรมที่เข้าพักที่ร่วมโครงการ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 หรือเมื่อครบจำนวนการใช้สิทธิ์ นักท่องเที่ยวสามารถดูรายละเอียดแคมเปญ สิทธิ์คงเหลือ และรายชื่อสถานประกอบการที่เข้าร่วมแคมเปญได้ที่เว็บไซต์ https://www.แอ่วเหนือคนละครึ่ง.com หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ TAT Contact Center โทร. 1672

เชียงใหม่-ททท. ผนึกกำลังพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ประกาศศักยภาพความพร้อมภาคเหนือจัดงาน "เหนือพร้อม...เที่ยว" 

ททท. ผนึกกำลังพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ประกาศศักยภาพความพร้อมภาคเหนือ จัดงาน “เหนือพร้อม...เที่ยว” Kick off แคมเปญ “แอ่วเหนือ...คนละครึ่ง” ดีเดย์ 1 พ.ย. นี้

(3 พ.ย. 67) เวลา 18.00 น. ศูนย์วัฒนธรรม โอลด์เชียงใหม่  อำเภอเมืองเชียงใหม่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดงาน “เหนือพร้อม...เที่ยว” ประกาศศักยภาพความพร้อม เร่งสร้างความเชื่อมั่น ฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยว และให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย พร้อมเปิดตัวแคมเปญ “แอ่วเหนือ...คนละครึ่ง” รับนักท่องเที่ยวช่วง High Season หวังกระตุ้นรายได้และจำนวนนักท่องเที่ยวช่วงโค้งสุดท้ายปี 2567 โดยมีนายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมพิธีเปิดงานและกล่าวแสดงความพร้อมในการต้อนรับนักท่องเที่ยว พร้อมด้วย นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ ททท. และคณะผู้ประกอบการจาก 5 ภูมิภาค เข้าร่วมงาน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยว จังหวัดเชียงใหม่ ได้พบปะแลกเปลี่ยนเจรจาธุรกิจ กับผู้ประกอบการท่องเที่ยวจากทั้ง 5 ภูมิภาค 

นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ ททท. กล่าวว่า สถานการณ์อุทกภัยในช่วงที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในหลายพื้นที่ของภาคเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่  ทั้งในแง่ของการคมนาคมเดินทางเข้าสู่พื้นที่และความเสียหายต่อแหล่งท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสถานการณ์ในจังหวัดภาคเหนือได้กลับสู่ภาวะปกติแล้ว และตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นต้นไป แหล่งท่องเที่ยวและสถานประกอบการต่าง ๆ ในภาคเหนือพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้กลับมาเดินทางชื่นชมความสวยงามของธรรมชาติและศิลปวัฒนธรรมที่งดงามและทรงคุณค่าของทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือในช่วงฤดูหนาวซึ่งเป็นช่วงฤดูแห่งการท่องเที่ยวภาคเหนือ ดังนั้นเพื่อสร้างกระแสให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยว ฟื้นฟูความเชื่อมั่นในการเดินทาง ตลอดจนแสดงถึงความพร้อมและศักยภาพของภาคเหนือ ททท. ได้จัดงาน “เหนือพร้อม...เที่ยว” ส่งเสริมให้เกิดการเดินทางของนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอื่น ๆ สู่ภาคเหนือ 17 จังหวัด 

โดยในวันที่ 1-3 พฤศจิกายน 2567 ททท. ได้นำผู้ประกอบการและสื่อมวลชนจากภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศกว่า 200 คน ร่วมอัปเดทสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยว และเจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวภาคเหนือ 17 จังหวัด ในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ พร้อมร่วมพิธีสืบชะตาหลวงล้านนาเพื่อความเป็นสิริมงคล ตลอดจนกิจกรรม CSR พร้อมกันนี้ถือเป็นการคิกออฟเปิดตัวแคมเปญ “แอ่วเหนือ...คนละครึ่ง” ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 เพื่อเดินหน้ากระตุ้นการท่องเที่ยวภาคเหนืออย่างเต็มที่ ทั้งนี้ คาดว่าเมื่อสิ้นสุดปี 2567 จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าสู่ภูมิภาคภาคเหนือกว่า 22.13 ล้านคน-ครั้ง และสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวกว่า 164,106 ล้านบาท

นายโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย รักษาการผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายได้ผนึกความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เร่งฟื้นฟูการท่องเที่ยวในพื้นที่และช่วยเหลือผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยอย่างเต็มกำลัง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการเดินทางให้กับนักท่องเที่ยวในช่วงปลายปี 2567 โดยได้เตรียมเปิดเมืองต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยหลากหลายกิจกรรม เทศกาล งานประเพณีที่มีการผสมผสานทั้งกิจกรรมท่องเที่ยว กีฬา ผลิตภัณฑ์ชุมชน วิถีวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น งานประเพณีลอยกระทงยี่เป็งนครเชียงราย กิจกรรม Mae Salong Trail งานมหกรรมดอกไม้อาเซียน งานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม งานเคาท์ดาวน์เชียงราย 2025 ฯลฯ ซึ่งจะช่วยสร้างสีสันรับฤดูท่องเที่ยวของภาคเหนือ และสามารถกระตุ้นให้เกิดการเดินทาง และการกระจายรายได้หมุนเวียนสู่ระบบเศรษฐกิจภายในจังหวัดได้เป็นอย่างดี
 
นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า เหตุการณ์อุทกภัยในครั้งนี้ถือว่าหนักที่สุดในรอบ 50 ปี ของจังหวัดเชียงใหม่ ส่งผลต่อภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่นับว่าเป็นรายได้หลักของจังหวัด ภายหลังจากเหตุการณ์คลี่คลายลง จังหวัดเชียงใหม่ได้ระดมกำลังทั้งเจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐ ประชาชน และจิตอาสา เร่งฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ และในวันนี้จังหวัดเชียงใหม่พร้อมแล้วที่จะต้อนรับนักท่องเที่ยวในช่วง High Season ที่กำลังจะมาถึง

 โดยในช่วงปลายปี จังหวัดเชียงใหม่จะมีการจัดกิจกรรม เทศกาล งานประเพณี ที่น่าสนใจ เช่น งานประเพณียี่เป็งเชียงใหม่ มหกรรมดนตรีเชียงใหญ่เฟส เทศกาลงานออกแบบ Chiang Mai Design Week งานวิ่งเมืองไทยเชียงใหม่มาราธอน และงาน Amazing Chiang Mai Countdown 2025 และอีกมากมาย ซึ่งคาดว่าจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ กระตุ้นการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ให้ฟื้นตัวและเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแคมเปญ “แอ่วเหนือ...คนละครึ่ง” เริ่มต้นวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ททท. ได้ร่วมกับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ อาทิ โรงแรม/ที่พัก ร้านกาแฟ ร้านอาหาร กิจกรรม DIY แหล่งท่องเที่ยว ร้านของที่ระลึก มอบส่วนลด 50% ของการใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการในสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ รวมมูลค่าไม่เกิน 400 บาท จำนวน 10,000 สิทธิ์ (1 คน/1 สิทธิ์) ให้แก่นักท่องเที่ยว โดยนักท่องเที่ยวสามารถสแกน QR code เพื่อลงทะเบียนรับสิทธิ์ ณ โรงแรมที่เข้าพักที่ร่วมโครงการในพื้นที่ภาคเหนือ 17 จังหวัด 

โดยเมื่อลงทะเบียนรับสิทธิ์แล้ว จะได้รับ SMS ยืนยันการเข้าร่วมแคมเปญ ซึ่งจะมีระยะเวลาการใช้งานสิทธิ์ที่ได้รับภายใน 3 วัน (72 ชั่วโมง) นับจากเวลาที่ได้รับ SMS ยืนยัน ทั้งนี้สำหรับการใช้สิทธิ์ส่วนลด นักท่องเที่ยวสามารถใช้สิทธิ์โดยสแกน QR code ณ สถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการโดยสังเกตป้ายที่มีโลโก้แอ่วเหนือคนละครึ่ง ทั้งนี้สิทธิ์ในการใช้ส่วนลดมีจำนวนจำกัด ททท. ขอสงวนสิทธิ์ให้กับผู้ที่ลงทะเบียนก่อนจะได้รับสิทธิ์ก่อน (First Come First Served) โดยสามารถเริ่มลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 หรือเมื่อครบจำนวนการใช้สิทธิ์

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดการสมัครเข้าร่วมแคมเปญ “แอ่วเหนือ...คนละครึ่ง” และตรวจสอบรายชื่อสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ ได้ที่เว็บไซต์ www.แอ่วเหนือคนละครึ่ง.com หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ TAT Contact Center โทร. 1672

นภาพร/เชียงใหม่

ททท. ผุด E – Guidebook กระตุ้นคน Gen S ท่องเที่ยวด้วยรถไฟ ประเดิมเส้นทางฮิต ‘กรุงเทพฯ – เพชรบุรี – หัวหิน – ประจวบฯ’

(5 พ.ย. 67) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดตัว E-Guide Book #MyRailJourney ส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถไฟ เชิญชวนนักท่องเที่ยวออกแบบประสบการณ์เดินทางเองเพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการเดินทางท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประเดิมด้วยแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในเส้นทาง กรุงเทพมหานคร – เพชรบุรี และ หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ พร้อมจับมือกับ เคทีซี  รวมถึงพันธมิตรระดับโลกอย่าง Netflix และ Airbnb ร่วมปักธงการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ส่งมอบประสบการณ์ท่องเที่ยวที่มีความหมาย เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยว GenS ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ณ เคทีซี ทัช กรุงเทพมหานคร 

นางสาวเอิบลาภ ศรีภิรมย์ ผู้อำนวยการฝ่ายสินค้าการท่องเที่ยว ททท. กล่าวว่า ททท. ให้ความสำคัญต่อการนำเสนอประสบการณ์เดินทางที่มีคุณค่าและมุ่งเป้าหมายการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในทุกมิติ โดยเล็งเห็นว่า การเดินทางด้วยรถไฟนั้นเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพราะมีการปล่อยคาร์บอนน้อยกว่ารถยนต์หรือเครื่องบิน อีกทั้งการเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถไฟนั้นอยู่คู่กับนักเดินทางชาวไทยมายาวนานกว่า 120 ปีถือเป็นการสร้างประสบการณ์ที่สนุกและมีเสน่ห์เฉพาะตัว จึงได้ร่วมมือกับพันธมิตรจัดทำ E- Guidebook #MyRailJourney เส้นทางเพชรบุรีและหัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ ขึ้น เพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถไฟ เปิดมุมมองใหม่ในการเดินทางที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม 

เจาะกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยว GenS (Generation Sustainability) นักท่องเที่ยวหัวใจยั่งยืนที่พร้อมใส่ใจสิ่งแวดล้อมไม่จำกัดช่วงวัย โดยมี E- Guidebook เป็นเสมือนไกด์นำเที่ยวคนสำคัญในการออกเดินทาง ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถออกแบบประสบการณ์ท่องเที่ยวที่มีความหมายด้วยตัวเอง นับตั้งแต่การเลือกตารางเวลารถ การคำนวณระยะเวลาในการเดินทาง การเลือกขบวนรถ การเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อทำกิจกรรมที่ชื่นชอบในระหว่างนั่งรถไฟ รวมทั้งวางแผนการท่องเที่ยวในจุดหมายปลายทางจนกระทั่งเดินทางกลับ ทั้งนี้ ททท.จึงอยากเชิญชวนให้ทุกท่านมาสัมผัสการเดินทางแบบ Slow Travel ที่งดงามและยั่งยืน เพื่อร่วมกันสร้างเทรนด์ใหม่เป็นทางเลือกให้การท่องเที่ยวของไทยไปพร้อมกัน 

ด้าน Mr. Ruben Hattari, Public Policy Director for Netflix in Southeast Asia กล่าวว่า Netflix ในฐานะผู้มอบความบันเทิงระดับโลก มีความยินดีที่จะแนะนำภาพยนตร์ ซีรี่ส์ และสารคดี ที่มีเนื้อหาส่งเสริมประสบการณ์การเดินทางที่ลึกซึ้งเพื่อให้นักเดินทางได้ชมระหว่างนั่งรถไฟ ซึ่งได้แนะนำไว้ใน E - Guidebook ฉบับนี้ และยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ชม Netflix เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก และหวังว่าคอนเทนต์ต่างๆ ที่คัดสรรมานำเสนอจะกระตุ้นความสนใจให้มีการออกเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทย

ขณะที่ Ms. Mich Goh, Director of Public Policy for Asia Pacific at Airbnb กล่าวว่า นอกเหนือจากการเปิดบ้านและที่พักแล้ว Airbnb ให้ความสำคัญต่อการเป็น Host ที่ส่งมอบประสบการณ์ท่องเที่ยวที่เข้าถึงความเป็นท้องถิ่น โดยเล็งเห็นว่าการเดินทางท่องเที่ยวโดยรถไฟนั้นจะนำพานักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ๆ เข้าสู่พื้นที่ได้อย่างทั่วถึง Airbnb จึงมุ่งมั่นที่จะสร้างประสบการณ์ที่มีความหมายให้กับนักเดินทางที่เลือกใช้บริการ Host  และ Airbnb จะเป็นช่องทางสำคัญในการประชาสัมพันธ์ E-Guidebook รวมทั้งช่วยให้ข้อมูลและเรื่องราวในพื้นที่ และเป็นทูตวัฒนธรรมที่ช่วยแนะนำให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางท่องเที่ยว สำรวจมรดกท้องถิ่น อาหารพื้นเมือง และสถานที่ที่พิเศษต่างๆ ในเมือง ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อชุมชนท้องถิ่นโดยรอบ

นางสาวพัทธ์ธีรา อนันต์โชติพัชร ผู้บริหาร KTC World Travel Service และการตลาดหมวด
สายการบิน “เคทีซี” กล่าวว่า เคทีซีคำนึงถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และพร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์กรีนโปรดักส์ด้านการเดินทางท่องเที่ยวผ่านช่องทางเคทีซี เวิลด์ ทราเวล เซอร์วิส อาทิ บัตรรถไฟ บัตรรถราง รถเช่าไฟฟ้า (EV) และแพ็กเกจท่องเที่ยวชุมชน สำหรับ

การเดินทางท่องเที่ยวโดยรถไฟนั้น เชื่อมั่นว่านักเดินทางจะได้รับประสบการณ์พิเศษที่ไม่เหมือนใคร ทั้งประสบการณ์ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมท้องถิ่น ธรรมชาติและชุมชน รับคะแนนเพิ่ม 1,000 KTC FOREVER เมื่อจองตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป ขณะเดียวกันเคทีซีพร้อมสร้างความตระหนักรู้ให้กับนักท่องเที่ยวผ่านช่องทางประชาสัมพันธ์ต่างๆ ของเคทีซีเพื่อแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวชุมชน ร้านอาหารท้องถิ่น ร้านขายของฝาก ที่พักชุมชนให้สมาชิกได้เข้าถึงข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวได้สะดวกมากขึ้น

นอกจากนี้ ในการจัดกิจกรรมเปิดตัว E -Guidebook #MyRailJourney ผู้เข้าร่วมงานจะได้รับฟังแนวทางการพัฒนาโครงข่ายและการให้บริการของการรถไฟแห่งประเทศไทยโดย นางศุภมาศ ปลื้มกุศล หัวหน้ากองโฆษณาและส่งเสริมการท่องเที่ยว รฟท. พร้อมทั้งชมความงดงามเสน่ห์ของการเดินทางด้วยรถไฟผ่านนิทรรศการภาพถ่ายในหัวข้อ “ชีวิตที่สวยงาม” และ “การเฉลิมฉลองช่วงเวลาที่น่าจดจำ”ถ่ายภาพโดย ชาตรี สลีวงศ์ ช่างภาพสารคดีชื่อดัง ซึ่งถ่ายทอดจิตวิญญาณของการเดินทางด้วยรถไฟ ด้วยการบอกเล่าเรื่องราวของผู้คน ทิวทัศน์ และความอมตะของการเดินทาง ความมหัศจรรย์ในการชะลอจังหวะชีวิตและสัมผัสประสบการณ์ผ่านหน้าต่างรถไฟ  และ กฤษฎากร สุขมูล ช่างภาพผู้เชี่ยวชาญด้านภาพถ่ายอาหาร และนำเสนอความงดงามของรถไฟไทยไม่ใช่แค่ปลายทาง แต่เป็นการเดินทางที่เติมเต็มด้วยวัฒนธรรม ธรรมชาติ และการเชื่อมต่อของผู้คนในแต่ละจุดที่รถไฟหยุด นอกจากนี้ ผู้ร่วมงานจะได้สัมผัสประสบการณ์เดินทางจากอาหาร รังสรรค์โดย เชฟเบลล์ พิมพ์ทิพย์ เป้าศิลา เชฟชื่อดังจากรายการ Master Chef Thailand นำเสนอแนวคิดการเดินทางด้วยรถไฟคือการซึมซับทุกช่วงเวลา เหมือนกับการเพลิดเพลินกับอาหารจานพิเศษที่เชื่อมโยงกับการเดินทางได้อย่างลึกซึ้ง

ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลด E-Guide Book #MyRailJourney เพื่อเป็นข้อมูลแนะนำประสบการณ์เดินทางท่องเที่ยวด้วยรถไฟได้แล้วที่ https://tourismproduct.tourismthailand.org/2024/10/23/rail-journey/  หรือสอบถามข้อมูลท่องเที่ยวเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1672 Travel Buddy

ททท. ประกาศผลผู้ชนะ ‘TAT Travel Tech Startup 2024’ ทีม HAUP คว้าชัย พร้อมได้อีก 11 ทีม หัวกะทิ Travel Tech

เมื่อวันที่ (26 พ.ย. 67) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประกาศผลผู้ชนะโครงการ TAT Travel Tech Startup 2024 กิจกรรมบ่มเพาะและโจทย์ด้านการท่องเที่ยวสุดท้าทาย ภายใต้แนวคิด WORLD & ME โดยทีมผู้ประกอบการสตาร์ทอัพที่มีแผนธุรกิจที่โดดเด่นและได้รับคัดเลือกคะแนนสูงสุด

โดย 3 อันดับแรก ได้แก่ ทีม HAUP  / ทีม CERO / ทีม Carbonwize จากทั้งหมด 12 ทีมที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย โอกาสนี้ ได้รับเกียรติจาก นายอัครวิชย์ เทพาสิต ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ททท. มอบรางวัลแก่ผู้ชนะ ณ SCBX NEXT TECH ชั้น 4 ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพมหานคร

นายอัครวิชย์ เทพาสิต ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ททท. กล่าวว่า โครงการ TAT Travel Tech Startup 2024 สะท้อนความตั้งใจของ ททท. ในการยกระดับห่วงโซ่อุปทาน (Shape Supply) โดยเฉพาะการพัฒนาเครือข่ายผู้ประกอบการรายย่อย หรือ สตาร์ทอัพ ผ่านการบ่มเพาะองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เข้ามามีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวในปัจจุบัน 

รวมทั้งสร้างโอกาสความร่วมมือระหว่างองค์กรภาครัฐ เอกชน ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อเพิ่มมูลค่าคุณภาพ และมาตรฐานแก่สินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวไทย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย IGNITE Thailand’s Tourism ของรัฐบาล ที่มุ่งมั่นสร้างความประทับใจในทุก Touch Point ของการเดินทางท่องเที่ยวประเทศไทยแก่นักท่องเที่ยว รวมทั้งส่งเสริมศักยภาพและโอกาสการแข่งขันในตลาดโลกแก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยในอนาคต

การประกวด TAT Travel Tech Startup ครั้งนี้ กำหนดภายใต้แนวคิด WORLD & ME โลกและเรา ท่องเที่ยวแบบห่วงใย ใส่ใจ ให้ทั้งโลกยังสวยงามและธุรกิจของเราเติบโตยั่งยืนไปด้วยกัน โดยอาศัยความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ สร้างนวัตกรรมที่ทำได้จริง ตอบโจทย์นักท่องเที่ยว โดยผู้เข้าร่วมประกวดจะมีโอกาสในการร่วมงานกับ ททท. และพันธมิตรที่ร่วมดำเนินโครงการฯ ในการนำเทคโนโลยีด้านการท่องเที่ยว มาใช้รองรับเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในตลาดท่องเที่ยวที่เหมาะสม ถือเป็นโอกาสในการต่อยอดทางธุรกิจของ Startup อีกทางหนึ่ง โดยการจัดแข่งขันในรอบสุดท้ายและมอบรางวัล ในงาน Opportunity Day  วันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 ณ SCBX NEXT TECH ชั้น 4 ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพมหานคร

สำหรับทีม Startup ที่คว้ารางวัลสุดยอดนวัตกรรมทางการท่องเที่ยวไปครอง โดยนายอัครวิชย์ เทพาสิต ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยว  ททท. เป็นประธานมอบรางวัลแก่ผู้ชนะ รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ทีม HAUP รับเงินรางวัล 200,000 บาท พร้อมประกาศนียบัตร รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ทีม CERO รับเงินรางวัล 100,000 บาท พร้อมประกาศนียบัตร และรางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 ได้แก่ทีม Carbonwize เงินรางวัล 50,000 บาท พร้อมประกาศนียบัตร 

ซึ่งผู้ชนะทั้ง 3 ทีม ยังได้รับสิทธิ์ประโยชน์ต่าง ๆ จาก พันธมิตรในโครงการ อาทิ โอกาสเข้าร่วมงาน Startup Showcase ที่งาน Startup Thailand Event 2025 จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ(องค์การมหาชน) หรือ NIA 

ทั้งนี้ ได้รับเกียรติจากพันธมิตรที่เป็นกำลังสำคัญในการสนับสนุนโครงการนี้ ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa), สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA), ธนาคาร SME D BANK, สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย, บริษัท เทคซอส มีเดีย จำกัด, บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด, SCBx NEXT TECH, The Able By KING POWER, ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC), บริษัท เดนท์สุ (ประเทศไทย) จำกัด, สมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย, Mission To The Moon, Greenery Media และ The States Times เข้าร่วมแสดงความยินดี พร้อมทั้งร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจในโครงการ Travel Tech Startup  สามารถติดตามรายละเอียดเกี่ยวกับการแข่งขัน การทำกิจกรรมต่างๆของโครงการ ได้ที่ Page Facebook: TAT Startup Thailand และ www.TATStartup.com

ม.อ.ประกาศรับบริจาคสิ่งของช่วยน้ำท่วมภาคใต้ พบหลายพื้นที่ยังสาหัสต้องอพยพคน - สิ่งของอย่างเร่งด่วน

(28 พ.ย. 67) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) ประกาศรับบริจาคสิ่งของและอาหารแห้งช่วยเหลือพี่น้องชาวไทยที่ได้รับผลกระทบจากเหตุน้ำท่วมใหญ่

จากกรณีฝนตกลงต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 26 พ.ย.ในพื้นที่ จ.ยะลานั้นทำให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ในเขตตัวเมืองยะลา โดยเฉพาะย่านเศรษฐกิจ หน้าสถานีรถไฟยะลา โรงแรมยะลารามา น้ำได้เข้าท่วมอย่างรวดเร็ว ระดับน้ำสูงประมาณ 60-80 เซนติเมตร ชาวบ้านและร้านค้าต้องเร่งอพยพสิ่งของ เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างเร่งด่วน นอกจากนี้ จ.นราธิวาสก็ประสบกับสถานการณ์อุทุกภัยเช่นกันกระทบทั้ง 13 อำเภอ น้ำยังท่วมและเอ่อล้นตลิ่งต่อเนื่อง ประชาชนได้รับผลกระทบ 42,285 ครัวเรือน 154,535 คน โรงเรียนประกาศปิดแล้ว 68 แห่ง

ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 พ.ย. "กองพัฒนานักศึกษา ม.อ.หาดใหญ่" ประกาศเปิดรับบริจาคสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมตั้งแต่วันที่ 27 พ.ย. 2567 จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง เวลา 09.30-17.00 น. สิ่งของที่ต้องการคือ ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง นม ขนม น้ำดื่ม

หรือสามารถบริจาคได้ที่ ธนาคารไทยพาณิชย์
ชื่อบัญชี : สงขลานครินทร์เพื่อผู้ประสบภัย
เลขที่บัญชี : 565-471106-1

สถานที่รับบริจาคสิ่งของ ณ อาคารกิจกรรมนักศึกษา
ข้างศูนย์อาหารโรงช้าง ม.อ.หาดใหญ่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top