Saturday, 18 May 2024
คนจีน

เทรนด์คนจีนยุคใหม่ 'ขอกลับมารับจ้างเป็นลูกให้พ่อแม่เลี้ยง' หลัง 'หมดไฟ-งานหายาก-ตกงาน-เบื่อแก่งแย่ง-แข่งขันสูง'

(24 ก.ค.66) เพจ 'Reporter Journey' ได้โพสต์บทความเกี่ยวกับคนจีนยุคนี้ที่เริ่มขอเป็น 'ลูกฟูลไทม์' กันมากขึ้น หลังจากหมดไฟทำงาน งานหายาก ตกงาน เบื่อแก่งแย่งแข่งขัน กลับมาอยู่บ้านให้พ่อแม่เลี้ยงดีกว่า ไว้ว่า..

ในสภาวะที่ประเทศจีน ซึ่งเป็นมหาอำนาจอันดับ 2 ของโลกกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และจากอัตรการฟื้นตัวที่ชะลอตัว และยังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศโดยเฉพาะความแข็งแกร่งของสถาบันการเงิน ค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น ต้นทุนการใช้ชีวิตที่มากกว่ารายได้ และปัญหาที่ประชาชนเริ่มไร้ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งซุกเอาไว้ใต้พรมและเริ่มที่จะกลบเอาไว้ไว้ไหวอีกต่อไป

สิ่งเหล่านี้กำลังบั่นทอนคุณภาพสังคมจีนที่หลายฝ่ายเคยเชื่อมั่นว่าจะเป็นเครื่องยนต์สำรองที่จะขับเคลื่อนโลก ในยามที่เศรษฐกิจทั่วโลกกำลังลุ่มๆ ดอนๆ แต่ก็สุดท้ายก็ไม่สามารถเดินเครื่องช่วยพยุงใครได้ เพราะลำพังแค่พยุงตัวเองก็ลำบากแล้ว

การที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัวอย่างหนักส่งผลทำให้เปิดปัญหาในเชิงสังคมตามมาโดยเฉพาะการว่างงานที่สูงมากขึ้นในกลุ่มผู้ที่อยู่ในช่วงอายุ 20 - 30 ปี ยิ่งกดดันให้คนในช่วงอายุนี้ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และเริ่มกัดกินความรู้สึกอยากต่อสู้จนเริ่มหมดไฟ และพร้อมหันหลังให้กับสนามแข่งขัน

สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในจีนตอนนี้ กำลังเข้าสู่เทรนด์ของ 'การกลับไปเป็นลูกอีกครั้งแบบฟูลไทม์' หรือ 'รับจ้างเป็นลูกให้พ่อแม่เลี้ยง' ซึ่งเป็นการอ้างอิงถึงกลุ่มคนหนุ่มสาวที่ไม่มีงานประจํา และอาศัยอยู่กับพ่อแม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดการถกเถียงกันอย่างดุเดือดในสังคมจีนในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ว่านี่คือสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงอย่างมากต่ออนาคตของประเทศ จากการที่ผู้ใหญ่ได้สร้างสังคมที่กำลังไม่เหมาะกับการใช้ชีวิตของคนยุคนี้

การเป็นลูกฟูลไทม์ ที่พ่อแม่จ่ายจะเงินให้เพื่อแลกกับการทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ในบางกรณีอาจเรียนต่อหรือพยายามหางานทําไปพรางๆ แต่พ่อแม่ยังคงต้องเลี้ยงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้งานที่ต้องการทำ

ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่เกิดขึ้นกับผู้ที่ไร้การศึกษา หรือชีวิตไม่มีทางเลือกเพราะเรียนมาไม่สูง แต่เกิดกับผู้ที่มีการศึกษาที่ดี ซึ่งลูกฟูลไทม์บางคนกล่าวว่า พวกเขาเบื่อกับสภาพแวดล้อมการทํางานที่มีการแข่งขัน ชั่วโมงการทํางานที่ยาวนาน และค่าครองชีพที่สูงในเมืองใหญ่ แต่ด้วยเหตุผลหลายประการที่ชัดเจนกว่าคือ พวกเขาไม่สามารถหางานที่ตรงกับความต้องการของตัวเองได้ ดังนั้นจึงเลือกเส้นทางชีวิตคือหันหลังกลับบ้านเพื่อไปอาศัย “เกาะพ่อแม่กิน”

แต่แทนที่พ่อแม่จะไล่ให้กลับไปหางานทำโดยเฉพาะคนในอายุวัยทำงาน 20 - 30 ปี แต่กลายเป็นว่า พ่อแม่ของพวกเขายินดีที่จะให้ลูกกลับมาอยู่บ้าน เพื่อได้ได้ใช้เวลากับลูก ผู้ปกครองบางคนยังให้เงินเป็นค่าครองชีพ ซึ่งบางครั้งสูงถึงหลายพันหยวนต่อเดือนโดยที่ไม่ต้องดิ้นรนชีวิตอะไรเลย

ชีวิตประจำวันของลูกฟูลไทม์คือ การทําอาหาร ช้อปปิ้ง หรือการพาพ่อแม่ไปพบแพทย์หากพวกเขาไม่สบาย และวางแผนการเดินทางในวันหยุดสุดสัปดาห์

ในขณะที่โพสต์โซเชียลมีเดียบางโพสต์ของลูกฟูลไทม์ได้เล่าชีวิตของพวกเขาที่แสนสบายคือ พวกเขามีความสุขที่ได้ออกจากวงจรชีวิตการทำงานแบบหนูแฮมสเตอร์วิ่งในวงล้อ แต่หลายคนก็พูดถึงความวิตกกังวลและแรงกดดันจากพ่อแม่ หรือญาติของในการหางานที่เหมาะสมและแต่งงาน

คนหนุ่มสาวส่วนใหญ่และผู้ปกครองมองว่า การเลือกเป็นลูกฟูลไทม์คือวิธีแก้ปัญหาชั่วคราวระหว่างหางาน และเป็นทางเลือกสุดท้ายเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น

ทั้งนี้ ประเทศจีนนับว่าเป็นชาติที่มีการแข่งขันสูงในแทบทุกด้าน ด้วยจำนวนประชากรที่มากกว่า 1,400 ล้านคน และส่วนใหญ่มีฐานะยากจน ทำให้ผู้คนต้องแข่งขันกันอย่างรุนแรงเพื่อยกระดับชีวิตของตัวเองและครอบครัวให้สูงขึ้นนับตั้งแต่วัยเรียนที่ต้องสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยระดับท็อปของประเทศให้ได้ การได้ทำงานในบริษัทหรือองค์กรที่มีชื่อเสียง ความก้าวหน้าในอาชีพการงาน รวมทั้งการสร้างฐานะเพื่อเตรียมตัวแต่งงาน

ความเหนื่อยหน่ายที่ทําให้ผู้ใหญ่วัยทํางานอยากกลายเป็นลูกฟูลไทม์นั้นไม่น่าแปลกใจเลย เนื่องจากความสมดุลระหว่างชีวิตและการทํางานที่ไม่ดีของจีน วัฒนธรรมการทํางานในประเทศมักถูกเรียกว่า '996' ซึ่งผู้คนคิดว่าเป็นเรื่องปกติในการทํางาน 9.00 - 21.00 น. 6 วันต่อสัปดาห์

คำสอนที่ผู้ใหญ่สอนกันต่อๆ มาว่า จะต้องเรียนให้สูงทํางานให้หนัก ให้พวกเขาทุ่มเทให้มากแล้วจะได้ผลตอบแทนความพยายามที่คุ้มค่า ตอนนี้คนส่วนใหญ่รู้สึกเหนื่อนจนอยากพ่ายแพ้และหันหลังให้กับการแข่งขัน

อีกทั้งมากกว่า 1 ใน 5 ของผู้ที่มีอายุระหว่าง 16 - 24 ปีว่างงานในประเทศจีน และอัตราการว่างงานของเยาวชนได้แตะระดับสูงสุดใหม่ ตามตัวเลขอย่างเป็นทางการที่เผยแพร่จากฐานข้อมูลของรัฐบาลจีน ซึ่งอยู่ที่ 21.3% ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2018 ตัวเลขนี้ไม่ได้รวมถึงตลาดแรงงานในชนบท

อีกทั้งในปีนี้จะมีผู้สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษาอีกเกือบ 12 ล้านคนที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงาน ซึ่งนั่นจะเป็นเหมือนกับสึมามิแรงงานลูกใหญ่ที่ถาโถมเข้ามาท่ามกลางปัญหาเดิมที่ยังไม่อาจแก้ไขได้

ความสิ้นหวังยังลามไปถึงนักศึกษามหาวิทยาลัยด้วย จนบางคนตั้งใจทำข้อสอบผิดๆ ให้สอบตก เพื่อจะได้ศึกษาจบช้าลง

ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา สังคมออนไลน์จีนเต็มไปด้วยภาพถ่ายวันรับปริญญาที่แปลกผิดปกติ ซึ่งสะท้อนถึงความท้อแท้สิ้นหวังของเด็กจบใหม่ บางรูปเป็นภาพคนรุ่นใหม่ 'นอนราบ' ในชุดรับปริญญา ใบหน้าเต็มไปด้วยสีชอร์ก รูปอื่น ๆ เป็นภาพนักศึกษาจบใหม่ถือใบปริญญาเหนือถังขยะ เหมือนจะสื่อว่า จะโยนปริญญาทิ้งลงถังขยะ

ปัญหาที่เกิดขึ้นรัฐบาลจีนเองก็รับรู้ แต่การแก้ไขปัญหานั้นอาจจะดูไม่ตรงจุด เพราะในเดือนพฤษภาคม สี จิ้นผิง ผู้นําจีนได้ให้สัมภาษณ์ผ่านหนังสือพิมพ์พีเพิลส์เดลี่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เรียกร้องให้คนหนุ่มสาว 'กินความขมขื่น' ซึ่งเป็นสํานวนภาษาจีนกลางที่หมายถึงการอดทนต่อความยากลําบาก ไปทำงานที่ตัวเองไม่ชอบไปก่อนเพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้า ต่อให้รายได้จะต่ำว่าวุฒิการศึกษาก็ต้องฝืน ๆ ทำไปก่อน

ในขณะที่จีนกําลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว เกือบ 1 ใน 3 ของประชากรหรือ 400 ล้านคนจะมีอายุ 60 ปีขึ้นไปภายในปี 2035

หลายคนที่ถึงวัยเกษียณมีลูกเพียงคนเดียวซึ่งหมายความว่า คู่สมรสจะต้องเลี้ยงดูผู้สูงอายุถึง 4 คน

สําหรับการเป็นลูกเต็มเวลาอาจเป็นเพียงการจัดการชีวิตแบบชั่วคราว แต่เป็นการซื้อเวลาสําหรับประเทศจีน สถานการณ์นี้จะไม่ดีต่อเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต เมื่อพ่อแม่ของพวกเขามีแนวโน้มที่จะเข้าใกล้อายุ 80 ปีและอาจต้องการการดูแลเต็มเวลาจริงๆ ปัญหานี้จะย้อนกลับมาที่คนรุ่นใหม่และคนรุ่นเก่าจะต้องพบในไม่ช้า

คดีพลิก!! สาวจีนเจ้าของ ‘โรลส์-รอยซ์’ เตรียมส่งทนายพบ ตร. ยัน!! ไม่ได้ใจดี แต่พูดไทยไม่ได้ จ่อเรียกค่าเสียหายกระบะซิ่ง

(16 ส.ค. 66) จากกรณี รถกระบะแต่งซิ่ง ชนท้าย รถโรลส์-รอยซ์ มูลค่า 32 ล้านบาท ต่อมาทราบว่าคนขับโรลส์-รอยซ์นั้น เป็นหญิงสาวชาวจีน โดยหลังจากเกิดเหตุได้มีการลงมาพูดคุยกับคนขับกระบะ และเจ้าของโรลส์-รอยซ์ ยอมรับว่าเป็นฝ่ายผิด เพราะเบรกกะทันหัน และยืนยันไม่เอาเรื่องกระบะ จากนั้นก็ได้ขับรถออกไปเลยโดยไม่รอเจอตำรวจหรือประกัน ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุดวันที่ 16 ส.ค. 66 รายงานข่าวแจ้งว่า ทางฝั่งของหญิงสาวชาวจีน ได้เตรียมส่งทนายความเดินทางเข้าพบตำรวจทางหลวง 1 กองกำกับการ 8 ถ.ลาดกระบัง ในช่วงสายวันนี้ โดยยืนยันไม่ใช่ใจดี แต่พูดไทยไม่ได้ นอกจากนี้ ยังเตรียมเรียกค่าเสียหายกับกระบะคู่กรณีที่ชนท้ายด้วย ส่วนความคืบหน้าจะรายงานให้ทราบต่อไป

‘ตร.’ รวบ คู่สามีภรรยาชาวจีน หนีหมายจับคดีฉ้อโกงในจีน หลังหลอกเหยื่อระดมทุน เสียหายกว่า 1.5 พันล้านบาท

(29 ส.ค. 66) ตามนโยบายของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. สั่งการให้ สตม.สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือ กลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.อภิมุข กานตยากร รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รอง ผบก.ศท.ตม.ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.สรธรรศจ์ เอี่ยมละออ ผกก.1 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.พิสิษฐ์ ศรีอ่อน ผกก.2 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐพงษ์ แก้วยอด ผกก.4 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ณภัทรพงศ สุภาพร ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก. (สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้

บก.สส.สตม. รวบชาวจีนสามีภรรยาหลอกระดมทุน หนีหมายจับ มูลค่าความเสียหายกว่า 1.5 พันล้านบาท

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ สตม.พิจารณาดำเนินการกรณี สาธารณรัฐประชาชนจีน มีหนังสือมายังกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอให้จับกุมตัว ‘นายหวาง’ (นามสมมติ) และ ‘นางชาง’ สัญชาติจีน ผู้ต้องหาตามหมายจับ สาธารณรัฐประชาชนจีน ข้อหา ฉ้อโกงลักษณะอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ โดยผู้ต้องหาได้จัดตั้งบริษัทระดมทุนชื่อว่า ‘Tianjin Wusetu’ หลอกให้ผู้เสียหายร่วมระดมลงทุน และแอบอ้างว่าจะให้ผลตอบแทนในอัตราที่สูงกว่าปกติ ซึ่งมีผู้เสียหายในเมืองปักกิ่งและเทียนจินตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก สร้างความเสียหายกว่า 1.5 พันล้านบาท

จากการตรวจสอบข้อมูลในระบบสารสนเทศ ตม. พบว่านายหวางและนางชาง เดินทางเข้ามาในประเทศไทยด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว และการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรยังไม่สิ้นสุด ผบก.สส.สตม. จึงได้อนุมัติให้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร เนื่องจากพิจารณาเห็นว่าเป็นบุคคลซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศได้ออกหมายจับ มีพฤติการณ์ที่สมควรเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร แล้วขึ้นบัญชีเป็นบุคคลเฝ้าระวังไว้ บก.สส.สตม. จึงได้สืบสวนติดตามตัวนายหวางและนางชางเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

จากการสืบสวนพบว่านายหวางและนางชาง ได้หลบหนีเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ปัจจุบันพักอาศัยอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่งเมืองพัทยา จ.ชลบุรี ส่วนนางชางปัจจุบันพักอาศัยอยู่ที่บ้านเช่า เขตวังทองหลาง กทม. เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ติดตามเฝ้าดูบริเวณที่พักอาศัยจนพบบุคคลลักษณะคล้ายนายหวางบริเวณหน้าโรงแรมที่พัทยา จ.ชลบุรี ได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและขอตรวจสอบหนังสือเดินทาง พบว่าเป็นบุคคลคนเดียวกันกับบุคคลตามหมายจับของสาธารณรัฐประชาชนจีน จึงได้แจ้งหนังสือแจ้งการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรให้นายหวางรับทราบ พร้อมยึดรถยนต์ที่มีชื่อนางชางเป็นเจ้าของรถ จำนวน 1 คัน

ส่วนนางชาง เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ขอศาลอาญาอนุมัติหมายค้นบ้านเช่าของนางชาง จนพบนางชางอาศัยอยู่ภายในบ้านกับแฟนใหม่ชาวจีน ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย จากการตรวจสอบหนังสือเดินทาง พบว่าเป็นบุคคลคนเดียวกันกับหมายจับของสาธารณรัฐประชาชนจีน จึงได้แจ้งหนังสือแจ้งการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรให้รับทราบ และควบคุมตัวบุคคลทั้งสองรายนำส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

‘หนุ่มร่วมชาติ’ อายแทนพฤติกรรม 2 สาวจีน หลังกินแล้วหนี เดินทางไปร้านอาหารชื่อดัง รับผิดชอบ!! ขอจ่ายเงินเอง

เมื่อไม่นานมานี้ จากกรณี หญิงสาวชาวจีน 2 คน มากินอาหารร้านดังย่านประชาชื่น กินเสร็จแล้วหนีไม่ยอมจ่ายเงิน โดยเรื่องดังกล่าวมีการพูดถึงอย่างแพร่หลายในโซเชียล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโซเชียลประเทศจีน ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ในพฤติกรรมของ 2 สาวนี้อย่างมากนั้น

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 เม.ย.67 เฟซบุ๊ก About Beef Lava Grill บุฟเฟต์ ปิ้งย่าง เนื้อพรีเมียม ซีฟู๊ด อาหารญี่ปุ่น โดยแอดมินเพจของร้าน ได้โพสต์ข้อความว่า มีพลเมืองดีชาวจีน ได้เดินทางมาที่ร้านแล้ว ขอจ่ายเงินแทน 2 สาว โดยมีเนื้อหาต่อไปนี้

จากเหตุสาวจีน 2 ท่านหนีบิล ไม่ได้ชำระเงินค่าบริการเมื่อวันที่ 12/4/67 เป็นจำนวนเงิน 2,696 บ. ได้มีพลเมืองดีชาวจีนเดินทางมาที่ร้านเพื่อชำระเงินแทน 2 ท่านนั้น

พี่ท่านนี้สามารถพูดไทยได้นิดหน่อย ได้กล่าวว่าเหตุการณ์นี้ได้โด่งดังไปทั่วในโซเชียลของประเทศจีน และเปิดให้ทางร้านได้ดูมีการกล่าวถึงและวิพากษ์วิจารณ์ในพฤติกรรมนี้ เขากล่าวว่า รู้สึกเสียใจและอับอายกับพฤติกรรมที่นักท่องเที่ยว 2 ท่านนั้นได้ทำและเห็นใจทางร้าน #จึงขออาสาชำระค่าใช้จ่ายให้

กราบขอบพระคุณ ชาวโซเชียลทุกท่าน และสื่อต่าง ๆ ที่ได้ให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
จึงทำให้เรื่องนี้เป็นที่พูดถึงในโซเชียลที่จีน

ทางร้านหวังว่านักท่องเที่ยวส่วนน้อยที่มีพฤติกรรมแบบนี้ จะคิดถึงผลกระทบที่เขาจะได้รับ
จากชาวโซเชียลที่ช่วยกันตีแผ่เรื่องนี้และไม่กล้าทำอีกหวังว่าเพื่อนผู้ประกอบการที่หาเช้ากินค่ำ
ก็จะไม่ต้องมาเจอแบบนี้กันอีก ขอบพระคุณทุกท่านมาก ๆ ครับ

ปล. ในรูปนี่ไอ้แว่นนะ เจ้าของร้าน
แอดจะหล่อกว่านี้หน่อย ไม่อยากจะโม้


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top