Saturday, 4 May 2024
ก้าวข้ามความขัดแย้ง

'ไพบูลย์-พปชร.' ชวน 'ตะวัน-แบม' ร่วมพูดคุย หาแนวทางแก้ปัญหาตามครรลองประชาธิปไตย

(5 เม.ย.66) นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แถลงภายหลังรับมอบหนังสือจากขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือ P- MOVE ว่ากลุ่ม P - MOVE ได้มายื่นหนังสือพร้อมนำเสนอหลักการแก้ไขการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างเป็นธรรม ตามนโยบายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร.ทุกเรื่องคือปัญหาของประชาชนอย่างแท้จริงที่ต้องเร่งแก้ไข โดยจะนำไปพิจารณาอย่างเร่งรัด ส่วนกลุ่มทำทางที่มายื่นข้อเสนอให้ออกนโยบายการทำแท้งที่ปลอดภัย ซึ่งเป็นประเด็นของสังคมที่ต้องได้รับการดูแลและให้ความสนใจอย่างครอบคลุม ก็จะไปร่วมประชุมกับกลุ่มทำทาง เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างร่วมกัน

นายไพบูลย์ กล่าวว่า หากประชาชนมีข้อเสนอ ปัญหา และนโยบายต่างๆ สามารถมาส่งเรื่องที่พรรค พปชร. เพื่อพบกับตนได้ และอยากให้มีเวลาร่วมกันในการประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนข้อเท็จจริงอย่างละเอียด ตามกระบวนการอย่างเป็นระบบ นี่คือกลไกการทำงานภาคประชาชน

นายไพบูลย์ ยังกล่าวถึงกรณี น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือ ตะวัน และ น.ส.อรวรรณ ภู่พงษ์ หรือ แบม ว่า หากมีความทุกข์ร้อนที่เห็นปัญหาของสังคม ขอให้นัดตนเองเพื่อที่จะมาพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นตามแนวทางประชาธิปไตยอย่างถูกที่ถูกทาง เพราะในฐานะรองหัวหน้าพรรค พปชร. จะได้ประโยชน์และมีแนวทางทางออกที่จะสามารถแก้ไข อะไรที่ทำได้ก็จะพูด ไม่มีการปิดบังกัน


ที่มา: https://www.thaipost.net/x-cite-news/354991/ 

‘บิ๊กป้อม’ ย้ำลูกพรรค หาเสียงอย่างสร้างสรรค์ สร้างความเข้าใจเยาวชน อย่าหลงกลคนจ้องดิสเครดิต

(7 เม.ย.66) รายงานข่าวจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แจ้งว่า ในช่วงการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ได้ย้ำแกนนำพรรค และผู้สมัคร ส.ส.ทุกคนว่า ต้องหาเสียงสร้างสรรค์ อย่าโจมตีสาดโคลน รักษากฎหมาย ไม่ใช้ความรุนแรงเด็ดขาด เพราะ พล.อ.ประวิตร ประเมินแล้วว่า ในช่วงนี้บางพรรคพยายามปั่นกระแส และดิสเครดิตพรรคพลังประชารัฐในเรื่องสนับสนุนการยึดอำนาจในช่วงที่ผ่านมา แต่ พล.อ.ประวิตร ให้แนวทางไปว่า ควรชี้แจงกับประชาชนว่าพรรคยึดกติกาและรักษาประชาธิปไตย รวมทั้ง พล.อ.ประวิตร ช่วยประสานความขัดแย้งในช่วงที่ผ่านมาเพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าและกลับเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยเร็วที่สุด วันข้างหน้าความขัดแย้งต้องลดลง และจางหายไปในที่สุด

รายงานข่าวกล่าวว่า พล.อ.ประวิตร บอกกับแกนนำพรรคให้แจ้งผู้สมัคร ส.ส.เวลาลงพื้นที่ว่า ที่ผ่านมาเยาวชนกลุ่มสามนิ้วมาประท้วง พล.อ.ประวิตร เช่น น.ส.จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ หรือ อั๋ว แกนนำแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ที่มายกสามนิ้วให้ พล.อ.ประวิตร ในการหาเสียงเลือกตั้งซ่อม ส.ส.หลักสี่-จตุจักร แต่ พล.อ.ประวิตรได้ทักทาย และย้ำว่าเป็นลูกหลาน จนเหตุการณ์ไม่บานปลาย หรือกรณี น.ส.ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือ มายด์ แกนนำกลุ่มคณะราษฎร 2563 ที่มาขอสัมภาษณ์ พล.อ.ประวิตร ซึ่ง น.ส.ภัสราวลี ก็บอกสื่อมวลชนไปว่า หลังจากพูดคุยกับพลเอกประวิตรก็พบสัญญาณที่ดี เป็นต้น ตรงนี้แปลว่าเยาวชนกลุ่มสามนิ้วที่ต่อต้านนั้นหากได้พูดคุยกับ พล.อ.ประวิตร แล้วก็จะเข้าใจและปรับท่าที่ในเชิงบวกขึ้น รวมทั้ง พล.อประวิตร ยังพร้อมพูดคุยกับทุกฝ่ายเสมอ เพื่อให้บรรยากาศบ้านเมืองดีขึ้น ซึ่งตรงกับแนวทางของ พล.อ.ประวิตร ที่ให้แคมเปญหาเสียงว่าก้าวข้ามความขัดแย้ง

รายงานข่าวกล่าวว่า พล.อ.ประวิตร ย้ำว่าหากเยาวชนต้องการมาพูดคุยกับตนหรือแกนนำพรรคนั้น ขอให้ยึดหลักเคารพกฎหมายและวัฒนธรรมอันดีของประเทศ สิ่งใดที่มาพูดคุย หรือเรียกร้องหากอยู่ในครรลองและกฎหมายก็สามารถร่วมมือกันได้ และที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร พอใจกับการพูดคุยกับเยาวชน นักศึกษาหลายสถาบันที่กลุ่มเฟซบุ๊ก FC ลุงป้อม ได้วิดีโอคอลให้ พล.อ.ประวิตร ได้สื่อสารกับคนรุ่นใหม่ เพราะคนรุ่นใหม่ได้สะท้อนปัญหาหลายเรื่องให้ พล.อ.ประวิตร และทีมงาน FC ลุงป้อม รับไว้พิจารณาแก้ไข โดยพบว่าท่าทีของคนรุ่นใหม่นั้นพร้อมที่จับมือฝ่ายต่างๆ เพื่อลดความขัดแย้ง และไม่มีท่าทีต่อต้าน พล.อ.ประวิตร ตรงนี้ทำให้ พล.อ.ประวิตร มั่นใจว่า หากเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่สื่อสารกับแกนนำพรรคต่างๆ อย่างเต็มที่นั้น ความเข้าใจที่ไม่ตรงกันเป็นบ่อเกิดของความเห็นที่รุนแรงทางการเมือง จะลดระดับลงไปได้

‘สนธิรัตน์’ ฟันธง!! หลังเลือกตั้งไม่มีฝ่ายไหนชนะขาด ลั่น!! พร้อมเป็นกาวใจเชื่อมโยงทุกฝ่ายจัดตั้งรัฐบาลผสม

‘บิ๊กป้อม’ นำทัพ ‘พลังประชารัฐ’ เปิดปราศรัยใหญ่แปดริ้ว คนฟังเรือนหมื่น ‘สนธิรัตน์’ ฟันธง หลังเลือกตั้งไม่มีใครชนะเบ็ดเสร็จ พปชร. พร้อมเป็นกาวใจเชื่อมโยงทุกฝ่ายจัดตั้งรัฐบาลผสม ‘ประวิตร’ บารมีสูงสุด โว ทีมศก.เจ๋งสุดกว่าทุกพรรค

(19 เม.ย.66) ที่ลานวัดสมานรัตนาราม อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จัดเวทีปราศรัยใหญ่ช่วยผู้สมัคร ส.ส.ฉะเชิงเทรา หาเสียง ประกอบด้วย นายรัฐสภา นพเกตุ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 นายอรรถกร ศิริลัทธยากร ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 นายสายัณห์ นิราช ผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 และพล.ต.ท.พิทักษ์ จารุสมบัติ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 4 โดยมีประชาชนมาร่วมฟังปราศรัยประมาณ 12,000 คน ขณะที่แกนนำพรรค พปชร. เดินทางมาร่วมหลายคน นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ ในฐานะดูแลรับผิดชอบพื้นที่ภาคตะวันออก นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองหัวหน้าพรรค ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งภาคเหนือ และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง

‘บิ๊กป้อม’ ยัน!! ไม่ได้เป็นเผด็จการจำแลง มีจิตวิญญาณประชาธิปไตย ชี้ การแก้รัฐธรรมนูญ ใช้บัตรสองใบ เป็นผลงานก้าวข้ามความขัดแย้ง

(21 เม.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรางงานว่า แฟนเพจเฟซบุ๊ก ‘พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ’ โพสต์ข้อความระบุว่า…

ตอนนี้การหาเสียงเริ่มที่จะแสดงออกด้วยการโจมตีกันรุนแรงมากขึ้นอีกแล้ว จะเห็นว่า ระดับผู้นำของพรรคการเมืองกลับมาเล่นงานคนที่มีความคิดแตกต่างกับตัวด้วยท่าทีก้าวร้าว ขนาดขับไล่ไสส่งให้ ไปเสียให้พ้นจากแผ่นดินไทย

ขณะที่อีกฝ่ายก็เอาแต่ประกาศกร้าวตัดขาดที่จะร่วมมือกับฝ่ายกีดกันไว้เป็นฝ่ายตรงกันข้าม เป็นบรรยากาศที่แบบ ชี้หน้าคนเห็นต่างว่าเป็นศัตรู ด้วยท่าที่ของการปลุกระดมให้เกิดความขัดแย้ง แตกแยกรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ความเป็นไปที่มีแนวโน้มเช่นนี้ ย่อมถือว่าอันตรายอย่างยิ่งต่อการอยู่ร่วมกันเป็นชาติที่ประชาชนมีความร่วมมือร่วมใจ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการพัฒนาให้ประเทศเดินหน้าไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้

พล.อ.ประวิตร ระบุว่า ผมจึงต้องมาย้ำอีกครั้งว่า ประเทศไม่มีทางออกอื่น นอกจากต้องร่วมกันก้าวข้ามความขัดแย้ง และขอให้รู้ว่า ที่ผมมาพูดเรื่องนี้ และขอให้ทุกคน ทุกฝ่ายร่วมมือกัน ไม่ใช่เรื่องที่ผมมาพูดเอาเท่ หรือสร้างจุดขายที่แตกต่างของการเป็นผู้นำการเมืองอย่างที่หลาย ๆ คนพยายามคิดและพูดกันไป ไม่ได้ตั้งใจสร้างภาพให้เกิดความต่างเพื่อเป็นตัวเลือกใหม่ หรืออะไรอย่างนั้น แต่ผมรู้สึกและเกิดเป็นความคิดจริง ๆ ว่า การเมืองเดินหน้าต่อไปไม่ได้หากไม่ก้าวข้ามความขัดแย้ง และผมขอบอกว่า เป็นความรู้สึกและความคิดที่เกิดจากประสบการณ์ อันหมายถึงการได้เห็น ได้ยินได้ฟัง ได้สัมผัสรับรู้มา จากคนในทุกกลุ่ม ทุกวงการ ทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยม ที่ชินกับการจัดการด้วยอำนาจ และฝ่ายเสรีนิยม ที่มีธรรมชาติของการเปิดรับความคิดเห็นที่แตกต่างได้มากกว่า ผมเห็นจุดอ่อนและจุดแข็งของทั้ง 2 ฝ่ายที่ไม่มีทางจะทำให้ฝ่ายตรงกันข้ามพ่ายแพ้อย่างราบคาบ โดยฝ่ายตัวได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด

พล.อ.ประวิตร ยังระบุอีกว่า เพราะเห็นเช่นนี้ ผมจึงตัดสินใจใช้เวลาของชีวิตที่เหลืออยู่ หาทางทำให้ประเทศมีทางออกจาก ‘วงจรอันสิ้นหวังของการร่วมกันอย่างสุขสงบ’ นี้ให้ได้เสียที

มีคำถามว่า “ผมจะทำอะไร” ผมอยากจะบอกว่า ในความเป็นจริงนั้น ผมทำเรื่อง ‘ก้าวข้ามความขัดแย้ง’ มาก่อนหน้านี้แล้ว เป็นการทำอย่างเงียบ ๆ และโดยใช้ ‘ความเป็นผม’ ทั้งหมดเพื่อให้เกิดความสำเร็จ คำตอบในเรื่องนี้ เห็นได้ไม่ยากหากย้อนไปทบทวนช่วง ‘รัฐสภาแก้ไขรัฐธรรมนูญ’ จาก ‘เลือกตั้งด้วยบัตรใบเดียว’ มาเป็น ‘สองใบ’ และแก้ตัวหารคะแนน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์จาก 500 มาเป็น 100 ช่วงนั้นเกิดความขัดแย้งรุนแรง พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคเห็นไปทางเดียวกับสมาชิกวุฒิสภาที่ไม่เอาด้วยกับแนวทางนั้น ต้องการให้เลือกด้วยบัตรใบเดียว ปาร์ตี้ลิสต์หาร 500 เหมือนเดิม เพราะมองไม่เห็นว่า แก้ไขแล้วพรรครัฐบาลจะมีโอกาสชนะพรรคฝ่ายค้านที่เป็นพรรคใหญ่ มีสมาชิกและเครือข่ายฐานเสียงมากกว่าได้อย่างไร

ขณะที่พรรคการเมือง บางพรรคโจมตี ส.ว.อย่างรุนแรง ทำนองว่าเป็นส่วนเกินที่ให้ผลในทางเลวร้ายต่อประชาธิปไตย ไม่ควรจะออกมาใช้สิทธิแสดงความคิด ออกเสียง สร้างความเกลียดชังต่อกันรุนแรง ตอนนั้นผมเป็นผู้นำ ‘พลังประชารัฐ’ ที่เป็นพรรคแกนนำรัฐบาล มีแรงกดดันมากมายทั้งในพรรคและนอกพรรค อย่างที่รู้ ๆ กันว่าแม้แต่ ‘ผู้นำในทำเนียบรัฐบาล’ ก็ส่งสัญญาณผ่านคนใกล้ชิดว่า “ต้องกลับเป็นบัตรใบเดียว และปาร์ตี้ลิสต์หาร 500” เพื่อความได้เปรียบของพรรคร่วมรัฐบาล ตัดโอกาสที่จะชนะของพรรคฝ่ายค้านที่เป็นพรรคใหญ่ เป็นผมเองที่เห็นว่า “จะใช้อำนาจทำแบบนั้นไม่ได้ ถึงเวลาที่จะต้องจัดการให้การเมืองเดินหน้าไปโดยยึดหลักการประชาธิปไตย” แต่ความยากอยู่ที่จะคุยอย่างไร ให้เสียงส่วนใหญ่ทำตามอย่างที่ผมเห็น ยากตรงที่มีการโจมตี ส.ว.ด้วยถ้อยคำรุนแรงมากมาย จนมองไม่เห็นว่าจะดึงอารมณ์ให้กลับมาพูดดี ๆ อย่างเข้าอกเข้าใจกันได้อย่างไร

‘บิ๊กป้อม’ เมิน ‘เศรษฐา’ ปิดประตูจับมือ ชี้!! ‘พปชร.’ ยังไม่จับมือใคร ย้ำ!! ก้าวข้ามความขัดแย้ง ขอทำให้คนไทยทุกคนอยู่ร่วมกันได้

‘บิ๊กป้อม’ เมิน ‘เศรษฐา’ ปิดประตูจับมือ ย้อน พปชร. ยังไม่แย้มจับใคร ลั่น อยากปักธงที่ 1 ของโคราช ย้ำ ก้าวข้ามขัดแย้ง ต้องทำให้ทุกฝ่ายร่วมกันได้ 

(22 เม.ย.66) ที่สถานีรังสิต พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ถึงการนำคณะกรรมการบริหารพรรค ปราศรัยหาเสียงจ.นครราชสีมา ว่า การนั่งรถไฟในวันนี้ เพื่อดูวิถีของประชาชน ตามที่ตนได้บอกเรื่องการพัฒนาภาคอีสาน ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมอื่น เพื่อช่วยทำงานในภาคอีสาน และให้เด็กอาชีวะมีงานทำในพื้นที่อุตสาหกรรม การมานั่งรถไฟครั้งนี้เพื่อดูระบบตามนโยบายโครงการอีสานประชารัฐ ของพรรคให้ได้ก่อน เพื่อทำให้หลายจังหวัดในภาคอีสานมีความเจริญ คนมีงานทำเป็นการสร้างงาน และถ้าทำได้จริงเชื่อมจะเชื่อมต่อไปที่ภาคตะวันออกและไปที่จังหวัดกาญจนบุรี ได้ 

ผู้สื่อข่าวถามว่าตั้งเป้าส.ส.นครราชสีมาไว้ อย่างไร พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องถามนายวิรัช รัตนเศรษฐ เป็นหัวหน้าทีมภาคอีสาน ตนไม่ได้เป็นหัวหน้าทีม เพราะหัวหน้าพรรคคงไม่ต้องมาดูในระดับพื้นที่ ขณะที่นายสันติ กล่าว แทรกว่า อยากได้ส.ส.ทั้ง 16 เขตเลือกตั้ง

เมื่อถามว่าพรรคพลังประชารัฐอยากปักธงเป็นอันดับหนึ่งในภาคอีสาน ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “อยากสิครับ ไม่น่าถาม อยากได้ แต่ไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่า อยากให้พี่น้องชาวอีสานเลือกผม  เพื่อให้ได้ที่หนึ่ง เมื่อถามย้ำว่าหากได้ที่หนึ่งแล้วจะเป็นนายกฯ ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เรื่องการเป็นนายกฯต้องไปเลือกกันในสภาฯ ไม่ใช่มาเลือกกันตรงนี้

'บิ๊กป้อม' เดินหน้าก้าวข้ามความขัดแย้ง 

22 เม.ย.2566 - พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงการนำคณะกรรมการบริหารพรรค ปราศรัยหาเสียง จ.นครราชสีมา ว่า การนั่งรถไฟในวันนี้ เพื่อดูวิถีของประชาชนตามที่ตนได้บอกเรื่องการพัฒนาภาคอีสาน ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมอื่น เพื่อช่วยทำงานในภาคอีสาน และให้เด็กอาชีวะมีงานทำในพื้นที่อุตสาหกรรม การมานั่งรถไฟครั้งนี้เพื่อดูระบบตามนโยบายโครงการอีสานประชารัฐของพรรคให้ได้ก่อน เพื่อทำให้หลายจังหวัดในภาคอีสานมีความเจริญ คนมีงานทำ เป็นการสร้างงาน และถ้าทำได้จริงจะเชื่อมต่อไปที่ภาคตะวันออกและไปที่ จ.กาญจนบุรีได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า ตั้งเป้าส.ส.นครราชสีมาไว้ อย่างไร พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องถามนายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค เพราะเป็นหัวหน้าทีมภาคอีสาน ตนไม่ได้เป็นหัวหน้าทีม และหัวหน้าพรรคคงไม่ต้องมาดูในระดับพื้นที่ ขณะที่นายสันติ กล่าวแทรกขึ้นว่า อยากได้ส.ส.ทั้ง 16 เขตเลือกตั้ง

เมื่อถามว่า พรรคพลังประชารัฐอยากปักธงเป็นอันดับหนึ่งในภาคอีสานใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “อยากสิครับ ไม่น่าถาม อยากได้ แต่ไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่า อยากให้พี่น้องชาวอีสานเลือกผม เพื่อให้ได้ที่หนึ่ง เมื่อถามย้ำว่า หากได้ที่หนึ่งแล้วจะเป็นนายกฯ ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เรื่องการเป็นนายกฯ ต้องไปเลือกกันในสภาฯ ไม่ใช่มาเลือกกันตรงนี้

ถามถึงกรณี นายเศรษฐา ทวีสิน ที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ประกาศชัดเจนว่าไม่จับมือกับพรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่เป็นไร ก็ว่ากันไป เพราะตนยังไม่ได้ประกาศว่าจะจับมือกับใคร

‘นพวรรณ’ เปิดเหตุผลเด็ด ย้ำเตือนคนกทม. ทำไมต้องเลือก ‘พปชร.’ ชูนโยบาย ‘ก้าวข้ามความขัดแย้ง-แก้ปัญหาปากท้อง-กองทุนพัฒนาท้องถิ่น’

‘นพวรรณ’ เปิดเหตุผลคนกทม. ต้องเลือก พปชร. พรรคชัดเจน แก้ปัญหาปากท้อง – ก้าวข้ามความขัดแย้ง

‘นพวรรณ หัวใจมั่น’ เปิดเหตุผลทำไมคนกรุงเทพ ต้องเลือก ‘พลังประชารัฐ’ โชว์นโยบายเด็ด ตั้งกองทุนประชารัฐนำเงินแสนล้านพัฒนาพื้นที่ กทม. เดินหน้าแก้ปัญหาปากท้องประชาชนแบบเร่งด่วน พร้อมก้าวข้ามความขัดแย้ง สร้างความปรองดองเพื่อชาติบ้านเมือง

ภญ.นพวรรณ หัวใจมั่น ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เขต12 (เขตบางเขน แขวงท่าแร้ง เขตสายไหม แขวงออเงิน เขตลาดพร้าว แขวงจรเข้บัว) เบอร์ 12 ได้กล่าวถึงเหตุผลที่คนกรุงเทพต้องเลือก พปชร. ว่านอกจากทางพรรคพลังประชารัฐ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรค ที่มีจุดยืนต้องการก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อเดินหน้าสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติบ้านเมืองแล้ว ในด้านนโยบายที่ทางพรรคจะผลักดันออกมานั้น ล้วนแต่ทำเพื่อแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน เหมือนดังเช่นที่ผลักดันจนสำเร็จมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการแก้หนี้นอกระบบ และแก้ปัญหาน้ำ

ทั้งนี้ พลเอกประวิตร มีความเป็นห่วงประชาชนอย่างยิ่ง จึงได้มอบหมายให้ทีมเศรษฐกิจของพรรคคิดนโยบายด้านปากท้อง ลดค่าครองชีพ ออกมาเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ทั้งการลดราคาน้ำมันเบนซิน 18 บาท ลดดีเซล 6.30 บาท หรือการลดราคาแก๊สถัง 15 ก.ก. เหลือถังละ 250 บาท ซึ่งสามารถทำทันทีที่เป็นรัฐบาล รวมไปถึงนโยบายลดค่าไฟฟ้า ที่จะปรับโครงสร้างราคาที่มีการคิดเงินซ้ำซ้อนอยู่หลายส่วน ซึ่งจะทำให้สามารถลดค่าไฟฟ้าลงเกือบ 50% เหลือเพียงหน่วยละ 2.50 บาทเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดนี้ก็จะช่วยให้ทุกคนมีเงินเหลือไปใช้จ่ายอย่างอื่นเพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกัน ทางพรรคพลังประชารัฐ ยังได้มอบหมายให้ทีมเศรษฐกิจไปศึกษาถึงการตั้งกองทุนประชารัฐ 300,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นกองทุนระดับประเทศในสมัยหน้า ถ้า พปชร.ได้เป็นรัฐบาลจะมีกองทุนนี้ภายใน 4 ปี เป็นการนำเงินจากรัฐบาลกลางเข้าไปช่วยพัฒนาท้องถิ่น

‘ชัยวุฒิ’ เชื่อโค้งสุดท้าย คนกรุงเชียร์ลุงป้อม มั่นใจช่วยประเทศไทย ‘ก้าวข้ามขัดแย้ง’ 

(8 พ.ค. 66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมกับนายพณิชย์ วิทยาภัทร์ ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขต 2 เบอร์ 11 พรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่ชุมชนบ้านครัวเหนือ เขตราชเทวี รับฟังปัญหาพี่น้องในชุมชน พร้อมบอกเล่านโยบายของพรรคพลังประชารัฐให้กับพี่น้องในพื้นที่ได้รับฟัง นอกจากนี้ยังได้พบชาวต่างชาติที่มาท่องเที่ยวในชุมชนได้สอบถามถึงนโยบายของการหาเสียงของพรรคพลังประชาชน โดยนายชัยวุฒิได้ตอบคำถามของชาวต่างชาติเรื่องนโยบายให้นักท่องเที่ยวฟัง เมื่อตอบคำถามเรียบร้อย ก็นำทีมหาเสียงในชุมชนต่อและได้เห็นวิถีชีวิตของพี่น้องชุมชนชาวคลองแสนแสบ และยังได้เข้าไปเยี่ยมชมร้านลุงอู๊ดบ้านครัวผ้าไหมไทย ซึ่งเปิดมากว่า 100 ปี ได้เห็นการทอผ้าใหม่และสอบถามถึงเรื่องของเส้นไหมที่นำมาทอ ประวัติความเป็นมาของร้านและความเป็นมาของชุมชนมุสลิมที่คลองแสนแสบนี้

นายชัยวุฒิ กล่าวว่า “เมื่อก่อนสมัยที่ตนอยู่เตรียมอุดมศึกษา ต้องมาเรียนพิเศษที่กิ่งเพชร กิ่งเพชรเป็นย่านชุมชนที่อยู่กันหนาแน่นพอสมควร และก็มีตึกเก่าๆ เยอะ 8 ปี ไม่มีอะไรเลยครับ มีร้านกาแฟขึ้นมาอีกร้านนึง ซึ่งก็เป็นความสามารถของนักธุรกิจคนรุ่นใหม่ที่มาปรับปรุงพื้นที่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวต่างชาติเยอะนะเดินมาในซอยไม่น่าเชื่อว่าคนต่างชาติจะเยอะ ตนคิดว่าต่างชาติน่าจะชอบวิถีคนไทย คือ เรียบง่าย ค่าครองชีพไม่สูง คนไทยใจดี เที่ยวไหนก็ไม่มีปัญหา ไม่มีอันตรายเหมือนอยู่ประเทศอื่น คนก็เลยมาเที่ยวกันเยอะ”

นายชัยวุฒิ กล่าวต่อด้วยว่า “กทม. เป็นพื้นที่ฐานเสียงเก่าของพรรค ประชาชนคุ้นเคยอยู่แล้ว ตนเชื่อว่าพรรคพลังประชารัฐจะได้รับการเลือกตั้งในหลายพื้นที่ อย่างการมาลงพื้นที่วันนี้ได้ทำความเข้าใจกับประชาชนในหลายๆ เรื่องที่ประชาชนสงสัย สุดท้ายตอนนี้ชาวบ้านเข้าใจแล้ว ต่างก็เชียร์ลุงป้อม อยากให้ลุงป้อมมาดูแลบ้านเมือง ก้าวข้ามความขัดแย้ง ทำให้กรุงเทพฯ อยู่ในความสงบสุข ที่มาเดินในย่านราชเทวี เป็นแหล่งท่องเที่ยว มีคนมาท่องเที่ยว ช็อปปิ้งเต็มไปหมด มีธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้น สิ่งต่างๆเหล่านี้จะเดินหน้าต่อไปได้ บ้านเมืองต้องสงบสุข เราต้องไม่ทะเลาะกัน เพราะความขัดแย้ง ความรุนแรง จะทำให้นักท่องเที่ยวหรือการพัฒนาต่างๆ มีปัญหาอย่างแน่นอน นี่คือสิ่งที่คนกรุงเทพฯ ต้องการ”

‘แดงปทุมฯ’ กลับใจ!! เข็ดแล้วเลือก ส.ส.ตามกระแส ช้ำใจได้คนไม่ตรงปก เปิดใจ!! ก้าวข้ามความขัดแย้ง

หลังจากเป็นข่าวใหญ่ไปช่วงขณะหนึ่งในเขตเลือกตั้งจังหวัดปทุมธานี โดยมีกระแสข่าวจากชาวบ้านในจังหวัดที่รับไม่ได้กับพฤติกรรมของ ‘นายมนัสนันท์ หลีนวรัตน์’ ผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่มีพฤติกรรมกร่าง และเคยมีเรื่องทำร้ายร่างกายชาวบ้านในพื้นที่ แต่เจ้าตัวก็ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงถึงประเด็นการทำร้ายร่างกาย ว่าได้รับโทษตามกระบวนการยุติธรรมแล้ว รวมถึงมีการขอโทษผู้เสียหาย ชดใช้ค่าเสียหายและคดีถึงที่สุดแล้ว พร้อมทั้งบอกว่าการขุดเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เพราะเป็นช่วงใกล้เลือกตั้ง ทำให้การสาดสีทางการเมืองเริ่มเยอะมากขึ้นเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ กลุ่มคนเสื้อแดงยุคใหม่ ที่ขอปรับทัศนคติเป็นคนไทยที่ ‘ก้าวข้ามความขัดแย้ง’ อาทิ คุณขนิษฐา สุทัน / คุณนฤมล ศรีโพกลาง และ คุณนนท์ จึงศักดิ์สิทธิ์ ได้เป็นตัวแทนชาวปทุมธานี ส่งเสียงกับ THE STATES TIMES ว่า...ไม่ควรให้โอกาสกับคนที่มีพฤติกรรมทำร้ายประชาชน เพราะผู้แทนหรือ ส.ส.ที่ดี แค่รักประชาชนยังทำไม่ได้ จะให้มาดูแลประชาชนได้อย่างไร

โดยคุณขนิษฐา ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “กรณีอดีต ส.ส.พรรคหนึ่ง ที่มีข่าวเรื่องตีกันทะเลาะกับชาวบ้านก่อนหน้านี้นั้น ก็ต้องบอกว่าในอดีตเขาก็มีข่าวฉาวเกี่ยวกับพฤติกรรมเช่นนี้บ่อยอยู่แล้ว แม้เจ้าตัวจะบอกว่าไม่ใช่คนที่มีประพฤติเกเรเหมือนที่หลายคนที่ส่งต่อข้อความกัน และบอกว่าคนเราอาจผิดพลาดกันได้ แต่อย่าลืมว่าคุณเป็น ส.ส.คุณเป็นที่พึ่งของประชาชน แต่สิ่งที่คุณทำมันฝังใจคนในพื้นที่ แล้วครั้งนี้ยังกล้ามาลงสมัคร ส.ส.ในเขตนี้อีกครั้ง ประชาชนที่ไหนจะหวังพึ่งพาคุณได้จริง”

ขณะที่ คุณนฤมล กล่าวว่า “สิ่งที่เกิดขึ้น มันไม่ใช่นิสัย แต่มันเรียกว่าสันดาน เพราะคนที่อยากเป็น ส.ส.ส่วนใหญ่ที่ดิฉันเคยเห็นมาทั้งชีวิต เขาเข้ามาแล้วมีความมุ่งมั่นในการดูแลประชาชน จะดูแลได้มากน้อยแค่ไหน ก็ยังทำ แต่ที่แน่ๆ ไม่เคยมีใครคิดทำร้ายประชาชนในพื้นที่ของตนเองเลย ฉะนั้นเมื่อสันดานเป็นแบบนี้ จะพัฒนาเขตและดูแลประชาชนได้ยังไง ที่สำคัญเขาชอบทำเรื่องแบบนี้ซ้ำๆ ซากๆ แล้วประชาชนคนไหนจะฝากชีวิตไว้กับคุณได้ ยิ่งไปกว่านั้น การทำตัวดี มันต้องต่อหน้าและลับหลัง”

ด้านคุณนนท์ กล่าวว่า “ผมคงไม่ขอพูดอะไรมาก คงพูดแค่ว่าวันที่ 14 นี้ ลองใช้ปลายปากกาของพวกคุณ ไปเลือกคนดี ใช้สิทธิของคุณให้เต็มที่ เลือกคนดีเข้าสภา เลือกมาดูแลพี่น้องประชาชน มาดูแลเขตบ้านเรา ให้เขามาดูแลประชาชนให้ทั่วถึง”

ท้ายสุด ทั้ง 3 ท่านยังให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันอีกว่า ประชาชนทุกพื้นที่ ย่อมรู้จักคนหรือผู้สมัคร ส.ส.ในพื้นที่ดีอยู่แล้ว คนไหนดี ไม่ดี ดูไม่ยาก แต่ตอนนี้มีกระแสที่เข้ามาทำให้การมองคนเปลี่ยนไป ฉะนั้นอยากให้คนปทุมธานี และรวมถึงคนไทยที่จะเลือกผู้แทนฯ ทั้ง 400 เขต ลองเลือกคนที่เรารัก คนที่เรารู้จักคนในเขตพื้นที่นั้น ๆ ของเราอยู่แล้ว

“ช่วยกันหน่อยนะคะ เลือกคนที่รัก เลือกพรรคที่ชอบ ถ้าเขาเคยทำให้ถิ่นฐานบ้านเกิดเราดีอยู่แล้ว จะเลือกเขากลับเข้ามาก็ไม่ผิด หรือถ้าเขาเคยทำประโยชน์ใดๆ ให้พื้นที่ของเราแม้จะไม่ได้เป็น ส.ส.ก็ให้โอกาสเขา อย่าเลือกตามกระแส และอย่าเลือกคนสันดานไม่ดีเข้ามาร่วมบริหารประเทศ คนไทยร่วมกันช่วยเลือกคนดีทั้ง 400 เขตนะคะ” คุณขนิษฐา ทิ้งท้าย

‘พปชร.’ ปิดจ๊อบหาเสียง ชู ‘เลือกลุงป้อม นำได้ ตามเป็น เย็นพอ ฟังทุกฝ่าย’ ด้าน ‘บิ๊กป้อม’ กร้าว!! ภารกิจสุดท้าย คือ การเป็นนายกฯ ของคนไทย

‘พปชร.’ ปิดเวทียิ่งใหญ่ “เลือกลุงป้อม นำได้ ตามเป็น เย็นพอ ฟังทุกฝ่าย” ประกาศนั่งนายกฯ เป็นภารกิจสุดท้ายในชีวิต ขอคนไทยรวมพลังจับมือเดินหน้าไปด้วยกัน

(12 พ.ค. 66) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค ขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่โค้งสุดท้าย ก่อนประชาชนจะลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ปี 2566 ในวันที่ 14 พฤษภาคม นี้ ณ อาคารกีฬาเวสน์ 2 สนามไทย – ญี่ปุ่นดินแดง กรุงเทพฯ มีประชาชนกว่า 4,000 คน มาร่วมรับฟังการปราศรัย พร้อมชูสโลแกน ‘เลือกลุงป้อม นำได้ ตามเป็น เย็นพอ ฟังทุกฝ่าย’ ที่จะนำพาทุกฝ่ายก้าวข้ามความขัดแย้ง

ทั้งนี้การปราศรัยเริ่มตั้งแต่เวลา 14.30 น.โดยมีนายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ขึ้นเวทีพูดเป็นคนแรกว่า ผมในนามของพรรคพลังประชารัฐตลอดระยะเวลาหาเสียงกว่า 2 เดือน เราได้รับเสียงตอบรับที่อบอุ่นจากคนไทยทั้งประเทศ ต้องขอขอบคุณด้วยใจ วันที่ 14 พ.ค.นี้ อนาคตของประเทศไทยอยู่ในมือของประชาชนทุกคน จึงอยากให้ทุกคนตั้งคำถามว่า อยากเห็นประเทศไทยเป็นอย่างไร? อยากเห็นเศรษฐกิจที่ดี คนไทยกินดีอยู่ดี หรืออยากจะเห็นความแตกแยกของคนสองยุค อยากเห็นคอรัปชั่น ยาเสพติดระบาดทั่วเมือง ที่ผ่านมา การเมืองไทยไม่ไปไหนเพราะติดหล่มอยู่กับความขัดแย้ง

นายสกลธี กล่าวต่อว่า คนที่อาสาเข้ามาเป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชน ต้องเคารพการตรวจสอบได้ ประชาชนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด รักใคร ก็ต้องยอมรับกฎหมาย ตนอยากจะเตือนสติว่า ไม่ว่าคุณจะได้รับการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย การเลือกตั้งคือ การที่คุณได้มีโอกาสเข้ามาบริหารประเทศเท่านั้น ไม่ใช่คุณจะอยู่เหนือกฎหมาย แล้วมาใช้กฎหมู่ทำลายล้างกัน ดังนั้นประเทศเราต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง ของพรรคพลังประชารัฐ คือ อยากจะให้ประชาชนรักกัน

“พรรคพลังประชารัฐมี กองทุนประชารัฐพัฒนาประเทศ 3 แสนล้านบาท ที่จะพัฒนากรุงเทพฯ ขอเพียงแค่ประชาชนให้โอกาสผู้สมัครของเราเข้าไปลงมือทำ ซึ่งพรรคเรามี พล.อ.ประวิตร เป็นผู้จัดการตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังการทำงาน จนทำให้รัฐบาลอยู่มาได้ถึง 4 ปี ผลงานที่ทุกคนรู้กันดีก็คือ แก้หนี้นอกระบบ แก้เศรษฐกิจ และแก้ปัญหาน้ำ” นายสกลธี กล่าว

นายวราเทพ กล่าวว่า พรรคนี้อนาคตไกล จึงขอเป็นตัวแทน กก.บห. พรรคนี้ไม่มีนายใหญ่ และไม่มีครูใหญ่ แต่มีใจบันดาลแรง วันนี้มีหลายเวที และที่ผ่านมามีวาทกรรมที่เกิดขึ้นตลอดการหาเสียง 60 วัน สร้างความเกลียดชังและใส่ร้าย แต่พปชร.มีนโยบายโดยไม่ต้องมีวาทกรรม ไม่ต้องแอบอ้างว่าคิดใหญ่ ทำเป็น แต่เราคิดเป็น ทำได้ และทำทันที บางคนบอกให้กาพรรคประเทศไทยไม่เหมือนเดิม แต่ถ้ากา พปชร.ประเทศไทยจะดีกว่าเดิม

นายวราเทพ กล่าวต่อว่า กว่า 20 ปี ท่ามกลางวิกฤตสถานการณ์ เห็นแต่ พล.อ.ประวิตร ที่ทำได้ ถึงไม่ย้ายไปไหน หลายคนอยากกลับมา จึงบอกว่าหลังเลือกตั้งให้กลับมา ถามว่าผู้นำคนไหนเป็นแบบนี้ จะเลือกคนหนุ่มสาว แต่ผู้นำที่เคลือบแคลงจะมาเปลี่ยนแปลงจะทำให้เชื่อได้หรือไม่ เราต้องเลือกแบบมีเหตุผล ไม่ใช่เลือกข้างใดข้างหนึ่งแบบไร้สติ ขอให้ประชาชนคิดอย่างไรก็ได้เพื่อหยุดความขัดแย้ง และก้าวข้ามไปด้วยกัน

“วันนี้ไม่มีรัฐบาลพรรคไหนที่จะไม่ทำเพื่อประชาชน ทุกคนอยากทำเพื่อประชาชน แต่โอกาสไม่เหมือนกัน ครั้งที่แล้ว เราเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล และมีพรรคร่วม 19 พรรค แต่หัวหน้าเราไม่มีโอกาสเป็นนายกฯ แต่วันนี้หัวหน้าพรรค พปชร.มีโอกาสเป็นนายกฯ แล้ว และคิดว่าสามารถทำได้ในสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึง โดย 4 ปีที่แล้วมีพรรคเดียวที่ชนะใจคนทุกภูมิภาคคือพรรค พปชร.ที่มีส.ส.ทุกภาค รวมทั้ง กทม.12 คน เพียงพรรคเดียว ได้ ส.ส.116 คน ในครั้งนี้ขอให้ทุกคนพิสูจน์ว่า คน กทม.จะเลือกกลับมาเป็น 2 เท่า และผมเชื่อมั่นว่าทางออกของประเทศจะเกิดขึ้นได้ ถ้ามีผู้นำที่ตั้งใจ และเดินทางไปดูแลประชาชนครบทุกจังหวัด อย่าง พล.อ.ประวิตร” นายวราเทพ กล่าว

ด้านนายสนธิรัตน์ กล่าวกับพี่น้องประชาชนว่า อีก 2 วัน จะเป็นการชี้ชะตาของประเทศไทย กว่า 10 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยตกอยู่ในวังวนความขัดแย้ง ครั้งนี้เราจะปล่อยให้ประเทศเดินเข้าวังวนแบบนั้นอีกหรือไม่? เราต้องหยุดวงจรนี้และเดินหน้าไปพร้อมกับพรรคพลังประชารัฐ เรากำลังจะได้ตัดสินอนาคตของพวกเราทุกคน มันจะมีผลกระทบต่อชีวิตคนไทยทั้งประเทศ

“พรรค พปชร.จะเป็นสถาบันทางการเมืองที่จะพาพี่น้องคนไทยผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้ เพราะหลายคนกำลังกังวลถึงความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง ซึ่งพรรคการเมืองที่จะเข้ามายุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้น พรรคที่สามารถเชื่อมโยง พูดคุย กับทุกพรรค นั่นก็คือ พรรค พปชร.ภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่เหมาะสมที่วุดในสถานการณ์ตอนนี้ เพราะผู้นำทางการเมืองต้องพร้อมที่จะเป็นกาวใจให้กับทุกฝ่าย ต้องมีบารมีที่ทุกฝ่ายให้ความแกรงใจ รวมถึงพร้อมรับฟัง และพร้อมทุ่มเมฃทแรงกาย แรงใจให้กับประชาชน” นายสนธิรัตน์ กล่าว

จากนั้น เมื่อเวลา 15.40 น.พรรคพลังประชารัฐเปิดตัว พล.อ.ประวิตร อย่างยิ่งใหญ่นำขบวนโดยผู้สมัคร ส.ส.กทม.ทั้ง 33 คน พร้อมธงโบกสะบัด โดย พล.อ.ประวิตร เปิดตัวด้วยการเดินอย่างกระฉับกระเฉง ยิ้มแย้มกับประชาชนที่มาร่วมฟังการปราศรัย รวมถึงติดไมค์ลอยคล้องหูด้วย

ต่อมา พล.อ.ประวิตร กล่าวปราศรัยปิดเวทีว่า ทุกนโยบายที่หาเสียงไว้ ผมขอสัญญาว่า จะทำให้สำเร็จ เพราะผมเป็นคนที่ไม่มีภาระใดๆ ไม่มีธุรกิจ ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ผมมีเพียงภารกิจเดียว และเป็นภารกิจสุดท้ายในชีวิตผม คือการตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับประเทศไทย ผมขอให้ทุกคนช่วยกัน

“ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมาของการเป็นรัฐบาล ผมสามารถพูดคุยกับทุกคน รับฟังความคิดเห็นต่างได้จากทุกฝ่ายได้ โดยไม่มีอคติใดๆ ตลอดชีวิตของผมมีหน้าที่ในการปกป้องประเทศจากศัตรูภยันตราย ในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่ความมั่นคงป้องกันชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่รักยิ่งของเรา วันนี้ผมได้เห็นแล้วว่า ประเทศของเรายังมีปัญหาอีกมาก โดยเฉพาะปัญหาความยากจน และปัญหาเรื่องปากท้องไปจนถึงการก้าวข้ามความขัดแย้ง และการก้าวล่วงสถาบัน การแทรกแซงทางการเมือง ทั้งภายในและภายนอกประเทศ”

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า ผมและพรรคพลังประชารัฐ มุ่งมั่นที่จะเอาชนะปัญหาของประชาชนในทุกเรื่องให้ได้ เรารับรองว่า เราจะก้าวไปด้วยกัน ทุกนโยบายที่รับปากพี่น้องประชาชน เมื่อทำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรี ผมจะทำทันที โดยขอให้ทุกคนมีความเชื่อมั่นว่า ผมทำได้ ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นพรรคพลังประชารัฐ และผู้บริหารของพรรคจะทำงานเพื่อประชาชนทุกคน ขอให้เชื่อมั่นว่าผมจะนำพาประเทศไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง เราจะช่วยกันนำพาประเทศนี้ให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป ขอให้เลือกผมและพรรคพลังประชารัฐ ประเทศชาติจะไม่วุ่นวาย เศรษฐกิจจะเดินหน้า ค้าขายจะเจริญรุ่งเรือง ขอให้เลือกพรรคพลังประชารัฐเบอร์ 37 และ ผู้สมัคร ส.ส. ทุกเขตของพรรคพลังประชารัฐทั่วประเทศ

“ประเทศเราถ้ามีความสงบแล้ว ความเจริญรุ่งเรืองจะมาสู่ประเทศของเราอย่างแน่นอน พรรคพลังประชารัฐและผู้สมัครของพรรคทุกคนยินดีที่จะนำความรุ่งเรืองมาสู่ประเทศชาติ ขอให้พวกเราทุกคนก้าวข้ามความขัดแย้งไปด้วยกัน ทั้งนี้ ขอเชิญชวนประชาชนคนไทย วันที่ 14 พฤษภาคมนี้ เข้าคูหากาเบอร์ 37 ‘เลือกลุงป้อม นำได้ ตามเป็น เย็นพอ ฟังทุกฝ่าย’ เราจะก้าวข้ามความขัดแย้งพร้อมเดินหน้าไปด้วยกัน” พล.อ.ประวิตร กล่าวทิ้งท้าย

ทั้งนี้ ก่อนปิดเวที พล.อ.ประวิตร ได้ถ่ายภาพร่วมกับ กก.บห. ผู้สมัคร ส.ส.กทม.และถ่ายภาพร่วมกับประชาชนที่มาร่วมในเวทีปิดปราศรัยด้วย นอกจากนี้ยังมีแฟนคลับชาวจีน ที่เดินทางจากต่างประเทศมาร่วมให้กำลังใจ พล.อ.ประวิตร โดยระบุว่า เชื่อว่า พล.อ.ประวิตร จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จึงอยากมาถ่ายรูปคู่ด้วย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top