Tuesday, 2 July 2024
World

‘ปาเลสไตน์’ ประณาม ‘อิสราเอล’ หลังถล่มค่ายผู้ลี้ภัยในกาซา สังหารพลเรือนบริสุทธิ์ 274 ราย เพื่อช่วยเหลือ 4 ตัวประกัน

กองทัพอิสราเอลถล่มค่ายผู้ลี้ภัยใหญ่ตอนกลางกาซา ระบุช่วยตัวประกันออกมาได้ 4 คน ขณะที่เจ้าหน้าที่ปาเลสไตน์ระบุในวันอาทิตย์ (9 มิ.ย.67) การโจมตีดังกล่าวทำให้พลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 274 คน และบาดเจ็บอีกเกือบ 700 ซึ่งถือเป็นการโจมตีนองเลือดที่สุดอีกครั้งในสงครามที่ยืดเยื้อมาถึง 8 เดือน

เมื่อวานนี้ (9 มิ.ย.67) การปฏิบัติการช่วยเหลือตัวประกันดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ (8 มิ.ย.67) ในค่ายผู้ลี้ภัยนูเซรัต ตอนกลางของกาซา โดยพลเรือตรีแดเนียล ฮาการี โฆษกกองทัพอิสราเอลอ้างว่า กองทหารรัฐยิวได้เข้าโจมตีกลางย่านที่พักอาศัยซึ่งกลุ่มฮามาสใช้เป็นที่กักขังตัวประกันไว้ในอพาร์ตเมนต์สองหลัง แต่ถูกระดมยิงอย่างหนักจึงตอบโต้ด้วยการโจมตีทางอากาศและจากภาคพื้นดิน ก่อนสำทับว่า กองทัพรับรู้ว่า มีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตไม่ถึง 100 คน แต่ไม่รู้ว่าในจำนวนดังกล่าวเป็นผู้ก่อการร้ายกี่คน

ด้าน อิสราเอล ยังบอกว่า ตัวประกันที่ช่วยออกมาได้ทั้ง 4 คน ได้แก่ โนอา อาร์กามานี วัย 26 ปี, อัลม็อก เมร์ แจน วัย 22 ปี, แอนเดรย์ คอสลอฟ วัย 27 ปี และชโลมี ซิฟ วัย 41 ปี มีสุขภาพดีและถูกนำตัวไปโรงพยาบาล โดยทั้งหมดนี้ถูกจับจากเทศกาลดนตรีโนวาระหว่างที่นักรบฮามาสบุกเข้าโจมตีอิสราเอลครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1,200 คน อีก 250 คนถูกจับเป็นตัวประกัน และจุดชนวนสงครามในกาซาที่ยืดเยื้อมาจนถึงขณะนี้

ปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลเพื่อตอบโต้และกำจัดฮามาสทำให้มีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตอย่างน้อย 36,801 คนแล้ว

ทางด้านอาบู อูไบดา โฆษกของกองกำลังอาวุธอัล-กัสซัม ซึ่งเป็นกองกำลังของฮามาส อ้างว่า ตัวประกันบางคนเสียชีวิตระหว่างปฏิบัติการของอิสราเอล

ทว่า ปีเตอร์ เลอร์เนอร์ โฆษกกองทัพอิสราเอลอีกคน ตอบโต้ว่า ฮามาสโกหก

เมื่อถูกสอบถามเกี่ยวกับรายงานข่าวที่ว่า หน่วยข่าวกรองของอเมริกาให้การสนับสนุนปฏิบัติการช่วยตัวประกันครั้งนี้ เลอร์เนอร์แบ่งรับแบ่งสู้ว่า อิสราเอลและอเมริกามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดในด้านปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับข่าวกรอง

ทางด้านประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของอเมริกาที่อยู่ระหว่างการเยือนฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการ แสดงความยินดีกับการช่วยเหลือตัวประกันในกาซา และย้ำว่า วอชิงตันจะไม่ยุติความพยายามจนกว่าตัวประกันทั้งหมดจะกลับบ้านอย่างปลอดภัย และทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงหยุดยิง

ทว่า บรรยากาศในกาซากลับตรงกันข้าม เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขปาเลสไตน์และหน่วยแพทย์ท้องถิ่นเผยว่า การโจมตีของอิสราเอลในค่ายนูเซรัตทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก

ทั้งนี้ ในวันอาทิตย์ (9 มิ.ย.) กระทรวงสาธารณสุขของกาซา ซึ่งอยู่ในความควบคุมของกลุ่มฮามาส แถลงว่า ในจำนวนผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 274 คนจากการบุกโจมตีล่าสุดของอิสราเอลนี้ เป็นเด็ก 64 คน และผู้หญิง 57 คน ขณะที่ในหมู่ผู้ได้รับบาดเจ็บเกือบ ๆ 700 คน ที่เป็นเด็กมี 153 คน และผู้หญิง 161 คน

เจ้าหน้าที่ทีมแพทย์ฉุกเฉินคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในนูเซรัตระบุว่า เป็นการสังหารหมู่อย่างแท้จริง โดยโดรนและเครื่องบินรบอิสราเอลซุ่มโจมตีบ้านประชาชนและคนที่พยายามหนีออกจากบริเวณดังกล่าวตลอดทั้งคืน

เขายังบอกอีกว่า การโจมตีทางอากาศพุ่งเป้าที่ตลาดท้องถิ่นและมัสยิดอัล-ออดา และสำทับว่า อิสราเอลสังหารพลเรือนบริสุทธิ์นับสิบเพื่อช่วยตัวประกัน 4 คน

ค่ายผู้ลี้ภัยนูเซรัต ที่ตั้งอยู่นอกเมืองเดอีร์ อัล-บาลาห์ ตกเป็นเป้าหมายการโจมตีทางอากาศอย่างหนักของอิสราเอลระหว่างสงคราม นอกจากนี้กองทหารอิสราเอลยังยกกำลังบุกภาคพื้นดินเข้าโจมตีทางด้านตะวันออกของค่ายผู้ลี้ภัยแห่งนี้ ไม่เพียงเท่านั้น หน่วยแพทย์ปาเลสไตน์เผยว่า อิสราเอลยังโจมตีทางอากาศใส่ค่ายผู้ลี้ภัยอัล-บูเรจ ซึ่งอยู่ทางตอนกลางกาซาเช่นกันเมื่อคืนวันเสาร์ ทำให้มีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิต 5 คน

ขณะเดียวกัน แม้ข่าวการช่วยตัวประกันล่าสุดสร้างความยินดีให้กับชาวอิสราเอล แต่ยังมีความกังวลเกี่ยวกับชะตากรรมของตัวประกันที่เหลืออยู่ ทำให้ผู้คนนับพันไปชุมนุมกันที่กรุงเทลอาวีฟเพื่อเรียกร้องให้ยุติสงครามในกาซา เนื่องจากเชื่อว่า ปฏิบัติการทางทหารไม่สามารถช่วยเหลือตัวประกันทั้งหมดออกมาได้

นอกจากนั้นยังมีการชุมนุมในลอนดอนเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เรียกร้องให้ยุติสงครามในกาซา

วันเดียวกันนั้น ที่สหรัฐฯ ผู้ประท้วงต่อต้านสงครามกาซานับพันชุมนุมใกล้ทำเนียบขาว ในกรุงวอชิงตัน โดยส่วนใหญ่สวมเสื้อสีแดง ชูธงปาเลสไตน์และป้ายที่มีข้อความว่า “เส้นแดงของไบเดนคือคำโกหก” และ “การทิ้งระเบิดใส่เด็กไม่ใช่การป้องกันตัว”

ทั้งนี้ ไบเดนกำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก หลังจากทำเนียบขาวเคยแถลงเมื่อเดือนที่แล้วว่า การโจมตีของอิสราเอลในเมืองราฟาห์ ยังไม่ได้ข้าม ‘เส้นแดง’ ที่ไบเดนระบุไว้เมื่อสองเดือนก่อนหน้านั้นตอนที่ถูกผู้สื่อข่าวถามเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่อิสราเอลจะบุกเมืองดังกล่าว โดยที่เขาบอกว่าหากมีการข้ามเส้นแดง สหรัฐฯก็จะพิจารณางดส่งอาวุธให้อิสราเอล

‘ผู้ก่อตั้ง Nvidia’ แจกลายเซ็นบนอกเสื้อ ‘แฟนคลับสาว’ ชาวเน็ตติง!! ตามใจแฟนคลับจนละเลยเรื่องความเหมาะสม

ไม่ว่าจะยุคใด สมัยใดก็ตาม คนรวยก็มักเนื้อหอม ที่มีคนติดตามชื่นชมเป็นจำนวนมาก และในนาทีนี้ อภิมหาเศรษฐีดาวรุ่งเนื้อหอมที่สุด หนีไม่พ้น ‘เจนเซน หวง’ หรือ ‘หวง เหรินซุน’ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Nvidia บริษัทผู้พัฒนาชิป AI ระดับไฮเอนด์ ที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดในโลก จนปัจจุบันนี้ เขามีทรัพย์สินมากถึง 105 ล้านเหรียญ ขึ้นแท่นอภิมหาเศรษฐีอันดับ 13 ของโลก 

ประกอบกับประวัติส่วนตัวที่มีเส้นทางชีวิตอันแสนคลาสสิก จากเด็กชาวไต้หวันธรรมดา ต้องย้ายถิ่นไปตั้งรกรากในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ยังเล็ก ผ่านความยากลำบากจากการถูกบูลลี่ในสังคมโรงเรียนอเมริกัน ทำงานสารพัดตั้งแต่เด็กจนสามารถก่อตั้งบริษัทเซมิคอนดัคเตอร์ ที่มีรายได้ต่อปีมากกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ กินส่วนแบ่งตลาดชิพ AI ได้ถึง 80% ทั่วโลก 

ซึ่งเข้าตำราเศรษฐีสร้างตัวตามแบบฉบับเจ้าสัวจีน ที่หอบเสื่อผืนหมอนใบ ไปสู้ชีวิตในต่างแดน ในขณะเดียวกันก็เป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของค่านิยม ‘American Dream’ ในดินแดนแห่งเสรีภาพ และความเท่าเทียมอย่างสหรัฐอเมริกา ที่กล่าวว่า "ไม่ว่าใครก็สามารถประสบความสำเร็จได้ถ้ามีความสามารถ ความมุ่งมั่น และ ความขยันหมั่นเพียร"

ส่งผลให้ ‘เจนเซน หวง’ กลายเป็นเศรษฐีดาวดังคนล่าสุด ไม่ว่าจะไปไหน ก็มีคนติดตามขอถ่ายรูปไม่ต่างจากเซเลป ดารา จนเกิดกระแสเจนเซน หวง ที่เรียกว่า ‘Jensanity’ โดยเฉพาะที่ไต้หวัน เขากลายเป็นไอดอลของคนหนุ่มสาว เป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จในโลกยุคใหม่ ที่ตั้งฉายาให้เขาเป็น ‘AI Godfather’ เลยทีเดียว

ล่าสุด ‘เจนเซน หวง’ ได้ไปปรากฏตัวในงาน ‘COMPUTEX 2024’ งานแสดงสินค้าเทคโนโลยี ที่จัดขึ้นในกรุงไทเป ไต้หวัน ระหว่างวันที่ 4-7 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา และมีบรรดาแฟนคลับชาวไต้หวันไปขอถ่ายรูปเป็นจำนวนมาก มีเสียงตะโกนเรียกชื่อเขา และ ชื่อบริษัท Nvidia ดังสนั่นทั่วทั้งงาน 

และมีหญิงสาวที่มาในเสื้อรัดรูปสีขาวคนหนึ่ง เข้ามาขอให้เขาช่วยเซ็นชื่อบน อกเสื้อให้เธอหน่อย ‘เจนเซน หวง’ ลังเลเล็กน้อยก่อนถามว่า "มันจะดีหรือ?" แต่หญิงสาวพยักหน้ายืนยันว่าเธอต้องการให้เศรษฐีคนดังเซ็นชื่อบริเวณนั้นให้เธอจริง ๆ ‘เจนเซน หวง’ จึงตัดสินใจเซ็นชื่อให้เธอตามคำขอ 

หลังจากนั้น หญิงสาวก็ได้แชร์ภาพลายเซ็นที่ได้ลงในสื่อโซเชียล พร้อมข้อความที่แสดงถึงความตื่นเต้นว่า "อะดรีนาลีนของฉันพลุ่งพล่านมากเลยวันนี้ ความฝันกลายเป็นจริงแล้ว ฉันได้จับมือกับ AI Godfather ด้วย แล้วยังได้ลายเซ็นของเขาบนเคสโทรศัพท์ และบนเสื้อให้ฉันด้วย ปีนี้ต้องเป็นปีเฮงของฉันแน่ ๆ!!"

แต่เมื่อมีภาพข่าวการแจกลายเซ็นบนอกเสื้อของ ‘เจนเซน หวง’ ออกสื่อ ก็กลายเป็นที่ถกเถียงในโลกออนไลน์ทันทีถึงความไม่เหมาะสมที่อภิมหาเศรษฐีวัย 61 มาเซ็นชื่อบนอกแฟนคลับสาวผู้คลั่งไคล้รายนั้น แต่ก็มีหลายคนมองว่า ก็ในเมื่อเป็นความต้องการของหญิงสาวเอง ก็ไม่เห็นเป็นอะไร แค่ตามใจแฟนคลับนิดหน่อยเท่านั้นเอง

และเช่นเดียวกับอภิมหาเศรษฐีคนอื่น ๆ ในโลก อาทิ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก, อีลอน มัสก์, เจฟฟ์ เบโซ หรือ แม้แต่แจ็ค หม่า ที่ความรวยทำให้พวกเขาดัง มีผู้คนแปลกหน้าเข้ามาทักทาย ขอถ่ายรูป ตราบเท่าที่พวกเขายังสามารถรักษาความร่ำรวย และ ความสำเร็จเอาไว้ได้ แต่ยังมีอีกสิ่งที่จะทำให้ความนิยมชมชอบของเศรษฐีคนหนึ่งให้อยู่ได้นานกว่าเงินในกระเป๋าของเขา ก็คือ ความมั่งคั่งที่มาเคียงคู่กับคุณธรรม นั่นเอง

‘โอเล็ก โคโนเนนโก’ นักบินอวกาศชาว ‘รัสเซีย’ วัย 59 ปี ทุบสถิติเพื่อนร่วมชาติ ใช้ชีวิตในอวกาศรวม 1,000 วัน

(10 มิ.ย.67) สำนักข่าวเอพีรายงานว่า โอเล็ก โคโนเนนโก นักบินอวกาศชาวรัสเซียวัย 59 ปี กลายเป็นบุคคลแรกของโลกที่ใช้เวลาอยู่ในอวกาศรวมทั้งสิ้น 1,000 วัน

โดยนักบินอวกาศใต้สำนักงานอวกาศของรัสเซีย ‘รอสคอสมอส’ ได้เดินทางถึงสถานีอวกาศนานาชาติ (ไอเอสเอส) 5 ครั้ง นับตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา โดยการเดินทางไปยังไอเอสเอสในปัจจุบันของ โอเล็ก โคโนเนนโก เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2023 ที่ออกเดินทางไปพร้อมกับ นิโคไล ชุบ เพื่อนร่วมชาติ และ โลรอล โอฮานา นักบินอวกาศขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (นาซา) ของสหรัฐอเมริกา

ทั้งนี้ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โคโนเนนโกได้ทำลายสถิติเป็นบุคคลที่ใช้เวลาอยู่บนอวกาศนานที่สุดในโลก ที่ เกนนาดี พาดัลกา เพื่อนร่วมชาติชาวรัสเซีย เคยทำไว้ที่ 878 วัน 11 ชั่วโมง 29 นาที และ 48 วินาที เมื่อปี 2015 ก่อนที่ โคโนเนนโก จะกลายเป็นบุคคลแรกของโลกที่ใช้เวลาอยู่บนอวกาศครบ 1,000 วัน เมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา

และหากภารกิจของโคโนเนนโกสิ้นสุดลงตามกำหนดในวันที่ 23 กันยายน 2024 เขาจะใช้เวลาอยู่ในอวกาศทั้งหมด 1,110 วัน

โคโนเนนโก ได้กล่าวกับสำนักข่าวทาสส์ของรัสเซีย ว่า เขามั่นใจและภูมิใจในงานที่เขาทำ นอกจากนี้เขายังบอกกับทาสส์ด้วยว่า เพื่อนร่วมงานชาวอเมริกันของเขาบนไอเอสเอส เป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกๆ ที่ร่วมแสดงความยินดีกับเขาในความสำเร็จของเขา

ทั้งนี้ ไอเอสเอสเป็นหนึ่งในไม่กี่กิจกรรมไม่กี่อย่างที่สหรัฐอเมริกาและรัสเซียยังคงร่วมมืออย่างใกล้ชิด หลังจากการเหตุการณ์การรุกรานยูเครนของมอสโกในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 รอสคอสมอสได้ประกาศในเดือนธันวาคมที่ผ่านมาว่า ความร่วมมือในโครงการการบินร่วมกับนาซา ในการขนส่งนักบินอวกาศไปยังไอเอสเอสได้ขยายออกไปแล้วจนถึงในปี 2025 

‘บ.ญี่ปุ่น’ ยอมถอย!! จ่อรื้อถอน ‘คอนโดฯ’ สร้างใกล้เสร็จ หลังโดนคนท้องถิ่นร้องเรียน บดบังความงามของ ‘ฟูจิ’

เมื่อวานนี้ (9 มิ.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สื่อท้องถิ่นญี่ปุ่นรายงานแผนการรื้อถอนคอนโดมิเนียม ความสูง 10 ชั้น ที่ก่อสร้างใกล้เสร็จสิ้นในพื้นที่ทางตะวันตกของกรุงโตเกียว หลังจากผู้อยู่อาศัยท้องถิ่นร้องเรียนว่ามันบดบังวิวความสวยงามของแลนด์มาร์กชื่อดังอย่างภูเขาไฟฟูจิ

รายงานระบุว่า อาคารหลังดังกล่าว (Gurandomezon Kunitachi Fujimi-dori) ตั้งอยู่ที่เขตนากาของเมืองคุนิตาจิ ซึ่งถูกประชาสัมพันธ์ทางการตลาดว่าเป็นคอนโดมิเนียมแห่งแรกบนถนนฟูจิมิ-โดริ ที่เปิดจำหน่ายในรอบทศวรรษ แต่จะไม่เสร็จสมบูรณ์เนื่องด้วยกระแสคัดค้านจากคนท้องถิ่น

เมื่อวันอังคาร (4 มิ.ย.) บริษัท เซกิซุย เฮาส์ จำกัด ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมแห่งนี้ แจ้งเจ้าหน้าที่เมืองคุนิตาจิว่าบริษัทฯ ตัดสินใจไม่ดำเนินโครงการนี้ต่อไปเพราะไม่ได้พิจารณาผลกระทบต่อพื้นที่และภูมิทัศน์โดยรอบอย่างถี่ถ้วน และกำลังอธิบายสถานการณ์แก่ผู้ซื้อในอนาคตและผู้อยู่อาศัยท้องถิ่น

อนึ่ง กระแสการคัดค้านเกิดขึ้นหลังการก่อสร้างเริ่มต้นได้เพียงไม่นาน โดยผู้อยู่อาศัยท้องถิ่นแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากตัวอาคารต่อทิวทัศน์ภูเขาไฟฟูจิและแสงอาทิตย์ที่ส่องถึงบ้านเรือนใกล้เคียง

สภาการพัฒนาเมืองสรุปว่าโครงการคอนโดมิเนียมแห่งนี้จะบดบังทิวทัศน์ภูเขาไฟฟูจิจากถนนฟูจิมิ-โดริ และชี้แนะให้ทำการเปลี่ยนแปลง เมื่อเดือนมิถุนายน 2021

แม้เซกิซุย เฮาส์ ลดจำนวนชั้นของอาคารจาก 11 เหลือ 10 ชั้น แต่ผู้อยู่อาศัยท้องถิ่นยังต้องการให้ลดจำนวนชั้นเหลือ 4 ชั้น และขนาดโดยรวมเล็กลงอีก ซึ่งเซกิซุย เฮาส์ ระบุว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อความสามารถทำกำไรของโครงการ นำสู่การตัดสินใจรื้อถอนในท้ายที่สุด

'Elon Musk' เตรียมแบนการใช้ iPhone ในบริษัทของเขา หาก Apple ร่วมมือ OpenAI ฝัง ChatGPT เข้าไปใน OS ของเครื่อง

เมื่อวานนี้ (10 มิ.ย.67) Apple ได้เปิดตัว Apple Intelligence ใน iOS 18, iPadOS 18 และ macOS Sequoia เพื่อเพิ่มความฉลาดในการใช้งาน Siri รวมถึงแอปพลิเคชันต่าง ๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีการใช้ Siri ร่วมกับ ChatGPT ล่าสุด Elon Musk ก็ดันขู่ว่าจะแบน Apple ซะอย่างงั้น

ทั้งนี้ การทำงานร่วมกันของ Siri และ ChatGPT เพื่อเป็นการจัดการกับคำถามที่ซับซ้อนได้ แต่จะเกิดขึ้นเมื่อได้รับอนุญาตจากผู้ใช้งานแล้วเท่านั้น แถมฟีเจอร์นี้ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับการตอบสนองตามบริบทที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องเปิดแอป ChatGPT ซึ่งหลังงานเปิดตัวนี้ Musk ได้ออกตัวคัดค้านอย่างเต็มที่ผ่านการโพสต์บน X ของเขาเอง

โดย Musk บอกว่า “หาก Apple รวม OpenAI ในระดับระบบปฏิบัติการ อุปกรณ์ Apple จะถูกแบนในบริษัทของผม และนั่นเป็นการละเมิดความปลอดภัยที่ยอมรับไม่ได้ ซึ่งผู้มาเยือนจะต้องตรวจสอบอุปกรณ์ Apple ของตนที่ประตู ซึ่งจะถูกจัดเก็บไว้ในกรงฟาราเดย์” ทั้งนี้เขาก็ยังตั้งคำถามเพียบเลยถึงความสามารถของ Apple ในการรับรองความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้งาน ซึ่งเขาบอกว่า “Apple ไม่ได้บอกว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อพวกเขาส่งข้อมูลของคุณให้กับ OpenAI”

สำหรับ Apple และ OpenAI ต่างเน้นย้ำว่าข้อมูลผู้ใช้จะถูกแชร์โดยได้รับความยินยอมอย่างแท้จริงเท่านั้น และการโต้ตอบเหล่านี้ได้รับการออกแบบให้มีความปลอดภัย ทั้งนี้ Apple ระบุอย่างชัดเจนในข้อความว่าความสามารถ AI ใหม่ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้เป็นหลัก เพียงแต่เป็นการใช้งานเพื่อการประมวลผลเพื่อประโยชน์ต่อผู้ใช้งานเท่านั้นด้วย

สำหรับการใช้งาน Apple Intelligence จะสามารถใช้งานได้บนอุปกรณ์ต่าง ๆ ดังนี้

- iPhone 15 Pro
- iPhone 15 Pro Max
- iPad Pro ชิป M1 ขึ้นไป
- iPad Air ชิป M1 ขึ้นไป
- MacBook Air ชิป M1 ขึ้นไป
- MacBook Pro ชิป M1 ขึ้นไป
- iMac ชิป M1 ขึ้นไป
- Mac mini ชิป M1 ขึ้นไป
- Mac Studio ชิป M1 ขึ้นไป
- Mac Pro ชิป M2 Ultra

'มาเลเซีย' ปรับราคาดีเซลขึ้นอีก 50% ในหลายพื้นที่ หลังยุติมาตรการอุดหนุนราคาน้ำมันแบบเหวี่ยงแห

เมื่อวานนี้ (10 มิ.ย. 67) สำนักข่าว Channel News Asia รายงานว่า มาเลเซียประกาศขึ้นราคาน้ำมันดีเซล 50% ในหลายพื้นที่ มีผลวันนี้ ซึ่งก็คือ 10 มิ.ย. เนื่องจากรัฐบาลเปลี่ยนแนวทางการใช้มาตรการอุดหนุนราคาน้ำมันแบบเหวี่ยงแหซึ่งมีต้นทุนสูง ไปเป็นการกำหนดกลุ่มเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจริง ๆ โดยกระทรวงการคลังระบุในแถลงการณ์เมื่อวันอาทิตย์ (9 มิ.ย.) ว่า จะเริ่มกำหนดราคาน้ำมันดีเซลให้สอดคล้องกับราคาตลาดมากขึ้น

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังระบุว่า ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.35 ริงกิตต่อลิตร ในพื้นที่รอบคาบสมุทรมาเลเซีย (Peninsular Malaysia) ตั้งแต่เที่ยงคืนเป็นต้นไป ซึ่งราคาดังกล่าวจะเป็นราคาตลาดที่ไม่มีการอุดหนุนจากรัฐบาล โดยเป็นราคาอ้างอิงจากค่าเฉลี่ยเดือนพ.ค. 2567 ตามสูตร Automatic Pricing Mechanism

สำหรับรัฐอื่น ๆ และดินแดนของมาเลเซียบนพื้นที่เกาะบอร์เนียว ราคาน้ำมันจะยังคงอยู่ที่ลิตรละ 2.15 ริงกิต โดยรัฐบาลจะยังตรึงราคานี้สำหรับกลุ่มขนส่งโลจิสติกส์ที่เข้าเกณฑ์การอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลของรัฐบาล นอกจากนี้ ยังตรึงราคาน้ำมันสำหรับกลุ่มประมงและกลุ่มขนส่งสาธารณะบางส่วน อาทิ รถโรงเรียนและรถพยาบาล

ทั้งนี้ ตามมาตรการพยุงราคาน้ำมัน ราคาดีเซลในมาเลเซียจะจำหน่ายในราคาที่ต่างกัน แบ่งเป็น 4 กลุ่ม สำหรับกลุ่มประมง อยู่ที่ลิตรละ 1.65 ริงกิต, กลุ่มขนส่งสาธารณะทางบก ลิตรละ 1.88 ริงกิต, กลุ่มยานพาหนะเชิงพาณิชย์และส่วนบุคคล ลิตรละ  2.15 ริงกิต และกลุ่มภาคการพาณิชย์ที่จำหน่ายตามราคาตลาดซึ่งไม่ได้รับการอุดหนุนราคา อยู่ที่ลิตรละ 3.60 ริงกิต

รัฐบาลมาเลเซียกล่าวเมื่อเดือนที่ผ่านมาว่า แผนลดการอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลในปีนี้ คาดว่าจะช่วยประหยัดงบประมาณได้ปีละประมาณ 4 พันล้านริงกิต (853.24 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และคาดว่า จะนำงบส่วนดังกล่าวไปช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อย

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มาเลเซียใช้งบประมาณจำนวนมากในการอุดหนุนราคาเชื้อเพลิง น้ำมันปรุงอาหาร และราคาข้าว รวมถึงสินค้าพื้นฐานอื่น ๆ โดยงบดังกล่าวพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้การคลังของรัฐบาลตึงเครียด เฉพาะน้ำมันดีเซลอย่างเดียว รัฐบาลมาเลเซียใช้งบในการพยุงราคาไปถึง 1.43 หมื่นล้านริงกิต ในปี 2566 เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่ 1.4 พันล้านริงกิตถึง 10 เท่า 

Energy Vault ผุดเทคโนโลยีระบบจัดเก็บพลังงานด้วยแรงโน้มถ่วง เปลี่ยนอาคารสูงและโครงสร้างส่วนบนให้เป็น 'แบตเตอรี่ขนาดใหญ่'

เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา Energy Vault บริษัทจากสวิตเซอร์แลนด์ที่เชี่ยวชาญด้านการจัดเก็บพลังงานยั่งยืนระดับกริด ได้ประกาศความร่วมมือระดับโลกกับ Skidmore, Owings & Merrill (SOM) บริษัทด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมจากชิคาโก สหรัฐอเมริกา ได้ประกาศความร่วมมือเป็นพันธมิตร เพื่อเปลี่ยนอาคารสูงและโครงสร้างส่วนบนให้เป็น 'แบตเตอรี่ขนาดใหญ่' โดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า 'ระบบจัดเก็บพลังงานด้วยแรงโน้มถ่วง' (GESS) 

ทั้งนี้ การออกแบบโครงสร้างส่วนบนอาคารนี้ ช่วยให้สามารถบูรณาการ GESS เข้ากับอาคารสูงได้ โดยใช้โครงสร้างกลวงที่มีความสูง 300 - 1,000 เมตร ซึ่งโครงสร้างเหล่านี้จะมีความสามารถในการจัดเก็บพลังงานตามแรงโน้มถ่วงหลาย GWh เพื่อจ่ายพลังงานให้กับตัวอาคาร รวมถึงตอบโจทย์ความต้องการพลังงานของอาคารที่อยู่ติดกันด้วย

ในฐานะส่วนหนึ่งของความร่วมมือเชิงกลยุทธ์นี้ SOM จะเป็นสถาปนิกและวิศวกรโครงสร้างแต่เพียงผู้เดียวที่จะพัฒนาโครงสร้างที่ปรับใช้ได้สำหรับระบบจัดเก็บพลังงานด้วยแรงโน้มถ่วง ของ Energy Vault ใหม่ทั้งหมด รวมถึงการผสานรวมเทคโนโลยีการจัดเก็บพลังงานด้วยแรงโน้มถ่วงเข้ากับอาคารสูงในเมือง สภาพแวดล้อม และโครงสร้างที่ปรับใช้ได้ในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ

ความร่วมมือดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจาก G-VAULT ระบบพลังงานของ Energy Vault ซึ่งเป็นวิธีการกักเก็บพลังงาน มีลักษณะคล้ายกับกระดานหกขนาดยักษ์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีขั้นสูง ด้วยการใช้น้ำหนักที่ขึ้นลง และระบบใช้แรงโน้มถ่วง เพื่อกักเก็บพลังงานหมุนเวียน 

SOM และ Energy Vault คาดว่าจะใช้ คอมพิวเตอร์อัจฉริยะและเทคโนโลยีล้ำสมัยต่าง ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ วัสดุที่แข็งแกร่ง และวิศวกรรมสมัยใหม่ เพื่อสร้างระบบที่สามารถยกของหนักเหล่านี้ได้ 

โดยเมื่อมีพลังงานส่วนเกิน (เช่น ในเวลากลางคืน) โครงสร้างส่วนบนเหล่านี้จะใช้ไฟฟ้านั้นเพื่อยกของหนักให้สูงขึ้น เมื่ออาคารสูงเหล่านี้ต้องการไฟฟ้ามากขึ้น เช่น ในช่วงกลางวัน จะปล่อยให้น้ำหนักลดลง และเมื่อมันลดลง ก็จะผลิตพลังงานและจ่ายไฟฟ้าหมุนเวียน

ทุกวันนี้ โครงสร้างส่วนใหญ่ที่เก็บไฟฟ้าส่วนเกินจะใช้ระบบสูบน้ำซึ่งคล้ายกับอ่างเก็บน้ำบนเนิน น้ำไหลลงเนินและสร้างพลังงานเมื่ออาคารต้องการไฟฟ้ามากขึ้น และระบบกักเก็บพลังงานแรงโน้มถ่วง (GESS) ของ Energy Vault ก็ทำงานในลักษณะเดียวกัน แต่แทนที่จะใช้น้ำ กลับวางแผนที่จะใช้น้ำหนักขนาดยักษ์ 

GESS ต่างจากพลังน้ำสูบ ซึ่งต้องใช้ภูเขาและน้ำ เพราะสามารถสร้างได้เกือบทุกที่ เนื่องจากใช้แรงโน้มถ่วงเพียงอย่างเดียว

SOM และ Energy Vault เชื่อว่านวัตกรรมนี้สามารถไขกุญแจสู่ความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ในการจัดเก็บพลังงานสะอาดจากแหล่งต่าง ๆ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ขณะเดียวกันระบบนี้ถูกสร้างขึ้นมาให้มีอายุการใช้งาน 35 ปีขึ้นไป โดยมีการบำรุงรักษาเพียงเล็กน้อย นอกจากนี้ลูกค้าสามารถเลือกขนาดของระบบให้เหมาะสมกับความต้องการทางสถาปัตยกรรมและความต้องการทางเทคนิคได้ 

ส่วนการใช้วัสดุรีไซเคิลในระบบเป็นไปได้เพื่อลดของเสีย และเมื่อติดตั้งแล้ว อาคารสูงเหล่านี้มีศักยภาพในการกักเก็บและจ่ายพลังงานหมุนเวียนให้กับโครงข่ายไฟฟ้าเป็นระยะเวลานานโดยไม่ย่อยสลาย 

ปัจจุบัน Energy Vault กำลังขยายพอร์ตโฟลิโอการใช้งาน GESS โดยเน้นไปที่การขยายการดำเนินงานทั่วโลกในตลาดแอฟริกาและเอเชีย

ทั้งนี้ ผลงานที่ผ่านมา SOM ได้ออกแบบอาคารที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกหลายแห่ง รวมถึง Burj Khalifa, Tianjin CTF Finance Centre, Willis Tower และ One World Trade Center

อย่างไรก็ตาม อาคารสูงที่จะกลายเป็นแบตเตอรี่ขนาดมหึมาเหล่านี้ยังไม่ได้สร้างและยังไม่ได้ระบุสถานที่ที่อาคารเหล่านี้จะถูกสร้างขึ้น แต่ Energy Vault ได้เริ่มทำงานร่วมกับ SOM ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาเพื่อปรับโครงสร้าง สถาปัตยกรรม และเศรษฐศาสตร์ของเทคโนโลยี GESS ให้เหมาะสม

‘มาเลเซีย’ ไม่แบกต่อ จ่อยกเลิกอุดหนุนราคา ‘เบนซิน 95’ ต่อจากดีเซล คาด!! ทำเงินเฟ้อแตะ 3.5 แต่เพื่อลดเป้าขาดดุลเหลือ 4.3% ต้องทำ!!

(11 มิ.ย.67) อามีร์ ฮัมซาห์ อาซิซาน รัฐมนตรีช่วยคลังของมาเลเซีย แถลงว่า รัฐบาลจะยกเลิกมาตรการอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลแบบปูพรม โดยนับตั้งแต่วันจันทร์ที่ 10 มิ.ย.67 นี้เป็นต้นไป ราคาน้ำมันดีเซลขายปลีกหน้าปั๊มจะปรับขึ้นมาเป็นราคาตลาดที่ 3.35 ริงกิตต่อลิตร (ราว 26.21 บาท) ยกเว้นเพียงรัฐซาบาห์ ซาราวัก และเขตลาบวน ที่จะยังได้รับการอุดหนุนที่ราคาเดิม 2.15 ริงกิตต่อลิตร (ราว 16.83 บาท) ต่อไป 

รัฐบาลประกาศด้วยว่าจะดำเนินการยกเลิกการอุดหนุน "น้ำมันเบนซิน RON95" แบบปูพรมเป็นรายการต่อไป โดยปัจจุบันเบนซิน RON95 เป็นน้ำมันเบนซินที่มีราคาถูกที่สุด และเป็นที่นิยมมากที่สุดในมาเลเซีย โดยนอกจากรัฐบาลจะต้องใช้งบประมาณอุดหนุนมหาศาลแล้ว ก็ยังมีปัญหาการลักลอบขนน้ำมันไปขายในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งสร้างความเสียหายเป็นมูลค่าหลายพันล้านริงกิตอีกด้วย   

อามีร์ กล่าวว่า การยกเลิกมาตรการอุดหนุนราคาดีเซลครั้งนี้คาดว่าจะช่วยรัฐบาลประหยัดได้ถึงราว 4 พันล้านริงกิตต่อปี (ราว 3.1 หมื่นล้านบาท) ขณะที่รัฐบาลใช้งบประมาณอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลในปี 2566 ไปถึง 1.43 หมื่นล้านริงกิต (ราว 1.12 แสนล้านบาท)

หลังจากที่ยกเลิกการอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลแบบปูพรมทั้งประเทศแล้ว รัฐบาลจะหันไปใช้มาตรการช่วยเหลือแบบกำหนดกลุ่มเป้าหมายแทน โดยจะแจกเงินให้กลุ่มเป้าหมายที่ใช้น้ำมันดีเซลกว่า 3 หมื่นราย เข้าบัญชีคนละ 200 ริงกิตต่อเดือน (ราว 1,500 บาท) เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 มิ.ย.67 นี้ ในขณะที่กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์บางประเภท เช่น ขนส่งสาธารณะ และประมง จะได้รับการช่วยเหลือภายใต้โครงการอุดหนุนเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย

ธนาคารกลางมาเลเซีย เคยคาดการณ์ว่า การยกเลิกมาตรการอุดหนุนทั้งดีเซล และเบนซิน 95 อาจทำให้อัตราเงินเฟ้อในประเทศขยายตัวแตะระดับสูงสุด 3.5% ในปีนี้ จากระดับต่ำกว่า 2% ในเดือนก.ย.2566 

ขณะที่ก่อนหน้านี้ รัฐบาลนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม เคยประกาศเป้าหมายจะลดการขาดดุลงบประมาณปีนี้ลงให้เหลือ 4.3% จากเดิมที่ขาดดุล 5% ในปี 2566 ท่ามกลางแรงกดดันให้ทยอยยกเลิกมาตรการอุดหนุนแบบปูพรม โดยเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปที่นักลงทุนจับตาอย่างใกล้ชิด 

‘สิงคโปร์แอร์ไลน์’ ประกาศเยียวยาผู้โดยสาร เที่ยวบินตกหลุมอากาศ บาดเจ็บขั้นต่ำรายละกว่า 3 แสนบาท พร้อมคืนค่าตั๋วให้ทุกคน

(11 มิ.ย.67) จากกรณีเหตุเครื่องบินของสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ ที่เดินทางออกจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ มุ่งหน้าสู่ประเทศสิงคโปร์ ได้ขอลงจอดฉุกเฉิน ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อเวลา 15.45 น. วันที่ 21 พฤษภาคม ตามเวลาท้องถิ่น

โดยสายการบินได้ยืนยันว่า บนเครื่องบินมีผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิต 1 ราย บนเที่ยวบิน SQ321 เครื่องบินโบอิ้ง 777-300ER มีผู้โดยสารบนเครื่องทั้งหมด 211 คน ลูกเรือ 18 คน เหตุเพราะเจอกับสภาพอากาศที่แปรปรวนระหว่างเดินทาง

ล่าสุดวันนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊ก Singapore Airlines ได้โพสต์ข้อความชี้แจงรวมถึงการจ่ายค่าชดเชยกรณีดังกล่าวกับผู้โดยสารเที่ยวบิน SQ321 โดยมีรายละเอียดดังนี้

Singapore Airlines (SIA) ขออภัยผู้โดยสารทุกท่านเป็นอย่างสูงสําหรับประสบการณ์ที่บอบช้ำบนเที่ยวบิน SQ321 ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2024 เรามุ่งมั่นที่จะให้การสนับสนุนและความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ในระหว่างเวลานี้ SIA ยืนยันว่าเราได้ส่งข้อเสนอค่าชดเชยให้แก่ผู้โดยสารในวันที่ 10 มิถุนายน 2024

สําหรับผู้โดยสารที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากเหตุการณ์นี้ เราได้เสนอค่าชดเชย 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 367,710 บาท

สําหรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากเหตุการณ์นี้ จะมีการเชิญให้ผู้โดยสารเข้ามาปรึกษาเรื่องข้อเสนอค่าตอบแทนที่เหมาะสมเมื่ออาการดีขึ้น และหากแพทย์ประเมินว่าต้องได้รับการรักษาพยาบาลในระยะยาว ผู้โดยสารจะได้รับเงินชดเชยล่วงหน้าทันที 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 919,862 บาท

นอกเหนือจากข้างต้นแล้ว SIA จะมอบเงินคืนเต็มจํานวนของค่าโดยสารทางอากาศให้กับผู้โดยสารทุกคนที่เดินทางบน SQ321 ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2024 รวมถึงผู้ที่ไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ ผู้โดยสารทุกคนจะได้รับเงินชดเชยล่าช้าตามข้อบังคับของสหภาพยุโรปหรือสหราชอาณาจักรที่เกี่ยวข้อง

โดยทางสายการบินจะชดเชยให้ผู้โดยสารทุกคนรายละ 1,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือประมาณ 27,100 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายทันทีเมื่อผู้โดยสารเดินทางออกจากกรุงเทพฯ นอกจากนี้ SIA ยังได้คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลของผู้โดยสารที่บาดเจ็บ และจัดให้คนในครอบครัวบินขึ้นไปกรุงเทพฯ ตามที่ร้องขอ

หากมีข้อสงสัยหรือความช่วยเหลือเพิ่มเติม ผู้โดยสารสามารถติดต่อเราตามรายละเอียดที่ระบุไว้ และเราจะแจ้งข้อมูลเหล่านี้ทันที SIA ยังคงมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนผู้โดยสารที่ได้รับผลกระทบที่อยู่บนเที่ยวบิน SQ321

โพสต์ครั้งแรกเมื่อ 11 มิถุนายน 2024, 0900 น. (GMT +8)

'ปิยบุตร' มอง!! อำนาจการยุบสภาของ 'มาครง' แบบไม่ต้องรับผิดชอบ อาจทำให้เห็น 'ระบอบกษัตริย์แบบสาธารณรัฐ' ในฝรั่งเศสอีกไม่นาน

(11 มิ.ย.67) รศ. ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้าได้โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม X (ทวิตเตอร์) มีเนื้อหา ระบุว่า...

[การยุบสภาของ Macron ทำให้มีโอกาสมากที่นายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศสคนถัดไปจะมาจากพรรคขวาจัด]

รัฐธรรมนูญ 1958 ของสาธารณรัฐที่ 5 + การแก้รัฐธรรมนูญให้ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยตรงในปี 1962 ของเดอโกลล์ (ซึ่งแก้รัฐธรรมนูญโดยวิธีที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ใช้ช่องมาตรา 11 นำไปออกเสียงประชามติโดยไม่ผ่านรัฐสภาก่อน) + แนวปฏิบัติทางรัฐธรรมนูญของประธานาธิบดีแต่ละคนที่บงการนายกรัฐมนตรีได้ 

= ทำให้ระบอบที่เรียกกันว่า 'กึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี' มีแนวโน้มขยับไปเป็น 'กษัตริย์แบบสาธารณรัฐ' หรือ Monarchie républicaine มากยิ่งขึ้น 

กล่าวคือ ประธานาธิบดีมีอำนาจเด็ดขาด โดยไม่ต้องรับผิดชอบ สั่งฝ่ายบริหารได้ สั่งนายกรัฐมนตรีได้แต่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อรัฐสภา แถมมีอำนาจพิเศษแบบ มาตรา 16 อำนาจกดปุ่มนิวเคลียร์ และอำนาจยุบสภาได้ตามอำเภอใจด้วย 

ในระบบรัฐสภา ประธานาธิบดีหรือกษัตริย์ มีอำนาจยุบสภา แต่ไม่สามารถยุบสภาได้ตามอำเภอใจ ต้องมาจากการริเริ่มของนายกรัฐมนตรี และเป็นไปตามเงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญกำหนด (ให้นึกถึงกรณี เยอรมนี และ UK) 

ในระบบประธานาธิบดี ประธานาธิบดีไม่มีอำนาจยุบสภา (ให้นึกถึงกรณี USA) 

เมื่อค่ำวานนี้ Macron ยุบสภา เป็นการใช้อำนาจเด็ดขาดของตนเอง โดยไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ในทางการเมือง ก็ไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะตนเอง ก็ยังอยู่ตำแหน่งต่อถึงปี 2027 

ส่วนนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และสภา (ซึ่งเสียงของพรรคฝ่ายค้านก้ำกึ่งกับพรรครัฐบาลพอสมควร) ต้องพ้นจากตำแหน่งหมด ไล่ให้คนอื่น ๆ ไปเลือกตั้งกันใหม่ ส่วนตนเองอยู่ในตำแหน่งต่อ สบายใจ อีก 3 ปี

ฟังสุนทรพจน์แถลงเมื่อวานแล้ว ทำทีว่านี่คือความรับผิดชอบจากผลการเลือกตั้งสภายุโรป นับว่าน่าขยะแขยงทีเดียว รับผิดชอบประสาอะไร ตนเองอยู่ต่อ แต่ให้คนอื่นพ้นจากตำแหน่งหมด และทำให้สภาที่มีเสียงฝ่ายซ้ายก้ำกึ่งกับรัฐบาล หายไปด้วย

(ลองเปรียบเทียบดู ถ้าลองให้ประธานาธิบดีเยอรมนี หรือกษัตริย์อังกฤษ ยุบสภา ได้ตามอำเภอใจ อะไรจะเกิดขึ้น) 

นี่คือ จุดอ่อนของรัฐธรรมนูญ 1958 นับวัน ประธานาธิบดีฝรั่งเศส จะกลายสภาพเป็นกษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิ เพียงแต่ว่ามาจากการเลือกตั้งทุก 5 ปี เท่านั้น 

การยุบสภาของ Macron จะยิ่งทำให้พรรคขวาจัดได้ที่นั่งในสภามากขึ้น อารมณ์ผู้คนต้องการคนมาถ่วงดุลกับ Macron และคนที่มีกระแสสูง (ดูจากผลการเลือกตั้งล่าสุด 9 มิ.ย.) ก็คือ Jordan Bardella นักการเมืองหนุ่ม ผู้เชี่ยวชาญการใช้สื่อโซเชียล โดยเฉพาะ TikTok วัย 28 ปี จากพรรคขวาจัด Rassemblement national (RN) นั่นเอง 

พรรค RN เตรียมประกาศแคมเปญ เลือกตั้ง สส.30 มิ.ย. นี้ คือ การเลือกให้ Bardella เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นไปได้ว่า ก่อนฤดูร้อนนี้ เราจะเห็นประเทศฝรั่งเศส มีนายกรัฐมนตรีมาจากพรรคขวาจัด และเสียงข้างมากในสภา มาจากพรรคขวาจัด 

ส่วน Macron ก็ไม่ต้องรับผิดชอบ เอารัฐธรรมนูญมาใช้เป็นเครื่องมือ ให้ประโยชน์แก่ตนเองสูงสุด ลอยตัวอยู่เหนือความรับผิดใดๆ เป็นประธานาธิบดีหล่อๆ เท่ๆ พูดจาคำใหญ่โตสวยๆ ทิ้งทวน 3 ปีสุดท้าย สบายใจเฉิบ (ครบสองวาระ ลงเลือกตั้ง 2027 ไม่ได้แล้ว) 

พอถึงปี 2027 อาจเห็นประธานาธิบดีฝรั่งเศสมาจากพรรคขวาจัด


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top