Tuesday, 2 July 2024
World

‘เวียดนาม’ ผงาด!! อันดับ 2 ส่งออก ‘ทุเรียน’ สู่ตลาดจีน ชี้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 91 ไล่หลัง ‘ทุเรียนไทย’ มาติดๆ

เมื่อวานนี้ (10 มิ.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สื่อท้องถิ่นเวียดนามรายงานว่า เวียดนามกลายเป็นผู้ส่งออกทุเรียนสู่จีนรายใหญ่อันดับสอง ตามหลังไทยเพียงเล็กน้อย

โดยหน่วยงานการนำเข้าและส่งออก สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนาม ระบุว่า การส่งออกทุเรียนของเวียดนามไปยังจีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 91 เมื่อเทียบปีต่อปีในช่วง 4 เดือนแรก (มกราคม-เมษายน) ของปี 2024

การส่งออกทุเรียนของเวียดนามกำลังขยายตัวเนื่องจากมีราคาที่แข่งขันได้ โดยราคาทุเรียนเฉลี่ยอยู่ที่ 4,662 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 171,000 บาท) ต่อตันในช่วงสี่เดือนแรกปีนี้ เทียบกับราคานำเข้าเฉลี่ยของจีนที่ 5,395 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 198,000 บาท)

หน่วยงานฯ เปิดเผยว่า ทุเรียนสดใหม่จากเวียดนามถูกส่งไปยังจีนด้วยราคาที่สมเหตุสมผล มีการขนส่งที่รวดเร็ว และมีฤดูกาลเก็บเกี่ยวตลอดทั้งปี

อนึ่ง เวียดนามส่งออกสินค้าเกษตรไปยังจีน 14 รายการ อาทิ ทุเรียน รังนก มันเทศ แก้วมังกร ลำไย มะม่วง ขนุน แตงโม กล้วย มังคุด ลิ้นจี่ และเสาวรส

สื่อพม่า 'บิดเบือน-ปลุกระดม' ปม จนท.ไทยทำร้ายชาวเมียนมาในแม่สอด ความจริง!! นี่คือคนของกลุ่มต่อต้านฯ แฝงตัวใช้ไทยเป็นฐานก่อการร้าย

เมื่อวานนี้มีคลิปออกมาจากสำนักข่าว Khit Thit โดยในคลิปข่าวมีภาพเจ้าหน้าที่คนไทยทำร้ายชาวเมียนมาในแม่สอด วันนี้ เอย่า จึงจะมาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นจริงให้ได้ทราบกัน

ทุกอย่างเริ่มต้นจากทางการไทยสืบทราบว่าชาวเมียนมาในแม่สอดคนหนึ่งชื่อว่า นายอ่องทุน ซึ่งเป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่งในแม่สอด มีชาวเมียนมาเข้าออกที่บ้านที่เขาและภรรยาเช่าอยู่บ่อยจนผิดสังเกต

ดังนั้นกำนันบ้านผาลาด ตำบลแม่กุ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก จึงเข้าตรวจสอบห้องเช่านี้พบว่า มีลักษณะเป็นจุดรวมพลของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา จึงได้ประสานให้ฝ่ายปกครองและกองกำลังตำรวจและทหารเข้าตรวจสอบ พบว่าภายในห้องมีภาพ นายพลอองซาน, นางซูจี และนายอูวินมิน พร้อมกับธงของกลุ่มต่อต้าน PDF และธงปฏิวัติของ NUG จำนวนหนึ่ง

ทางกำนันที่สามารถสื่อสารภาษาเมียนมาได้สั่งให้ นายอ่องทุน ปลดธงออก แต่ทางนายอ่องทุน ไม่ปฏิบัติตาม โดยอ้างว่าตนไม่ได้ทำผิด พร้อมกับใช้คำพูดก้าวร้าว ท้าทายและด่ากำนันจนกำนันบันดาลโทสะเตะนายอ่องทุนไป 1 ครั้ง ซึ่งในคลิปข่าวมีการตัดเหตุการณ์ต้นเรื่องออก ทำให้เกิดความเข้าใจผิดแก่ผู้รับชม ว่าเจ้าหน้าที่ไทยรังแกคนเมียนมา

จากนั้นสำนักข่าว Khit Thit ได้รายงานข่าวเท็จอ้างว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองของไทยรังแกชาวเมียนมาและปลุกระดมให้ชาวเมียนมาแสดงความสามัคคีโดยการออกมาตอบโต้ทางการไทย

พร้อมกับกล่าวหาว่าทางการไทย ทำตามคำบัญชาของนายพล มินอ่องหล่าย

ทั้งหมดนี้ เอย่า อยากจะขออ้างกฎหมายไทยให้ทุกท่านทราบก่อน

ในมาตรา 135/1 ผู้ใดกระทำการอันเป็นความผิดอาญาดังต่อไปนี้...

(1) ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการใดอันก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรืออันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกาย หรือเสรีภาพของบุคคลใดๆ
(2) กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ระบบการขนส่งสาธารณะ ระบบโทรคมนาคม หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ 
(3) กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของรัฐหนึ่งรัฐใด หรือของบุคคลใด หรือต่อสิ่งแวดล้อม อันก่อให้เกิดหรือน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญ...

- ถ้าการกระทำนั้นได้กระทำโดยมีความมุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลไทย รัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศ ให้กระทำหรือไม่กระทำการใดอันจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง หรือเพื่อสร้างความปั่นป่วนโดยให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน ผู้นั้นกระทำความผิดฐานก่อการร้าย ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สามปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงหนึ่งล้านบาท

- การกระทำในการเดินขบวน ชุมนุม ประท้วง โต้แย้ง หรือเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือหรือให้ได้รับความเป็นธรรมอันเป็นการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นการกระทำความผิดฐานก่อการร้าย

>> มาตรา 135/2 ผู้ใด...

(1) ขู่เข็ญว่าจะกระทำการก่อการร้าย โดยมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่าบุคคลนั้นจะกระทำการตามที่ขู่เข็ญจริง หรือ
(2) สะสมกำลังพลหรืออาวุธ จัดหาหรือรวบรวมทรัพย์สิน ให้หรือรับการฝึกการก่อการร้าย ตระเตรียมการอื่นใด หรือสมคบกัน เพื่อก่อการร้าย หรือกระทำความผิดใดๆ อันเป็นส่วนของแผนการเพื่อก่อการร้าย หรือยุยงประชาชนให้เข้ามีส่วนในการก่อการร้าย หรือรู้ว่ามีผู้จะก่อการร้ายแล้วกระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้

- ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงสองแสนบาท

>> มาตรา 135/3  ผู้ใดเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดตามมาตรา 135/1 หรือมาตรา 135/2 ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้นๆ

ทั้งนี้ ตามความผิดของ นายทุนอ่อง นั้น น่าจะเป็นข้อ 135/3 ถือว่าเป็นผู้สนับสนุนการทำให้รัฐบาลเมียนมาเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง ถือเป็นการก่อการร้าย รวมถึงข้อ 135/2 กล่าวคือ นายทุนอ่อง มีการสมคบกันเพื่อก่อการร้ายและสนับสนุนการก่อการร้าย

ดังนั้นจากการกระทำและหลักฐานในบ้านที่พบในห้องเช่านายทุนอ่อง จึงผิดกฎหมายไทยเต็มๆ 

ส่วนสำนักข่าว Khit Thit รายงานบิดเบือนในสื่อออนไลน์เข้าข่ายความผิดในมาตรา 14 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และผิดข้อ 135/2 ในกฎหมายก่อการร้าย เพราะถือว่าปลุกระดมให้คนเมียนมาในไทยลุกฮือขึ้นต่อต้านรัฐบาลไทย

ทั้งนี้เราคงต้องมาดูว่าฝ่ายปกครองและรัฐบาลไทยจะจัดการกับกลุ่มคนหัวรุนแรงเหล่านี้อย่างไร เพราะนี่คือ 1 ในหลักฐานที่ชัดเจนที่สุด ที่ใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการก่อการร้ายในประเทศเพื่อนบ้าน

‘แมนยูฯ’ เคาะ!! ‘เทน ฮาก’ ยังได้คุมทีมต่อ แม้สัญญาฉบับใหม่จะถูกพิจารณานานไปหน่อย

(12 มิ.ย.67) สำนักข่าว ‘บีบีซี’ รายงานว่า ผู้บริหารทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำการพิจารณาผลงานของอีริก เทน ฮาก กุนซือปีศาจแดงฤดูกาลที่ผ่านมาเรียบร้อยแล้ว และตัดสินใจให้เขาทำงานต่อไป โดยกำลังอยู่ระหว่างเจรจาต่อสัญญาฉบับใหม่ เนื่องจากสัญญาปัจจุบันกำลังจะหมดลงในปีหน้า

ทั้งนี้ บอร์ดบริหารหารือกันทันที หลังจบการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ‘เอฟเอคัพ’ ซึ่งแมนยูพลิกชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2-1 ท่ามกลางกระแสข่าวลือหนาหูว่ากุนซือชาวดัตช์จะโดนปลดจากตำแหน่งเนื่องจากทำผลงานน่าผิดหวังในเกมลีก ด้วยการจบอันดับ 8 ของตาราง เป็นอันดับแย่ที่สุดของทีมในการเล่นพรีเมียร์ลีก

ที่ผ่านมา มีข่าวลือเกี่ยวกับว่าที่กุนซือใหม่หลายราย อาทิ โธมัส ทูเคิล อดีตผู้จัดการทีมเชลซีและบาเยิร์น มิวนิก, เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ที่เพิ่งโดนเชลซีปลดจากตำแหน่ง รวมถึงเกรแฮม พ็อตเตอร์, โธมัส แฟรงก์, โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ และแกเร็ธ เซาธ์เกต กุนซือทีมชาติอังกฤษ โดยเฉพาะรายของทูเคิลที่พบกับเซอร์จิม แรทคลิฟฟ์ มหาเศรษฐีเจ้าของ ‘อิเนออส’ ที่เข้าไปถือหุ้น 27.7 เปอร์เซ็นต์ของสโมสร พร้อมสิทธิการบริหารงานด้านฟุตบอล แต่เจ้าตัวปฏิเสธไป

เมื่อเดือนมกราคม แรทคลิฟฟ์ก็เปรยกับสื่อเป็นนัย ๆ ว่าอาจจะให้กุนซือชาวดัตช์ทำหน้าที่ต่อไป โดยกล่าวว่า ในช่วง 11 ปีหลัง แมนยูมีโค้ชมากมาย แต่ไม่มีใครประสบความสำเร็จเท่าเขาในสถานการณ์แบบเดียวกันนี้ ซึ่งนั่นบอกตนว่าสิ่งแวดล้อมหลายอย่างในทีมมีปัญหา

รายงานข่าวระบุว่า หลังจากบอร์ดบริหารลงมติดังกล่าวแล้วก็ได้พูดคุยเชิงสร้างสรรค์เกี่ยวกับแผนงานอนาคตกับเทน ฮาก โดยแหล่งข่าวใกล้ชิดอ้างว่ากุนซือวัย 54 ปี ซึ่งอยู่ระหว่างพักผ่อนกับครอบครัวที่อิบิซา ดีใจกับคำตัดสินที่ออกมา แต่ก็ไม่พอใจต้นสังกัดเล็กน้อยที่ใช้เวลาพิจารณาเรื่องนี้นานเกินไป

4 อาจารย์แลกเปลี่ยนชาวอเมริกัน ถูกไล่แทงในจี๋หลิน ด้าน ‘จีน’ ยืนยัน!! ไม่กระทบความสัมพันธ์ด้านวิชาการ

เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา เกิดเหตุชายชาวจีนรายหนึ่ง ใช้มีดไล่แทงชาวต่างชาติ 4 คนกลางสวนสาธารณะในมณฑลจี๋หลิน โดยทราบภายหลังว่า ทั้ง 4 คน เป็นอาจารย์ชาวอเมริกัน และกำลังสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเป่ยหัว หนึ่งในสถาบันที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในมณฑลจี๋หลิน 

อาจารย์อเมริกันทั้ง 4 คน เข้าร่วมโครงการความร่วมมือทางวิชาการระหว่างวิทยาลัยคอร์แนล ในรัฐไอโอวา ของสหรัฐอเมริกา และ มหาวิทยาลัยเป่ยหัว โดยได้เดินทางมาเป็นอาจารย์สอนในสถาบันของจีน ซึ่งในวันเกิดเหตุ ผู้ดูแลชาวจีนได้พาอาจารย์อเมริกันทั้ง 4 คนมาเที่ยววัดโบราณ ที่ตั้งอยู่ในสวนสาธารณะเป่ยชาน หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมประจำมณฑลจี๋หลิน 

ต่อมาปรากฏชายจีนคนหนึ่ง ใช้มีดทำร้ายกลุ่มอาจารย์ชาวอเมริกันทั้ง 4 คน เมื่อผู้ติดตามชาวจีนวิ่งเข้ามาช่วย ก็โดนคนร้ายแทงได้รับบาดเจ็บเช่นกัน และกลายเป็นภาพข่าวที่สร้างความตกใจให้กับทั้งชาวจีนในประเทศ และ ชาวต่างชาติ เนื่องจากการก่อเหตุไล่แทงเกิดขึ้นไม่บ่อยนักในประเทศจีน 

อาจารย์อเมริกันทั้ง 4 คน ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ซึ่งไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นเสียชีวิต ส่วนคนร้ายชาวจีนถูกจับตัวได้แล้ว เป็นชายวัย 55 ปี ชื่อว่า นาย ชุย แต่ไม่มีรายงานถึงมูลเหตุจูงใจในการก่อเหตุ

ข่าวนี้ได้สร้างปฏิกิริยาอย่างมากมายในฝั่งสหรัฐฯ เริ่มจาก ‘คิม เรย์โนลด์’ ผู้ว่าการรัฐไอโอวา ได้โพสต์ข้อความผ่าน X ว่าได้พูดคุยกับผู้แทนของรัฐบาลกลางถึงเหตุการณ์ที่น่าสยดสยองในครั้งนี้ และหวังว่าพลเมืองอเมริกันทั้ง 4 คนจะหายดีและได้เดินทางกลับสู่ครอบครัวในสหรัฐฯ เร็ว ๆ นี้ 

ด้าน ‘เจค ซัลลิแวน’ ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐ ก็ได้ออกมาโพสต์ข้อความแสดงความกังวลอย่างมากต่อเหตุไล่แทงคนอเมริกันในจีน

ส่วนชาวจีนก็ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อเหตุการณ์นี้ผ่านโลกโซเชียลไม่น้อย หลายคนแปลกใจ เพราะชาวจีนส่วนใหญ่ยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 

แต่บางคนก็ได้เหตุการณ์นี้ไปเปรียบเทียบกับกบฏนักมวย ที่เคยเกิดขึ้นในช่วงปี 1899 - 1901 เมื่อมีกลุ่มชาวจีนลุกฮือขึ้นมาต่อต้านจักรวรรดินิยมตะวันตก และ ต้องการขับไล่ชาวต่างชาติออกนอกประเทศ แต่ภาพข่าว และ ความเห็นต่าง ๆ ถูกลบออกจากสื่อจีนอย่างรวดเร็วตามมาตรการเซ็นเซอร์ของรัฐบาลจีน

ด้าน ‘หลิน เจี้ยน’ โฆษกประจำกระทรวงการต่างประเทศจีนได้แถลงว่า จากรายงานของตำรวจเบื้องต้นพบว่าเหตุการณ์นี้ถือเป็นเหตุสุดวิสัย โดยไม่ได้มีเป้าหมายเฉพาะเจาะจงถึงผู้เคราะห์ร้ายคนใด ตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการสอบสวน และยืนยันว่าจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความปลอดภัยสูงที่สุดในโลก จีนมีมาตรการจำกัดการครอบครองอาวุธปืนที่เข้มงวด และระบบสอดแนมแทบทุกจุดในเมือง 

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเหตุการณ์นี้จะไม่กระทบความสัมพันธ์ด้านวิชาการระหว่างมหาวิทยาลัยทั้ง 2 แห่ง โดย วิทยาลัยคอร์แนล และ มหาวิทยาลัยเป่ยหัว ได้เซ็นข้อตกลงพันธมิตรด้านวิชาการร่วมกันมาตั้งแต่ปี 2018 ซึ่งทางสถาบันจีนมีทุนสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้กับอาจารย์จากวิทยาลัยคอร์แนล เดินทางมาใช้ชีวิต และสอนหลักสูตรระยะสั้น 2 สัปดาห์ในสาขาคอมพิวเตอร์, คณิตศาสตร์ และ ฟิสิกส์  ให้กับนักศึกษาจีนในจี๋หลิน 

และโครงการนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างจีน และ สหรัฐอเมริกา หลังจากความบาดหมางในประเด็นการระบาด Covid-19 ที่มีส่วนทำให้นักศึกษาอเมริกันในจีนลดลงอย่างมาก

ทั้งนี้ จากข้อมูลของ ‘นิโคลัส เบิร์น’ เอกอัคราชทูตสหรัฐ ประจำประเทศจีน ระบุว่า เคยมีนักศึกษาอเมริกันเดินทางไปศึกษาในจีนราวปีละ 11,000 คนก่อนช่วงวิกฤติ Covid-19 ลดลงเหลือเพียง 880 คนในปัจจุบันเท่านั้น 

ดังนั้น ‘สี จิ้นผิง’ ผู้นำจีน จึงวางแผนที่จะทำแผนส่งเสริมให้นักศึกษาอเมริกันเดินทางมาเรียนต่อในจีนมากขึ้นให้ได้ 5 หมื่นคนภายใน 5 ปีข้างหน้า ผ่านโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษา และ ความร่วมมือด้านวิชาการกับสถาบันในสหรัฐอเมริกา แม้รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ยังคงออกเอกสารเตือนพลเมืองอเมริกันในการเดินทางมาประเทศจีนอยู่ก็ตาม

‘เดนมาร์ก’ ประกาศเรียกคืนบะหมี่เกาหลี ‘ซัมยัง’ หลังพบสาร ‘ความเผ็ด’ เสี่ยงเป็นพิษต่อผู้บริโภค

(12 มิ.ย.67) สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า เดนมาร์กเรียกคืนผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสเผ็ดของแบรนด์ ‘ซัมยัง’ (Samyang) สัญชาติเกาหลีใต้จำนวนมากในวันอังคาร (11 มิ.ย.) เนื่องจากพบแคปไซซิน หรือสารที่ให้ความเผ็ด ในระดับที่เสี่ยงเป็นพิษต่อผู้บริโภค

หน่วยงานด้านอาหารของเดนมาร์กได้ประกาศเรียกคืนราเมงสำเร็จรูปจำนวน 3 รสชาติ ได้แก่ บูลดัก สไปซี่แอนด์ฮอต ชิคเก้น เผ็ดคูณสาม (Buldak 3x Spicy & Hot Chicken), รสเผ็ดคูณสอง (2x Spicy & Hot Chicken) และสตูว์ไก่รสเผ็ด (Hot Chicken Stew) และเรียกร้องให้ผู้บริโภคงดรับประทานราเมงสำเร็จรูปทั้ง 3 รสดังกล่าว แต่ขณะนี้ยังไม่แน่ชัดว่ามีประเด็นใดเป็นพิเศษ ที่ทำให้ทางการเดนมาร์กเรียกคืนสินค้าเหล่านั้น

อย่างไรก็ตาม สำนักงานสัตวแพทยศาสตร์และอาหารเดนมาร์ก เผยว่า หน่วยงานพบระดับของสารแคปไซซินต่อราเมงสำเร็จรูป 1 ห่อ สูงจนมีความเสี่ยงที่ผู้บริโภคอาจเกิดอาการเป็นพิษเฉียบพลันได้

หน่วยงานระบุในแถลงว่าหากมีสินค้านั้นไว้ในครอบครอง จะเลือกทิ้งหรือนำไปคืนที่ร้านค้าที่ซื้อมาก็ได้

การประกาศเตือนดังกล่าว กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ ซึ่งในหมู่ผู้บริโภคที่ชื่นชอบมองว่า คำเตือนดังกล่าวเป็นเรื่องน่าขัน และหลายคนพูดถึงความสามารถในการรับประทานอาหารเผ็ดของชาวเดนมาร์กว่า ‘อยู่ในระดับต่ำ’

‘เกาหลีใต้’ เผชิญแผ่นดินไหว 4.8 แมกนิจูด ครั้งหนักสุดของปีนี้ ภาครัฐฯ ส่งข้อความเตือน ปชช. หวั่นเกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมา

(12 มิ.ย.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อเวลา 08.26 น. เกิดแผ่นดินไหวบริเวณพื้นที่ตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัดช็อลลาเหนือ ของเกาหลีใต้ วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 4.8 แมกนิจูดตามมาตราริกเตอร์ ความลึก 8 กิโลเมตร ทั้งนี้ ถือว่าเป็นแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ต้นปีนี้

หลังเกิดเหตุได้มีการส่งข้อความสั้นเตือนภัยแผ่นดินไหวไปยังประชาชนทั่วประเทศ โดยแนะนำให้ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ประสบเหตุระมัดระวังความเป็นไปได้ที่อาจมีวัตถุสิ่งของตกใส่และอาฟเตอร์ช็อกที่อาจเกิดตามมา

ขณะที่นายฮัน ด็อกซู นายกรัฐมนตรีของเกาหลีใต้ สั่งการให้รัฐบาลดำเนินมาตรการทั้งหมดเพื่อตอบสนองเหตุแผ่นดินไหว ขณะสื่อท้องถิ่นรายงานว่ายังเกิดเสียงดังและแรงสั่นสะเทือนขึ้นที่เมืองเซจง แดจอน และชอนันด้วย

ยาง ซอยอน ที่อาศัยอยู่ในเขตบูอัน เปิดเผยว่า ตนได้ยินเหมือนเสียงฟ้าคำรามราวกับกำลังอยู่ในไซต์ก่อสร้างตอนที่ตนกำลังจะออกไปทำงานก่อนที่บ้านจะเริ่มสั่นไหว

‘ทอรัส’ หุ่นยนต์ฝีมือจีน ‘ฝังสายเคเบิลก้นทะเล’ สำเร็จครั้งแรก หนุนการปฏิบัติงานของมนุษย์ ภายใต้สภาพแวดล้อมอันซับซ้อน

(12 มิ.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า หุ่นยนต์ที่พัฒนาโดยจีนทำการฝังสายเคเบิลก้นทะเลของโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งสำเร็จเสร็จสิ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าของความพยายามกระตุ้นการพัฒนาหุ่นยนต์ใต้ทะเลลึกและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านพลังงานลม

ด้าน ซีลเลียน กว่างโจว เทคโนโลยี (Sealien Guangzhou Technology) ระบุว่า ‘ทอรัส’ (Taurus) หุ่นยนต์ลากฝังสายเคเบิลและท่อก้นทะเล ได้วางสายเคเบิลที่นอกชายฝั่งเมืองจ้านเจียง มณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ทางตอนใต้ของจีน เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม

หุ่นยนต์ทอรัสที่ควบคุมจากระยะไกลนี้จะเกื้อหนุนการก่อสร้างฟาร์มพลังงานลมนอกชายฝั่งด้วยการลดการปฏิบัติงานของแรงงานมนุษย์ในสภาพแวดล้อมใต้ทะเลลึกอันซับซ้อน โดยหุ่นยนต์เคลื่อนที่ด้วยล้อตีนตะขาบและทำงานได้ลึกสุด 500 เมตร

อนึ่ง จีนกลายเป็นประเทศที่มีกำลังการผลิตติดตั้งพลังงานลมนอกชายฝั่งมากที่สุดในโลกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ขณะจีนเดินหน้าความพยายามเพื่อบรรลุเป้าหมายปล่อยคาร์บอนแตะระดับสูงสุดภายในปี 2030 และความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2060

‘ศาล’ ตัดสิน!! ‘ลูกชายโจ ไบเดน’ ทำผิดทางอาญา โทษจำคุกสูงสุด 25 ปี ฐานปลอมข้อมูลเพื่อซื้อปืน

(12 มิ.ย.67) สำนักข่าวเอพีรายงานว่า นายฮันเตอร์ ไบเดน ลูกชายวัย 54 ปี ของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐ ถูกตัดสินว่ามีความผิดทางอาญาทั้ง 3 ข้อหา สืบเนื่องจากการปลอมแปลงเอกสารทางราชการว่าเขาไม่ได้เสพสารเสพติด เพื่อซื้อปืนลูกโม่เมื่อปี 2561 แต่อย่างใด โดยความผิดทางอาญานี้มีโทษฐานจำคุกสูงสุด 25 ปี แต่เขาไม่น่าที่จะได้รับโทษสูงสุดเพราะถือเป็นความผิดครั้งแรก และยังไม่ชัดเจนว่าผู้พิพากษาจะตัดสินให้เขาต้องเข้าคุกด้วยหรือไม่

ด้านประธานาธิบดีไบเดนได้ออกแถลงการณ์หลังจากที่ศาลได้ตัดสินว่าลูกชายของเขามีความผิดจริงว่า เขาเคารพกระบวนการพิพากษาของประเทศและฮันเตอร์กำลังเตรียมการที่จะยื่นอุทธรณ์ต่อไป กระบวนการตัดสินของศาลนั้นเสร็จสมบูรณ์ ขณะที่ไบเดนเตรียมกล่าวถ้อยแถลงในเรื่องการลดความรุนแรงจากการใช้ปืน และการยกเลิกข้อกฎหมายว่าด้วยการครอบครองปืนที่ Gun Safety Action Fund องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในรัฐวอชิงตัน ซึ่งนายไบเดนปฏิเสธการกล่าวถึงลูกชายของเขาระหว่างการกล่าวถ้อยแถลงในงานนี้

อย่างไรก็ดี ไบเดนได้เจอกับบุตรชายเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังคำตัดสิน เมื่อเครื่องบินของเขาลงจอดที่วิลมิงตัน ซึ่งเขาได้เข้าไปโอบกอดฮันเตอร์ทันที โดยไบเดนจะใช้เวลาร่วมกับครอบครัวก่อนที่จะออกเดินทางไปร่วมประชุมกับผู้นำจี 7 ที่อิตาลี ในวันรุ่งขึ้น ขณะที่ตลอดเวลาในการพิจารณาคดี นางจิล ไบเดน สุภาพสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐก็อยู่เคียงข้างฮันเตอร์ตลอดเวลา และยังจับมือของเขาเดินออกจากศาลหลังรับฟังคำพิพากษาด้วย

นอกจากคดีนี้แล้ว นายฮันเตอร์ยังต้องขึ้นศาลที่รัฐแคลิฟอร์เนียเพื่อต่อสู้กับข้อหาการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีมูลค่ากว่า 1.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนกันยายนด้วย

ทั้งนี้ นายเดวิด ไวส์ ซึ่งนอกจากจะเป็นอัยการในคดีนี้ ซึ่งถูกเสนอชื่อในตำแหน่งอัยการสูงสุดของรัฐเดลาแวร์โดนนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐ กล่าวว่าคำตัดสินของศาลในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าไม่มีใครที่อยู่เหนือกฎหมาย

'ชาวมาเลเซีย' โอด!! 'เบนซิน-ดีเซล' เตรียมขึ้นราคาแบบไร้ปรานี คาด!! ต้องใช้ SPR เป็นคำตอบสุดท้าย แก้ไขปัญหาราคาน้ำมันพุ่ง

ตั้งแต่จันทร์ที่ 10 มิถุนายน 2024 ที่ผ่านมา รัฐบาลมาเลเซียได้ตัดสินใจลดการอุดหนุนน้ำมันดีเซล ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันลอยตัวเป็นอัตราตลาดที่ 3.35 ริงกิต (26.50 บาท) ต่อลิตร จากราคาเดิม 2.15 ริงกิต (17 บาท) ต่อลิตร หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 55 

ในวันที่ 9 มิถุนายน รัฐบาลมาเลเซียได้การประกาศเหตุผลในการตัดสินใจลดการอุดหนุนน้ำมันดีเซล โดย ‘ดาโต๊ะ เสรี อามีร์ ฮัมซาห์ อาซิซาน’ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า “มาเลเซียจะไม่ยอมสูญเสียเงินปีละหลายพันล้านริงกิตจากการลักลอบขายน้ำมันออกนอกประเทศต่อไปอีก และจะเป็นการดีกว่าถ้าเงินจำนวนนี้จะถูกนำไปใช้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประชาชนชาวมาเลเซียและเพื่อการพัฒนาประเทศมาเลเซียของเรา”

โดยวันที่ 24 พฤษภาคม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังผู้นี้กล่าวว่าการอุดหนุนน้ำมันดีเซลทำให้ประเทศต้องเสียเงินกว่า 1 พันล้านริงกิต (7.9 พันล้านบาท) ต่อเดือน ในขณะที่ความสูญเสียจากการรั่วไหลจากการลักลอบส่งออกอยู่ที่ราววันละ 4.5 ล้านริงกิต ในปี 2023 มีการใช้เงินอุดหนุนน้ำมันดีเซลถึง 1.45 หมื่นล้านริงกิต (1.15แสนล้านบาท) ซึ่งรัฐบาลมาเลเซียคาดว่าจะสามารถประหยัดเงินงบประมาณได้ประมาณปีละ 4 พันล้านริงกิต

สำหรับมาตรการช่วยเหลือโดยกระทรวงการคลังจะแจกเงินสด 200 ริงกิต สำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ตลอดจนเกษตรกร ขณะเดียวกันยังคงให้เงินอุดหนุนแก่ผู้ค้าที่ใช้รถเพื่อการพาณิชย์ที่ใช้น้ำมันดีเซล ซึ่งประกอบด้วยรถขนส่งสาธารณะ 10 ประเภท และรถขนส่งสินค้า 23 ประเภท ธุรกิจเหล่านี้รวมถึงผู้ให้บริการรถโดยสารและรถแท็กซี่ภายใต้ระบบควบคุมดีเซลแบบอุดหนุน (the Subsidised Diesel Control System) : SKDS 1.0 และ SKDS 2.0

ภายใต้ SKDS 2.0 ผู้ใช้ยานพาหนะเพื่อการขนส่งที่มีสิทธิ์ได้รับบัตรฟลีทการ์ด ซึ่งเป็นบัตรสำหรับน้ำมันดีเซลที่ได้รับการอุดหนุนเพื่อใช้ที่ปั๊มน้ำมัน แทนที่จะจ่ายเงินสดหรือใช้บัตรเครดิต/เดบิต และต้องจ่าย 2.15 ริงกิตมาเลเซีย (17 บาท)ต่อลิตร ในขณะที่ SKDS 1.0 ซึ่งมุ่งเป้าไปที่รถโรงเรียน, รถด่วน, รถพยาบาล และรถดับเพลิง มีราคาต่ำกว่าอยู่ที่ 1.88 ริงกิต (14.85 บาท) ต่อลิตร และมาตรการต่อไปคือการเลิกอุดหนุนน้ำเบนซิน (RON95) ซึ่งราคาอยู่ที่ 2.05 ริงกิต (15.97 บาท) ต่อลิตร เทียบกับน้ำมันเบนซิน 95 ในประเทศไทยที่ราคาลิตรละ 37.35 บาท

แต่ราคาน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงยังคงอยู่ที่ 1.65 ริงกิต (13 บาท) ต่อลิตร และราคาน้ำมันดีเซลในรัฐซาบาห์และรัฐซาราวักยังคงอยู่ที่ 2.15 ริงกิต (17 บาท) ต่อลิตร เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ที่นั่นใช้น้ำมันดีเซล ไม่เหมือนในฝั่งที่เป็นคาบสมุทรมาเลเซีย ด้วยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาล จึงทำให้มีการลักลอบส่งน้ำมันออกเป็นจำนวนมาก ทั้งด้านไทย, สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย โดยรัฐบาลมาเลเซียใช้งบในการอุดหนุนราคาน้ำมันปีละหลายหมื่นล้านบาท แต่ในขณะที่ไทยเราใช้เงินจากกองทุนน้ำมันในการอุดหนุนราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นเงินที่คิดจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนั้นรัฐบาลไทยจึงไม่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดินไปอุดหนุนราคาน้ำมันเช่นเดียวกับที่รัฐบาลมาเลเซียเคยปฏิบัติมาจนพึ่งจะมายกเลิก

กองทุนน้ำมันจะมีเงินกองทุนมากหรือน้อยหรือติดลบนั้นขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกสูงขึ้น เงินกองทุนน้ำมันก็จะถูกใช้เพื่ออุดหนุนราคาน้ำมันไม่ให้สูงขึ้นตามไปด้วย 

ปัจจุบันกองทุนน้ำมันถูกใช้อุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลโดยเก็บจากน้ำมันเบนซิน เมื่อราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกสูง จึงต้องชดเชยราคาน้ำมันดีเซลและก๊าซ LPG ด้วยเป็นน้ำมันและก๊าซเชื้อเพลิงเศรษฐกิจ หากไม่ได้รับการอุดหนุนก็จะมีราคาแพงส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ และเมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงกองทุนน้ำมันก็จะไม่มีภาระที่จะต้องอุดหนุนชดเชย เงินที่ถูกเก็บเข้ากองทุนน้ำมันก็จะกลับมาเพิ่มขึ้น 

ทั้งนี้หลาย ๆ ประเทศในอาเซียนต่างก็พยายามที่จะยกเลิกการอุดหนุนราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยตั้งกองทุนน้ำมันเพื่อทำหน้าที่แทนเพื่อไม่ให้กระทบต่อเงินงบประมาณแผ่นดินเพื่อนำไปใช้ในกิจการอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติแทน

แต่การใช้กองทุนน้ำมันจะสามารถแก้ปัญหาได้ในเวลาที่จำกัด หากปัญหาที่เกิดขึ้นต้องยืดเยื้อต่อเนื่องยาวนานเกินไป กองทุนน้ำมันก็จะตกอยู่ในสภาพต้องจ่ายเงินออกเรื่อย ๆ จนต้องติดลบมหาศาลเช่นที่ไทยเราเป็นอยู่ในขณะนี้ 

แต่ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เร่งผลักดันเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดระบบ SPR : Strategic Petroleum Reserve หรือ การสำรองเชื้อเพลิงปิโตรเลียมทางยุทธศาสตร์ เพื่อเข้ามามีบทบาททำหน้าแทนที่กองทุนน้ำมันมากขึ้น ด้วยในอนาคตเมื่อรัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานเป็นผู้ถือครองปริมาณน้ำมันมากที่สุดในประเทศจนเพียงพอสำหรับการใช้งานในประเทศได้ถึง 50-90 วันแล้ว รัฐบาลย่อมสามารถนำปริมาณสำรองเข้าไปมีส่วนในการบริหารจัดการราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศได้ 

เพราะที่ผ่านมาปัญหาราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจากวิกฤตเชื้อเพลิงมีการใช้ ‘เงิน’ จาก ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ เพื่อแก้ไขปัญหา แต่ความเป็นจริงแล้วในยามเกิดวิกฤตน้ำมัน ‘เงิน’ ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องหรือเหมาะสมที่สุดในการแก้ไขปัญหา เพราะต้องใช้ ‘เงิน’ มากขึ้นในการซื้อน้ำมัน หรือบางสถานการณ์แม้จะมี ‘เงิน’ แต่อาจไม่สามารถหาซื้อน้ำมันเชื้อเพลิง หรือซื้อแล้วก็ไม่สามารถขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงมายังประเทศไทยได้ 

ดังนั้นการมีระบบ SPR ด้วยการถือครอง ‘น้ำเชื้อเพลิงสำรอง’ โดยรัฐที่มากพอสำหรับการใช้งาน 50-90 วัน ซึ่งนานพอจนกระทั่งวิกฤตน้ำมันเชื้อเพลิงได้เบาคลายลดลงต่างหากจึงจะเป็นการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุด

'นักวิจัย' ตรวจพบ ‘น้ำค้างแข็งปากปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่' บนดาวอังคาร แถมเจอน้ำได้เกือบทุกที่บนพื้นผิว สะท้อนวิวัฒนาการของดาวดวงนี้

(12 มิ.ย. 67) นักวิจัยรายงานการค้นพบใหม่ พบปรากฏการณ์น้ำค้างแข็งที่ปากปล่องภูเขาไฟบนดาวอังคาร และเป็นน้ำค้างแข็งที่เกิดจากน้ำด้วย

‘โอลิมปัสมอนส์’ (Olympus Mons) คือชื่อของภูเขาไฟที่สูงที่สุดบนดาวอังคาร รวมถึงสูงที่สุดในระบบสุริยะจักรวาล ด้วยความสูงถึง 26 กิโลเมตร หรือกว่า 3 เท่าของยอดเขาเอเวอเรสต์ และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 602 กิโลเมตร ตั้งอยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตรของดาวอังคาร

แต่นอกจากความยิ่งใหญ่แล้ว ล่าสุดนักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบว่า มันมีปรากฏการณ์ที่พวกเขาไม่คาดคิดเกิดขึ้นที่ภูเขาไฟโอลิมปัสมอนส์นี้ด้วย นั่นคือ ‘น้ำค้างแข็งปากปล่องภูเขาไฟ’
ภูเขาไฟบนดาวอังคารมักเต็มไปด้วยแอ่งรูปชามขนาดยักษ์ (สามารถกว้างได้ถึงกว่า 120 กิโลเมตร) ที่เกิดจากการพังทลายของยอดภูเขาไฟหลังจากการปะทุครั้งใหญ่

ขนาดที่ใหญ่นั้นทำให้เกิดภูมิอากาศจุลภาค (Microclimate) ที่พิเศษภายในปากปล่องภูเขาไฟ โดยนักวิจัยได้ใช้กล้องที่ติดตั้งบนยานสำรวจที่โคจรรอบดาวอังคาร และสังเกตเห็นน้ำค้างแข็งก่อตัวขึ้นในปล่องภูเขาไฟ นับเป็นครั้งแรกที่มีการพบปรากฏการณ์นี้

อโดมัส วาลันตินัส นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบราวน์ ผู้ค้นพบปรากฏการณ์นี้ขณะศึกษาปริญญาเอกอยู่ที่มหาวิทยาลัยเบิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ กล่าวว่า “เป็นเรื่องปกติที่จะพบคราบตะกอนก่อตัวขึ้นบนปล่องภูเขาไฟ แต่เราเห็นน้ำค้างแข็งเล็กน้อยบนขอบของมันด้วย นอกจากนี้เรายังยืนยันว่ามันเป็นน้ำแข็งที่เกิดจากน้ำ'

เขาเสริมว่า “มันสำคัญ เพราะมันแสดงให้เราเห็นว่า ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์ที่มีพลวัต และยังสามารถพบน้ำได้เกือบทุกที่บนพื้นผิวดาวอังคาร”

ทีมนักวิจัยพบน้ำค้างแข็งในภูเขาไฟ 4 ลูก ได้แก่ โอลิมปัสมอนส์, อาร์เซียมอนส์ (Arsia Mons), อัสเครอุสมอนส์ (Ascraeus Mons) และเซราอูเนียส โทลุส (Ceraunius Tholus)
วาลันตินัสระบุว่า น้ำค้างแข็งที่พบมีความบางมาก โดยหนาเพียง 0.01 มิลลิเมตร หรือ 1 ใน 6 ของเส้นผมมนุษย์เท่านั้น แต่มันกระจายไปทั่วพื้นที่ผิวขนาดใหญ่จนมีปริมาณน้ำมาก “จากการประมาณการคร่าว ๆ มีน้ำแข็งอยู่ประมาณ 150,000 ตัน หรือเทียบเท่ากับสระว่ายน้ำโอลิมปิก 60 สระ”

เพื่อศึกษาการก่อตัวของน้ำค้างแข็งนี้ ทีมวิจัยได้ดูภาพประมาณ 5,000 ภาพที่ถ่ายโดย CaSSIS บนยานสำรวจ ExoMars Trace Gas Orbiter ซึ่งเป็นระบบถ่ายภาพสีและพื้นผิวดาวเคราะห์ของมหาวิทยาลัยเบิร์น เป็นกล้องความละเอียดสูงที่ถ่ายภาพดาวอังคารมาตั้งแต่ปี 2018
'นี่เป็นการค้นพบครั้งแรกที่มาจาก CaSSIS ซึ่งค่อนข้างน่าตื่นเต้น” วาลันตินัสกล่าว
ทีมวิจัยยังตรวจสอบการสังเกตการณ์ด้วยเครื่องมืออีก 2 ชิ้น ได้แก่ NOMAD ซึ่งเป็นสเปกโตรมิเตอร์บนยานอวกาศ Trace Gas Orbiter และ HRSC หรือกล้องสเตอริโอความละเอียดสูง ซึ่งเป็นกล้องรุ่นเก่าบนยานอวกาศ ESA Mars Express

วาลันตินัสกล่าวว่า การค้นพบนี้เป็นความบังเอิญ เพราะเดิมทีเขากำลังมองหาน้ำค้างแข็งที่เกิดจากคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ไม่พบ และจนถึงขณะนี้ยังไม่พบ จะกลับไปพบน้ำค้างแข็งที่เกิดจากน้ำแทน

อย่างไรก็ตาม เขามองว่า ไม่น่าเป็นไปได้ที่มนุษย์อวกาศบนดาวอังคารจะสามารถเก็บเกี่ยวน้ำค้างแข็งมาใช้เป็นน้ำสำหรับดำรงชีพได้ “มันคงจะค่อนข้างยาก เพราะถึงแม้มันจะเป็นน้ำค้างแข็งขนาดใหญ่ แต่มันก็บางมากและอยู่เพียงชั่วคราว ซึ่งหมายความว่ามันจะอยู่ที่นั่นเฉพาะช่วงกลางคืนและเช้าตรู่เท่านั้น จากนั้นมันก็จะระเหยกลับไปสู่ชั้นบรรยากาศ”

เขาเสริมว่า ภูเขาไฟทั้ง 4 ลูกที่พบน้ำค้างแข็งตั้งอยู่ใกล้กับเส้นศูนย์สูตรของดาวอังคาร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อบอุ่นที่สุด ทำให้การค้นพบน้ำเป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นพิเศษ

“ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์ทะเลทราย แต่มีน้ำแข็งอยู่ที่ขั้วโลก และมีน้ำแข็งอยู่ในละติจูดกลาง ตอนนี้ เรายังมีน้ำค้างแข็งในบริเวณเส้นศูนย์สูตรด้วย และโดยทั่วไปบริเวณเส้นศูนย์สูตรนั้นค่อนข้างแห้ง ดังนั้นนี่จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างคาดไม่ถึง” วาเลนตินัสกล่าว

เขากล่าวเสริมว่า ในอดีต เมื่อดาวอังคารยังมีชั้นบรรยากาศที่หนาและมีสภาพอากาศแตกต่างออกไป อาจมีธารน้ำแข็งบนภูเขาไฟเหล่านี้

ขณะนี้ ทีมวิจัยกำลังขยายการค้นหาน้ำค้างแข็งไปยังภูเขาไฟอื่นอีกหลายสิบลูกบนดาวอังคาร


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top