Tuesday, 2 July 2024
World

นักพัฒนา AI ของ OpenAI และ Google DeepMind ออกโรงเตือน ความเสี่ยงร้ายแรงจากเทคโนโลยีเหล่านี้ อาจทำ 'มนุษย์สูญพันธุ์'

เมื่อวันที่ (4 มิ.ย.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กลุ่มอดีตและพนักงานปัจจุบันของบริษัท AI ชั้นนำอย่าง OpenAI และ Google DeepMind ได้ออกจดหมายเตือนถึงอันตรายของปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ขั้นสูง อาจนำไปสู่การสูญพันธุ์ของมนุษยชาติพนักงาน 13 คน ซึ่ง 11 คนเป็นอดีตหรือพนักงานปัจจุบันของ OpenAI บริษัทผู้สร้าง ChatGPT ได้ลงนามในจดหมายชื่อว่า 'สิทธิในการเตือนเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูง' (A Right to Warn about Advanced Artificial Intelligence) ส่วนอีก 2 คนเป็นอดีตและพนักงานปัจจุบันของ Google DeepMind โดยมี 6 คนไม่เปิดเผยตัวตน

รายละเอียดของจดหมายเตือนฉบับดังกล่าวระบุว่า เราเป็นทั้งพนักงานปัจจุบันและอดีตพนักงานของบริษัท AI ชั้นนำ และเราเชื่อมั่นในศักยภาพของเทคโนโลยี AI ที่จะมอบประโยชน์ที่ไม่เคยมีมาก่อนให้แก่มนุษยชาติ

อย่างไรก็ตาม เราก็ตระหนักถึงความเสี่ยงร้ายแรงที่เกิดจากเทคโนโลยีเหล่านี้ ความเสี่ยงเหล่านี้มีตั้งแต่การซ้ำเติมความไม่เท่าเทียมที่มีอยู่เดิม การบิดเบือนข้อมูลและข่าวสาร ไปจนถึงการสูญเสียการควบคุมระบบ AI อิสระ ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญพันธุ์ของมนุษย์ บริษัท AI เองก็ได้ยอมรับถึงความเสี่ยงเหล่านี้ เช่นเดียวกับรัฐบาลทั่วโลก และผู้เชี่ยวชาญด้าน AI อื่น ๆ

เราหวังว่าความเสี่ยงเหล่านี้จะสามารถบรรเทาได้อย่างเหมาะสมด้วยคำแนะนำที่เพียงพอจากชุมชนวิทยาศาสตร์ ผู้กำหนดนโยบาย และประชาชน อย่างไรก็ตาม บริษัท AI มีแรงจูงใจทางการเงินที่แข็งแกร่งที่จะหลีกเลี่ยงการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ และเราไม่เชื่อว่าโครงสร้างการกำกับดูแลกิจการขององค์กรเพียงอย่างเดียวจะเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ได้

บริษัท AI มีข้อมูลที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะจำนวนมากเกี่ยวกับความสามารถและข้อจำกัดของระบบ มาตรการป้องกันที่เพียงพอ และระดับความเสี่ยงของอันตรายประเภทต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันพวกเขามีภาระผูกพันเพียงเล็กน้อยที่จะแบ่งปันข้อมูลบางส่วนนี้กับรัฐบาล และไม่มีเลยกับภาคประชาสังคม เราไม่คิดว่าพวกเขาจะสามารถพึ่งพาให้แบ่งปันข้อมูลเหล่านี้โดยสมัครใจได้

ตราบใดที่ยังไม่มีการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพของรัฐบาลต่อบริษัทเหล่านี้ พนักงานปัจจุบันและอดีตพนักงานจึงเป็นหนึ่งในคนไม่กี่คนที่สามารถทำให้พวกเขารับผิดชอบต่อสาธารณชนได้ แต่ข้อตกลงการรักษาความลับที่กว้างขวางขัดขวางไม่ให้เราแสดงความกังวล ยกเว้นกับบริษัทที่อาจล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ การคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสทั่วไปไม่เพียงพอ เพราะมุ่งเน้นไปที่กิจกรรมที่ผิดกฎหมาย ในขณะที่ความเสี่ยงหลายประการที่เราเกี่ยวข้องยังไม่ได้รับการควบคุม บางคนกลัวการตอบโต้ในรูปแบบต่าง ๆ อย่างสมเหตุสมผล เนื่องจากประวัติของคดีดังกล่าวในอุตสาหกรรม เราไม่ใช่คนแรกที่พบหรือพูดถึงปัญหาเหล่านี้
 
ดังนั้น เราจึงขอเรียกร้องให้บริษัท AI ขั้นสูงให้คำมั่นสัญญากับหลักการเหล่านี้

1. บริษัทจะไม่เข้าร่วมหรือบังคับใช้ข้อตกลงใด ๆ ที่ห้าม 'การดูหมิ่น' หรือวิพากษ์วิจารณ์บริษัทสำหรับข้อกังวลที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยง หรือตอบโต้การวิพากษ์วิจารณ์ที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงโดยขัดขวางผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจใด ๆ

2. บริษัทจะอำนวยความสะดวกในกระบวนการที่ไม่เปิดเผยตัวตนที่สามารถตรวจสอบได้สำหรับพนักงานปัจจุบันและอดีตพนักงาน เพื่อแจ้งข้อกังวลที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อคณะกรรมการของบริษัท ต่อหน่วยงานกำกับดูแล และต่อองค์กรอิสระที่เหมาะสมที่มีความเชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง

3. บริษัทจะสนับสนุนวัฒนธรรมของการวิจารณ์อย่างเปิดเผย และอนุญาตให้พนักงานปัจจุบันและอดีตพนักงานแสดงความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงเกี่ยวกับเทคโนโลยีของบริษัทต่อสาธารณะ ต่อคณะกรรมการของบริษัท ต่อหน่วยงานกำกับดูแล หรือต่อองค์กรอิสระที่เหมาะสมที่มีความเชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง ตราบใดที่ความลับทางการค้าและทรัพย์สินทางปัญญาอื่น ๆ ได้รับการคุ้มครองอย่างเหมาะสม

4. บริษัทจะไม่ตอบโต้พนักงานปัจจุบันและอดีตพนักงานที่เปิดเผยข้อมูลลับที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อสาธารณะหลังจากกระบวนการอื่นล้มเหลว เรายอมรับว่าความพยายามใด ๆ ในการรายงานข้อกังวลที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงควรหลีกเลี่ยงการเปิดเผยข้อมูลลับโดยไม่จำเป็น ดังนั้น เมื่อมีกระบวนการที่เพียงพอสำหรับการแจ้งข้อกังวลต่อคณะกรรมการของบริษัท ต่อหน่วยงานกำกับดูแล และต่อองค์กรอิสระที่เหมาะสมที่มีความเชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องแล้ว เรายอมรับว่าควรแจ้งข้อกังวลผ่านกระบวนการดังกล่าวก่อน อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ยังไม่มีกระบวนการดังกล่าว พนักงานปัจจุบันและอดีตพนักงานควรคงไว้ซึ่งเสรีภาพในการรายงานข้อกังวลของตนต่อสาธารณะ

‘นายกฯ เทศมนตรี’ เม็กซิโก โดนยิงดับ หลังได้ ปธน.ใหม่ไม่นาน ตอกย้ำ!! แม้เลือกตั้งจบ แต่ความมั่นคงของประเทศยังไม่เริ่ม

(6 มิ.ย. 67) เอเอฟพี รายงานว่า นายกเทศมนตรี ของเมืองทางตะวันตกของเม็กซิโก ถูกสังหารเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาเพียงไม่ถึง 24 ชั่วโมง หลังจากที่ ‘คลอเดีย เชนบัม’ ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของเม็กซิโก 

ทั้งนี้ ด้านกระทรวงมหาดไทย ได้โพสต์ลงเอ็กซ์ว่า รัฐบาลของรัฐมิโชกัน ประณามการฆาตกรรมนายกเทศมนตรีของโกติจา ‘โยลันดา ซานเชซ ฟิเกโร’

การฆาตกรรมนายกเทศมนตรีหญิงรายนี้ เกิดขึ้นหลังจากชัยชนะอย่างถล่มทลายของ คลอเดีย เชนบัม ที่ทำให้เกิดความหวังในการเปลี่ยนแปลงในประเทศ ที่เต็มไปด้วยความรุนแรงทางเพศ

ด้าน ซานเชซ ได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรี ในการเลือกตั้งปี 2564 ถูกยิงเสียชีวิตบนถนนสาธารณะ ตามการรายงานของสื่อท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการฆาตกรรมครั้งนี้ แต่กล่าวว่าได้เริ่มดำเนินการรักษาความปลอดภัย เพื่อจับกุมฆาตกรแล้ว

ก่อนหน้านี้ นักการเมืองรายนี้ ถูกลักพาตัวเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว ขณะออกจากห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ในเมืองกวาดาลาฮารา ในรัฐฮาลิสโก ซึ่งติดกับมิโชกัน 3 วันต่อมา รัฐบาลกลาง ได้ออกมาระบุว่า ได้พบเธอยังมีชีวิตอยู่

ตามการรายงานของสื่อท้องถิ่น ผู้ลักพาตัวเป็นกลุ่ม Jalisco Cartel - New Generation (CJNG) ซึ่งถูกกล่าวหาว่าข่มขู่นายกเทศมนตรี ที่ต่อต้านกลุ่มอาชญากร ที่ยึดอำนาจตำรวจในเขตเทศบาลของเธอ

อย่างไรก็ตาม มิโชกัน มีชื่อเสียงในด้านสถานที่ท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมส่งออกด้านเกษตรกรรมที่เจริญรุ่งเรือง แต่ยังเป็นรัฐที่มีความรุนแรงที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ เนื่องจากมีแก๊งขู่กรรโชก และค้ายาเสพติด

นอกจากนี้ ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า อัตราการฆาตกรรมของเม็กซิโก อยู่ในกลุ่มที่สูงที่สุดในโลก และยังคงเป็นสถานที่อันตรายสำหรับผู้หญิง โดยตัวเลขแสดงให้เห็นว่ามี ผู้หญิงประมาณ 10 คน ถูกฆาตกรรมทุกวัน มีผู้สูญหายมากกว่า 100,000 คนในประเทศ โดยไม่มีคำอธิบายถึงชะตากรรมของพวกเขา

จากข้อมูลของหน่วยงาน Think Tank ‘Mexico Evalua’ ระบุว่า ประมาณ 95% ของอาชญากรรมทั้งหมดทั่วประเทศยังไม่ได้รับการแก้ไขในประเทศในปี 2022

ทั้งนี้ คลอเดีย เชนบัม นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศ และอดีตนายกเทศมนตรีเมืองเม็กซิโกซิตี้ แคนดิเดตประธานาธิบดีเม็กซิโกจากพรรคโมเรนา (Morena) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายซ้าย คว้าชัยถล่มทลายในการเลือกตั้ง โดยก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของประเทศเม็กซิโก ต่อจากผู้นำคนปัจจุบัน ‘อันเดรส มานูเอล โลเปซ โอบราดอร์’

นอกจากเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของเม็กซิโกแล้ว ยังเป็นผู้หญิงคนแรกที่ชนะการเลือกตั้งทั่วไปในสหรัฐอเมริกา เม็กซิโก และแคนาดา หรือทวีปอเมริกาเหนือ

เธอให้คำมั่นว่าจะปรับปรุงความมั่นคง แต่ให้รายละเอียดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และการเลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งเป็นการเลือกตั้งที่มีความรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของเม็กซิโก มีผู้สมัครถูกสังหาร 38 ราย ได้ตอกย้ำปัญหาความมั่นคงครั้งใหญ่ของประเทศ จนถึงวันเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายนที่ผ่านมา ก็ยังมีการสังหารคน 2 คนที่หน่วยเลือกตั้งในรัฐปวยบลาด้วย

‘ชิบุยะ’ จ่อคุมเวลา ‘ห้ามดื่มแอลกอฮอล์’ ในที่สาธารณะ หลัง ‘นักดื่ม’ ทำเมืองเละเทะ คาด!! เริ่มบังคับใช้ตุลาคมนี้

(7 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ‘ชิบุยะ’ ย่านท่องเที่ยวยอดนิยมของโตเกียวเตรียมประกาศควบคุมการดื่มแอลกอฮอล์ในที่สาธารณะ คาดเริ่มใช้เดือนตุลาคมนี้

โดยมาตรการกำหนดว่าห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามท้องถนนหรือสถานที่สาธารณะในเขตชิบูย่า ตั้งแต่เวลา 18.00 น. ถึง 5.00 น. ทุกวัน และอายุการดื่มที่ถูกกฎหมายในญี่ปุ่นคือ ผู้มีอายุ 20 ปี

ชิบุยะ เป็นเขตปกครองตนเองในโตเกียว จึงสามารถออกกฎระเบียบท้องถิ่นโดยเฉพาะได้ โดยนายกเทศมนตรี ‘เคน ฮาเซเบะ’ เปิดเผยเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า ‘ได้เพิ่มการตรวจตราและความพยายามอื่นๆ ในปีที่ผ่านมา และเราอยากให้ผู้คนเพลิดเพลินกับเครื่องดื่มในร้านอาหารมากกว่า’

ทั้งนี้ ฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว ชิบุยะ เคยมีคำสั่งห้ามกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับวันฮาโลวีน โดยอ้างว่าแอลกอฮอล์เป็นสาเหตุหลักที่อยู่เบื้องหลังคำสั่งห้ามดังกล่าว รวมถึงการห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นอกบาร์ และร้านอาหาร ซึ่งธุรกิจในท้องถิ่นต่างสนับสนุนกฎระเบียบดังกล่าวในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว และผลักดันให้กฎดังกล่าวประกาศใช้อย่างถาวร

‘จำนวนนักท่องเที่ยวปริมาณล้นเมืองกลายเป็นเรื่องร้ายแรง ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินที่เกิดจากการดื่มตามท้องถนน การทะเลาะวิวาทกับคนท้องถิ่น การทิ้งกระป๋องและขวดเปล่าของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นจำนวนมาก’ เป็นข้อความที่ระบุในแถลงการณ์เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว

ชิบุยะ เป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมหลายแห่งในโตเกียว เช่น ศาลเจ้าเมจิ สวนสาธารณะโยโยหงิ และ บริเวณทางข้ามถนนชิบุยะ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นหนึ่งในทางแยกที่พลุกพล่านที่สุดในโลก

‘วิอาทินา’ วัวบราซิล ผู้ครองสถิติที่มีราคาแพงที่สุดในโลก ตีมูลค่า 150 ลบ. น้ำหนักมากเป็น 2 เท่าของพันธุ์เดียวกัน

(7 มิ.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า บราซิลจัดมหกรรมประมูลวัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยไฮไลต์ในปีนี้คือ ‘แม่วัวเนื้อ’ อายุ 3 ปี มีน้ำหนักกว่า 1,000 กิโลกรัม ซึ่งมีน้ำหนักที่มากเป็น 2 เท่าของแม่วัวพันธุ์เดียวกัน โดยแม่วัวมีชื่อว่า ‘วิอาทินา’ (Viatina-19 FIV Mara Moveis) 

'วิอาทินา' ผู้ครองสถิติวัวที่มีราคาแพงที่สุดในโลก มีมูลค่าสูงถึง 4 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 150 ล้านบาท โดย แม่วัววิอาทินา มีผิวขาวละมุนดุจหิมะ มันได้รับการดูแลอย่างดี มีกล้องวงจรปิดคอยดูตลอด 24 ชั่วโมง มีสัตวแพทย์ประจำตัว และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยติดอาวุธอารักขา เพราะเพียงแค่เซลล์ไข่ของวิอาทินา ก็มีราคาสูงถึง 250,000 ดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทย 9 ล้านบาท

'วิอาทินา' กวาดรางวัลมาแล้วมากมาย อาทิเช่น 'Miss South America' ในการแข่งขัน 'Champion of the World' ที่เปรียบได้กับเวที Miss Universe ของวงการวัว ภาพของแม่วัววิอาทินา ยังอยู่บนป้ายโฆษณาขนาดใหญ่บนถนนทางหลวงของบราซิลอีกด้วย 

ผลสำรวจกลุ่ม 'GenZ-GenY' เมินตำแหน่งงาน Manager มากขึ้น เหตุ!! 'งาน-ความกดดัน' ที่ต้องแบกมีมากกว่าค่าจ้างที่ได้เพิ่มขึ้นมา

(7 มิ.ย. 67) ผลสำรวจจาก CoderPad และ Visier เผยไปในทางเดียวกันว่า คน Gen Z และ Gen Y จำนวนมากไม่สนใจที่จะรับตำแหน่ง Manager ซึ่งเป็นงานระดับบริหารและจัดการ เพราะพวกเขาพบว่างานเหล่านี้ไม่คุ้มกับภาระงานและความเครียดที่เพิ่มขึ้น

โดยไม่กี่ปีที่ผ่านมาพบว่า ตำแหน่งงานด้านบริหารจัดการได้สูญเสียความน่าดึงดูดใจกับกลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ เนื่องจากลักษณะงานที่ทำให้ต้องแบกรับเรื่องต่าง ๆ ถูกคาดหวังให้แก้ปัญหาและผลสำรวจพบว่ากลุ่มคนทำงานด้านบริหารจัดการ ต้องต่อสู้กับความโดดเดี่ยวหลังจากรับบทบาทการทำงานที่รู้สึกว่าถูกตัดขาดจากทีม

การสำรวจจากแพลตฟอร์มสัมภาษณ์งาน CoderPad พบว่า 36% ของคนทำงานด้านเทคโนโลยีไม่ต้องการความรับผิดชอบด้านการบริหารจัดการ เพราะ Gen Z และ Y ให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานมากกว่าคนรุ่นก่อน ๆ สำหรับพวกเขาชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน และความกดดันที่มาพร้อมกับงานบริหารจัดการมีมากกว่าค่าจ้างที่ได้เพิ่มขึ้นมา

ขณะที่ Visier แพลตฟอร์มการวิเคราะห์ด้านทรัพยากรบุคคลของสหรัฐอเมริการะบุว่า มีเพียง 38% ของผู้ถูกสำรวจที่สนใจจะเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลในองค์กรปัจจุบันของพวกเขา โดยผู้เข้าร่วมสำรวจมองว่าการย้ายงานมาฝั่งบริหารจัดการ หมายถึงการทำงานที่ยาวนานขึ้นและต้องรับมือกับภาระงานที่เพิ่มขึ้น 

ผู้เข้าร่วมบางคนกล่าวว่าพวกเขาพอใจกับบทบาทในปัจจุบัน และมองว่าตำแหน่งงานด้านการบริหารจัดการจะดึงพวกเขาออกจากการได้ทำสิ่งที่รัก

‘จีน’ เผย ‘5G’ เชิงพาณิชย์ ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศ สร้างเม็ดเงินราว 28.12 ล้านล้านบาท ลุยเดินหน้าพัฒนาต่อ

(7 มิ.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จ้าวจื้อกั๋ว หัวหน้าวิศวกรประจำกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีน อ้างอิงผลการวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งประเทศจีน ระบุว่า การใช้งาน 5G เชิงพาณิชย์ช่วยกระตุ้นผลผลิตทางเศรษฐกิจโดยตรงราว 5.6 ล้านล้านหยวน (ราว 28.12 ล้านล้านบาท) ในจีนตลอด 5 ปีที่ผ่านมา

ระหว่างงานประชุมด้านโทรคมนาคมเคลื่อนที่ จ้าวจื้อกั๋ว ได้กล่าวว่า 5G ยังขับเคลื่อนผลผลิตทางเศรษฐกิจทางอ้อม 14 ล้านล้านหยวน (ราว 70.3 ล้านล้านบาท) ซึ่งสะท้อนว่าเทคโนโลยีใหม่นี้มีส่วนส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพสูงของจีนอย่างมาก

จ้าวจื้อกั๋ว ระบุว่าจีนครองตำแหน่งผู้นำระดับโลกด้านโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย 5G สร้างความก้าวหน้าในเทคโนโลยีหลักที่สำคัญอย่างต่อเนื่อง และมีผลลัพธ์ที่โดดเด่นในการผสมผสานการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลกับโลกจริงทางกายภาพ นับตั้งแต่มีการออกใบอนุญาตใช้งาน 5G เชิงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2019

จีนมีสถานีฐาน 5G เกือบ 3.75 ล้านแห่ง หรือคิดเป็นราว 26 แห่งต่อประชากร 10,000 คนเมื่อนับถึงสิ้นเดือนเมษายน โดยจีนยังได้ยื่นจดสิทธิบัตรสำคัญด้านมาตรฐาน 5G คิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 42 ของสิทธิบัตรทั้งหมดทั่วโลก

อนึ่ง เทคโนโลยี 5G ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมหลัก อาทิ การทำเหมือง ไฟฟ้า และการดูแลสุขภาพ อีกทั้งยังค่อย ๆ กระจายไปสู่แวดวงที่สำคัญอย่างการวิจัยและพัฒนา การออกแบบ และการผลิต

ทั้งนี้ จ้าวจื้อกั๋ว ยังระบุว่า ในขั้นต่อไป กระทรวงฯ จะเดินหน้าทำงานเพื่อขยายความครอบคลุมของเครือข่าย 5G เร่งขยายการประยุกต์ใช้ 5G และส่งเสริมการปรับปรุงอุตสาหกรรมข้อมูลและการสื่อสารให้ทันสมัย

‘ผู้บริหาร Huawei’ ออกมาประกาศความสำเร็จของชิพ AI รุ่นใหม่  ชี้!! มีศักยภาพเหนือกว่า ชิพประมวลผลรุ่นดังของค่ายยักษ์ใหญ่ Nvidia

(9 มิ.ย.67) หวัง เถา COO ของบริษัท Huawei Ascend ได้แสดงผลทดสอบของชิพรุ่น Ascend 910B ในงานประชุม Nanjing World Semiconductor Conference เมื่อวันพฤหัส (6 มิถุนายน 2024) ที่ผ่านมา พบว่าการประมวลผลของชิพรุ่นนี้มีศักยภาพแทบไม่ต่างจาก Nvidia A100 และในการใช้งานกับบางรูปแบบ ยังแสดงผลลัพธ์เหนือกว่าชิพตัวดังของ Nvidia ถึง 20% 

ส่วนการทดสอบด้วยโมเดลภาษาขนาดใหญ่ของ AI นั้นพบว่า ชิพ ของ Huawei แสดงประสิทธิภาพใกล้เคียงกับชิพของ Nvidia ตั้งแต่ 80% ถึงเหนือกว่าเล็กน้อย จึงสรุปได้ว่า Huawei Ascend 910B เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการใช้งานชิพประมวลผลขั้นสูงสำหรับอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ ที่สามารถทดแทนชิพของค่าย Nvidia ซึ่งมีราคาสูงกว่า แถมยังถูกปิดกั้นจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐ

การประกาศความสำเร็จในครั้งนี้ ทำให้ Huawei ถูกจับตามองอีกครั้ง หลังจากที่บริษัทกลายเป็นเป้าหมายการโจมตีจากสงครามการค้าจีน-สหรัฐ และเทคโนโลยีของบริษัท Huawei ถูกขึ้นบัญชีดำโดยรัฐบาลอเมริกัน 

ทาง Huawei ก็ได้เร่งพัฒนาเทคโนโลยีในแนวทางพึ่งพาตัวเอง และได้เปิดตัวชิพ Ascend ของตัวเองครั้งแรกในปี 2019 ที่มากับความพยายามในยกระดับระบบนิเวศน์ทั้งซอฟท์แวร์ และฮาร์ดแวร์ของตนเอง เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรม AI ในประเทศที่ถูกปิดกั้นการเข้าถึงเทคโนโลยีระดับสูงของชาติตะวันตก 

ดังนั้นการเปิดตัว Ascend 910B ของ Huawei ในครั้งนี้ ก็เป็นเหมือนการขิงกลายๆว่า ชิพจีน ถึงจะพัฒนาช้าแต่ก็มานะ ทำถึง ทำทัน ชิพตัวดังของค่ายดังสหรัฐเหมือนกัน ต่อให้คว่ำบาตร Huawei หนักแค่ไหน ดอกไม้ 9 ชีวิตแดนมังกรตัวนี้ก็กลับมาได้ 
ถึงแม้ชิพ AI ของ Huawei จะไม่ได้กระทบยอดขายชิพของ Nvidia มากนัก ที่กินส่วนแบ่งชิพ AI ในตลาดจีนได้ถึง 90% อีกทั้งมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐยังเป็นตัวกดให้ชิพจีนขยายออกสู่ตลาดต่างประเทศได้ยาก 

แต่ข้อดีอย่างหนึ่งของความทะเยอทะยานแบบสู้ขาดใจของ Huawei นั้นทำให้นักพัฒนาAI จีนได้ติดปีก ที่มีโอกาสสร้างผลงาน AI ของตนบนชิพที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับชิพตัวท็อปของสหรัฐได้เหมือนกัน

อาทิ iFlytek หนึ่งในบริษัทด้าน AI ของจีนได้ปล่อยแพลทฟอร์มคอมพิวเตอร์ใหม่ที่ชื่อว่า Feixing One ที่พัฒนาบนชิพ Ascend ของ Huawei และจะนำเสนอรูปแบบการใช้งาน AI ที่คล้ายคลึงกับ ChatGPT ในเร็วๆนี้

ด้าน Nvidia เองก็ปรับกลยุทธ หลังรู้ข่าวการเปิดตัว Ascend 910B ของ Huawei ด้วยการเปิดตัว ชิพ AI รุ่นพิเศษอีก 3 รุ่น รวมถึงรุ่น H20 ที่ออกแบบมาเพื่อขายในตลาดจีนโดยเฉพาะ และพยายามไม่ติดเงื่อนไขการคว่ำบาตรของสหรัฐ แถมยังประกาศลดราคาชิพของตนในตลาดจีนลงอีกมากกว่า 10% เพื่อทำราคาให้ใกล้เคียงกับ Huawei และค่ายคู่แข่งจีน 

ซึ่งเป้าหมายการตลาดของ Nvidia ก็เบาๆ เราไม่ขออะไรมาก แค่ส่วนแบ่ง 100% ของตลาดชิพ AI ทั่วโลกเท่านั้นเอง  
แหล่งข่าวแวดวงเซมิคอนดัคเตอร์จีนยังบอกอีกว่า ค่ายยักษ์ใหญ่อีกค่ายอย่าง Tencent ก็เตรียมปล่อย ชิพ AI ของตนลงมาแข่งเพื่อขอแบ่งเค้กในตลาดจีนกับเขาด้วย

ไม่น่าเชื่อว่า มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐ จะเป็นตัวเร่งให้ตลาดชิพในจีนมีการแข่งขันกันสูงยิ่ง ทั้งในแง่การพัฒนา และ การตลาด กลายเป็นศึกชิงเจ้ายุทธจักร AI อันดุเดือดที่ไม่มีใครยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว 

‘สหรัฐ’ เร่งจัดซื้อ ‘น้ำมันสำรองเชิงยุทธศาสตร์’ หลังราคาลดลง หลังจากที่รัฐบาล ขายน้ำมันดิบออกจากคลัง ในระดับที่สูงเป็นประวัติการณ์

(9 มิ.ย.67) รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดนเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ (7 มิ.ย.) ว่า ได้เพิ่มการจัดซื้อน้ำมันดิบเพื่อเติมคลังสำรองน้ำมันปิโตรเลียมเชิงยุทธศาสตร์ หลังจากที่รัฐบาลขายน้ำมันดิบออกจากคลังเมื่อปี 2565 ในระดับที่สูงเป็นประวัติการณ์

เมื่อวันศุกร์ กระทรวงพลังงานสหรัฐได้ประกาศแผนการที่จะซื้อน้ำมันดิบรวม 6 ล้านบาร์เรลสำหรับส่งมอบให้กับไซต์ Bayou Choctaw ในรัฐลุยเซียนาในช่วงเดือนก.ย.-ธ.ค.

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า หากแผนการต่าง ๆ ดังกล่าวเป็นไปตามที่มีการประกาศไว้ อัตราการซื้อน้ำมันดิบของกระทรวงพลังงานสหรัฐจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 4.5 ล้านบาร์เรลต่อเดือนในเดือนก.ย., ต.ค. และพ.ย. จากประมาณ 3 ล้านบาร์เรลในปัจจุบัน

'จีน' ปูพรมแดง หนุน!! เด็ก ม.ปลาย 13.42 ล้านคน สอบ 'เกาเข่า' อย่างราบรื่น สะท้อนการสร้างชาติให้เข้มแข็งด้วยระบบการศึกษาที่เข้มข้น-แข็งแรง

(9 มิ.ย.67) จากเฟซบุ๊ก 'Sompob Pordi' ของ นายสมภพ พอดี นิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ 'เกาเข่า' ระบุว่า...

เมื่อวันศุกร์และเสาร์ที่ผ่านมา แทบทุกอย่างในเมืองจีนหยุดสนิท เพื่อให้นักเรียนมัธยมปลาย 13.42 ล้านคนได้สอบเกาเข่าอย่างราบรื่น ปราศจากอุปสรรค เพื่อนำผลไปสมัครเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยที่สามารถรับนักศึกษาปีหนึ่งได้ประมาณ 10 ล้านคน 

ปีนี้มีจำนวนนักเรียนเข้าสอบสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ มากกว่าปีที่แล้วกว่า 500,000 คน ซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และความทะเยอทะยานมากขึ้นที่จะมีชีวิตที่ดีผ่านการศึกษาที่สูงขึ้น

การสอบเกาเข่า นักเรียนทุกคนทั้งประเทศจะต้องสอบวิชาหลัก 3 วิชาเหมือนกัน คือ ภาษาจีน คณิตศาสตร์ และภาษาต่างประเทศ ส่วนวิชาเลือกก็ขึ้นกับว่าต้องการเรียนต่อสาขาอะไรในระดับมหาวิทยาลัย

จีนสร้างชาติให้เข้มแข็งด้วยระบบการศึกษาที่เข้มข้น แข็งแรง

ส่วนบางประเทศที่ทำลายระบบการศึกษาด้วยการกระทำที่โง่บัดซบสารพัด เช่น ห้ามลงโทษนักเรียนที่ทำผิด/ทุจริต ห้ามไม่ให้นักเรียนที่สอบไม่ผ่านต้องเรียนซํ้าชั้น ยกเลิกระเบียบวินัยเช่นเครื่องแบบ ทรงผม ปล่อยให้ ... เข้าโรงเรียนไปหลอกเด็กนักเรียน ฯลฯ เราคงคาดเดาอนาคตได้ไม่ยากอะไร

'ไทยแลนด์เกตเวย์' เมื่อเมียนมาสงสัยไทย เป็นช่องทางผ่านของทหารต่างชาติในเมียนมา

ไม่นานมานี้สำนักข่าว Aljazzera ได้เผยแพร่บทความที่ระบุว่ามีทหารต่างชาติในกองทัพชาติพันธุ์ โดยในเนื้อหาระบุว่ามีกองทัพตะวันตกจำนวนหนึ่งเดินทางไปทั่วทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออกของเมียนมาโดยอ้างว่าเข้าช่วยเหลือกลุ่มชาติพันธุ์เพื่อปลดแอกจากกองทัพเมียนมา

เรื่องนี้เป็นคำถามทันทีว่าทหารเหล่านี้เข้ามาในเมียนมาทางไหนทั้งๆที่เมื่อเริ่มปฏิวัติก็ไม่เคยมีรายงานถึงกองกำลังเหล่านี้ยกเว้นแต่กลุ่ม Free Burma Ranger ของนายเดวิด อูแบงก์ที่ข้ามแดนไปมาระหว่างไทย-เมียนมาคอยสนับสนุนการฝึกและส่งอาวุธให้แก่กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง

หากพิจารณาพรมแดนของเมียนมาพบว่าฝั่งตะวันตกที่ติดกับอินเดียบริเวณมิโซรัมนั้นอาจจะเป็นจุดหนึ่งที่เดินทางเข้ามาได้ แต่ก็ไม่ได้ง่าย เพราะทางอินเดียยอมลงทุนถึง 3.7 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐเพื่อทำรั้วกั้นชายแดนระหว่างเมียนมาและอินเดียที่ยาวถึง 1,610 กิโลเมตร ทำให้ไทยจึงเป็นหมุดหมายของคนกลุ่มนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นทางที่นายอูแบงก์ใช้เดินทางเข้าออกจากไทยไปที่กองกำลังกะเหรี่ยงที่เขาพำนักอยู่

ดังนั้นเมียนมาจึงค่อนข้างที่จะใส่ใจกับชายแดนฝั่งไทยมาก แม้ในสมัยของพลเอกประยุทธ์ฝ่ายกองทัพของทั้งสองประเทศจะแน่นแฟ้น แต่เมื่อเปลี่ยนมาในยุคนายกเศษฐาจะเห็นว่ากองกำลังสหรัฐยกพลมาที่ไทยบ่อยครั้งรวมถึงล่าสุดที่ผู้บัญชาการรบภูมิภาคแปซิฟิคเข้าพบกับผู้บัญชาการทหารสูงสุดของไทยก็เป็นหนึ่งในความพยายามที่จะดึงไทยให้เป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ

ไทยมีท่าทีเป็นกลางและไม่เป็นคู่ขัดแย้งของมหาอำนาจใดๆ มาตลอด รวมถึงพยายามเป็นเพื่อนบ้านที่ดีในการรักษาความสัมพันธ์ของทุกประเทศให้สมดุล

แต่สหรัฐฯ ก็พยายามอย่างมากในการมุ่งมั่นจะสร้างขุมกำลังในอาเซียนแห่งนี้ เมื่อหลังจากผิดหวังการที่จะได้ตั้งกองทัพบนเกาะโคโค่ก็เหมือนเป็นชนวนที่ให้ทางสหรัฐอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาทำลายเสถียรภาพของกองทัพเมียนมาผ่าน NGO ต่างๆ ที่แทรกซึมทั่วในเมียนมาจนทำให้ทางการเมียนมาต้องขับไล่ NGO นอกรีตเหล่านี้ออกนอกประเทศ

ทางการเมียนมาค่อนข้างแสดงออกถึงความไม่ไว้วางใจกับท่าทีของกองทัพไทยหลังเหล่าผู้บังคับบัญชาอันดับสูงมีท่าทีไปซบอกฝ่ายสหรัฐฯ มากขึ้น

แต่ต้องห้ามลืมว่าความสามัคคีในภูมิภาคจะเป็นตัวผลักดันให้รอดพ้นสงครามตัวแทนครั้งนี้และจุดหมายของสงครามตัวแทนระลอกใหม่ที่จะเกิดขึ้นอาจจะเป็นแผ่นดินเมียนมานั่นเอง

สงครามที่กำลังจะมาถึงอาจดึงไทยเข้าสู่สงคราม แล้วถามว่า ประเทศไทยพร้อมจะอยู่ในสงครามนี้หรือยัง สงครามที่เราไม่ได้ก่อ บรรดาผู้นำเหล่าทัพจะตอบกับประชาชนและบรรพชนไทยอย่างไร หากพาประเทศเข้าสู่สงครามของคนอื่น


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top