Sunday, 30 June 2024
World

‘ยานฉางเอ๋อ-6’ กลับถึงโลก พร้อมชิ้นส่วน ‘หิน-ดิน’ จากอีกฟาก ‘ดวงจันทร์’ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ หลังใช้เวลา 53 วันปฏิบัติภารกิจ 

(25 มิ.ย.67) สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ยานสำรวจฉางเอ๋อ-6 ของจีน ได้กลับมาถึงโลกโดยลงจอดในเขตมองโกเลียในทางตอนเหนือของจีน พร้อมตัวอย่างหินและดินจากอีกฟากหนึ่งของดวงจันทร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ไม่เคยมีการสำรวจมาก่อน จึงถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่มีการเก็บตัวอย่างหินและดินมาจากด้านไกลของดวงจันทร์

จาง เค่อเจี้ยน ผู้อำนวยการองค์การบริหารอวกาศแห่งชาติจีน แถลงข่าวทางสถานีโทรทัศน์หลังการลงจอดของยานฉางเอ๋อ-6 เพียงไม่นานว่า “ผมขอประกาศว่าภารกิจสำรวจดวงจันทร์ฉางเอ๋อ-6 ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์แล้ว”

ด้านประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ได้ส่งข้อความแสดงความยินดีกับทีมนักบินอวกาศของฉางเอ๋อ โดยกล่าวว่านี่คือ “ความสำเร็จครั้งสำคัญในความพยายามของประเทศของจีน ที่จะเป็นมหาอำนาจในด้านเทคโนโลยีและอวกาศ”

ทั้งนี้ด้านใกล้ของดวงจันทร์คือสิ่งที่มองเห็นได้จากโลก ในขณะที่ด้านไกลของดวงจันทร์หันไปทางอวกาศ โดยเป็นที่ทราบกันว่าด้านไกลมีภูเขาและหลุมอุกกาบาต ตรงกันข้ามกับพื้นที่ราบที่มองเห็นได้จากด้านใกล้

ในขณะที่ในอดีต สหรัฐและสหภาพโซเวียตต่างเก็บตัวอย่างมาจากด้านใกล้ของดวงจันทร์ จึงถือว่าภารกิจของจีนเป็นภารกิจแรกที่เก็บตัวอย่างจากด้านไกลของดวงจันทร์

โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนคาดว่าตัวอย่างที่นำกลับมาจากดวงจันทร์ จะรวมถึงหินภูเขาไฟอายุ 2.5 ล้านปี และวัสดุอื่นๆ ที่นักวิทยาศาสตร์หวังว่าจะช่วยตอบคำถามเกี่ยวกับความแตกต่างทางภูมิศาสตร์บนสองด้านของดวงจันทร์

ซงยู เยว่ นักธรณีวิทยาจากสถาบันวิทยาศาสตร์จีน ระบุในแถลงการณ์ที่เผยแพร่ใน Innovation Monday ซึ่งเป็นวารสารที่ตีพิมพ์ร่วมกับสถาบันวิทยาศาสตร์จีนว่า “คาดว่ากลุ่มตัวอย่างที่เก็บมาจะตอบคำถามทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานที่สุดข้อหนึ่งในการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ของดวงจันทร์ นั่นคือปฏิกริยาทางธรณีวิทยาประเภทใดที่ส่งผลต่อความแตกต่างระหว่างทั้งสองด้านของดวงจันทร์”

ทั้งนี้ จีนยังหวังว่ายานสำรวจจะกลับมาพร้อมกับวัสดุที่มีร่องรอยอุกกาบาตพุ่งชนจากดวงจันทร์ในอดีต เมื่อยานฉางเอ๋อ-6 กลับมาถึงอย่างปลอดภัย นักวิทยาศาสตร์จะเริ่มศึกษาตัวอย่างเหล่านั้น

ยานสำรวจฉางเอ๋อ 6 ออกจากโลกเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมา และ ใช้เวลาเดินทาง 53 วันในปฏิบัติการในครั้งนี้ โดยยานสำรวจสัญชาติจีนได้เจาะเข้าไปในแกนกลางของดวงจันทร์ และตักหินออกจากพื้นผิวของดวงจันทร์กลับมา

โครงการสำรวจดวงจันทร์เป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างจีนกับสหรัฐ ซึ่งยังคงเป็นผู้นำด้านการสำรวจอวกาศ รวมไปถึงประเทศอื่นๆ อย่างญี่ปุ่นและอินเดีย โดยจีนได้ส่งสถานีอวกาศของตนเองขึ้นสู่วงโคจรและส่งลูกเรือไปที่นั่นเป็นประจำ

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ จีนมีภารกิจไปยังดวงจันทร์ที่ประสบความสำเร็จหลายครั้ง รวมถึงการเก็บตัวอย่างจากด้านใกล้ของดวงจันทร์ด้วยยานสำรวจฉางเอ๋อ-5 ก่อนหน้านี้

'ชาวจีน' หนี 'สิงคโปร์' มาเที่ยวไทย เหตุเพราะ 'ความแพง' และมีแต่ตึก

เมื่อวานนี้ (25 มิ.ย.67) เว็บไซต์ Mothership สื่อของสิงคโปร์ได้รายงานถึงการที่นักท่องเที่ยวจีนเลือกเดินทางไปท่องเที่ยวในไทยและญี่ปุ่นมากกว่าสิงคโปร์ โดยให้เหตุผลหลัก ๆ ว่า ค่าใช้จ่ายในสิงคโปร์สูงเกินไปและมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น้อยเมื่อเทียบกับไทยและญี่ปุ่น

ชาวสิงคโปร์หลายคนได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยบอกว่าค่าใช้จ่ายในสิงคโปร์แพงมาก เช่น การกินข้าวแกงที่มีราคา 21 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อจาน ซึ่งเป็นราคาที่สูงเกินไปสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป 

นอกจากนี้ ยังมีความเห็นว่าสิงคโปร์มีข้อจำกัดหลายอย่างที่ทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกไม่สะดวกสบาย

หนึ่งในชาวสิงคโปร์ได้กล่าวว่า “สิงคโปร์มีข้อจำกัดที่โง่เขลามากเกินไป มีสิ่งที่ไม่อนุญาตเป็นจำนวนมาก สิงคโปร์เหมือนกับหุ่นยนต์ที่เดินไปเดินมาเพื่อหาเลี้ยงชีพ อย่ามาสิงคโปร์เลย ไปประเทศไทยเถอะ!”

จากความคิดเห็นนี้สะท้อนให้เห็นว่าชาวสิงคโปร์เองก็รู้สึกไม่พอใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และเห็นว่าการเดินทางไปเที่ยวในประเทศไทยเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เนื่องจากไทยมีค่าครองชีพที่ถูกกว่า และมีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลายและน่าสนใจมากกว่า

การที่นักท่องเที่ยวจีนหนีจากสิงคโปร์ไปเที่ยวไทยแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการดึงดูดนักท่องเที่ยวของประเทศไทย ซึ่งมีทั้งความเป็นธรรมชาติ วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ และอาหารที่อร่อยและราคาไม่แพง

เหตุการณ์นี้ยังชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่สิงคโปร์ต้องเผชิญในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านในด้านการท่องเที่ยว ถ้าสิงคโปร์ต้องการที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวมากขึ้น อาจจำเป็นต้องพิจารณาปรับลดค่าใช้จ่ายและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เพื่อให้มีความหลากหลายและน่าสนใจมากขึ้น

'อิหร่าน' นั่งเจ้าภาพการประชุมระดับรัฐมนตรี กรอบความร่วมมือเอเชีย ACD ครั้งที่ 19 ตอกย้ำเวทีแห่งหลักประกันความเป็นมิตรที่ดี พร้อมเกื้อหนุนทุกมิติที่เป็นประโยชน์

ความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue – ACD) เป็นความคิดริเริ่มของไทย และได้ถูกยกขึ้นเป็นครั้งแรกในการประชุมระหว่างประเทศของพรรคการเมืองเอเชีย ครั้งที่ 1 ณ กรุงมะนิลา เมื่อวันที่ 17 -20 กันยายน 2000 โดยประเทศไทยได้เสนอแนวคิดว่า เอเชียควรมีเวทีเป็นของตนเองเพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือในระดับทวีปของเอเชีย ต่อมาไทยได้เสนอแนวคิดเรื่อง ACD อย่างเป็นทางการในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 34 ที่กรุงฮานอย ระหว่างวันที่ 23-24 กรกฎาคม 2001 และการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (Retreat) ที่ภูเก็ต ระหว่างวันที่ 20-21 กุมภาพันธ์ 2002 ทำให้ ACD เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางมากขึ้น และเกิดขึ้นในปีนั้นเอง 

ปัจจุบัน ACD มีสมาชิก 35 ประเทศ คิดเป็น 56% ของประชากรโลก และ 35% ของ GDP โลก ประเทศเหล่านี้มุ่งเป้าไปที่การพูดคุยและการเป็นหุ้นส่วนพัฒนาความสัมพันธ์ในด้านต่างๆ เช่น การขนส่งและการสื่อสาร วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม การศึกษา และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ความมั่นคงด้านอาหาร พลังงาน และน้ำ วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว และครอบคลุมและยั่งยืนโดย ACD เป็นเวทีหารือระดับนโยบายและความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อส่งเสริมความเข้าใจ ความไว้เนื้อเชื่อใจ และส่งเสริมผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย รวมถึงหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาความท้าทายของโลก

วันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมา มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue: ACD) ครั้งที่ 19 ณ กรุงเตหะราน อิหร่าน ซึ่งที่ประชุมฯ รับรองการเสนอตัวเป็นประธาน ACD วาระปี 2568 ของไทย และรับรองเอกสารสำคัญ 3 ฉบับ ได้แก่ 1) ปฏิญญาเตหะราน (Tehran Declaration) 2) กฎระเบียบสำหรับกลไกการดำเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือเอเชีย (Rules of Procedure) และ 3) แนวทางหลักในการดำเนินงานของสำนักเลขาธิการกรอบความร่วมมือเอเชีย (Guiding Principles) ในโอกาสดังกล่าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทยได้กล่าวถ้อยแถลงโดย (1) ย้ำถึงบทบาทสำคัญของ ACD ในการกำหนดอนาคตของภูมิภาคเอเชีย และความสำคัญของความร่วมมือกันของประเทศสมาชิกเพื่อสร้างภูมิภาคเอเชียที่ครอบคลุมและยั่งยืน (2) แสดงเจตจำนงของไทยในการขับเคลื่อน ACD ผ่านการเสนอตัวเป็นประธาน ACD วาระปี 2025 (3) เสนอแนวทางการส่งเสริมพลวัตให้แก่ ACD ผ่านการจัดการประชุมทั้งแบบทางการและไม่ทางการ (retreat) และการจัดประชุมระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมโลก การเสนอแนวความคิดการจัดตั้งกองทุน ACD รวมทั้งการส่งเสริมความร่วมมือระหว่าง ACD และกรอบความร่วมมืออื่นๆ

Ali Bagheri Kani รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิหร่านได้แถลงแสดงความอาลัยในการจากไปของประธานาธิบดี Raisi และดร. Amir-Abdollahian รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งทั้งสองต่างให้การสนับสนุนการประชุม ACD ครั้งที่ 19 นี้ อย่างแข็งขัน ตามแนวคิดพหุภาคีที่สำคัญซึ่งทั้งสองเป็นผู้ร่วมกันบุกเบิกเพื่อลดการผูกขาดปฏิสัมพันธ์และการพึ่งพาประเทศตะวันตกโดยมุ่งเน้นไปที่ประเทศตะวันออกด้วยกันเอง ด้วยการส่งเสริมเอกลักษณ์ของเอเชียและรับประกันความเป็นเพื่อนบ้านที่เป็นมิตรที่ดี ตลอดจนส่งเสริมความสมบูรณ์ของภูมิภาคผ่านการเป็นสมาชิกของ ACD อย่างแข็งขันในองค์กรระดับภูมิภาคและระดับโลก

นอกจากนี้ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิหร่านได้กล่าวแสดงความรู้สึกเศร้าใจและตกตะลึงอย่างสุดซึ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความโหดร้ายและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่กระทำโดยอิสราเอลในฉนวนกาซา ซึ่งเป็นภัยพิบัติด้านมนุษยธรรมที่เกิดขึ้นมานานกว่าแปดเดือนแล้ว และหวังว่าเหตุการณ์อันเลวร้ายนี้จะยุติลงโดยเร็วที่สุด สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านเข้าร่วม ACD ในปี 2003 และถือว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกที่มีความกระตือรือร้น ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2023 อิหร่านรับหน้าที่เป็นประธาน ACD โดยถือเอาการก่อตั้ง 'ประชาคมเอเชีย' ซึ่งเป็นหนึ่งในปณิธานของ ACD ด้วยมรดกทางวัฒนธรรมอันมั่งคั่งและคุณค่าที่ยั่งยืนของเอเชียตลอดจนศักยภาพที่แข็งแกร่งของทวีปและรากฐานทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นจริง หากความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนเอเชียที่เข้มแข็งขึ้นถูกสร้างขึ้นในหมู่ชาวเอเชียย่อมนำมาซึ่งประโยชน์มากมายอย่างไม่ต้องสงสัย 

รู้จัก 'จูเลียน อาสซานจ์' หมาเฝ้าโลก แห่งองค์กร WikiLeaks  แวะเติมน้ำมันดอนเมือง ก่อนมุ่งหน้าไปขึ้นศาลที่สหรัฐฯ

(26 มิ.ย.67) จากเฟซบุ๊ก วินทร์ เลียววาริณ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ และนักเขียนเจ้าของรางวัลซีไรต์ ได้โพสต์ข้อความเล่าถึง ‘จูเลียน อาสซานจ์’ หลังเกิดข่าวใหญ่ทั่วโลก ผ่านเพจเฟซบุ๊กของตัวเอง โดยมีเนื้อความว่า…

เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก แต่ดูเหมือนในบ้านเราหลายคนยังไม่รู้ว่า จูเลียน อาสซานจ์ คือใคร ทำอะไร เล่าย่อ ๆ ให้ฟังก็แล้วกันว่า เกิดอะไรขึ้น

หน้าที่ของนักข่าวคือคุ้ยหาความจริง แล้วเผยแพร่ เราจึงเรียกนักข่าวว่าหมาเฝ้าบ้าน แต่เราอาจเรียก จูเลียน อาสซานจ์ ว่าหมาเฝ้าโลก เพราะเขาและองค์กร WikiLeaks คุ้ยข่าวทั่วโลก พวกที่ทำงานคุ้ยข่าวแบบนี้เรียกว่า The Fifth Estate

จูเลียน อาสซานจ์ (Julian Assange) เป็นแฮกเกอร์ชาวออสเตรเลีย หนึ่งในผู้ก่อตั้ง WikiLeaks ในปี 2006 เขาเป็นมนุษย์ที่อยู่ในพื้นที่สีเทา เคยเป็นแฮกเกอร์ที่ต้องคดีมากมาย โทษ 290 ปี แต่ในข้อเขียนนี้จะเล่าเฉพาะด้านของคดีความระหว่างอาสซานจ์กับสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อมาสิบกว่าปี

WikiLeaks คือเว็บที่ตั้งใจปล่อยข่าวรั่ว (leaks) ออกไปสู่สาธารณะ ทั้งหมดเป็นข้อมูลลับขององค์กรประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะอาชญากรรมสงครามที่ทหารสหรัฐฯ ก่อในประเทศอื่น

ข้อมูลจำนวนมากของสหรัฐฯ มาจากเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ปล่อยออกมาให้ คือ Chelsea Manning ซึ่งติดคุกไปเรียบร้อยแล้ว

ผลงานนี้ทำให้อาสซานจ์ได้รับรางวัลด้านสื่อสารมวลชนหลายสำนักไป เพราะทำหน้าที่หมาเฝ้าโลก แต่สหรัฐฯ ไม่ปลื้ม ต้องการลากหมาตัวนี้ไปเข้าคุก

หากจับตัวได้ มีหวังถูกขังตายในคุกแน่นอน เพราะสหรัฐฯ ตั้งข้อหาจารกรรมยาวเหยียด

แต่ประเด็นคือ อาสซานจ์ไม่ได้ทำผิดกฎหมายสหรัฐฯ เขาเผยแพร่ข้อมูลในประเทศอังกฤษ ขณะที่ Chelsea Manning ทำผิดในสหรัฐฯ

อาสซานจ์ไปหลบในสถานทูตเอกวาดอร์อยู่หลายปี ไม่สามารถออกนอกประตูสถานทูตได้ ก็เท่ากับอยู่ในคุกนั่นเอง

ต่อมาเขาก็ถูกอังกฤษลากตัวไปขัง สหรัฐฯ ก็ขอให้อังกฤษส่งตัวไปขึ้นศาลสหรัฐฯ คดีลากยาวคาราคาซัง

ในสายตาของคนทำข่าวทั่วโลก อาสซานจ์เป็นวีรบุรุษ เพราะเขาทำหน้าที่ของนักข่าวเต็มร้อย

นักข่าวในโลกตะวันตกมีหน้าที่คุ้ยข่าวเสมอ ที่โดดเด่น เช่น กรณีวอชิงตันโพสต์เผยเรื่องวอเตอร์เกต จนประธานาธิบดีนิกสันต้องลาออก หรือกรณีเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ Daniel Ellsberg แฉความเลวร้ายของสหรัฐฯ ในสงครามเวียดนาม ในเอกสารลับที่เรียกว่า Pentagon Papers เขาถูกฟ้องข้อหาบ่อนทำลายชาติ แต่ศาลยกฟ้อง (เรื่องนี้เป็นหนัง The Post โดยสปีลเบิร์ก)

แล้วทำไมสหรัฐฯ ต้องการจัดการอาสซานจ์แบบเล่นไม่เลิก?

มีการวิเคราะห์ว่า นี่เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ส่งสัญญาณให้นักข่าวทั่วโลกรู้ว่า ถ้าเล่นสหรัฐฯเรื่องนี้ จะโดนดีแน่

คดีนี้สามารถจบได้ในไม่กี่ปี แต่สหรัฐฯ ตั้งใจลากยาว จนเมื่อปีก่อน นายกฯ ออสเตรเลียบอกไบเดนว่า "Enough is enough." พอทีเถอะ พวกคุณเล่นเขานานไปแล้ว

สหรัฐฯ อยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถ้าไม่เล่นงานอาสซานจ์ ก็เสียหน้า ถ้าเล่นงานไม่สำเร็จก็เสียหน้า จนใครคนหนึ่งเสนอความคิดอันปราดเปรื่องว่า ให้ปล่อยตัวอาสซานจ์ แลกกับการที่เขาเซ็นยอมรับความผิดสักกระทง ซึ่งมีบทลงโทษห้าปี บังเอิญว่าเท่ากับเวลาที่อาสซานจ์ติดคุกอังกฤษพอดี เรียกว่าจบสวย

อาสซานจ์ในสภาพร่างกายเสื่อมโทรม หลังจากอยู่ในสภาพนรกมาสิบกว่าปี ก็ยอมเซ็น จะได้ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ไม่งั้นก็คงตายเร็วแน่

ในคุกอังกฤษ The Fifth Estate ถูกขังเดี่ยวเข้มงวดกว่าอาชญากร มีเวลาเบรกหนึ่งชั่วโมงต่อวัน สภาพของเขาทรุดโทรมมาก

สำหรับสหรัฐฯ จบแบบนี้ก็ถือว่าไม่เสียหน้า อาจประกาศได้ด้วยซ้ำว่าชนะ เพราะอาสซานจ์สารภาพและติดคุก (ในอังกฤษ)

เหตุการณ์นี้แปลว่าอะไร? มันแปลว่าต่อไปนี้ใครจะเผยข้อมูลสหรัฐฯ ก็ต้องคิดให้ดี เพราะอาจไม่คุ้ม หมาเฝ้าบ้านมีโอกาสถูกส่งข้ามแดนไปดำเนินคดี

หากสหรัฐฯ สามารถทำให้อาสซานจ์ต้องยอมสารภาพว่าทำผิด นักข่าวที่เหลือในโลกจะมีอะไรเหลือหรือ

เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน เคยกล่าวว่า "เมื่อการแฉอาชญากรรมถูกจัดเป็นการก่ออาชญากรรม คุณก็ถูกปกครองโดยอาชญากร"

แต่โลกเราก็ถูกปกครองด้วยอาชญากรเสมอมา

ป.ล. หลายปีก่อนมีหนังเรื่อง The Fifth Estate อาสซานจ์รับบทโดย Benedict Cumberbatch

'กินเนสบุ๊ก' บันทึก!! 'The Golden Boy’ แฮมเบอร์เกอร์ราคาแพงที่สุดในโลก ไม่เน้นขายความใหญ่ แต่เน้นใส่ใจในรสชาติ เผย!! ชิ้นแรกขายได้ ทำบุญหมด

(26 มิ.ย. 67) ‘The Golden Boy’ ได้รับการรับรองจากกินเนสส์ฯ ให้เป็น ‘แฮมเบอร์เกอร์ราคาแพงที่สุดในโลก’ ราคาสูงถึงชิ้นละ 5,000 ยูโร

ถ้าพูดคำว่า ‘The Golden Boy’ คนไทยอาจนึกถึงโบราณวัตถุที่เพิ่งกลับคืนสู่แดนมาตุภูมิเมื่อเร็ว ๆ นี้ หรือบางคนอาจแปลว่ากุมารทอง แต่ที่เนเธอร์แลนด์ นี่คือชื่อของเมนูแฮมเบอร์เกอร์ที่เพิ่งได้รับการรับรองจากกินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ด (Guinness World Records) ว่าเป็น ‘แฮมเบอร์เกอร์ราคาแพงที่สุดในโลก’

ถามว่าแพงขนาดไหน ขอบอกเลยว่าไม่ใช่เล่น ๆ เพราะแฮมเบอร์เกอร์ The Golden Boy ถูกตั้งราคาไว้ชิ้นละที่ 5,000 ยูโร หรือราว 196,000 บาทเลยทีเดียว

แฮมเบอร์เกอร์ที่แพงที่สุดในโลกนี้อยู่ในเมนูของร้าน ‘The Daltons’ ในหมู่บ้านวูร์ธายเซน (Voorthuizen) เมืองเฮลเดอร์ลันด์ (Gelderland) ประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยเชฟ ร็อบเบิร์ต ยาน เดอ วีน

ราคาที่สูงเกิดจากส่วนผสมคุณภาพสูงที่ร็อบเบิร์ตนำมาใช้ เขาเกิดแนวคิดนี้ขึ้นมาในช่วงที่เกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 และคืนหนึ่งขณะกำลังฝึกอบรมผู้จัดการคนใหม่ เขาบังเอิญไปเจอโพสต์บนเฟซบุ๊กเกี่ยวกับแฮมเบอร์เกอร์ที่แพงที่สุด

ร็อบเบิร์ตมองว่า แฮมเบอร์เกอร์ที่แพงที่สุดตอนนั้นเป็นเพราะขนาดที่ใหญ่เกินไป เขาจึงตัดสินใจท้าทายตัวเอง ด้วยการคิดค้นเบอร์เกอร์ขนาดมาตรฐานที่สามารถสร้างสถิติโลกได้

ร็อบเบิร์ตสร้างสรรค์สูตรตั้งแต่เริ่มต้น โดยตั้งใจที่จะพัฒนาเบอร์เกอร์ที่ไม่เพียงแต่มีราคาแพง แต่ยังอุดมไปด้วยรสชาติ

แฮมเบอร์เกอร์ The Golden Boy ใช้ขนมปังไวน์ที่ทำจากแชมเปญ ดอม เปริญง (Dom Perignon) และปิ้งเล็กน้อยแต่ยังคงความนุ่มอยู่ด้านใน และปิดด้วยทองคำเปลว ส่วนตัวเบอร์เกอร์ทำจากเนื้อวากิวชุ่มฉ่ำ เสริมด้วยปูยักษ์และคาเวียร์ นอกจากนี้ยังมีหัวหอมที่ชุบแชมเปญด้วย

ผู้ที่เคยชิมบอกว่า รสชาติของมันออกมาหวาน เปรี้ยว เค็ม ขม และกลมกล่อมอูมามิ

ร็อบเบิร์ตกล่าวถึงการสร้างเบอร์เกอร์ The Golden Boy ว่า “มีความท้าทายอยู่บ้าง ผมไม่ได้โกหกเกี่ยวกับเรื่องนั้น ความท้าทายสำคัญอย่างแรกคือ เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเบอร์เกอร์ชิ้นนี้จะมีรสชาติสุดยอด”

ร็อบเบิร์ตเสริมว่า “ผมหมายถึงว่า มันง่ายมากที่จะนำส่วนผสมราคาแพง ๆ 2-3 อย่างมาใส่ในเบอร์เกอร์ แต่สำหรับผม การที่เบอร์เกอร์มีรสชาติอร่อยนั้นสำคัญมากเช่นกัน ผมอยากจะเห็นว่าเราจะไปได้ไกลแค่ไหน เราจะทุ่มลงไปได้แค่ไหน และยังคงต้องแน่ใจว่ารสชาติทั้งห้านั้นสอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์แบบ”

ร็อบเบิร์ต ยังบอกอีกว่า “ความท้าทายใหญ่ประการที่สองคือ การจัดหาวัตถุดิบ ตัวอย่างเช่น ส่วนผสมบางอย่างในเบอร์เกอร์นี้ไม่มีขายในเนเธอร์แลนด์ แต่ผมได้รับความช่วยเหลืออย่างดีจากซัพพลายเออร์”

ร็อบเบิร์ตกล่าวว่า เพื่อน ครอบครัว และทีมงานของเขาต่างร่วมมือกันเพื่อพยายามทำเบอร์เกอร์นี้ และกระแสตอบรับของสาธารณชนต่อการเปิดตัวเบอร์เกอร์ที่แพงที่สุดในโลกก็ออกมาดี

เขายังใช้เบอร์เกอร์นี้เพื่อปลุกจิตสำนึกเรื่องความยากจนในเนเธอร์แลนด์อีกด้วย โดยเงินที่ได้จากการขาย The Golden Boy ชิ้นแรกเขานำไปบริจาคให้ธนาคารอาหารในท้องถิ่นทั้งหมด เงินดังกล่าวถูกใช้เพื่อจัดทำแพ็กเกจอาหาร 1,000 ห่อสำหรับครอบครัวหรือผู้ยากไร้ที่ต้องการความช่วยเหลือ

‘CATL’ พัฒนาแบตเตอรี่ EV ขนาด 500 Wh/kg ‘น้ำหนักเบา-วิ่งไกลขึ้น’ เริ่มทดสอบในเครื่องบินแล้ว

(27 มิ.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘Business Tomorrow’ โพสต์ข้อความถึงกรณี ‘CATL’ กำลังซุ่มพัฒนาแบตเตอรี่ EV ที่มีความหนาแน่น 500 Wh/kg พร้อมเริ่มการทดสอบแล้วบนเครื่องบิน โดยระบุว่า…

Dr. Robin Zeng ผู้ก่อตั้ง และประธานของบริษัท Contemporary Amperex Technology (CATL) ผู้พัฒนาและผลิตแบตเตอรี่ Lithium-ion สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าออกมาเปิดเผยว่าบริษัทกำลังสนใจพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ไปอีกขั้น โดยจะพัฒนาแบตเตอรี่ EV ที่มีความหนาแน่น 500 Wh/kg 

>> ความหนาแน่นแบตเตอรี่เยอะดีอย่างไร ?
ปัจจุบันยิ่งความหนาแน่นของพลังงานของแบตเตอรี่สูงขึ้นเท่าใด พลังงานก็จะยิ่งสามารถจัดเก็บต่อหน่วยปริมาตรหรือน้ำหนักได้มากเท่านั้น

นั่นหมายความว่า CATL จะสามารถทำแบตเตอรี่ที่ ‘เบา’ กว่าเดิม แต่สามารถวิ่งได้ ‘ระยะทาง’ ที่ไกลมากยิ่งขึ้น หรือ Shenxing Battery ที่จะสามารถวิ่งได้ไกล 1,000 กิโลเมตรอาจกำลังเป็นจริงเข้ามาเรื่อย ๆ 

อย่างไรก็ตามไม่เพียงแต่การพัฒนาแบตเตอรี่เท่านั้น แต่การพัฒนาเครื่องชาร์จแบตเตอรี่อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ทำให้ CATL เหนือยิ่งกว่าบริษัทผลิตแบตเตอรี่อื่น ๆ ทั่วโลก

>> CATL ทดสอบแบตเตอรี่กับเครื่องบิน
ทั้งนี้แบตเตอรี่ความหนาแน่นสูงของ CATL กำลังถูกทดสอบบนเครื่องบินขนาด 4 ตัน โดยสามารถทำให้เครื่องบินบินขึ้นสูงได้อย่างน่าประหลาดใจ และในอนาคต CATL ตั้งเป้าหมายที่จะขยับการทดสอบไปสู่เครื่องบินขนาด 8.8 ตัน หรือเทียบเท่ากับ 1 ใน 5 ของน้ำหนักเครื่องบิน Boeing เฉลี่ย โดยตั้งเป้าเริ่มทดสอบภายในปี 2570

ในเร็ว ๆ นี้นักวิเคราะห์คาดว่าจะเห็นแบตเตอรี่ของ CATL ถูกใช้บนเครื่องบินขนาด 4 ที่นั่ง ซึ่งสามารถบินได้ไกลถึง 2,000-3,000 กิโลเมตร แต่ปัจจุบันยังเรียกได้ว่าห่างไกลจากเครื่องบินเชิงพาณิชย์ยิ่งนัก

อย่างไรก็ตาม CATL กำลังผลิตแบตเตอรี่ Shenxing เริ่มผลิตช่วงสิ้นปีนี้และจะส่งมอบให้กับผู้ผลิตรถยนต์ต่าง ๆ ในปี 2024 เตรียมใช้งานกับรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ NETA, CHERY, BAIC, BJEV, JIDU และ VOYAH ซึ่งอาจเป็นแบตเตอรี่ที่กำลังทดสอบอยู่นี้ก็เป็นได้

‘ลาว’ เตรียมออก ‘ฟรีวีซ่า’ เอาใจนักท่องเที่ยวจีน หวังปลุกกระแสการท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีหลัง

(27 มิ.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดารานี พมมะวงสา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสารสนเทศ วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว เผยว่านโยบายดังกล่าวจะมุ่งเป้าไปที่กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมากับบริษัทนำเที่ยว และรัฐบาลลาวยังวางแผนให้บริการวีซ่าสำหรับเข้าออกหลายครั้ง รวมถึงขยายระยะเวลาการพำนักสำหรับนักเดินทางต่างชาติเพิ่มขึ้นจาก 30 วันเป็น 60 วัน 

ดารานี กล่าวว่า “รัฐบาลกำลังยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางถนนในพื้นที่การเดินทาง และปรับปรุงถนนหนทางในการเดินทางเข้าสู่สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมต่าง ๆ เพื่อส่งมอบประสบการณ์การเดินทางของนักท่องเที่ยวให้ดียิ่งขึ้น”

กระทรวงฯ เดินหน้าทำงานร่วมกับหน่วยงานระดับแขวงและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้านการท่องเที่ยวตามแนวทางรถไฟจีน-ลาว เพื่อปรับปรุงสถานที่ท่องเที่ยวให้เป็นไปตามมาตรฐานการท่องเที่ยว และติดตั้งป้ายบอกทางสถานที่ที่มีชื่อเสียงตามเส้นทางการเดินทาง

นอกจากนั้น กระทรวงฯ ยังทำงานร่วมกับนักลงทุนภาคเอกชนในการสำรวจและพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวและสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว

‘ท่องเที่ยวเกาหลีใต้’ ร้องรัฐฯ ทบทวนมาตรการคัดกรอง นทท. หลังยอด ‘นักท่องเที่ยวไทยตัวจริง’ ลดฮวบ แต่ ‘ผีน้อย’ กระฉูด

(27 มิ.ย.67) ทางเว็บไซต์หนังสือพิมพ์เดอะโคเรียไทมส์ รายงานอ้างการเปิดเผยของกระทรวงยุติธรรมเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 67 ว่า คนไทย ครองสัดส่วนอันดับ 1 ผู้ที่พำนักอาศัยอยู่อย่างผิดกฎหมาย หรือ ผีน้อย

ข้อมูลถึงช่วงปลายเดือน พ.ค. มีถึง 145,810 คน คิดเป็น 35.1% แซงหน้าผีน้อยจากประเทศเวียดนาม 79,366 ราย, จีน 64,151 ราย, ฟิลิปปินส์ 13,740 ราย, อินโดนีเซีย 12,172 ราย, กัมพูชา 10,681 ราย

ทำให้ระบบตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มงวดของเกาหลีใต้ ทางออนไลน์ K-ETA ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวไทยลดลงมากในปีนี้

จากข้อมูลเดือน ม.ค.-เม.ย. 2567 มีนักเดินทางชาวไทยเพียง 119,000 คน ลดลงถึง 21.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

กระทรวงยุติธรรม หน่วยงานที่พิจารณาคำขอของระบบ K-ETA ไม่ได้เปิดเผยเหตุผลที่ปฏิเสธคำขอการเดินทางเข้าเกาหลีใต้ แต่เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมยืนยันว่าใช้หลักเกณฑ์เดียวกันหมดกับทุกประเทศ

การท่องเที่ยวเกาหลีใต้ จึงได้ร้องขอให้กระทรวงยุติธรรม ยกเว้นประเทศไทยไม่ต้องขอ K-ETA ชั่วคราวไปจนถึงสิ้นปี 2567 เนื่องจากมีเป้าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ได้ 20 ล้านคนในปีนี้

กระทรวงยุติธรรมเปิดเผยกับสำนักข่าวยอนฮับว่า จำเป็นต้องใช้แนวทางที่ระมัดระวัง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายดังกล่าวอาจส่งผลให้จำนวนชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่อย่างผิดกฎหมายในเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ช่วงเดือน พ.ย.ปีที่แล้ว กระทรวงยุติธรรมได้กล่าวปกป้องระบบคัดกรองคนเข้าเมืองนี้ โดยระบุว่ามีคนไทยมากถึง 78% ที่พำนักอยู่ในเกาหลีใต้อย่างผิดกฎหมาย เป็นหน้าที่โดยชอบธรรม ของกระทรวงยุติธรรมที่จะลดจำนวนผู้ลักลอบอาศัยอย่างผิดกฎหมาย

ทางด้าน อริญชยา เลิศวัฒนชัย ผู้จัดการฝ่ายการตลาดองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี KTO (Korea Tourism Organization) กล่าวว่า ปัจจุบันเทรนด์การท่องเที่ยวเกาหลีของนักท่องเที่ยวไทยมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบจากการซื้อแพ็กเกจทัวร์ เป็นการวางแผนเดินทางด้วยตนเอง

"ปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อย คือ นักท่องเที่ยวไทย ไม่ผ่าน ตม. ขณะที่ ผีน้อยไทย ผ่าน นักท่องเที่ยวไทยจึงลดจำนวนลงเรื่อย ๆ เพราะไม่อยากเสี่ยงถูกส่งกลับ และหาสาเหตุไม่ได้ว่า ทำไมตัวเองถึงไม่ผ่าน ไม่ได้เข้าประเทศ"

ผู้จัดการฝ่ายการตลาด องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี กล่าวเสริมว่า “เราได้ส่งคอมเมนต์ไปทางเกาหลีที่สำนักงานใหญ่ ว่า อยากให้ปรับปรุงระบบของ K-ETA ในการคัดกรองนักท่องเที่ยวให้ดีขึ้น เพราะมีประเด็นว่า นักท่องเที่ยวจริง พอยื่นแล้วเข้าไม่ได้ หรือขอ K-ETA ไม่ผ่าน เราก็ทำเรื่องไปที่สำนักงานใหญ่ให้เขาช่วยคุยกับหน่วยงานนี้หน่อย ให้คัดกรองให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งเราก็ทำได้แค่นี้"

มีคนกล่าวว่า “ผีน้อยที่ผ่าน อาจเพราะมีเอเจนซี่ มีการสอนมาอย่างดี ขณะที่นักท่องเที่ยว คิดว่าตัวเองเป็นนักท่องเที่ยว ก็แค่ถ่ายรูปพาสปอร์ตลงไป รูปไม่สวยบ้าง ไม่ตรงปกบ้าง”

"ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวบางคนขอ K-ETA แล้วไม่ผ่าน ก็ท้อใจ บอกว่าเกาหลีเข้ายาก ไม่ไปเกาหลีดีกว่า”

“ซึ่งการตรวจคัดกรองของเขาควรมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตม. ก็เช่นกัน ควรตรวจคัดกรองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เราไม่สามารถไปแก้ไขมาตรการต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเราเอง เพราะการคัดกรองเข้าประเทศ มันเป็นสิทธิ์ของแต่ละประเทศอยู่แล้ว สิ่งที่เราทำได้ คือ เสนอเขาไป”

'ออสเตรเลีย' เคาะ!! 'บุหรี่ไฟฟ้า' ขายได้โดยร้านขายยา ดีเดย์ 1 ก.ค.นี้ ชี้!! หากผู้ซื้ออายุต่ำกว่า 18 ปี ต้องมีใบสั่งจากแพทย์เท่านั้น

(28 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่พรรคแรงงานได้ทำข้อตกลงกับพรรคกรีนส์เพื่อผ่านร่างกฎหมาย ทำให้ต่อไปในอนาคต ผู้ใหญ่จะสามารถซื้อบุหรี่ไฟฟ้าได้ที่ร้านขายยาโดยไม่ต้องมีใบสั่งยา อย่างไรก็ตามข้อกำหนดใหม่นี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากเหล่าเภสัชกรและร้านขายยาว่า พวกเขาไม่ได้รับแจ้งถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว

รัฐบาลได้ทำข้อตกลงกับพรรค Greens เพื่อให้ร่างกฎหมายบุหรี่ไฟฟ้าผ่านทางวุฒิสภา ก่อนวันที่ 1 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันสุดท้ายก่อนการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว

ซึ่งรายละเอียดร่างกฎหมายบุหรี่ไฟฟ้าฉบับนี้นั้น จะยกเลิกข้อบังคับที่ผู้ใหญ่ต้องมีใบสั่งยาเพื่อซื้อบุหรี่ไฟฟ้า แต่จะมีการห้ามจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้านอกร้านขายยา โดยมีข้อจำกัดเรื่องกลิ่นและรสของบุหรี่ไฟฟ้าที่เข้มงวดมากขึ้น และยังมีข้อกำหนดในการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ไม่ให้มีสีฉูดฉาดอีกด้วย

ผู้นำของพรรค Greens อดัม แบรนด์ กล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้เกิดความเหมาะสมมากขึ้น เขากล่าวว่า "พรรคกรีนส์จำเป็นต้องพิจารณาถึงความเหมาะสม และทำให้แน่ใจว่าการสูบบุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่อาชญากรรม แต่จำทำอย่างไรที่เราจะป้องกันไม่ให้เด็ก ๆ ไม่สามารถเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าได้ง่าย ๆ"

ด้าน ประธานสมาคมการแพทย์แห่งออสเตรเลีย สตีฟ ร็อบสัน เห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าว

"การประนีประนอมที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐบาลกับพรรคกรีนส์เป็นการเจรจาที่สมเหตุสมผล และในสถานการณ์เช่นนี้ เราไม่สามารถปล่อยให้ความสมบูรณ์แบบเป็นเครื่องกีดขวางของสิ่งดี ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ การปฏิรูปเป็นสิ่งที่ดีเพราะมันช่วยปกป้องคนรุ่นใหม่ และนั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด"

รองประธานสมาคมเภสัชกรรม แอนโธนี ทาสโซนี กล่าวว่าสมาคิมเภสัชกรรมไม่ได้รับการแจ้งล่วงหน้าถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เขาเปิดเผยว่า

"สมาคมเภสัชกรรมและองค์กรวิชาชีพเภสัชกรรมทราบรายละเอียดของข้อตกลงลับระหว่างรัฐบาลแรงงานและพรรคกรีนเมื่อวานนี้ผ่านสื่อ และพวกเราก็ต่างอึ้ง หลังจากนั้นเราก็มีคำถามว่าทำไมเราจึงไม่มีส่วนร่วมในการออกความเห็นในประเด็นที่สำคัญนี้"

ในขณะการปฏิรูปการจัดจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเรื่องที่จำเป็น แต่คุณ ทาสโซนี กล่าวว่า หนทางดังกล่าว ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา เขากล่าวว่า 

"เรายินดีฟังข้อเสนอแนะต่าง ๆ ที่จะเป็นการช่วยป้องกันไม่ให้เด็ก ๆ ของเราสามารถเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้า เนื่องจากมีความกังวลเรื่องสุขภาพ และอาจนำมาซึ่งผลกระทบร้ายแรงในสังคม แต่นี่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา การซื้อบุหรี่ไฟฟ้าโดยไม่ต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์จากร้านขายยาต่าง ๆ ในชุมชน ซึ่งผลิคภัณฑ์ดังกล่าวก็ไม่ได้ถูกรับรองโดยองค์กรงานอาหาร"

รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข มาร์ก บัตเลอร์ กล่าวว่าแนวทางนี้เป็นทางเลือกหนึ่งที่รัฐบาลนำมาพิจารณา อธิบายว่า

"เราศึกษาเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของเรื่องนี้มาเป็นเวลานาน เราค่อนข้างเปิดกว้างเกี่ยวกับเรื่องนี้ซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่ระหว่างการพิจารณาอย่างมากตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว แล้วผมก็แสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายครั้ง"

การเปลี่ยนแปลงระลอกแรกจะมีผลในวันที่ 1 กรกฎาคม 2024 โดยจะห้ามการขายบุหรี่ไฟฟ้านอกร้านขายยา และจำกัดรสชาติที่ให้มีจำหน่ายเฉพาะรสชาติธรรมดา รสมิ้นต์ และเมนทอล

ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 1 ตุลาคม ทุกคนจะต้องมีใบสั่งยาจึงจะซื้อบุหรี่ไฟฟ้าได้

รัฐมนตรี บัตเลอร์กล่าวว่า ระยะเวลาดังกล่าว จะทำให้ร้านขายยามีเวลาเตรียมตัวสำหรับการเปลี่ยนแปลง รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข 

"ในทางปฏิบัติ มันทำให้เราแน่ใจว่าเภสัชกรจะสามารถได้รับคำแนะนำที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เกี่ยวกับวิธีจัดการกับกฎหมายใหม่เหล่านี้ และผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีต้องมีใบสั่งยาสำหรับการซื้อบุหรี่ไฟฟ้าด้วยเช่นกัน” มาร์ก บัตเลอร์ กล่าว 

รัฐมนตรี บัตเลอร์ยังกล่าวอีกว่า “การเปลี่ยนแปลงนี้ จะทำให้เยาวชนสามารถเข้าถึงการสูบบุหรี่ไฟฟ้าได้น้อยลง องค์การอาหารและยา ได้ออกข้อกำหนดที่ชัดเจนสำหรับประเภทของบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งใช้ในประเภทผลิตภัณฑ์รักษาโรค ที่สามารถขายในออสเตรเลียโดยจะมีปริมาณโดยนิโคตินตามที่กำหนด"

โฆษกด้านสุขภาพของฝ่ายค้าน แอนน์ รัสตัน กล่าวว่า “แนวทางของพรรคฝ่ายค้านจะใช้นโยบาย เหมือนการขายบุหรี่โดยทั่วไป”

โฆษก รัสตัน กล่าวว่า "ตามแนวทางโมเดลของเราจะเป็นโมเดลการขายปลีกที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวด คล้ายกับการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบในประเทศนี้ บรรจุภัณฑ์ธรรมดา ๆ หลังเคาน์เตอร์ และทำให้แน่ใจว่าไม่มีใครที่อายุต่ำกว่า 18 ปีสามารถเข้าถึงได้อย่างถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมาย กับผลิตภัณฑ์เหล่านี้"

***หมายเหตุ

- กฎหมายนี้ ทำให้ออสเตรเลียเป็นประเทศแรกที่อนุญาตให้ขายบุหรี่ไฟฟ้าโดยเภสัชกรในร้านขายยาเท่านั้น

- เดิมออสเตรเลียห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าทุกชนิด และให้ขายได้เฉพาะผู้ที่มีใบสั่งแพทย์ ด้วยเหตุผลด้านสุขภาพเท่านั้น

- ทั่วโลกเตรียมจับตาดูว่า กฎหมายใหม่ของออสเตรเลีย จะป้องกันการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนได้หรือไม่

- ออสเตรเลียเป็นผู้นำของโลกในการควบคุมยาสูบ เป็นประเทศแรกที่ออกกฎหมายซองบุหรี่แบบเรียบเมื่อปี ค.ศ.2012 มีการขึ้นภาษีทุก ๆ ปีตามอัตราเงินเฟ้อ จนราคาบุหรี่มวนเฉลี่ยซองละ 26 ดอลลาร์อเมริกา (1,035 บาท) เป็นประเทศที่มีราคาบุหรี่แพงที่สุดในโลก 

- ออสเตรเลียมีเป้าหมายที่จะลดอัตราการสูบบุหรี่ให้ต่ำกว่า 5% โดยไม่สนับสนุนให้มีการใช้บุหรี่ไฟฟ้าทดแทน ซึ่งแตกต่างจากประเทศอังกฤษที่มีท่าทีส่งเสริมการใช้บุหรี่ไฟฟ้าทดแทนการสูบบุหรี่มวน

รู้จัก 'เจียง ผิง' สาวน้อยมหัศจรรย์แห่งเจียงซู จากเด็กสายอาชีพสู่ตัวท็อปงานแข่งคณิตศาสตร์โลก

(28 มิ.ย.67) วิชาคณิตศาสตร์ อาจเป็นยาขมของใครหลาย ๆ คน ไม่ต่างจากภาษาต่างดาว ที่คุยกันให้ตายก็ไม่เข้าใจ และมักจะคิดว่าคนที่เก่งคณิตศาสตร์ มักเป็นเรื่องของเด็กอัจฉริยะที่เรียนอยู่ในสถาบันชื่อดัง ที่อยู่คนละโลกกับเราแน่ ๆ

แต่ความเชื่อเช่นนี้อาจไม่จริงเสมอไป เพราะยังมีเด็กอัจฉริยะหลังเขาอีกมากมาย ที่สปอร์ตไลท์ส่องไม่ถึง 

แต่ล่าสุดวันนี้ แสงไฟแห่งแวดวงคณิตศาสตร์ต้องจับตามอง เจียง ผิง สาวน้อยวัยเพียง 17 ปี จากมณฑลเจียงซู ผู้สามารถทะลุเข้าสู่รอบไฟนอลการแข่งขันคณิตศาสตร์ระดับโลก The Alibaba Global Mathematics Competition 2024 

และสามารถจบที่อันดับท็อป 12 จากในบรรดาผู้เข้าแข่งขันจากทั่วโลกที่คัดมาแล้วอย่างเข้มข้นถึง 800 คน ที่ล้วนมาจากสถาบันดัง ๆ ทั้งนั้น อาทิ MIT, Cambridge, ปักกิ่ง. ชิงหวา ไม่เว้นแม้แต่ทีม AI 

ซึ่งในจำนวนผู้เข้าแข่งขันโปรไฟล์ระดับพระกาฬ มี เจียง ผิง คนเดียว ที่ไม่ได้เรียนในระดับมหาวิทยาลัยชื่อเสียงใหญ่โต และที่สำคัญคือ เธอเป็นคนเดียวที่เรียนสายอาชีพด้านการออกแบบแฟชัน ในโรงเรียนมัธยมโนเนมเล็ก ๆ แทบไม่มีใครรู้จัก ในมณฑลเจียงซูเท่านั้น 

Alibaba Global Math Competition จัดโดยบริษัท Alibaba ตั้งแต่ปี 2018 เพื่อเฟ้นหาหัวกะทิด้านคณิตศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งในปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 6 แล้ว เป็นงานแข่งขันทางคณิตศาสตร์ที่ได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากเป็นงานแข่งขันระดับโลก ที่มีเงินรางวัลสูง และไม่ได้ให้รางวัลสูงสุดแค่ที่ 1 คนเดียว แต่แบ่งเป็นหลายระดับ ได้แก่...

- Gold Award: มีผู้ชนะ 5 คน รับรางวัลเงินสดคนละ $30,000 

- Silver Award: ผู้ชนะ 10 คน รับรางวัลเงินสดคนละ $15,000

- Bronze Award: ผู้ชนะ 20 คน รับรางวัลเงินสดคนละ $8,000

- Honorable Mention: ผู้ชนะ 50 คน รับรางวัลเงินสดคนละ $2,000 

และยังเปิดโอกาสให้ทีม AI ลงแข่งขันได้ด้วย โดยจะแบ่งการแข่งขันเป็นรอบคัดเลือก ที่จะคัดผู้เข้าแข่งขันเพียง 800 คน เข้าสู่รอบไฟนอล โดยในปีนี้รองไฟนอลแข่งกันเมื่อวันที่ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา

หลังจบการแข่งขัน ทางผู้จัดได้ประกาศผลผู้ชนะอย่างเป็นทางการ ก็ปรากฏชื่อ เจียง ผิง เด็กสาววัย 17 ปี จากโรงเรียนอาชีวะ เหลียนชุย เมืองเล็ก ๆ ในมณฑลเจียงซู ทางภาคตะวันออกของจีน เข้ามาติดในอันดับ Top 12 ของกลุ่มผู้ชนะในรายการปีนี้ 

โดย เจียง ผิง เป็นผู้เข้าแข่งขันคนเดียวในรายการปีนี้ ที่ไม่ได้เรียนสายสามัญ ไม่เคยไปเรียนเมืองนอก ไม่เคยเข้าเรียนในสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงที่ไหนมาก่อน เธอเป็นเด็กสาวจากโรงเรียนอาชีวะธรรมดา ๆ ที่รักในวิชาคณิตศาสตร์ และศึกษามันเป็นงานอดิเรกเท่านั้น แต่สามารถเอาชนะผู้เข้าแข่งขันที่มาจากสถาบันระดับโลกเป็นร้อย เป็นพัน จนติดอันดับ 12 เป็นหนึ่งในผู้ชนะของรายการปีนี้ได้สำเร็จ 

จากความสำเร็จของเจียง ผิง ในรายการนี้ นอกจากที่เธอจะได้รับเงินรางวัล อย่างน้อย 15,000 ดอลลาร์ (มากกว่า 5.4 แสนบาท) แล้ว ยังส่งให้เธอกลายเป็นคนดังในแวดวงวิชาการจีนในทันที และยังได้รับเสียงชื่นชมจากชาวจีนเป็นจำนวนมาก

เนื่องจากในสังคมจีนมักมีค่านิยมว่าเด็กเก่ง ต้องเรียนสายสามัญ ต้องได้เรียนในสถาบันที่มีชื่อเสียง ส่วนเด็กที่เรียนไม่เก่ง หรือสอบเข้าที่ไหนไม่ได้ มักต้องไปเรียนในโรงเรียนอาชีวะ ดังนั้นเรื่องการแข่งขันด้านคณิตศาสตร์รายการใหญ่ระดับนี้ กับเด็กสายอาชีวะ อาจเป็นแค่เรื่องเหมือนฝัน ตัวอยู่ประจวบคีรีขันธ์ แต่ฝันไกลถึงแม่สาย 

แต่กับเจียง ผิง เธอเลือกเรียนสายอาชีวะ ด้านการออกแบบแฟชั่นในโรงเรียนแถวบ้าน เพราะพี่สาว และเพื่อน ๆ ที่สนิทเรียนอยู่ที่นั่น และไม่คิดว่าเป็นเรื่องผิดอะไร จนกระทั่ง หวาง หลันฉิว อาจารย์สอนคณิตศาสตร์ประจำโรงเรียนค้นพบพรสวรรค์ของเธอ เมื่อเขาให้นักเรียนในชั้นทำข้อสอบเลข จำนวน 150 ข้อ ซึ่งนักเรียนในชั้นทำคะแนนได้แค่ค่าเฉลี่ย 50-60 คะแนนเท่านั้น มีเพียง เจียง ผิง คนเดียว ที่สามารถทำได้เกิน 140 คะแนน 

ความสามารถของเจียง ผิง จุดประกายครูผู้สอนให้เขาฝึกฝน เจียง ผิง ด้วยโจทย์คณิตศาสตร์ขั้นสูงที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ นานถึง 2 ปี และยอมรับว่าเธอเป็นคนมีวินัยสูงมาก ในขณะที่เพื่อน ๆ ของเธอได้พัก ได้เล่นเมื่อเรียนจบคาบ แต่เจียง ผิง ต้องมาเรียนเสริมคณิตศาสตร์ ต้องมานั่งแก้โจทย์ยาก ๆ อย่างไม่ย่อท้อ และไม่เคยบ่นสักคำ

เจียง ผิง บอกว่า เธอชอบคณิตศาสตร์ ถึงบางครั้งมันจะยาก แต่ยิ่งยาก ก็ยิ่งมันส์ และอยากเรียนวิชานี้เรื่อย ๆ ไม่เลิกล้มความตั้งใจแน่นอน ส่วนอนาคตเธอจะไปทำงานอะไรหลังเรียนจบนั้นเธอยังไม่ได้คิด แค่ตั้งใจทำเรื่องนี้ให้เต็มที่

แต่ก็ไม่วาย มีหลายคนกังขาถึงความสามารถที่แท้จริงของเจียง ผิง และจับผิดว่า เธอยังใช้สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ไม่ถูกต้อง คลิปการแก้โจทย์คณิตศาสตร์บนกระดานของเธอไม่น่าเชื่อถือ และคนที่อยู่เบื้องหลังอาจเป็น หวัง หลันฉิว อาจารย์เลขของเธอต่างหาก พร้อมเรียกร้องให้มีการตรวจสอบความสามารถที่แท้จริงของเจียง ผิง ให้เป็นที่กระจ่าง 

แต่ก็มีชาวเน็ตจีนจำนวนไม่น้อยออกมาแสดงความคิดเห็นว่า เป็นเพราะคนจีนมีอคติว่าเด็กอาชีวะ ไม่เก่งเลข และในบางครั้งการตีโจทย์คณิตศาสตร์การใช้ สัญชาตญาณ อาจสำคัญกว่าทฤษฎี ซึ่งเจียง ผิง ก็เพิ่งมาฝึกแก้โจทย์คณิตศาสตร์ขั้นสูงกับครูเลขแค่ 2 ปี ดังนั้นก็ไม่ควรคาดหวังว่าเธอจะต้องเขียนสมการตามกฎ ทฤษฎี ออกมาได้อย่างเป๊ะปัง สมบูรณ์ เหมือนคนที่เรียนตรงด้านคณิตศาสตร์ชั้นสูงในสถาบันอุดมศึกษา

ที่สำคัญ ไม่อยากให้เจียง ผิง รู้สึกท้อจากคำวิจารณ์ในโลกออนไลน์ แต่อยากให้ส่งเสริมพรสวรรค์ของเธอให้เติบโต ประดับแวดวงคณิตศาสตร์ในอนาคต 

และยังเชื่อด้วยว่า น่าจะมีอัจฉริยะหลังเขาอย่างเจียง ผิง ตกหล่นอยู่ในเมืองชนบทจีนอีกมากมาย หากรัฐบาลแก้ปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้ เราจะพบเจอ 'เจียง ผิง' คนต่อ ๆ ไป มากมายขนาดไหน

เช่นเดียวกับ รามานุจัน เด็กทมิฬในครอบครัวยากจนของอินเดีย ที่เริ่มเรียนวิชาเลขในโรงเรียนประถมเล็ก ๆ ห่างไกลความเจริญเมื่อตอน 10 ขวบ จากหนังสือตรีโกณมิติพื้นฐาน ที่จุดประกายความอัจฉริยะจนกลายเป็นนักคณิตศาสตร์ระดับโลกในเวลาต่อมานั่นเอง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top