Sunday, 30 June 2024
World

เจ้าของบ้าน ในรัฐฟลอริดา ฟ้อง ‘นาซา’ เกือบ 3 ล้านบาท เหตุ!! ชิ้นส่วน ‘สถานีอวกาศ’ ตกใส่บ้านจน ‘หลังคา-พื้นบ้าน’ ทะลุ

(23 มิ.ย.67) จากกรณีเมื่อต้นเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุวัตถุปริศนาตกลงมาใส่หลังคาบ้านหลังหนึ่งในเมืองเนเปิลส์ รัฐฟลอริดา สหรัฐฯ จนหลังคาและพื้นบ้านทะลุ โดยองค์การอวกาศนาซา (NASA) ได้ยืนยันว่า วัตถุดังกล่าวเป็นชิ้นส่วนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ที่ตกลงมาจากนอกโลกจริง

ล่าสุด อเลฮานโดร โอตโร และครอบครัว เจ้าของบ้านหลังดังกล่าว ได้ยื่นเรื่องฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากนาซาแล้ว โดยเรียกร้องเงินชดเชย 80,000 ดอลลาร์สหรัฐ (เกือบ 3 ล้านบาท)

สำนักงานกฎหมาย Cranfill Sumner ซึ่งเป็นตัวแทนทางกฎหมายของโอเตโร กล่าวว่า การเรียกร้องของโอเตโรก็เพื่อชดเชยความเสียหายต่อทรัพย์สินที่ไม่มีประกัน การหยุดชะงักทางธุรกิจ ผลกระทบทางอารมณ์และจิตใจ และค่าใช้จ่ายสำหรับหน่วยงานบุคคลที่สามที่ให้ความช่วยเหลือครอบครัว

มิกา เหงียน วอร์ธี ทนายความของครอบครัวโอเตโร กล่าวว่า “ลูกค้าของฉันกำลังเรียกร้องค่าชดเชยที่เพียงพอเพื่อชดเชยความเครียดและผลกระทบที่เหตุการณ์นี้กระทำต่อชีวิตของพวกเขา”

เธอเสริมว่า “พวกเขารู้สึกขอบคุณที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้ แต่สถานการณ์ที่ฉิวเฉียดเช่นนี้อาจเป็นหายนะได้ โดยหากเศษชิ้นส่วนกระเด็นไปในทิศทางอื่นอีกไม่กี่ฟุต ก็อาจมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตได้”

อเลฮานโดรเคยเล่าก่อนหน่านี้ว่า ชิ้นส่วนสถานีอวกาศตกลงมาใส่บ้านของเขาเมื่อวันที่ 8 มี.ค. ขณะที่แดเนียล ลูกชายของพวกเขาอยู่บ้าน แม้โชคดีไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แต่จุดที่มันตกลงมาอยู่ห่างจากห้องของลูกชายเขาไปเพียง 2 ห้องเท่านั้น

ขณะเดียวกัน ผลการศึกษาของนาซาก่อนหน้านี้ระบุว่า วัตถุดังกล่าวมีลักษณะเป็นแผ่นโลหะทรงกระบอก หลุดออกมาจากอุปกรณ์สนับสนุนการบินที่ใช้ในการยึดแบตเตอรี่บนพาเลทสินค้าเมื่อปี 2021 วัตถุนี้ทำจากโลหะผสมอินโคเนล (Inconel) หรือซูเปอร์อัลลอยที่ทำจากนิกเกิล-โครเมียม มีน้ำหนัก 0.7 กิโลกรัม ยาว 4 นิ้ว และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.6 นิ้ว

เศษชิ้นส่วนดังกล่าวยังคงมีสภาพสมบูรณ์แทนที่จะสลายตัวหลังจากที่มันเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของโลกก่อนที่จะตกลงสู่พื้นผิว
การฟ้องร้องคดีนี้เป็นที่น่าจับตาอย่างยิ่ง เนื่องจากจะเป็นคดีตัวอย่างสำหรับการเรียกร้องปัญหาและผลกระทบจากขยะอวกาศทั้งที่เกิดจากทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ

ทั้งนี้ นาซาจะมีเวลา 6 เดือนในการตอบสนองต่อคำฟ้องร้องนี้

‘ฟิลิปปินส์’ โวย ‘สหรัฐฯ’ ป้ายสี วัคซีนซิโนแวค ของจีน ทำให้ประชาชนไม่กล้าฉีด สุดท้ายยอดตาย พุ่งหลายหมื่น

(23 มิ.ย.67) รายงานการสืบสวนหนึ่งของรอยเตอร์ที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พบว่ากองทัพสหรัฐฯ ได้เปิดยุทธการโฆษณาชวนเชื่อแบบลับๆ ในช่วงพีกสุดของโรคระบาดใหญ่ในฟิลิปปินส์ สำหรับเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนและก่ออิทธิพลสร้างวาทกรรมในวงกว้างเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนซิโนแวคของจีน เช่นเดียวกับอุปกรณ์และเครื่องไม้เครื่องมือช่วยชีวิตอื่นๆ ที่จัดหาให้โดยปักกิ่ง

ยุทธการดังกล่าว ซึ่งเริ่มขึ้นในปี 2020 และลากยาวจนถึงช่วงกลางปี 2021 เกี่ยวข้องกับการใช้บัญชีปลอมบนสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งรอยเตอร์ตรวจพบอย่างน้อย 300 บัญชีบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ โดยมีเจตนาเพื่อก่อความคลางแคลงใจต่อวัคซีนซิโนแวคในหมู่ประชาชนชาวฟิลิปปินส์ ขณะที่รอยเตอร์รายงานอ้างว่ายุทธการนี้ถูกจัดทำขึ้นมาเพื่อเอาคืนความพยายามของปักกิ่งที่กล่าวโทษวอชิงตัน เป็นต้นตอของโรคระบาดใหญ่

ซิโนแวค เป็นวัคซีนโควิด-19 ตัวแรกที่เข้าถึงได้ในฟิลิปปินส์ แต่การแจกจ่ายวัคซีนตัวนี้ถูกบดบังจากความกังวลเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของมัน ชาวฟิลิปปินส์มีความลังเลใจต่อวัคซีนซิโนแวคมากกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค โดยจนถึงเดือนกันยายน 2021 มีถึงเกือบครั้งที่ไม่มีความตั้งใจหรือไม่แน่ใจว่าพวกเขาควรรับวัคซีนยี่ห้อนี้หรือไม่ ตามข้อมูลของเวิลด์แบงก์

บรรดาเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในแนวหน้า ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ ณ โรงพยาบาลฟิลิปปินส์ เจเนอรัล สถานพยาบาลหลักสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ของฟิลิปปินส์ ระบุว่าประชาชนชาวฟิลิปปินส์ ต้องกลายเป็นผู้ชดใช้ในปฏิบัติการแอบแฝงของสหรัฐฯ ในความพยายามทำลายความน่าเชื่อถือของวัคซีนจีน

ถ้าโฆษณาชวนเชื่อบิดเบือนข้อมูลนั้นเป็นจริง มุมมองของประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับความสำคัญของวัคซีนอาจได้รับผลกระทบจากการยั่วยุปลุกปั่นทางสังคมในครั้งนี้ เรารู้ว่าชาวฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะคนชรา สามารถเชื่อสิ่งที่พวกเขาอ่านได้อย่างง่ายๆ" แอนโดรน คาร์ล โรโรเนโจ พยาบาลในหออภิบาลกุมารเวชของโรงพยาบาลฟิลิปปินส์ เจเนอรัล บอกกับอาหรับนิวส์ "ฉันคิดว่าถ้าไม่มีเรื่องแบบนี้ จะมีคนยอมฉีดวัคซีนมากกว่านี้ในระยะแรกๆ และดังนั้น จะมีอีกหลายชีวิตที่ได้รับการปกป้อง

ยอดผู้เสียชีวิตจากโรคระบาดใหญ่ในฟิลิปปินส์พุ่งเหนือ 66,000 ราย ส่งผลให้พวกเขากลายเป็นชาติที่มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นรองเพียงอินโดนีเซีย

ไบรอัน เอลวัมบูเอนา แพทย์ประจำโรงพยาบาลฟิลิปปินส์ เจเนอรัล ในปี 2020 บอกว่าหลายชีวิตอาจอยู่รอดหากไม่มีการบิดเบือนข้อมูล เขาเชื่อว่ายุทธการของสหรัฐฯ ก่ออิทธิพลแก่คนไข้ของเขา หลายคนในนั้นติดเชื้อโควิด-19 อาการรุนแรง "ผมตกใจมาก และพบว่ามันไม่สร้างสรรค์และน่าสมเพช เพราะว่าเราพยายามอย่างสุดความสามารถ แจ้งให้ผู้คนเข้ารับวัคซีนยามที่วัคซีนมีพร้อมแล้ว"

พวกเจ้าหน้าที่สาธารณสุขฟิลิปปินส์ยังได้ย้อนความถึงกรณีที่โรคระบาดใหญ่ทำให้ระบบสาธารณสุขของประเทศอยู่บนขอบเหวของการพังครืน แพทย์และพยาบาลต้องดิ้นรนดูแลคนไข้โควิด-19 ท่ามกลางเคสผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูง

ไดแอนน์ เดอ คาสโตร พยาบาลรายหนึ่งของโรงพยาบาลฟิลิปปินส์ เจเนอรัล เปิดเผยว่าเธอต้องรับหน้าที่ดูแลคนไข้ 24 คนเพียงลำพัง โดยในนั้น 4 คน ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์พยุงชีพ

"มันทำให้ฉันคิดว่า เราอาจปกป้องหรืออย่างน้อยๆ ก็มีอัตราการเสียชีวิตที่น้อยกว่านี้ หลายชีวิตต้องมาสูญเสียไปในช่วงเวลาอันมืดมิดในยุคของเรา ฉันทำงานในด้านสาธารณสุขมาราว 4 ปีก่อนโควิด-19 ฮันไม่เคยรู้สึกกวาดกลัวเช่นนี้มาก่อน ที่ได้เห็นแม่ๆ พ่อๆ ลูกหลาน ญาติๆ และเพื่อนๆ ต้องมาตายในทุกๆ วัน" เดอ คาสโตร ให้สัมภาษณ์กับอาหรับนิวส์

อุบายเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนแก่สาธารณะ ทำให้ฉันโมโห ฉันยังคงมองว่าซิโนแวคเป็นวัคซีนที่มีศักยภาพสำหรับรับมือโควิด-19 และการเผยแพร่ข่าวลือนี้เท่ากับเป็นการตัดสายออกซิเจนคนคนหนึ่ง ที่กำลังต้องการอากาศหายใจและดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของชีวิต

สำหรับเธอแล้ว เดอ คาสโตร บอกว่ายุทธการโฆษณาชวนเชื่อของสหรัฯ ‘เป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ’ ปล้นโอกาสรอดชีวิตจากโรคระบาดใหญ่ไปจากผู้คน และขโมยเหยื่อผู้เสียชีวิตไปจากครอบครัว

‘ญี่ปุ่น’ พบ!! วัยทำงาน 60% ‘ขาดแรงจูงใจ’ ช่วงหน้าฝน ทำให้ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพ ‘การทำงาน’ ที่ลดลง

เมื่อวานนี้ (23 มิ.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า บริษัทอาหารรายใหญ่ของญี่ปุ่น พบว่าประชาชนคนวัยทำงานในญี่ปุ่นราวร้อยละ 60 รู้สึกขาดแรงจูงใจยามประเทศเข้าสู่ช่วงฤดูฝน

การสำรวจนี้ที่มุ่งเน้นผลกระทบจากรูปแบบสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงต่อชีวิตความเป็นอยู่ ระบุว่าผู้คนจำนวนมากได้รับผลกระทบจากความกดอากาศที่ผันผวนและการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิในช่วงฤดูฝน โดยเฉพาะฤดูฝนที่มาช้าในหลายภูมิภาคอย่างคิวชู

เมื่อถามถึงสุขภาพในช่วงฤดูฝน ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่หรือร้อยละ 59.6 ตอบว่า ‘ขาดแรงจูงใจ’ ตามด้วยปัญหาอย่าง ‘ไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกไม่สบายตัวอย่างไร’, ‘รู้สึกไม่สบาย’ และ ‘ประสิทธิภาพการทำงานลดลง’

นอกจากนั้น การสำรวจนี้ที่มุ่งเน้นการจัดการสุขภาพและมีผู้ตอบแบบสอบถามทางออนไลน์ อายุ 20-60 ปี จำนวน 2,000 คน ระหว่างวันที่ 26-28 เม.ย. ยังตรวจสอบผลกระทบจากการทำงานระยะไกลต่อสุขภาพด้วย

ผู้ตอบแบบสอบถามราวหนึ่งในสี่ที่ทำงานระยะไกลอย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์ เผยว่ามีแรงจูงใจลดลงและแนวโน้มทำงานต่อไปแม้รู้สึกไม่สบายตัว โดยภาวะนี้พบมากเป็นพิเศษในกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามอายุ 20-29 ปี หรือคิดเป็นมากกว่าร้อยละ 50

ขณะเดียวกันผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 71 ยอมรับว่าปกปิดปัญหาสุขภาพของตนเองและยังคงทำงานต่อไป โดยเฉพาะผู้หญิงอายุ 30-39 ปี ที่คิดเป็นอัตราสูงสุดถึงร้อยละ 81.2

‘คลินิกจีน’ เคลม!! ฝังเข็มบนศีรษะช่วยเพิ่ม IQ - เสริมความจำ นักเรียน-วัยทำงานแห่จองคิว ฟากชาวเน็ตท้วง “เป็นไปได้เหรอ?”

(24 มิ.ย.67) คลินิกฝังเข็ม IQ Boost ในโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนประจำจังหวัดแห่งหนึ่งในมณฑลเจ้อเจียง ทางภาคตะวันออกของจีน นำเสนอแพ็กเกจ ฝังเข็มที่ศีรษะช่วยเสริมความฉลาดปราดเปรื่อง และพัฒนาเรื่องความจำได้ จนกลายเป็นกระแสไวรัล ที่มีผู้ปกครองนำบุตรหลานของตนเข้ามาจองคิวฝังเข็มกันเป็นจำนวนมาก 

หง โชวไห่ แพทย์แผนโบราณจีนด้านการฝังเข็มกล่าวว่า การฝังเข็มสามารถกระตุ้นสมอง ที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของเซลล์สมองให้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยทำให้ออกซิเจนไหลเวียนไปยังสมองมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความฉลาดหลักแหลมให้กับสมองของเราได้ 

การฝังเข็มถูกกล่าวถึงในตำราทางการแพทย์จีนโบราณที่รู้จักกันในชื่อ ‘หวงตี้เน่ยจิง’ หรือคัมภีร์ลับแห่งจักรพรรดิเหลือง ซึ่งเป็นตำราแพทย์แผนโบราณของจีนที่มีอายุย้อนกลับไปนานถึง 100 ปีก่อนคริสตกาล

โจว ไห่เจียง แพทย์ด้านการฝังเข็มอีกคนในคลินิกได้อธิบายว่า ในฝังเข็มตรง ‘จุดไป๋ฮุ่ย’ หรือจุดที่อยู่ตรงกึ่งกลางศีรษะจะช่วยกระตุ้นสมอง และสร้างความกระปรี้กระเปร่า

โดยศาสตร์ด้านการฝังเข็มของจีนได้กล่าวถึง ‘The Four Intelligence Points’ หรือจุดอัจฉริยะทั้ง 4 อัน ได้แก่ ตำแหน่ง 4 จุด ที่ล้อมรอบจุดไป๋ฮุ่ย เกี่ยวพันกับอาการปวดศีรษะ, นอนไม่หลับ, และอาการหลงลืม

ส่วน จุดเฟิงชี่ หรือตำแหน่ง 2 จุดบริเวณก้านคอ จะกระตุ้นออกซิเจนให้ไหลเวียนในศีรษะและใบหน้าได้ดี ที่ช่วยพัฒนาศักยภาพด้านความทรงจำ ทางคลินิกจึงเคลมว่า หากฝังเข็มให้ตรงจุดเหล่านี้โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง สามารถเพิ่ม IQ ได้ 

หลังจากที่ปล่อยโฆษณาแพ็กเกจฝังเข็มเพิ่ม IQ ออกไป ก็มีกลุ่มนักเรียน และคนทำงานเข้ามาจองรอบฝังเข็มที่ศีรษะกับทางคลินิกเป็นจำนวนมาก เฉลี่ยราว 50-60 คิวต่อวัน

แต่ก็ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในโลกโซเชียลที่ยังกังขากับวิธีการฝังเข็มแนวนี้ ว่าน่าเชื่อถือจริงหรือไม่

หม่า กวนฟู่เฉิง แพทย์แผนจีนโบราณแห่งโรงพยาบาลเซี่ยเหมินได้กล่าวกับสื่อจีนว่า การฝังเข็มเพื่อความอัจฉริยะ มีความเป็นไปได้ แต่ไม่ได้ถึงการเพิ่ม IQ ของคนอย่างที่เข้าใจกัน

เนื่องจากโดยหลักการแล้ว การฝังเข็มเป็นวิธีการควบคุมการทำงานทางสรีรวิทยาของร่างกายมนุษย์ด้วยการกระตุ้นในจุดฝังเข็ม จึงช่วยในเรื่องการไหลเวียนของเลือดในสมอง ปรับปรุงสภาพแวดล้อมจุลภาคของสมอง และสามารถส่งเสริมการฟื้นตัวของการทำงานของสมองได้ 

ในเวลาเดียวกัน การฝังเข็มยังสามารถควบคุมสมดุลของหยิน-หยาง พลังชี่ และการไหลเวียนโลหิต ซึ่งช่วยในเรื่องอาการนอนไม่หลับได้ดี แต่ไม่ใช่เครื่องมือที่เพิ่มระดับ IQ ได้โดยตรง

แต่ทั้งนี้ อวี๋ จิน ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์การฝังเข็มและสมองที่มหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนกว่างโจว ยืนยันอีกเสียงว่า การฝังเข็มมีประสิทธิภาพในการปรับปรุงการทำงานของสมองได้จริง แต่ต้องดำเนินการโดยแพทย์มืออาชีพ และพบว่า การฝังเข็มยังประสบความสำเร็จในการรักษาอาการที่เกิดจากโรคทางสมอง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคอัลไซเมอร์ ความบกพร่องทางสติปัญญาในเด็ก และโรคสมองพิการ ได้ 

นับเป็นศาสตร์พิศวงจากตำราแพทย์แผนจีนที่มีอายุมานานกว่า 2,000 ปี ที่วงการแพทย์ยุคใหม่ให้ความสนใจและต้องการพิสูจน์ข้อเท็จจริงเหล่านี้ด้วยความตื่นเต้น 

'ม.สือเหอจื่อ' เชิญ 'แม่บ้าน-รปภ.' กล่าวอวยพรแก่บัณฑิตจบใหม่ สะท้อนความเท่าเทียม-ให้เกียรติแก่ทุกคนในรั้วการศึกษานี้

(25 มิ.ย. 67) ผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก ‘ตี๋น้อย’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ งานพิธีประสาทปริญญาบัตร ของมหาวิทยาลัยสือเหอจื่อ เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ประเทศจีน โดยมีเนื้อความระบุว่า…

“เรียบง่าย ให้เกียรติ และ มีความหมายที่สุด”

“นี่คือสิ่งที่ตี๋น้อยให้คำนิยามเกี่ยวกับงานพิธีประสาทปริญญาบัตร ของมหาวิทยาลัยสือเหอจื่อ เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ประเทศจีนครับ”

“โพสต์นี้เอาบรรยากาศพิธีประสาทปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยสือเหอจื่อ เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ประเทศจีน มาฝากครับ”

“ตัวตี๋น้อยเองมีโอกาสได้รับเชิญเข้าร่วมงานพิธีประสาทปริญญาบัตรนี้ด้วย ในตัวงานพิธีจะจัดในช่วงพระอาทิตย์ขึ้น ( ที่นี่พระอาทิตย์ขึ้น 7 โมงเช้า งานพิธีเริ่ม 8 โมงเช้า )”

“ในการเริ่มพิธีจะมีการเคารพธงชาติ หลังจากนั้นก็เป็นการกล่าวสุนทรพจน์ของบัณฑิต โดยมีทั้งตัวแทนของบัณฑิตจีนและต่างชาติ จากนั้น เป็นการอวยพรของเหล่าคณาจารย์ ศิษย์เก่าต่าง ๆ”

“สิ่งที่เป็นไฮไลท์ที่สุดคือ การให้เกียรติ แม่บ้านมหาวิทยาลัย ฝ่ายรักษาความปลอดภัย ขึ้นกล่าวอวยพรและสอนการใช้ชีวิตแก่บัณฑิตจบใหม่ อันนี้เป็นอะไรที่สุดยอดมาก ๆ แสดงถึงความเท่าเทียม และให้เกียรติกันมาก ๆ เป็นสิ่งที่ตี๋น้อยชอบและประทับใจที่สุดในพิธีครับผม ถือว่าสุดยอดมาก ๆ”

“ในบางมหาวิทยาลัยในจีนเองก็มีการให้แม่บ้าน และฝ่ายรักษาความปลอดภัยขึ้นกล่าวอวยพรบัณฑิตเหมือนกันครับ”

“จากนั้นในการมอบปริญญาบัตร ที่นี่จะเป็นการให้คณะอาจารย์มอบปริญญาบัตรตามจุดต่าง ๆ ทำให้พิธีผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก ๆ ครับ”

“ทั้งหมดตี๋น้อยขอให้คำนิยามเกี่ยวกับพิธีประสาทปริญญาบัตรครั้งนี้ครับว่า ‘เรียบง่าย ให้เกียรติ และมีความหมายที่สุด’ ครับ”

“ปล. ของผมเองน่าจะรอปีหน้าครับ”

10 เหตุผล 'คนเมียนมา' แห่หากินในไทยง่ายๆ เพราะเมืองไทยอะไรก็ได้ ใต้คอร์รัปชันไทย เอื้อต่างชาติด้อยคุณภาพ ถือครองทรัพย์สินแผ่นดิน

บ่อยครั้งกับหลายเรื่องในรัฐบาลก่อนที่ เอย่า เคยนำเสนออะไรไป สุดท้ายแล้วในยุครัฐบาลที่ใครเขาก็ว่าเป็นยุคเผด็จการ เขาก็รับฟังและพยายามนำไปปรับแก้ไข เพื่อไม่ให้เกิดคำครหา หากทุกอย่างเป็นผลประโยชน์ของคนไทย

แต่กลับกันกับรัฐบาลปัจจุบัน แม้ เอย่า จะเคยแจ้งแถลงไขออกสื่ออะไรไป อย่างเช่นเรื่อง VIP Pass ที่จ่ายเพียงหลักพัน ไม่ต้องสำแดงเงิน-ตั๋วขากลับและโรงแรมที่พัก แถมบางเอเย่นต์บอกว่าถึงไทยมีรถมารับหน้า Gate ด้วย อะไรจะ Privilege ปานนั้น ก็ไม่เกิดแรงกระเพื่อมใด ๆ ทางสังคม

ล่าสุดในกลุ่มโซเชียลชาวเมียนมา เริ่มโพสต์บอกกันแล้วว่า ‘ย้ายมาอยู่ไทยกันเถอะ’ พร้อมยกข้อดีในการย้ายมาอยู่ไทยที่อ่านดูแล้วคนไทยจะรู้สึกภูมิใจหรือไม่ ก็สุดแท้...โดย เอย่า ได้รวบรวมมุมมองเมืองไทยในมุมของพวกเขามาไว้ให้ทราบกัน ดังนี้...

1. ไทยเดินทางไปกลับเมียนมาสะดวก ทั้งทางบกและทางอากาศ มีหลายช่องทางให้เลือก

2. ค่าครองชีพต่ำ เมื่อเทียบกับหลายประเทศรอบข้าง

3. สาธารณูปโภคดีทั้งน้ำ-ไฟ การสื่อสารและอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงทุกที่ในราคาไม่แพง

4. รักษาพยาบาลรัฐได้ฟรี ค่าใช้จ่ายในการคลอดบุตรไม่แพง สามารถซื้อประกันสุขภาพได้หากมีบัตรแรงงาน

5. เข้ามาเป็นแรงงาน ไม่มีการตรวจสอบ ทำประวัติไม่ดี มีคดีติดตัวหรือหลบหนีเข้าเมือง ก็ทำบัตรแรงงานได้ เพราะทางราชการไทยเปิดให้ทำเรื่อยๆ

7. อาหารการกินหาง่าย สะอาด ราคาเป็นมิตรและถูกปากชาวเมียนมา

8. งานหาได้ไม่ยาก ถ้ายิ่งพูดภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้ ยิ่งมีโอกาสได้งานสูง ภาคเอกชนของไทยไม่ได้เช็กภูมิหลังว่าเดินทางมาด้วยสาเหตุอะไร

9. หากคลอดลูกในไทย โรงพยาบาลของไทยออกสูติบัตรได้ ทำให้ลูกต่างด้าวมีสิทธิ์เรียนฟรีตั้งแต่อนุบาลถึงมัธยมศึกษาตอนปลายในประเทศไทย เมื่อเรียนจบปริญญาตรีและอายุ 20 ปี บริบูรณ์สามารถโอนสัญชาติเป็นไทยได้ อันจะทำให้ต่างชาติที่ซื้อที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์อื่นใดที่เคยถือครองด้วยนอมินีคนไทยสามารถโอนเป็นชื่อของลูกหลานตนได้

10. ด้วยนิสัยคนไทยที่เป็นมิตรกับคนต่างชาติ ต่างภาษา ทำไมคนต่างชาติอยู่ในไทยแล้วรู้สึกถึงความปลอดภัยทั้งทางร่างกายและจิตใจ อีกทั้งไทยยังเปิดกว้างด้านเพศที่ทำให้ไม่ว่ารสนิยมทางเพศเป็นแบบไหนอยู่ในไทยก็ไม่รู้สึกแปลกแยก

นี่อาจจะเป็นเสียงสะท้อนแค่ฝั่งคนพม่า แต่ เอย่า มองว่านี่คือ สิ่งที่คนต่างชาติหลายคนรู้สึกถึงสาเหตุว่า ทำไมประเทศไทยเป็นเมืองที่น่าอยู่ แต่ในอีกมุมหนึ่งความหละหลวมและคอร์รัปชันของไทยที่ส่งผลให้ต่างชาติที่ไม่ได้มีคุณภาพตามเกณฑ์ของไทยมาถือครองทรัพย์สิน หากินบนแผ่นดินไทยและสร้างความเดือดร้อนให้กับแผ่นดินไทยเช่นกัน

สุดท้าย เอย่า คงต้องฝากบอกว่า 'ไทย' จะเป็นประเทศไม่ได้ หากคนไทยไม่ร่วมช่วยกันสร้างให้เจริญ แต่กลับขายมันให้กับคนต่างชาติ 

จะเอาแบบไหน? นั่นเป็นสิ่งที่คนไทยเราต้องเลือกเอง!!

'นักวิจัย' เผย AI รู้จักวิธีโกหก 'มนุษย์' ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แนะโลกต้องเร่งสร้างกฎระเบียบที่เข้มงวด เพื่อลดความเสี่ยงนี้

(25 มิ.ย.67) เพจ ‘Business Tomorrow’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับการพัฒนาของ AI ที่ก้าวหน้าจนน่าหวาดกลัว โดยระบุว่า…

“นักวิจัยเผย AI รู้จักวิธีที่จะโกหก ‘มนุษย์’ ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

“นักวิจัยได้เปิดเผยผลการศึกษาล่าสุดที่น่าตกใจ โดยปัญญาประดิษฐ์ (AI) สามารถเรียนรู้วิธีการโกหกมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความทบทวนที่ตีพิมพ์เมื่อเร็ว ๆ นี้ในวารสารPatternsนักวิจัยเน้นย้ำถึงอันตรายของการหลอกลวง AI และกระตุ้นให้รัฐบาลสร้างกฎระเบียบที่เข้มงวดอย่างรวดเร็วเพื่อลดความเสี่ยงเหล่านี้”

“ในการทดลอง นักวิจัยพบว่า AI สามารถสร้างข้อความที่มีความน่าเชื่อถือแต่เป็นเท็จ โดยปรับแต่งการตอบสนองให้เหมาะสมกับบริบทและความคาดหวังของมนุษย์ ความสามารถนี้ไม่เพียงแค่การสร้างข้อมูลผิด ๆ แต่ยังรวมถึงการปกปิดข้อมูลบางส่วนและการบิดเบือนความจริงอย่างแยบยล”

“ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าความสามารถนี้อาจนำไปสู่การใช้ AI ในทางที่ผิด เช่น การสร้างข่าวปลอม การหลอกลวงทางการเงิน หรือการบิดเบือนข้อมูลทางการเมือง อย่างไรก็ตาม บางคนเสนอว่าความเข้าใจนี้อาจช่วยในการพัฒนาระบบตรวจจับการหลอกลวงที่ดีขึ้น”

“นักวิจัยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนา AI อย่างมีความรับผิดชอบ โดยคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมและจริยธรรม พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการกำกับดูแลและการสร้างมาตรฐานทางจริยธรรมสำหรับ AI”

>> ตัวอย่างการหลอกลวง

“ตัวอย่างของ CICERO ที่สามารถเอาชนะเกม Diplomacy บอร์ดเกมผู้เล่น 7 คนที่ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกันคือการควบคุมพื้นที่ส่วนมากของโลก หรือเป็นผู้นำของโลก ผ่านการเจรจาทางการทูตเพื่อหาพันธมิตรให้มากที่สุด แต่ในการทำข้อตกลงต่าง ๆ ผู้เล่นสามารถใช้เล่ห์เหลี่ยมของตนเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ได้เต็มที่”

“ในเกมนี้จะมี AI ตัวหนึ่งชื่อว่า CICERO คิดค้นโดย Meta เปรียบเสมือนตัวช่วย คอยแนะแนวทางผู้เล่นให้สามารถเอาชนะในเกมได้ แต่ปรากฏว่า CICERO สามารถหลอกให้ผู้เล่นเชื่ออย่างอยู่หมัดผ่านการโกหกและหักหลังพวกเดียวกัน พร้อมขึ้นเป็นผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว”

“นั่นหมายความว่า AI ได้พัฒนาตนเองเพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์ในเกม จนกลายเป็นนกสองหัว และอาจบ่งบอกได้ว่า AI ไม่เพียงแต่กำลังโกหกมนุษย์ แต่หมายถึง AI กำลังมีความคิดเหนือยิ่งกว่านั้น โดยโกหกเพื่อสร้างความเชื่อใจและหักหลังอย่างไร้ความปรานี”

'ชาวรัสเซีย' เริ่มหวั่น!! หลังเกิดเหตุกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงถล่มแคว้นดาเกสถาน ชวนกังวล-ไม่แน่ใจ 'เครมลิน' จะคุมเหตุรุนแรงในประเทศได้อยู่อีกหรือไม่?

เกิดเหตุก่อการร้ายขึ้นอีกครั้งในแคว้นดาเกสถาน ทางตะวันตกด้านชายฝั่งทะเลแคสเปียนของรัสเซีย เมื่อช่วงเย็นวันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมาในกรุงมาฮัชคาลา เมืองหลวงของแคว้น และ เมืองเดอร์เบนท์ ที่อยู่ริมชายฝั่ง  

โดยกลุ่มก่อการร้าย ที่ภายหลังระบุว่าเป็นกลุ่มชาวมุสลิมหัวรุนแรง จำนวน 4 คนได้โจมตีกรุงมาฮัชคาลา ส่วนอีก 2 คนก่อเหตุในเมืองเดอร์เบนท์ ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ด้วยการกราดยิงเข้าไปในป้อมตำรวจ โบสถ์คริสต์ออร์โทดอกซ์ และโบสถ์ยิว แล้วจุดไฟเผา เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บถึง 46 ราย และ เสียชีวิตกว่า 20 ราย ซึ่ง 15 ใน 20 รายนี้ เป็นตำรวจ

ทางการรัสเซียรายงานว่าได้จัดการวิสามัญคนร้ายไป 5 ราย และได้มีการจับภาพการดวลปืนเสียงดังสนั่นระหว่างผู้ก่อการร้าย และ เจ้าหน้าที่ ในหมู่บ้านที่เคยเงียบสงบในเมืองเดอร์เบนท์ที่กลายเป็นคลิปข่าวที่สร้างความตื่นตะลึงไปทั่วรัสเซีย และเกิดคำถามถึงรัฐบาลกลางรัสเซียว่า ละเลยภัยซ่อนเร้นในบ้านตัวเองหรือไม่?

ดาเกสถาน เป็นแคว้นทางตอนใต้ฝั่งตะวันตกติดกับทะเลแคสเปียน มีพรมแดนติดกับเชสเนีย, จอร์เจีย และ อาเซอร์ไบจาน ถือเป็นแคว้นที่มีกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลายที่สุดแห่งหนึ่งของรัสเซีย และมีพลเมืองกว่า 83% เป็นชาวมุสลิม

แต่ทั้งนี้ เดอร์เบนท์ เมืองสำคัญในแคว้นนี้กลับได้รับสมญานามว่าเป็น 'เมืองแห่ง 3 ศาสนา' อันได้แก่ศาสนาอิสลาม, คริสต์ และ ยูดาห์ เนื่องจากเมืองนี้มีที่ที่อยู่อาศัยของชุมชนชาวคริสต์ที่เก่าแก่ที่สุดในรัสเซีย และ ชุมชนชาวยิวรุ่นบุกเบิกมานานหลายชั่วอายุคน ที่เป็นเป้าหมายในการโจมตีของกลุ่มก่อการร้ายหัวรุนแรงมานานแล้ว 

หากไม่นับรวมเหตุการณ์กราดยิงในคอนเสิร์ต ฮอลล์ ใจกลางกรุงมอสโก เมื่อเดือนมีนาคมของปีนี้ ที่มีผู้เสียชีวิตมากถึง 145 ราย โดยกลุ่มก่อการร้าย ISIS-K ออกมาประกาศแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุครั้งนั้น แคว้นดาเกสถาน ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่มักเกิดเหตุโจมตีชุมชนชาวคริสต์ และ ชาวยิว ในพื้นที่มานานหลายสิบปีแล้ว  

สาเหตุหนึ่งมาจากแคว้นนี้เป็นแหล่งลี้ภัยของกลุ่มลัทธิหัวรุนแรงจากเชสเนีย และแคว้นใกล้เคียง มาอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังเป็นเมืองด่านหน้าของการปะทะกันระหว่างกองกำลังรัสเซีย กับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในช่วงสงครามเชสเนีย 

จนทำให้ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา เมืองนี้มักเกิดเหตุไม่สงบอยู่เนือง ๆ โดยตำรวจ เจ้าหน้าที่รัฐ และ โบสถ์สำคัญทางศาสนาคริสต์ และยิว มักถูกใช้เป็นเป้าหมายในการก่อเหตุ

อีกทั้งสภาพเศรษฐกิจ สังคมโดยรวมของแคว้นดาเกสถาน ค่อนข้างอ่อนแอ และ ย่ำแย่จากภายใน มีการคอร์รัปชันภายในรัฐบาลท้องถิ่น อัตราการว่างงานสูง ความหลากหลายด้านเชื้อชาติ ภาษา และ ศาสนาในแคว้น เป็นอุปสรรคต่อการสร้างความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันของประชากรในพื้นที่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นแหล่งฟูมฟักชั้นดีของลัทธิก่อการร้าย 

และจากเหตุก่อการร้ายในดาเกสถาน เป็นการตอกย้ำอีกครั้งว่าภัยคุกคามจากกลุ่มก่อการร้ายหัวรุนแรงในประเทศไม่เคยหายไปไหน และรอคอยโอกาสที่จะสร้างความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 

ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกประจำทำเนียบเครมลิน ยังคงปฏิเสธความเป็นไปได้ที่จะเกิดคลื่นแห่งความรุนแรงในภูมิภาคคอเคซัสเหนือ (แคว้นที่อยู่คั่นกลางระหว่างทะเลอาซอฟ ทะเลดำทางทิศตะวันตก และทะเลแคสเปียนทางตะวันออก รวมถึง ดาเกสถานด้วย) และยืนยันว่าสังคมรัสเซียมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากพอ ที่จะไม่สนับสนุนการก่อการร้ายในชุมชนของพวกเขา เหมือนเมื่อ 20 ปีที่แล้วอีกต่อไป

เช่นเดียวกับ วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ที่เคยออกมากล่าวหลังเหตุกราดยิงในคอนเสิร์ต ฮอลล์ ในกรุง มอสโกว่า รัสเซียไม่ใช่เป้าหมายของกลุ่มก่อการร้ายชาวมุสลิมหัวรุนแรง เพราะเชื่อมั่นในความสามัคคีระหว่างศาสนา และกลุ่มชาติพันธุ์ในรัสเซียอันเป็นเอกลักษณ์ที่หาได้ยากในโลก ส่วนภัยจากเหตุก่อการร้ายเป็นการแทรกซึมของฝ่ายยูเครน และ อริชาติตะวันตก 

แต่ใช่ว่าชาวรัสเซียทุกคนจะคิดเช่นนี้ และกำลังมองว่ารัฐบาลรัสเซียกำลังใช้ทรัพยากรของประเทศไปทุ่มให้กับสงครามในยูเครนมากเกินไปจนละเลยภัยซ่อนเร้นภายในบ้าน อันเป็นปัญหาที่หมักหมมค้างเติ่งที่รัฐบาลมองข้ามมานานนับสิบปี 

สำหรับเหตุกราดยิงกลางเมืองในดาเกสถาน ที่อุกอาจขนาดถล่มป้อมตำรวจ เผาโบสถ์คริสต์-ยิว ยิงบาทหลวงเสียวิต โดยเจาะจงเลือกช่วงเทศกาล Trinity Sunday ของชาวคริสต์ออร์โทดอกซ์พอดี และห่างจากเหตุก่อการร้ายของกลุ่ม ISIS-K ในกรุงมอสโกเพียงไม่กี่เดือนนั้น ก็ชวนให้ชาวรัสเซียเริ่มไม่แน่ใจว่า รัฐบาลเครมลินจะคุมสถานการณ์ของกลุ่มหัวรุนแรงในประเทศได้อยู่หรือไม่

‘เกาหลีใต้’ ปัดข้อเรียกร้องผ่อนผัน K-ETA ‘ไทย’ แม้ยอดนทท.ไทยลดลง หลังพบประชากรแฝงชาวไทยเพิ่มขึ้นสามเท่าในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา

(25 มิ.ย.67) หนังสือพิมพ์ The Korea Herald ของเกาหลีใต้ รายงานข่าว S. Korea unlikely to grant temporary K-ETA exemption to Thailand ระบุว่า จากกรณีที่กระทรวงวัฒนธรรม กีฬาและการท่องเที่ยวของเกาหลีใต้ เรียกร้องให้กระทรวงยุติธรรมของเกาหลีใต้ ผ่อนผันประเทศไทยไม่ต้องเข้าระบบการขออนุญาตเดินทางเข้าประเทศ หรือ K-ETA อย่างน้อยจนถึงสิ้นปี 2567 เนื่องจากพบจำนวนท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางมาเกาหลีใต้ลดลง 

ล่าสุด กระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้ดูแลระบบ K-ETA ได้ออกแถลงการณ์ ยืนยันว่า เป็นการยากที่จะดำเนินการผ่อนผันดังกล่าว

“เราจำเป็นต้องระมัดระวังในการใช้ข้อยกเว้น K-ETA สำหรับประเทศต้นทางที่มีผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารจำนวนมาก K-ETA เป็นระบบที่ถูกนำมาใช้หลังจากตระหนักว่า มีข้อจำกัดในการควบคุมการเข้าเมืองและป้องกันการอยู่อาศัยอย่างผิดกฎหมายตามนโยบายวีซ่าของประเทศเท่านั้น” แถลงการณ์ของกระทรวงยุติธรรมเกาหลีใต้ ระบุ

แถลงการณ์ยังกล่าวด้วยว่า ส่วนข้อร้องเรียนจากนักเดินทางชาวไทยว่าแผนการเยือนเกาหลีใต้ถูกยกเลิกเนื่องจากการปฏิเสธการเข้าประเทศผ่าน K-ETA กรณีของบางครอบครัวและนักท่องเที่ยวกลุ่ม (ที่ไม่สามารถเข้าเกาหลีได้) เนื่องจากการปฏิเสธ K-ETA ถูกพบเห็นในช่วงแรกของการดำเนินการ ทั้งนี้ ระบบ K-ETA มีเสถียรภาพเพียงพอที่จะไม่ขัดขวางความต้องการของนักเดินทางที่เดินทางมายังเกาหลีใต้

รายงานของสื่อเกาหลีใต้ กล่าวต่อไปว่า K-ETA ซึ่งเปิดตัวเต็มรูปแบบในเดือน ก.ย. 2564 กำหนดให้นักเดินทางจากประเทศที่ได้รับยกเว้นการทำวีซ่า ต้องได้รับอนุญาตก่อนเข้าเกาหลีใต้ เพื่อปรับปรุงการตรวจสอบนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ พร้อมทั้งสกัดกั้นบุคคลที่จะเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งในขณะที่กระทรวงวัฒนธรรมฯ ของเกาหลีใต้ คาดหวังว่าจะมีชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยว 20 ล้านคนในปี 2567 

อย่างไรก็ตาม ผู้สังเกตการณ์บางคนชี้ว่า การคัดกรองด้วยระบบ K-ETA ถือเป็นอุปสรรคสำคัญ ซึ่งถือว่ายากเมื่อเทียบกับระบบอนุญาตการเดินทางทำนองเดียวกันในประเทศเพื่อนบ้านอย่างญี่ปุ่นและจีน

ข้อมูลล่าสุดที่รวบรวมโดยองค์การการท่องเที่ยวเกาหลีเผยว่า เกาหลีใต้มีนักท่องเที่ยวชาวไทยราว 119,000 คนในช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย. 2567 ลดลงร้อยละ 21.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่ข้อมูลเดียวกันนี้แสดงให้เห็นว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 87 เมื่อเทียบเป็นรายปีในช่วงเวลาที่อ้างถึง ซึ่งแสดงให้เห็นความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ในทางกลับกัน ข้อมูลจากรัฐบาลเกาหลีใต้ พบว่า ประชากรแฝงชาวไทยในเกาหลีใต้ได้เพิ่มขึ้นสามเท่าในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ทำให้ไทยเป็นหนึ่งในชาติที่มีประชากรแฝงอยู่ในเกาหลีใต้มากที่สุด

‘จีน’ จ่อสนับสนุน 'อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ฯ' ขับเคลื่อนด้วย ‘AI’ ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ด้าน ‘การสื่อสาร-กีฬา-สุขภาพ-ชำระเงิน’

(25 มิ.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน เผยว่าจีนจะสนับสนุนการบริโภคอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไฮเทครุ่นใหม่ เช่น อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ และหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI)

คณะกรรมการฯ จะทำงานเพื่อผลักดันการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์-คอมพิวเตอร์ด้วยการส่งเสริมการพัฒนาหลายเทคโนโลยี เช่น จอแสดงผลที่ยืดหยุ่น ซูเปอร์ชาร์จ ผู้ช่วยปัญญาประดิษฐ์ และโมเดลขนาดใหญ่บนอุปกรณ์ อีกทั้งจะสนับสนุนการใช้งานอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะในด้านต่าง ๆ เช่น การสื่อสาร ความบันเทิง กีฬา การติดตามสุขภาพ และการชำระเงินผ่านมือถือ

จีนมีแผนสำรวจการพัฒนาหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์โดยใช้โมเดลปัญญาประดิษฐ์ และขยายขอบเขตการประยุกต์ใช้หุ่นยนต์อัจฉริยะในการทำความสะอาด การพักผ่อนหย่อนใจและสันทนาการ การดูแลผู้สูงอายุและผู้พิการ ตลอดจนการศึกษาและการฝึกอบรม

ขณะเดียวกัน จีนจะส่งเสริมโมเดลการผลิตใหม่ ๆ เช่น การปรับแต่งตามความต้องการลูกค้าแบบย้อนกลับ (reverse customization) การออกแบบแบบเฉพาะบุคคล และการผลิตที่ยืดหยุ่น รวมทั้งการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อเพิ่มการรับรู้ของผู้บริโภคและการเจาะตลาดของกลุ่มผลิตภัณฑ์อัจฉริยะ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top