(27 ม.ค. 68) โลกแห่งการทำงานกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในยุคที่เทคโนโลยี เศรษฐกิจ และประชากรศาสตร์เข้ามามีบทบาทสำคัญ จากรายงาน The Future of Jobs 2025 โดย World Economic Forum ได้นำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการปรับตัวของตลาดแรงงานทั่วโลกจากปี 2025 ถึง 2030 ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีการสร้างงานใหม่ประมาณ 170 ล้านตำแหน่ง และการสูญเสียงาน 92 ล้านตำแหน่ง โดยมี 5 ปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวเร่งการเปลี่ยนแปลงนี้
1.การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี: เทคโนโลยีใหม่ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) และ ระบบอัตโนมัติ (Automation) กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานในหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่การผลิต การเงิน ไปจนถึงการบริการ รายงานระบุว่า AI เพียงอย่างเดียวจะสร้างงานใหม่กว่า 11 ล้านตำแหน่ง ในขณะที่ทำให้งานเดิมหายไปประมาณ 9 ล้านตำแหน่ง ตัวอย่างงานที่กำลังมาแรง ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และ Machine Learning, วิศวกรระบบอัตโนมัติ, นักวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analyst) นอกจากนี้ ยังมีความต้องการเพิ่มขึ้นในด้านความเชี่ยวชาญเฉพาะ เช่น ผู้จัดการด้านเทคโนโลยีเชิงจริยธรรม เพื่อจัดการกับผลกระทบทางสังคมและจริยธรรมของ AI
2.การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว: ด้วยเป้าหมายของหลายประเทศในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ พลังงานหมุนเวียน และ การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว อาชีพที่มาแรงในกลุ่มนี้ ได้แก่ วิศวกรพลังงานหมุนเวียน, นักออกแบบระบบจัดการพลังงานอัจฉริยะ (Smart Grid Designer), ผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์ไฟฟ้าและอัตโนมัติ โดยในรายงานยังชี้ให้เห็นว่า "เศรษฐกิจสีเขียว" จะไม่เพียงสร้างงานใหม่ แต่ยังเพิ่มมูลค่าให้กับ GDP โลกในระยะยาว
3.การเปลี่ยนแปลงเชิงประชากรศาสตร์: ในขณะที่โลกกำลังเผชิญกับ ประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้น ในประเทศที่มีรายได้สูง และการขยายตัวของประชากรวัยทำงานในประเทศที่มีรายได้ต่ำ ปัจจัยนี้ล้วนแต่ส่งผลโดยตรงต่อความต้องการแรงงานในภาคส่วนทั้งด้านการดูแลสุขภาพ ความต้องการพยาบาล ผู้ดูแลผู้สูงอายุ และแพทย์เฉพาะทางกำลังเพิ่มขึ้น และด้านการศึกษา โดยครูและผู้ฝึกอบรมในประเทศกำลังพัฒนามีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อเตรียมแรงงานรุ่นใหม่ให้มีทักษะที่ตอบโจทย์ตลาด
4.ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ: ปัจจัยต่าง ๆ เช่น อัตราเงินเฟ้อ และ ค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น กำลังส่งผลกระทบต่อธุรกิจและการจ้างงาน โดยรายงานระบุว่า ค่าครองชีพที่สูงขึ้นเป็นปัจจัยที่มีผลกระทบสูงสุดต่อธุรกิจภายในปี 2030 อุตสาหกรรมที่ต้องปรับตัวสูง ได้แก่ ธุรกิจค้าปลีก ที่ต้องรับมือกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น แต่ในทางกลับกัน บริษัทที่สามารถปรับตัวและนำกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่น เช่น Remote Work และ ระบบแบ่งปันทรัพยากร (Resource Sharing) จะสามารถรับมือกับความไม่แน่นอนเหล่านี้ได้ดีกว่า
5.การกระจายเศรษฐกิจโลก: ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามการค้าและการเปลี่ยนแปลงของ ห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Supply Chain) กำลังบังคับให้ธุรกิจต้องสร้างความยืดหยุ่นในกระบวนการดำเนินงาน อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ การผลิต เพราะโลกกำลังปรับเปลี่ยนไปยังประเทศที่มีต้นทุนต่ำ และโลจิสติกส์และซัพพลายเชน เพื่อให้สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน
โดยในรายงานชี้ให้เห็นว่าทักษะแห่งอนาคตที่ตลาดแรงงานต้องการ คือ ทักษะด้านดิจิทัล (Digital Skills) เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล และการเขียนโปรแกรม จะมีความสำคัญเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับ ทักษะที่เน้นมนุษย์ (Human-Centric Skills) เช่น การแก้ปัญหา การคิดเชิงสร้างสรรค์ และการบริหารจัดการความสัมพันธ์