Sunday, 6 July 2025
INFO & TOON

Forbes จัดอันดับทำเนียบ 50 มหาเศรษฐีไทย ประจำปี 68

Forbes จัดอันดับทำเนียบ 50 มหาเศรษฐีไทย ประจำปี 68 ‘เฉลิม อยู่วิทยา’ รักษาแชมป์ผู้มั่งคั่งที่สุดในไทยต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ขณะที่ ‘สารัชถ์ รัตนาวะดี’ ขยับขึ้นเป็นอันดับ 3 เป็นครั้งแรก หลังกลุ่ม GULF ควบรวม INTUCH

(3 ก.ค. 68) นิตยสาร Forbes เผยการจัดอันดับทำเนียบ 50 มหาเศรษฐีไทย ประจำปี 2568 พบว่า เศรษฐกิจของไทยเติบโตช้ากว่าที่คาดไว้ ท่ามกลางความตึงเครียดด้านการค้าและความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เพิ่มมากขึ้น แม้ว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจะช่วยชดเชยการร่วงลง 14% ของดัชนีตลาดหุ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่การเพิ่มขึ้นอย่างมากของความมั่งคั่งของสามอันดับแรก ช่วยผลักดันให้มูลค่าทรัพย์สินรวมเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 11 เป็น 170,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

โดยรวมแล้ว มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ที่อยู่ในลิสต์เพิ่มขึ้น โดยผู้ที่มูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากที่สุดในแง่ตัวเงินคือครอบครัวกระทิงแดง (Red Bull) ที่นำโดย นายเฉลิม อยู่วิทยา ซึ่งครองอันดับ 1 ติดต่อกันเป็นปีที่สอง ทรัพย์สินของพวกเขาพุ่งขึ้นแตะสถิติใหม่ที่ 4.45 หมื่นล้านเหรียญ เนื่องจากรายได้ประจำปีของยักษ์ใหญ่เครื่องดื่มชูกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 1.12 หมื่นล้านยูโร (1.29 หมื่นล้านเหรียญ) ในปี 2024 จากยอดขายเกือบ 1.3 หมื่นล้านกระป๋องทั่วโลก

พี่น้องเจียรวนนท์ แห่งกลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์ ยังคงรักษาอันดับเศรษฐีอันดับสองของประเทศไว้ได้ โดยมีมูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 23% เป็น 3.57 หมื่นล้านเหรียญ กลุ่มนี้เดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลต่อเนื่อง ล่าสุดจับมือกับ BlackRock ลงทุน 1 พันล้านเหรียญ เพื่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ และบริษัทย่อยด้านฟินเทค Ascend Money ก็เพิ่งได้รับอนุมัติให้จัดตั้ง Virtual Bank

นายสารัชถ์ รัตนาวะดี มหาเศรษฐีด้านพลังงานและโทรคมนาคม ขยับขึ้นสองอันดับ มาครองอันดับสามเป็นครั้งแรกด้วยทรัพย์สิน 1.2 หมื่นล้านเหรียญ หลังจากควบรวมกิจการระหว่าง Gulf Energy Development กับ Intouch Holdings และนำบริษัทที่ควบรวมแล้วเข้าจดทะเบียนในชื่อ Gulf Development เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

ด้าน นายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าพ่อน้ำเมา มูลค่าทรัพย์สินแทบไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ที่ 1.05 หมื่นล้านเหรียญ ส่งผลให้ตกมาอยู่อันดับสี่ โดยเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เขาได้โอนหุ้นบางส่วนให้ลูกทั้งห้าคน แต่ในฐานะผู้ก่อตั้งกลุ่ม ทรัพย์สินยังคงถูกนับรวมในชื่อของเขา

สำหรับตระกูล จิราธิวัฒน์ ซึ่งอยู่ในธุรกิจค้าปลีก มูลค่าทรัพย์สินลดลง 13% เหลือ 8.6 พันล้านเหรียญ ท่ามกลางบรรยากาศการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ซบเซา โดยเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว กลุ่มได้พันธมิตรใหม่ คือ กองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะของซาอุดีอาระเบีย (PIF) ที่เข้าซื้อหุ้น 40% ในร้านค้าปลีกหรู Selfridges จาก Signa Holdings ของออสเตรีย (ซึ่งกลุ่ม Central ยังคงถือหุ้น 60%)

ในปีนี้มีมหาเศรษฐีทั้งหมด 19 ราย ที่มูลค่าทรัพย์สินลดลง โดย ประยุทธ มหากิจศิริ เจ้าพ่อกาแฟ มูลค่าทรัพย์สินลดลงอย่างเห็นได้ชัดหลังจากบริษัทร่วมทุนระหว่าง PM Group กับเนสท์เล่ สิ้นสุดลง

นอกจากนี้มหาเศรษฐี 2 ท่าน ที่เสียชีวิตหลังการจัดอันดับครั้งก่อน ได้แก่ นายวานิช ไชยวรรณ ประธานกิตติมศักดิ์ของไทยประกันชีวิต และ นายพงษ์ศักดิ์ วิทยากร ผู้ร่วมก่อตั้งโรงพยาบาล Bangkok Dusit Medical Services ซึ่งต่อมาได้ขยายธุรกิจดูแลสุขภาพภายใต้ Principal Capital โดยทรัพย์สินของทั้งสองตระกูลถูกจัดอันดับภายใต้ชื่อครอบครัว ไชยวรรณ และ วิทยากร

แม้เกณฑ์มูลค่าทรัพย์สินขั้นต่ำเพื่อเข้าลิสต์จะลดลงเหลือ 420 ล้านเหรียญ จาก 550 ล้านเหรียญในปีที่แล้ว แต่ก็มีเศรษฐี 4 รายที่หลุดจากการจัดอันดับ โดยผู้ที่หายไปอย่างน่าจับตาคือ นายสมโภชน์ อาหุนัย เจ้าพลังงานหมุนเวียน หลังจากบริษัท Energy Absolute เผชิญปัญหาทางการเงิน

สำหรับ 10 อันดับแรก มหาเศรษฐีไทย ประจำปี 2568 มีดังต่อไปนี้
1. นายเฉลิม อยู่วิทยา และครอบครัว ทรัพย์สิน 4.45 หมื่นล้านเหรียญ หรือ 1.44 ล้านล้านบาท
2. นายพี่น้องเจียรวนนท์ ทรัพย์สิน 3.57 หมื่นล้านเหรียญ หรือ 1.16 ล้านล้านบาท
3. นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ทรัพย์สิน 1.2 หมื่นล้านเหรียญ หรือ 3.90 แสนล้านบาท
4. นายเจริญ สิริวัฒนภักดี และครอบครัว ทรัพย์สิน 1.05 หมื่นล้านเหรียญ หรือ 3.41 แสนล้านบาท
5. ครอบครัวจิราธิวัฒน์ ทรัพย์สิน 8.6 พันล้านเหรียญ หรือ 2.79 แสนล้านบาท
6. ครอบครัวไชยวรรณ ทรัพย์สิน 4.2 พันล้านเหรียญ หรือ 1.36 แสนล้านบาท
7. นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา และครอบครัว ทรัพย์สิน 3.5 พันล้านเหรียญ หรือ 1.14 แสนล้านบาท
8. นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ทรัพย์สิน 3.4 พันล้านเหรียญ หรือ 1.10 แสนล้านบาท
9. เสถียร เสถียรธรรมะ ทรัพย์สิน 2.6 พันล้านเหรียญ หรือ 8.44 หมื่นล้านบาท

10. นายพรเทพ พรประภา และครอบครัว ทรัพย์สิน 2.2 พันล้านเหรียญ หรือ 7.14 หมื่นล้านบาท

ไม่ใช้ก็ต้องจ่าย!!

Take-or-Pay สัญญาผูกมัดบังคับรัฐจ่ายเงินซื้อไฟ ที่เซ็นไว้ระยะยาวกับเอกชนรายใหญ่ อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ค่าไฟแพง ที่แฝงอยู่ในค่า Ft

วันนี้ห้ามพลาด!!

ค่ำนี้ เฝ้าหน้าจอรอกันเลย!!  LIVE!! Behind the Bill
ถ้าคุณอยากรู้ว่า ทำไมคุณจ่ายค่าไฟแพง... ทั้งที่ใช้ไฟเท่าเดิม  คุณต้องไม่พลาด LIVE นี้
ถ้าคุณเคยสงสัยว่าทำไมค่าไฟถึงแพงขึ้นทุกปี…LIVE นี้คือคำตอบที่คุณไม่เคยได้ยินจากใคร  

มาร่วมไขทุกข้อสงสัยค่าไฟแพง กับ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน

2 กรกฎาคม 2568
 ⏰ เวลา 19:30 - 21.00 น.
 📌 รับชมที่ Facebook Page: โอกาส Chance

‘ค่า Ft’ คำนี้ที่คนไทยคุ้นหู!! อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ค่าไฟแพง

‘ค่า Ft’ คำนี้ที่คนไทยคุ้นหู!! อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ค่าไฟแพง เพราะคำนวณจากการลอยตัวของต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่ไม่สามารถควบคุมได้ และผู้ใช้ไฟต้องแบกรับภาระ โดยปฏิเสธไม่ได้

หรือนี่คือหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ค่าไฟฟ้าแพง!!

(25 มิ.ย. 68) หลายคนอาจสงสัย เหตุใดค่าไฟของไทยจึงแพง ทั้งที่รัฐสามารถผลิตไฟฟ้าได้เอง โดย กฟผ. แต่ในความจริงคือ แม้รัฐไทยมีโรงไฟฟ้า แต่ก็ต้องซื้อไฟจากเอกชนราว 68% เพราะติด “สัญญาระยะยาว 20–30 ปี” กับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่เรียกว่า IPP – Independent Power Producer ซึ่งบางบริษัทมีสัดส่วนผลิตไฟฟ้ามากกว่า กฟผ. เสียอีก และที่สำคัญแม้ไม่ได้เดินเครื่องผลิตไฟฟ้า ก็จะได้รับเงินจากค่าพร้อมจ่ายที่รัฐต้องจ่ายให้ตามสัญญา...

‘SPR’ คือ คำตอบรับมือวิกฤตพลังงาน หากอิหร่าน ตัดสินใจปิดช่องแคบ ‘ฮอร์มุซ’

(23 มิ.ย. 68) จากผลพวงสหรัฐ อเมริกา ปฏิบัติการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ 3 แห่งของอิหร่าน ทำให้สภาความมั่นคงแห่งชาติสูงสุดของอิหร่าน เตรียมตัดสินใจตอบโต้ด้วยการปิดช่องแคบฮอร์มุซ หลังจากมีรายงานว่ารัฐสภาของประเทศได้ยกมือสนับสนุนมาตรการดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตามรายงานของสำนักข่าวเพรส ทีวี ของอิหร่าน เมื่อวันอาทิตย์(22มิ.ย.68)

แน่นอนว่า หากอิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซขึ้นมาจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นชั่วคราว หรือ ยืดเยื้อระยะยาว นั่นคือจุดเริ่มต้นของหายนะระดับโลก เพราะช่องแคบฮอร์มุซ นับเป็นเส้นทางการขนส่งน้ำมันที่มีปริมาณถึง 20% ของการบริโภคทั่วโลก เรียกได้ว่าเป็นเส้นเลือดใหญ่ของการค้าพลังงานโลก โดยเฉพาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของยุโรปและเอเชีย นั่นและนั่นจะเป็นสาเหตุให้ราคาพลังงานพุ่งทะยานและต้นทุนการดำรงชีวิตของประชาชนสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม ในการรับมือกับวิกฤตพลังงานน้ำมันในส่วนของประเทศไทยนั้น ทางนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มีแนวคิดที่จะดำเนินนโยบายการสำรองเชื้อเพลิงปิโตรเลียมทางยุทธศาสตร์ (SPR : Strategic Petroleum Reserve) เพื่อให้ประเทศมีปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงสำรองเพียงพอต่อการใช้งานได้ถึง 90 วัน เช่นเดียวกับประเทศใหญ่หลายประเทศที่มีน้ำมันสำรองเพียงพอ 90 วัน ทำให้มีเวลาแก้ไขปัญหาและสามารถเตรียมการรองรับผลกระทบที่เกิดขึ้นได้นานขึ้น

เนื่องจากในปัจจุบัน ประเทศไทยมีปริมาณน้ำมันสำรองที่เอกชนจัดเก็บเพียงพอต่อการบริโภค 25-36 วัน นั่นหมายความว่า หากปัญหาวิกฤตน้ำมันในประเทศไม่สามารถแก้ไขได้แล้วเสร็จภายในเวลา 1 เดือน ย่อมจะเกิดผลกระทบที่จะสร้างความเสียหายอันใหญ่หลวงต่อประเทศในภาพรวม ไม่ว่าในด้าน เศรษฐกิจ สังคม การเมือง การเงิน และการคลัง ฯลฯ อย่างแน่นอน ดังนั้น SPR ของ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ ที่กำลังผลักดันและร่างกฎหมายอยู่ในขณะนี้ คือ คำตอบที่จะทำให้ประเทศสามารถรับมือวิกฤตพลังงานโลกที่อาจจะเกิดขึ้นอีกครั้งเร็วๆ นี้

ส่องอาณาเขตประเทศไทย ทั้งทางบกและทางทะเล

อาณาเขตประเทศไทย อธิปไตยที่จะไม่ให้ยอมให้ใครมารุกราน 

เปิด 5 รายชื่อ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ที่มีโอกาสนั่งเก้าอี้ หาก ‘แพทองธาร’ ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งนายกฯ

เปิด 5 รายชื่อ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ที่มีโอกาสนั่งเก้าอี้ หาก ‘แพทองธาร’ ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งนายกฯ

กระทรวงไหนที่คนไทย อยากให้เปลี่ยนรัฐมนตรีมากที่สุด!!

เมื่อวานนี้ (14 มิ.ย. 68) รศ.ดร.สุณีย์ กัลยะจิตร และคณะ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผย ผลสำรวจประเด็น 'คนไทยต้องการปรับ ครม.หรือไม่" ของ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล โดย เป็นการสำรวจทัศนคติและความคิดเห็นด้านสถานการณ์การศึกษาและปัญหาที่เป็นกระแสสังคม ในพื้นทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ คณะผู้วิจัยประยุกต์ใช้การวิจัยเชิงสำรวจด้วยการลงพื้นที่สัมภาษณ์แบบเผชิญหน้า (face to face) และการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ (phone survey) โดยใช้แบบสัมภาษณ์ผ่านช่องทางออนไลน์จากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 11,802 ตัวอย่าง ในช่วงระหว่างวันที่ 5 -11 มิถุนายน 2568 ผลการศึกษาสรุปสาระสำคัญ ที่น่าสนใจ

ได้แก่ ผลการวิเคราะห์ความคิดเห็นในประเด็น ท่านต้องการให้มีการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี (ครม.)หรือไม่ พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 87.6 ระบุว่า ต้องการให้มีการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี (ครม.)

สาเหตุหลักที่ทำให้ประชาชนต้องการให้มีการปรับ ครม. สะท้อนถึงความไม่พอใจในประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปากท้อง การขาดภาวะผู้นำ และความชัดเจนในการบริหาร การไม่ทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้

รวมถึงปัญหาด้านการทุจริต ความไม่โปร่งใส และการไม่ตอบสนองต่อปัญหาและความต้องการของประชาชน โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการและคุณภาพชีวิต รวมถึงปัญหาเฉพาะพื้นที่ อย่างปัญหาพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นต้น

ขณะที่ ความคิดเห็นประมาณ 1 ใน 4 ของผู้ตอบแบบสำรวจ หรือร้อยละ 12.4 ระบุว่า ไม่ต้องการให้มีการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี (ครม.)

โดยเหตุผลที่ยังไม่ต้องการให้มีการปรับ ครม. ส่วนใหญ่มาจากการรับรู้ถึงประสิทธิภาพและความตั้งใจในการทำงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ความเชื่อมั่นในความซื่อสัตย์ การเห็นว่ารัฐบาลเข้าใจประชาชน รวมถึงความต้องการให้เกิดความเสถียรภาพและการทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การพัฒนาประเทศดำเนินต่อไปได้ และมีความกังวลว่าการเปลี่ยนแปลงคณะรัฐมนตรีใหม่ อาจนำมาซึ่งปัญหาด้านประสบการณ์ ความขัดแย้ง หรือการเล่นเกมการเมือง แทนที่จะเป็นการสร้างประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง

เมื่อสอบถามถึงกระทรวงที่ต้องการให้มีการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีมากที่สุด 5 อันดับ พบว่า เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด หรือร้อยละ 46.75 ต้องการให้มีการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีในส่วนของกระทรวงกลาโหมมากเป็นอันดับหนึ่ง

รองลงมาอันดับสองคือ กระทรวงการคลัง ร้อยละ 41.86 อันดับสาม กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร้อยละ 38.26 อับดับสี่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร้อยละ 28.93 อันดับห้า มีสัดส่วนใกล้เคียงกัน คือ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร้อยละ 27.89 และ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร้อยละ 27.88 ตามลำดับ ฯลฯ

สรุปจำนวน สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ วัดพลังกัน 2 ฝั่ง

(15 มิ.ย. 68) สรุปจำนวน สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ วัดพลังกัน 2 ฝั่ง!! 

ประกาศิต 'ทรัมป์' ประกาศห้ามคนจาก 12 ประเทศเข้าสหรัฐฯ

โลกสะเทือน!! ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ประกาศแบน 12 ประเทศ ห้ามเดินทางเข้าสหรัฐ อเมริกา มีประเทศไหนบ้างเช็กเลย

จีนต้องไม่ให้เกาหลีเหนือ เข้ามาแทรกแซง สงครามในยูเครน มิฉะนั้น NATO จะขยายเข้าสู่เอเชีย

(1 มิ.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Jaroensook Limbanchongkit Pone’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า …

ปธน. มาครง แห่งฝรั่งเศส ขู่ลั่นว่า “จีนต้องไม่ให้เกาหลีเหนือ เข้ามาแทรกแซงสงครามในยูเครน มิฉะนั้น NATO จะขยายเข้าสู่เอเชีย”

Macron: China must prevent North Korea from interfering in the war in Ukraine, otherwise NATO will expand to Asia

กองทุนน้ำมันวันนี้ ติดลบเท่าไร ?

📊 อัปเดตสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงล่าสุด
ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2568
กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ยังคงอยู่ในภาวะติดลบ

📚 คณะที่เด็กไทยแห่สมัครมากที่สุด!!

🌟 ใครเล็งคณะไหนอยู่ มาส่องอัตราแข่งขันกันเลย!!


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top