Sunday, 6 October 2024
INFO

5 ป. ทำได้ ประหยัดดี เมษานี้ รวมใจ คนละไม้ คนละมือ

ต้องยอมรับว่า ‘ประเทศไทย’ ช่วงนี้ได้เข้าสู่ช่วง 'พีคไฟฟ้า' หรือมีการใช้งานไฟฟ้าสูงสุดมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี เหตุเพราะฤดูร้อนที่เริ่มต้นเร็วกว่าปกติ และทางกรมอุตุนิยมวิทยาก็มีการคาดว่าอุณหภูมิเฉลี่ยที่อาจจะสูงถึง 45 องศาเซลเซียส ส่งผลให้มีการใช้ไฟฟ้าโดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศเพิ่มมากขึ้น 

โดยในปีที่ผ่านมาได้เกิด Peak ดังนี้... 
>> วันที่ 11 ม.ค. 2567 เวลา 18.52 น. ยอดใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 29,051.3 เมกะวัตต์

>> เดือน ก.พ. 2567 มียอดพีคไฟฟ้าเกิดขึ้นในวันที่ 22 ก.พ. 2567 เวลา 19.29 น. ยอดใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 30,989.3 เมกะวัตต์

>> เดือน มี.ค. 2567 มียอดพีคไฟฟ้าเกิดขึ้นในวันที่ 7 มี.ค. 2567 เวลา 19.47 น. ยอดใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 32,704 เมกะวัตต์

>> เดือน เม.ย. 2567 มียอดพีคไฟฟ้าเกิดขึ้นในวันที่ 6 เม.ย. 2567 เวลา 21.54 น. ยอดพีคไฟฟ้าอยู่ที่ 34,656.4 เมกะวัตต์

ทั้งนี้ ทางกระทรวงพลังงาน ภายใต้ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ตรวจสอบและดูแลระบบการผลิตไฟฟ้าให้เพียงพอต่อความต้องการใช้งานทั้งในภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม เพื่อมิให้กระทบต่อประชาชนและการดำเนินธุรกิจ

ขณะเดียวกัน ยังได้ออกนโยบาย 5 ป. ได้แก่ ปิด ปรับ ปลด เปลี่ยน ปลูก ซึ่งประกอบด้วย…

1. ปิด : การปิดไฟหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้งาน
2. ปรับ : ปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศที่ 26 องศา
3. ปลด : ปลดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกครั้งหลังการใช้งาน
4. เปลี่ยน : หากมีการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า ให้เลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากเบอร์ 5
5. ปลูก : ปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้นเพื่อลดอุณหภูมิภายในบ้าน

ทั้งนี้ นโยบาย 5ป. ถือเป็นการขอความร่วมมือให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้า ซึ่งนอกจากจะสามารถลดต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าในภาพรวมได้แล้ว ยังสามารถลดค่าไฟฟ้าของประชาชนได้อีกด้วย

แรก ๆ อาจจะยาก แต่อยากให้คนไทยพยายามร่วมกันปรับพฤติกรรม ‘ปิด-ปรับ-ปลด-เปลี่ยน-ปลูก’ กันดูได้ตั้งแต่วันนี้นะจ๊ะ

สรุปยอดจองมอเตอร์โชว์ ในงาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 45

(8 เม.ย.67) งาน Bangkok International Motor Show 2024 ครั้งที่ 45 จัดขึ้นโดย บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ได้ปิดฉากลงอย่างสวยงาม

สรุปยอดจองรถยนต์ในงาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 45 ระหว่างวันที่ 25 มีนาคม – 7 เมษายน 2567 @ Challenger Hall 1 – 4 เมืองทองธานี (14 วัน) รวมทั้งสิ้น 53,438 คัน เพิ่มขึ้น 10,553 คัน (+24.6%) จากปีก่อนหน้า Motor Show 2023 : 42,885 คัน

🔎ส่องรายชื่อมหาเศรษฐีไทย ใครอยู่อันดับเท่าไหร่? ในทำเนียบมหาเศรษฐีโลก💸

เว็บไซต์นิตยสารฟอร์บส (Forbes) เปิดเผยการจัดอันดับ ‘มหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่สุดในโลกประจำปี 2567’ พบว่า ปีนี้ 10 อันดับมหาเศรษฐีของไทยแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากปีก่อน 

โดยอันดับ 1 ยังคงเป็น ‘เจ้าสัวธนินท์’ หรือนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส บริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (ซีพี) โดยมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 12,500 ล้านดอลลาร์ (ราว 4.58 แสนล้านบาท) ซึ่งคำนวณมูลค่าทรัพย์สินสุทธิจากราคาหุ้นและอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 8 มี.ค. 2567

สำหรับ 10 อันดับมหาเศรษฐีไทยที่มั่งคั่งที่สุดในปีนี้ มีเพียงนายสมโภชน์ อาหุนัย จากบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ที่หลุดออกจากโผ และมีมหาเศรษฐีหน้าใหม่เข้ามา 3 คนแทนในอันดับ 10 ร่วม คือนาย ‘ฮาราลด์ ลิงค์’ จากบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ / นาย ‘ทักษิณ ชินวัตร’ และนายวิชัย ทองแตง ซึ่ง Forbes ระบุถึงประเภทธุรกิจเอาไว้ว่าอยู่ในกลุ่มธุรกิจการเงินและการลงทุน โดยทั้ง 3 มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 2,100 ล้านดอลลาร์ (ราว 7.7 หมื่นล้านบาท)

อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่า 10 มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทยปีนี้ เกือบทั้งหมดมี ‘ความมั่งคั่งลดลง’ นำโดยนายธนินท์ ที่ลดลงราว 2,400 ล้านดอลลาร์ จากการจัดอันดับของ Forbes เมื่อเดือน เม.ย. 2566 ยกเว้นนายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ผู้ก่อตั้งบริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ หรือ BDMS ที่มีมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้นราว 200 ล้านดอลลาร์ อยู่ที่ 3,700 ล้านดอลลาร์ในอันดับที่ 7

มหาเศรษฐีไทยที่ติดการจัดอันดับมหาเศรษฐีโลกของ Forbes ในปี 2567 นี้ มีจำนวนทั้งหมด 26 คน โดยมีนายประจักษ์ ตั้งคารวคุณ อดีตประธานกรรมการแห่ง ทีโอเอ เพ้นท์ (TOA) อยู่ในลำดับสุดท้ายของไทยที่อันดับ 26 และเป็นอันดับ 2545 ของโลก โดยมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 1,100 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ นายประจักษ์เคยติด 10 อันดับมหาเศรษฐีไทยของ Forbes เมื่อปี 2565

20 สถานที่ประวัติศาสตร์ที่ควรไปเยือนสักครั้งในชีวิต

การได้ท่องเที่ยวรอบโลก คงเป็นความฝันของใครหลาย ๆ คน เชื่อว่าหาก มีกำลังทรัพย์ มีร่างกายที่แข็งแรง และมีโอกาสที่เหมาะสม ก็พร้อมพาตัวเองไปท่องโลกกว้าง หาประสบการณ์ใหม่ ๆ ซึ่งวันนี้ THE STATES TIMES ได้รวบรวม 20 สถานที่ประวัติศาสตร์ที่ควรไปเยือนสักครั้งในชีวิต บอกเลยว่า เป็นสถานที่สวยงาม คุ้มค่าแก่การไปเยี่ยมชมสักครั้ง จะมีที่ไหนบ้าง ไปดูกัน!!

ส่อง 40 ประเทศ มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด ปี 2023

ผลรายงานจาก IMF ระบุว่า สหรัฐอเมริกา ยังคงเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก ประจำปี 2023 ตามด้วยจีน ญี่ปุ่น และเยอรมนี 

สำหรับประเทศไทย อยู่ในลำดับที่ 27 เป็นชาติที่ 2 ในอาเซียนรองจากอินโดนีเซีย ที่อยู่ในลำดับที่ 16 

ส่อง 10 เมืองยอดฮิต นักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในโลก ปี 2023

‘กรุงเทพฯ’ เมืองหลวงของไทย กลายเป็นเมืองที่ผู้คนจากทั่วโลกหลั่งไหลเข้ามาเยี่ยมเยือนมากที่สุดในโลก ประจำปี 2023 โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปีประมาณ 22.78 ล้านคน ส่วนประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ อยู่ในลำดับที่ 5 

ส่อง 20 อันดับประเทศที่มียอดจำหน่ายรถบรรทุกไปต่างแดนมากที่สุด

‘รถบรรทุก’ ถือเป็นยานพาหนะขนส่งที่มีอิทธิพลต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และมีบทบาทสำคัญในการไหลเวียนของสินค้าระหว่างประเทศทั่วโลก 

ในปี 2022 ยอดขายรถบรรทุกส่งออกมีมูลค่าโดยรวม 153 พันล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้น 6.5% เมื่อเทียบกับปี 2021 ที่มีมูลค่า 147 พันล้านเหรียญฯ โดย 5 ประเทศแรกที่มียอดขายส่งออกมากที่สุดในโลก ได้แก่ เม็กซิโก, สหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น, จีน และ เยอรมนี

สำหรับ ‘ประเทศไทย’ มียอดขายส่งออกอยู่ลำดับที่ 7 ของโลก มีมูลค่ากว่า 7.40 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และถือเป็นชาติเดียวจากประเทศในกลุ่มอาเซียนที่ติด 1 ใน 10 ของโลกอีกด้วย

เคยสงสัยไหม? หากอยากไปอยู่ 30 ประเทศนี้ ต้องใช้เงินเท่าไหร่กันนะ??

‘ค่าครองชีพ’ คือ ค่าใช้จ่ายพื้นฐานในการดำรงชีวิต ซึ่งในแต่ละประเทศจะมีค่าครองชีพที่แตกต่างกันไป เนื่องจากมีความแปรผันตามเศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ ด้วย และจากการสำรวจของ livingcost.org ในประเด็นค่าครองชีพ ปี 2024 พบว่าประเทศโมนาโก มีค่าครองชีพสูงถึง 6,538 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อเดือน หรือคิดเป็น 237,744 บาทต่อเดือน (อัตราแลกเปลี่ยน 29 มี.ค. 67)

สำหรับประเทศไทยเรานั้น ผลสำรวจพบว่า มีค่าครองชีพอยู่ที่ 790 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน หรือตกเดือนละ 28,727 บาทต่อเดือนนั่นเอง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top