Sunday, 28 May 2023
ELECTION TIME

‘สกลธี’ บุกตลาดสัมมากร นำทีมช่วย ‘นาถยา’ หาเสียง ชูนโยบาย ลดราคาก๊าซ-น้ำมัน ลั่น!! ทำทันทีหากได้เป็นรัฐบาล

(15 เม.ย. 66) ที่ตลาดสัมมากร นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะหัวหน้าทีมผู้สมัคร ส.ส.กทม.พร้อมนางนาถยา แดงบุหงา ผู้สมัคร ส.ส.เขต 19 (มีนบุรี-สะพานสูง) หมายเลข 10 ลงพื้นที่ตลาดสัมมากร เขตสะพานสูง พบประชาชนและแนะนำนโยบายพรรค ก่อนขึ้นรถแห่หาเสียง

นายสกลธี กล่าวว่า ประชาชน ตอบรับการลงพื้นที่วันนี้ดีมาก เพราะนางนาถยา เป็น ส.ส.เจ้าของพื้นที่มา 2 สมัย มีความคุ้นเคยกับคนในพื้นที่เป็นอย่างดี ส่วนตนได้พบกับผู้สนับสนุนตั้งแต่สมัยที่ลงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.มีโอกาสได้พูดคุยกัน และนำเสนอนโยบายของพรรค เรื่องลดราคาก๊าซ เหลือถังละ 250 บาท โดยทำทันทีหากได้เป็นรัฐบาล เพื่อช่วยลดต้นทุนให้หับพ่อค้า แม่ค้า

‘หมอเปรม’ คืนสังเวียน ชู ‘บัตรลุงตู่’ เรียกคะแนนนิยมท้องถิ่น ไล่เบียด ‘สจ.แม็ค’ ภูมิใจไทย หวังชิง ส.ส.เขต 11 จ.ขอนแก่น

(15 เม.ย. 66) นับว่าเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่มีความคึกคัก มีสีสัน และมีความสูสีมากที่สุดสนามหนึ่ง สำหรับเขต 11 จังหวัดขอนแก่น ที่มีผู้สมัคร ส.ส.ลงแข่งขัน หมายมั่นปั้นมือจะปักธงให้ได้ เนื่องจากเป็นการชิงแชมป์ว่าง

แชมป์เก่าเขตนี้ คือ นายบัลลังก์ อรรณพพร จากพรรคเพื่อไทย ที่ตอนนี้หันไปสวมเสื้อพลังประชารัฐ ลงอีกเขตของขอนแก่น กลับถิ่นเกิดอำเภอหนองสองห้อง แว่วว่าเป็นปัญหาภายในบ้าน เมื่อนายพงศกร อรรณพพร พี่ใหญ่ในครอบครัวที่เคยถูกวางเป็นขุนพลพรรคสร้างไทย จำใจทิ้งคุณหญิงหน่อย หันกลับคืนมาซบนายใหญ่ดูไบ เลือดข้นคนจางอย่างว่า เลยเอาลูกชายคือ นายพชรกร อรรณพพร ลงแทนน้องชาย คือนายบัลลังก์ ในเขตนี้

ชาวบ้านในพื้นที่แม้จะมีคะแนนนิยมพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะนโยบายแจกหัวละหมื่น แต่ยังกล้ำกลืนกับคนตระกูลอรรณพพร กระแสจึงออกมาว่า บัตรบัญชีรายชื่อ เพื่อไทยยังมาที่ 1 โดยมีก้าวไกลสอดแทรกในหมู่คนรุ่นใหม่ แต่ตัวผู้สมัคร ส.ส.เขต จะหันไปเลือกตัวบุคคล เลยเปิดโอกาสให้กับ ‘หมอเปรมศักดิ์’ ผู้สมัครจากพรรครวมไทยสร้างชาติของลุงตู่ กับ ‘สจ.แม็ค’ จากพรรคภูมิใจไทย โดยมีฮีโร่มวยโอลิมปิกอย่าง นายสมรักษ์ เป็นตัวสร้างสีสันบรรยากาศ

สจ.แม็ค องอาจ ฉัตรชัยพลรัตน์ เข้าที่ 2 เที่ยวก่อน แพ้กระแสให้พรรคเพื่อไทย ยังปักหลักกับพรรคภูมิใจไทย ด้วยหมายมั่นปั้นมือ แต่กระแสช่วงนี้โดนอิทธิฤทธิ์ของนายชูวิทย์ เอฟเฟกต์ต้านกัญชาเสรี ทำเอาแทบจะไม่อยากขึ้นโลโก้พรรคที่ฉุดแต้ม

‘ดร.จุ๊บ’ ผู้สมัคร ส.ส.กาญจน์ เผย ยิ่งใกล้เลือกตั้ง กระแส ‘บิ๊กตู่’ ยิ่งแรง เชื่อ!! คนเมืองกาญจน์ พร้อมใจกาบัตรหนุน ‘รทสช.’ ทั้งเขต-พรรค

(15 เม.ย. 66) ดร.วรสุดา สุขารมณ์ หรือ ‘ดร.จุ๊บ’ ผู้สมัคร ส.ส.กาญจนบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เขต 1 เบอร์ 5 ให้สัมภาษณ์ว่า การลงพื้นที่หาเสียงพบปะพี่น้องประชาชน ชาวตำบลหนองกุ่ม อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี เราทำมาอย่างต่อเนื่อง และตนเดินทางเข้าพื้นที่พูดคุยกับชาวบ้านมานานกว่า 10 ปี จึงไม้รู้สึกเคลียดเมื่อต้องลงพื้นที่ช่วงเลือกตั้ง เมื่อตนอาสามาทำงานการเมืองให้มีความสร้างสรรค์ เราจึงต้องเข้าถึงประชาชนให้ได้มากที่สุด

วันนี้โจทย์คือ ประชาชนที่จะออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง เพื่อเลือกเรา เราต้องเข้าให้ถึงประชาชน ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าเราเป็นคนของประชาชนให้ได้มากที่สุด เมื่อเราได้รับความไว้วางใจ ประชาชนก็จะมอบคะแนนเสียงให้กับเรา

ดังนั้น อยากจะฝากไปถึงพี่น้องประชาชนเขต 1 ทุกท่าน ช่วยสนับสนุน ตนเอง ผู้สมัคร ส.ส. กาญจนบุรี รทสช. เขต 1 เบอร์ 5 ที่ผ่านมา ตัวเองไม่เคยทอดทิ้งพี่น้องประชาชนชาวเขต 1 ทำอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลานานหลายปีแล้ว

“จุ๊บจึงอยากจะให้พี่น้องประชาชนมองเห็นคุณค่าทางจิตใจและจุดยืนของจุ๊บ ที่จุ๊บเข้ามาช่วยเหลือพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดกาญจนบุรีอย่างจริงจัง” ดร.จุ๊บ กล่าว

‘มณีรัตน์’ ชี้!! สื่อนอกตีแผ่ ‘ต่างชาติ’ เที่ยวสงกรานต์ไทยหนาแน่น สะท้อน!! ความเชื่อมั่นด้านสาธารณสุขไทยที่เข้มแข็ง

เมื่อวานนี้ (14 เม.ย. 66) น.ส.มณีรัตน์ ลิมป์รัตนกาญจน์ ผู้สมัคร ส.ส.เบอร์ 6 เขต พระโขนง-บางนา พรรคภูมิใจไทย อดีตคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และกระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

“วันนี้ได้อ่านข่าวจากสำนักข่าว Reuters ก็รู้สึกชื่นใจมาก ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติหลาย ๆ คนเลือกที่จะเข้ามาเที่ยวประเทศไทยในช่วงมหาสงกรานต์ของบ้านเรา ซึ่งเป็นประเพณีที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของชาวต่างชาติด้านสาธารณสุขที่เข้มแข็ง หลังจากที่ประเทศไทยได้ผ่านวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา ภายใต้การกำกับดูแลของคุณอนุทิน ชาญวีรกูล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

ส่องนโยบายพรรคลุงตู่ กับ ‘สวัสดิการผู้สูงอายุ’ ฐานเสียงสำคัญที่ตัดสินเลือกตั้ง 66

ประเทศไทยกำลังจะมี ส.ว.เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ  ไม่ใช่สมาชิกวุฒิสภา แต่เรากำลังพูดถึง ‘ผู้สูงวัย’ ซึ่งถ้าดูจากจำนวนประชากรผู้สูงอายุในไทย เมื่อสิ้นปี 2565 มีประมาณ 12.5 ล้านคน จากประชากรทั้งหมด 66 ล้านคน หมายความว่าวันนี้ ประเทศไทยเรามีผู้สูงอายุ 1 ใน 5 หรือ 20% ของคนทั้งประเทศ และจะมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าวัดตามเกณฑ์ของสหประชาชาติ ถือว่าประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ไปเรียบร้อยแล้ว

ดังนั้นการเตรียมความพร้อมเชิงระบบสำหรับรองรับสังคมที่จะมี ‘ผู้สูงอายุ’ มากขึ้นเรื่อยๆ จึงเป็นเรื่องสำคัญจำเป็น และไม่แปลกเลย ที่นโยบายหาเสียงในศึกเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง จะมีนโยบายเอาใจผู้สูงวัยเป็นหนึ่งในจุดขายของแทบทุกพรรคการเมือง 

หากมองย้อนไปถึงการดูแลคุณภาพชีวิตของกลุ่มผู้สูงวัยของรัฐบาล ‘พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา’ ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา มีการจัดสวัสดิการ ‘เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ’ ที่ปัจจุบันจ่ายแบบขั้นบันได โดยในช่วงอายุ 60-69 ปี รับ 600 บาทต่อเดือน  และเพิ่มเป็นเดือนละ 700 บาท เมื่ออายุ 70-79 ปี  และ 800 บาทต่อเดือน เมื่ออายุ 80-89 ปี  ขณะที่กลุ่มอายุ 90 ปีขึ้นไปจะได้รับเดือนละ 1,000 บาท 

ขณะเดียวกัน ในมิติของระบบบริการสุขภาพ ก็มีมาตรการดูแลครบวงจรตั้งแต่การคัดกรอง ภาวะโภชนาการ การเคลื่อนไหวร่างกาย และสุขภาพช่องปาก รวมถึงระบบการชะลอความเสื่อม โดยจัดให้มีแพทย์ในระบบปฐมภูมิ ดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุตั้งแต่ที่บ้าน และการดูแลการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ สำหรับผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง โดยมีการจัดทำระบบดูแลผู้สูงอายุในระยะยาว มีการพัฒนาผู้ดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน ครอบคลุมผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้านและติดเตียงกว่า 500,000 คน

นอกจากนั้นแล้ว หลายกระทรวงยังดำเนินโครงการร่วมกัน ในการพัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุทั้งในด้านความรู้ ทักษะการประกอบอาชีพ เพื่อเตรียมความพร้อมในการใช้ชีวิต และสร้างรายได้เพิ่มเติมในวัยเกษียณ
.

กลับมาที่การเลือกตั้ง 2566 ที่กำลังจะมาถึง เราลองมาดูนโยบายแต่ละพรรคการเมือง ที่ต่างชูประเด็นหาเสียงด้วยการ เพิ่มสิทธิ สวัสดิการมากมาย หวังดึงคะแนนที่มีมากกว่า 12 ล้านเสียงจากกลุ่มผู้สูงวัย 

เริ่มจาก ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ของ ‘ลุงตู่’  ที่ประกาศ ‘ทำต่อ’ เพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเป็น 1,000 บาทต่อเดือนเท่ากันทุกช่วงอายุ และยังมีนโยบายสร้างศูนย์ดูแลผู้สูงวัย สร้างศูนย์สันทนาการผู้สูงอายุชุมชน และลดภาษีให้กับบริษัทเอกชนที่จ้างงานผู้สูงอายุ

ขณะที่ ‘พรรคเพื่อไทย’ ประกาศเดินหน้าเพิ่มประสิทธิภาพ ‘30 บาทรักษาทุกโรค’ ดูแลกลุ่มเปราะบาง และผู้สูงอายุ ให้ใช้บริการโรงพยาบาลใกล้บ้าน ลดเวลารอพบแพทย์ และปรับปรุงการบริการให้ทันสมัย ใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียว 

ขยับมาที่ ‘พรรคประชาธิปัตย์’ ผลักดันนโยบายการออมเพื่อวัยเกษียณภาคบังคับ พร้อมขยายอายุเกษียณจาก 60 ปี เพื่อเติมเงินออมเลี้ยงดูตัวเอง รวมถึงจัดตั้งชมรมผู้สูงอายุรับ 30,000 บาท ทุกหมู่บ้าน หนุนสุขภาวะและส่งเสริมอาชีพสร้างรายได้ให้กับผู้สูงอายุ

ส่วน ‘พรรคพลังประชารัฐ’ ของ ‘ลุงป้อม’ จะเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแบบขั้นบันไดตามช่วงอายุ โดยอายุ 60 ปีขึ้นไปรับเบี้ย 3,000 บาทต่อเดือน อายุ 70 ปีขึ้นไป รับเบี้ย 4,000 บาทต่อเดือน และอายุ 80 ปีขึ้นไป รับเบี้ย 5,000 บาทต่อเดือน และขยายอายุเกษียณเป็น 63 ปี พร้อมสนับสนุนวิสาหกิจเพื่อผู้สูงอายุ สร้างงาน 1 ล้านตำแหน่งให้ผู้สูงอายุ และทำอาคารรองรับผู้สูงอายุ

ขณะที่ ‘พรรคก้าวไกล’ นำเสนอนโยบายเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุเป็น 3,000 บาท ภายในปี 2570  สร้างระบบดูแลผู้ป่วยติดเตียง สมทบเงินเข้ากองทุนดูแลผู้สูงอายุ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในการดูแลผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียงโดยมีการจ้างผู้ดูแลเฉลี่ย 1 คน ต่อผู้ป่วย 2 คน

‘ดร.พงศ์ธร’ เทียบฟอร์มนโยบาย ‘เพื่อไทย-ก้าวไกล’ 2 พรรคประชาธิปไตย ที่อาจทำแฟนคลับลุ้นเหนื่อย

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ใช้ติ๊กต็อก บัญชี ‘PhongThon’ โดย ‘ดร.พงศ์ธร ธาราไชย’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (PPS) ได้ออกมาวิเคราะห์นโยบายทางการเมืองของสองพรรค ระหว่างพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล โดยกล่าวว่า...

“สำหรับคนวัยผมอย่างผมก็อยากจะเลือกพรรคเพื่อไทย เพราะเป็นแฟนคลับกันมานานถือว่าพรรคเพื่อไทยมีฐานแฟนคลับคน Gen X (เกิดช่วงปี พ.ศ. 2508-2522)”

“ซึ่งพรรคเพื่อไทยได้ชูนโยบาย เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ขยายโอกาส ลักษณะของพรรคคือ มีเจ้าของพรรคคือตระกูลชินวัตร เป็นเจ้าของพรรค และส่งผู้บริหารมืออาชีพอย่าง คุณเศรษฐา ทวีสิน มาเป็น CEO ของพรรค โดยลักษณะของการดำเนินนโยบายเป็นแบบไม่ค่อยไปตีการเมืองเก่าแบบแรงๆ ทำท่าเหมือนจะไปจับมือกันก็ยังสามารถทำได้ พร้อมมีนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท/วัน กับนโยบายเงินเดือนคนจบปริญญาตรีเริ่มต้น 25,000 บาท และนโยบายจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ซึ่งอาจจะมีการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร และยังมีนโยบายเด็ด แจกเงินดิจิทัลฯ 10,000 บาท ให้ประชาชนทุกคนที่มีอายุเกิน 16 ปีขึ้นไป ซึ่งนโยบายนี้สุ่มเสี่ยงต่อการเข้าข่ายสัญญาว่าจะให้ และมีสิทธิที่จะโดนกกต. เล่นงานได้หลังที่ชนะเข้าไป” 

'เด็กลุงตู่' งง!! 'เศรษฐา' แจก 5 แสนล้านพร่ำเพรื่อ พอมีคนแนะ กลับไม่ฟัง แถมจะ 'ขู่ฟ้อง' ปิดปาก

จากการที่นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาด้อยค่า นโยบายบัตรสวัสดิการพลัส หรือ 'บัตรลุงตู่' ที่จะเพิ่มเงินช่วยเหลือประชาชนที่ได้สิทธิ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เดือนละ 1,000 บาท ว่า เป็นลักษณะของการหยอดน้ำข้าวต้ม และจะเติมปลาแห้งเข้าไปอีกนิด คงไม่มีอะไรไม่มีผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น

ล่าสุด นายอิทธิพัทธ์ เศรษฐยุกานนท์ ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตเลือกตั้งที่ 32 บางกอกใหญ่ บางกอกน้อย ภาษีเจริญ ตลิ่งชัน ธนบุรี เบอร์ 5 พรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ได้ออกมากล่าวตอบโต้ว่า...

ไม่น่าเชื่อว่านักธุรกิจใหญ่อย่างนายเศรษฐา จะไม่เข้าใจเรื่องหลักการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ต้องทำเท่าที่จำเป็นในสถานการณ์ที่ เศรษฐกิจมันเดินไม่ได้อย่าง เช่นตอนโควิด19 อย่างนั้นจึงจะมีความจำเป็นต้องกระตุ้น

แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจของไทยเริ่มมีลักษณะของการฟื้นตัวอย่างชัดเจนดูจากตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ ก็มีการปรับตัวดีขึ้นกำลังซื้อของคนมีมากขึ้น เงินเฟ้อลดลงการว่างงานลดลง นักท่องเที่ยวมากขึ้น...การกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการ 'ใส่เงินจำนวนมากเข้าไปในระบบ' จึงไม่ใช่มาตรการที่จำเป็นในขณะนี้ และในอีกด้านอาจจะส่งผลต่อเรื่องของเงินเฟ้อที่จะพุ่งขึ้นสูง และราคาสินค้าที่จะเพิ่มขึ้นตามมา เพราะผู้ประกอบการรู้ว่าจะมีการใส่เงินลงไป ราคาสินค้าก็จะขึ้นไปรอก่อนแล้ว ซึ่งคุณเศรษฐาไม่เคยพูดถึงผลกระทบในมุมแบบนี้บ้างเลย

แม้แต่นางธาริษา วัฒนเกส อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ยังออกมาแสดงความไม่เห็นด้วย กับโครงการนี้ โดยมองว่าเป็นนโยบายที่ไร้ความรับผิดชอบ นอกจากการสร้างหนี้โดยไม่จำเป็นแล้ว ยังทำให้ประชาชนขาดวินัยทางการเงินอีก และบอกว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าอีกด้วย

‘ชัยวุฒิ’ ย้ำจุดยืนชัด!! ไม่ควรนำประเด็นยกเลิกเกณฑ์ทหาร และแก้ ม.112 มาใช้หาเสียง

นายชัยวุฒิ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า

'หนุ่มเมืองจันท์' วิเคราะห์ ‘ทักษิณ-เศรษฐา’ สองเถ้าแก่แห่ง ‘เพื่อไทย’ 'เหมือน-ต่าง' อย่างไร? เมื่อใส่หมวกการเมืองลงมาปั้นเกม

เมื่อไม่นานมานี้ สรกล อดุลยานนท์ หรือ ‘หนุ่มเมืองจันท์’ คอลัมนิสต์ชื่อดัง ได้ออกมาพูดถึงประเด็น 'เศรษฐา-ทักษิณ ต่างกันอย่างไร' โดยได้กล่าวว่า...

“คุณเศรษฐา เป็นคือเจ้าขอบริษัท เป็นเถ้าแก่เหมือนกันกับทักษิณ ซึ่งวิธีคิดของเถ้าแก่กับมืออาชีพไม่เหมือนกัน เถ้าแก่กล้าตัดสินใจ เพราะนั่นเป็นธุรกิจของเขาเอง และสามารถใช้อารมณ์ได้บ้างเล็กน้อย เพราะเป็นเจ้าของ ฉะนั้นปัญหาอยู่ที่ คุณเศรษฐา ก็มีความเป็นเจ้าของกิจการมาก่อน เขาไม่มีความจำเป็นต้องมาลงการเมืองก็ได้ ซึ่งพอได้มาลงการเมืองนั่นแปลว่าอาจมีอะไรในใจที่อยากจะทำ”

หนุ่มเมืองจันท์ ได้กล่าวต่อว่า การที่เถ้าแก่อย่าง เศรษฐา และทักษิณ นั้นมาอยู่ร่วมพรรคเดียวกัน “นั่นคือสิ่งที่จะต้องหากติกาในการอยู่ร่วมกัน ว่าถ้าจะดำเนินการร่วมกันจะมีแนวทางไหนบ้าง” พร้อมเสริมว่า “คุณเศรษฐา บริหารแสนสิริได้ดี ถือว่าเป็นคนที่มีรสนิยม”

“คุณเศรษฐา และคุณทักษิณ นั้นแตกต่างกัน ซึ่งคุณทักษิณนั้นเป็นคนต่างจังหวัด อยู่สันกำแพง พอมาเกณฑ์ทหารก็เจอชาวบ้าน และได้ลงพื้นที่ จึงทำให้รู้จักคนทุกระดับได้มากกว่า แต่กลับกัน ในส่วนของคุณเศรษฐา เป็นคนที่อยู่ในกลุ่มยอดพีระมิด ซึ่งนั้นเป็นสิ่งที่แปลกที่บุคคลที่อยู่ยอดพีระมิดจะมารู้สึกถึงความเหลื่อมล้ำ นั่นแปลว่าต้องมีอะไรอยู่ในใจคุณเศรษฐา”

หนุ่มเมืองจันท์ ยังได้กล่าวต่อว่า “เคยสังเกตไหมครับ คุณเศรษฐาเวลาลงพื้นที่พบเจอกับชาวบ้าน เขาจะอินกับสิ่งที่ไม่เคยเจอมาก่อน ซึ่งอาจะเป็นประสบการณ์ชีวิตที่คุณเศรษฐาไม่เคยเจอแต่เขารู้สึก”

พร้อมเปิดเผยถึงด้านการทำธุรกิจของเศรษฐา ว่า “คุณเศรษฐาเวลาทำธุรกิจเป็นคนเด็ดขาดมาก เป็นคนที่กล้าตัดสินใจ และรสนิยมในการตั้งแบรนด์ แสนสิริ คือตัวของคุณเศรษฐาเอง” พร้อมเพิ่มเติมไปอีกว่า “เศรษฐาเป็นคนที่มีรสนิยมสูง นั้นเป็นโอกาสในการจะนำสินค้าไทยไปได้ไกล เพราะคุณเศรษฐามีรสนิยมดีและรู้เรื่องเหล่านี้ดี”

เสถียรภาพทางการเมือง แรงส่งเศรษฐกิจเหงียนพุ่ง หนึ่งในคำตอบ!! ทำไม ศก.เวียดนาม โตสุดในอาเซียน?

ในช่วงการเลือกตั้งครั้งนี้ สิ่งที่ควรจะนำมาพิจารณาคือ การมองประเทศอย่างรอบด้าน เพื่อเป็นข้อมูลในการพิจารณาประกอบ จึงขอนำข้อมูลจาก Quora ซึ่งเป็นบทความที่สรุปมุมมองของนักธุรกิจต่างชาติวิจารณ์ประเทศต่าง ๆ ใน ASEAN แล้วสรุปว่า เวียดนามมีเศรษฐกิจที่เติบโตมากที่สุดใน ASEAN ตามรายละเอียดดังนี้

บริษัทของเราต้องเดินทางเพื่อติดต่อธุรกิจในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บ่อยมาก และเราพบว่า เวียดนามเป็นประเทศที่มีความโชคดีที่เอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจมากที่สุด อันเนื่องมาจากเหตุผลดังต่อไปนี้

1.เสถียรภาพทางการเมืองทำให้ศรษฐกิจเติบโตอย่างมั่นคงด้วย หลังจากเวียดนามมีการปฏิรูป Đổi Mới โดย Nguyễn Văn Linh เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม (18 ธันวาคม พ.ศ. 2529 – 28 มิถุนายน พ.ศ. 2534) ในขณะนั้น เป็นการเน้นตลาดเสรี แต่ยังคงใช้ระบบการเมืองแบบคอมมิวนิสต์ แต่ลดความเข้มงวดตามแบบนิยมสังคมนิยม รัฐบาลเวียดนามได้ทำให้เกิดความ 'สะดวก' ในการทำธุรกิจและการไหลเข้าของนวัตกรรมเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ หลังสงคราม เวียดนามเชื้อเชิญกลุ่มทุนที่ร่ำรวยจากเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดที่สุด เสนออัตราดอกเบี้ยที่สูงที่สุดในเอเชีย และได้รับเงินกู้จากธนาคารทุนดั้งเดิมเพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน

2.รัฐบาลเวียดนามอนุญาตให้ผู้พลัดถิ่นถือสองสัญชาติหรือหลายสัญชาติเป็นรูปแบบหนึ่งของกระบวนการปรองดองและเยียวยา สิ่งนี้ได้สร้างการไหลเข้าของเงินทุนจากชาวเวียดนามพลัดถิ่น ซึ่งขณะนี้มีความมั่นใจที่จะนำเงินที่หามาอย่างยากลำบากกลับคืนสู่เศรษฐกิจที่มีการเติบโตสูง

3.เวียดนามอาจเป็นประเทศที่ไม่มีการปิดกั้นอย่างแท้จริงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงไม่มีอุปสรรคทางการค้าระหว่างประเทศ หรือข้อพิพาททางการทูต ต่างจากมาเลเซียและอินโดนีเซียที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอล หรือสิทธิพิเศษอื่น ๆ ทั้งนี้ผู้นำของเวียดนามได้ทำการศึกษากฎหมายของเพื่อนบ้านที่ประสบความสำเร็จมากกว่า และเรียนรู้ว่า สิ่งใดใช้แล้วได้ผล และสิ่งใดที่ไม่ควรนำมาใช้ในประเทศของตน เวียดนามเชื้อเชิญกลุ่มทุนนิยมโดยตรง และยอมให้กองทุนลอตเตอรี่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ แต่ห้ามการพนันอื่น ๆ โดยเด็ดขาด

4.ผู้นำเวียดนามมีความมั่นใจและมองการณ์ไกล ด้วยชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์ในการได้รับเอกราชและพลังผลักดันในอินโดจีน ผู้นำของพวกเขาเบื่อหน่ายกับสงคราม และในยุค 80 ตระหนักว่าการเป็นศัตรูกับเพื่อนบ้านนั้นไม่มีประโยชน์ พวกเขาทำการรณรงค์ทางด้านการทูต และเข้าสู่ ASEAN ในปี ค.ศ. 1995 สิ่งนี้นำมาซึ่งโอกาส เช่น การนำเข้าปุ๋ยและการส่งออกข้าวจาก/ไปยังอินโดนีเซียที่ทำกำไรมากมาย และการนำเข้าต้นกล้าจากไทยเพื่อเพิ่มคุณภาพของพันธุ์ข้าว และการหลั่งไหลเข้ามาของครูชาวฟิลิปปินส์เพื่อการพัฒนาด้านการศึกษา โดยเฉพาะศักยภาพด้านภาษาอังกฤษ ซึ่งนำมาซึ่งการเก็บเกี่ยวที่อุดมสมบูรณ์ และจำนวนประชากรที่เฟื่องฟูในช่วงทศวรรษที่ 90 ถึงปี 2000

5.เวียดนามมีความสัมพันธ์ที่ดีในอดีตกับเพื่อนบ้านที่ใหญ่ที่สุดอย่างอินโดนีเซีย เป็นที่ทราบกันว่าในช่วงสงครามประกาศเอกราชของเวียดนาม อินโดนีเซียเสนอเกาะของตนเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของผู้ลี้ภัยชาวเวียดนาม และ UNHCR ร่วมกับชาวเวียดนามก็เคารพในการสนับสนุนด้วยการคืนที่ดินให้กับรัฐบาลอินโดนีเซียในช่วงทศวรรษที่ 90

‘เศรษฐา’ นำทัพ 'เพื่อไทย' จิบน้ำชา-ทานปาท่องโก๋ พบปะประชาชน ที่ตลาดเช้า 'หัวหิน-ปราณบุรี'

(14 เม.ย.66) นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย, จักรพงษ์ แสงมณี กรรมการบริหารพรรค, ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการ, สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และ ขัตติยา สวัสดิผล ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยผู้สมัคร ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ พรรคเพื่อไทย ได้แก่ วัชรพล ปลั่งศรีสกุล เขต 1 เบอร์ 2, พรเทพ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ เขต 2 เบอร์ 4 และจีราวัฒน์ กำบัง เขต 3 เบอร์ 1 เดินทางไปตลาดเช้าหัวหิน อ.หัวหิน และ ตลาดปราณบุรี แยกปราณบุรี อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์  เพื่อพบปะพ่อค้าแม่ค้า พี่น้องประชาชน และนักท่องเที่ยว

พร้อมแวะทานอาหารเช้า พร้อมซื้อหมูปิ้งร้านโปรดของเศรษฐา ทวีสิน ที่แวะทานเป็นประจำเวลามาหัวหิน โดยบรรยากาศการเดินตลาดทั้งตลาดเช้าเป็นไปอย่างคึกครื้น มีประชาชนมอบดอกไม้ให้เศรษฐาเพื่อเป็นกำลังใจ และขอถ่ายภาพกับเศรษฐาตลอดทาง

‘พิธา’ ลุยหาเสียงเชียงใหม่ ขอพลังคนไทยกา ‘ก้าวไกล’ พาประเทศไทยเปลี่ยนแปลง พร้อมรับความท้าทายใหม่ ๆ

(14 เม.ย.66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมกิจกรรมหาเสียงกับผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล จ.เชียงใหม่ หลายพื้นที่

โดยช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้ร่วมกิจกรรมหาเสียงพร้อมกับ อรพรรณ จันตาเรือง ผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่ เขต 6 เบอร์ 1 ร่วมกันเดินประชาสัมพันธ์ที่ตลาดเทศบาลเสียงพร้าว ต.เวียง อ.พร้าว 

ก่อนร่วมกันเปิดวงพูดคุยที่สิริเมืองพร้าวและห้องสมุดจินดา ซึ่งเป็นศูนย์การเรียนรู้ประจำชุมชนใน ต.สันทราย อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ร่วมกับเครือข่ายคนทำงานภาคประชาสังคมหลายกลุ่ม โดยมีการร่วมแลกเปลี่ยนสอบถามกันในหลายประเด็น ทั้งในประเด็นการศึกษา ปัญหาฝุ่น สิทธิมนุษยชน ความหลากหลายทางเพศ สถานการณ์เมียนมา ชาติพันธุ์ ที่ดินทำกิน เป็นต้น

พิธาระบุตอนหนึ่ง ว่าประเทศไทยในวันนี้กำลังเผชิญกับความท้าทายหลายปัญหา อย่างเรื่องหนึ่งที่เรามีการพูดถึงวันนี้ คือปัญหาหลักสูตรการศึกษา ต้องตอบโจทย์ด้วยการกระจายอำนาจ ปลดล็อกท้องถิ่น ไม่ใช่ให้คนที่ส่วนกลางมาออกแบบให้ ระบบราชการที่อยู่แบบเดิมมา 130 ปีแล้ว ย่อมไม่สามารถตอบโจทย์ของยุคสมัย อย่างโควิด pm 2.5 การต่างประเทศ และความท้าทายอื่นๆ ที่ประเทศเผชิญอยู่ได้แน่ๆ

‘จุลพันธ์-วิสาระดี’ ขออาสากระจายเศรษฐกิจที่ดี ให้ทั่วทุกพื้นที่ ชี้!!อยากให้คนไทยอยู่กับครอบครัวทุกวัน

(14 เม.ย. 66) เฟซบุ๊ก ‘พรรคเพื่อไทย’ ได้โพสต์ประกาศขออาสาสร้างเศรษฐกิจ ที่นำพาความเจริญมาสู่คนไทยแบบกระจายไปทุกพื้นที่ ไม่ใช่แค่เมืองหลวง หวังอยากทำให้ปชช. ได้อยู่กับครอบครัว โดยระบุว่า

วันครอบครัวต้องไม่ใช่แค่เทศกาล พี่น้องคนไทยต้องมีโอกาสใช้ชีวิตและทำงานที่บ้านเกิด มีวันครอบครัวได้ทุกวัน

ที่ผ่านมาประเทศไทยพึ่งพากรุงเทพฯ เป็นเขตเศรษฐกิจหลักมาโดยตลอด ความเจริญจึงกระจุกตัว มีเพียงกรุงเทพฯ ที่มีโครงสร้างพื้นฐานพรั่งพร้อมสำหรับการทำธุรกิจ ตลาดแรงงานในเมืองหลวงของประเทศจึงเติบโตและมีความหลากหลายทางอาชีพมากกว่าจังหวัดอื่นๆ 

เมื่อไม่มีโอกาสหารายได้ที่บ้านเกิด คนวัยทำงานจากทุกภาคของประเทศไทยจึงจำเป็นต้องโยกย้ายพลัดถิ่นไปแออัดกันอยู่ที่กรุงเทพฯ เพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว เกิดเป็นปัญหาอื่นๆ ตามมา เช่น ท้องถิ่นสูญเสียคนคุณภาพที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจและทำงานพัฒนาพื้นที่บ้านเกิด และที่สำคัญ หลายครอบครัวสูญเสียโอกาสที่จะได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้า จะเจอกันได้ก็เพียงช่วงเทศกาลสำคัญอย่างสงกรานต์เท่านั้น

จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่ เขต 5 เบอร์ 7 เห็นปัญหานี้จากการลงพื้นที่พบปะประชาชนมาโดยตลอด “พี่น้องเขาจะชอบพูดกัน ถ้าไปหางานทำที่กรุงเทพฯ จะมีตัวเลือกกว่า 50 ทาง แต่ถ้าหาที่บ้านเกิดเขาจะมีเหลือเพียงแค่ 5 ทางเท่านั้น น่าเสียดายที่บางจังหวัดอย่างเชียงใหม่หรือเชียงรายมีสถาบันการศึกษาคุณภาพที่ผลิตบัณฑิตเก่ง ๆ เยอะมาก แต่ตลาดแรงงานในพื้นที่ไม่เพียงพอ ไม่มีงานรองรับ” 

ปัญหาการพลัดถิ่นไปทำงานที่อื่นและต้องแยกจากครอบครัวเป็นสิ่งที่ วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ ผู้สมัคร ส.ส.เชียงราย เขต 4 เบอร์ 4 พบเห็นในพื้นที่จังหวัดเชียงรายเช่นกัน แต่ทั้งจุลพันธ์และวิสาระดีเชื่อมั่นในหลักการเดียวกันว่า ความอบอุ่นและความเข้มแข็งของครอบครัวคือรากฐานความสำเร็จของบุคลากรและชุมชน ในการลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคราวนี้ ทั้งสองจึงตั้งใจผลักดันนโยบาย “เขตธุรกิจใหม่” (New Business Zone) ให้เกิดขึ้นจริง โดยเฉพาะในหัวเมืองที่มีศักยภาพที่จะเติบโตได้ เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น สงขลา และอุดรธานี

วิสาระดีกล่าวด้วยว่า การสร้างงานและกระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชนคือทางออกของปัญหาคุณภาพชีวิตและหนี้สินในครัวเรือน “ผู้เฒ่าผู้แก่หลาย ๆ ครอบครัวในต่างจังหวัดมีหน้าที่เลี้ยงเด็กเพียงลำพัง รุ่นไหนโตก็ส่งเข้าไปทำงาน เด็กเกิดมาก็ส่งกลับมาให้เลี้ยง ไม่ใช่ว่าเขาไม่รักลูก แต่สังคมไม่เอื้อให้ครอบครัวได้อยู่อย่างพร้อมหน้า งานในจังหวัดไม่สามารถให้รายได้ที่พวกเขาสามารถเลี้ยงครอบครัวได้อย่างมีศักดิ์ศรี เราอยากให้ประชาชนได้อยู่กันพร้อมหน้า มีรายได้เพียงพอต่อการใช้ชีวิต และมีคุณภาพชีวิตที่ดี”

การสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่นเป็นไปได้ด้วยวิสัยทัศน์ที่ “คิดใหญ่ ทำเป็น” แบบพรรคเพื่อไทย “เขตธุรกิจใหม่” เป็นไปได้แน่นอน โดยเริ่มต้นจากการ “สร้าง” 3 ข้อต่อไปนี้ 

1. สร้างกฎหมายเกื้อหนุนผู้ประกอบการ
กฎหมายดั้งเดิมจำนวนมากเป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม ต้องแก้ไขด้วยการออกกฎหมายใหม่ที่เหมาะสมกับยุคสมัยและเงื่อนไขการทำธุรกิจในปัจจุบันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายการเข้าสู่ธุรกิจ กฎหมายแรงงาน กฎหมายป่าไม้ กฎหมายอุทยาน กฎหมายการโรงแรมและการท่องเที่ยว มีระบบ One Stop Service เพื่อให้พี่น้องประชาชนเข้าถึงง่ายดาย สามารถเปิดธุรกิจใหม่ได้โดยใช้เวลาน้อยที่สุด 

2. สร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการ
เปิดคลังข้อมูล Open Data ให้ทุกคนสามารถเข้าถึงความรู้ของธุรกิจใหม่ๆ ไปต่อยอดศักยภาพพัฒนาธุรกิจดั้งเดิมที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าเกษตรหรือสินค้าทางวัฒนธรรม คนที่เคยออกไปทำงานนอกจังหวัดสามารถเห็นลู่ทาง เห็นโอกาสที่มากกว่าคนอื่นในการกลับมาลงทุนทำธุรกิจ สร้างงานสร้างอาชีพที่จังหวัดบ้านเกิด มีนโยบายที่ช่วยสนับสนุนในการเข้าถึงทุนจากรัฐ สร้างแต้มต่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันกับธุรกิจต่างชาติในตลาดเดียวกันได้อย่างทัดเทียม 

'จิ๊บ ศศิกานต์' ชี้!! สงกรานต์เงินสะพัด 1.2 แสนล้าน ความจริงที่เกิดจากผลงาน 'ลุงตู่' วอนบางคนอย่าบิดเบือน

สงกรานต์ เงินสะพัดกว่า 1.2 แสนล้าน ‘จิ๊บ ศศิกานต์’ ชี้ ฝีมือ ‘ลุงตู่’ พาชาติพ้นวิกฤตวอนนักการเมืองเลิกสร้างวาทกรรมบิดเบือนหลอกประชาชน

จากกรณีที่ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2566 การจัดกิจกรรมด้านต่างๆ นั้นจะทำให้เกิดเงินสะพัดในช่วงสงกรานต์ อยู่ที่ประมาณ 125,203 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขนี้เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับ ช่วงปี 2559 ถือว่าใกล้เคียงกันมาก ทำให้มองได้ว่าเศรษฐกิจนั้นเริ่มกลับมาดีเหมือนเดิมแล้วนั้น

ล่าสุด นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขต 30 บางแค ภาษีเจริญเบอร์ 7 จากพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้กล่าวว่า ตัวเลขดังกล่าวนั้นเป็นเครื่องชี้วัดที่สะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า เศรษฐกิจของไทยได้ฟื้นตัวแล้ว แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารประเทศของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ในภาวะวิกฤตซ้อนวิกฤต ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาต่อเนื่องกันตั้งแต่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ต่อเนื่องมายังการสู้รบสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบเศรษฐกิจของทั้งโลก วิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำ คนตกงาน อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น ซึ่งทุกประเทศก็ได้รับผลกระทบนี้เหมือน ๆ กัน แต่ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลของประเทศไหนนั้นจะบริหารประเทศ ให้ผ่านพ้นวิกฤตและฟื้นตัวได้ดีกว่ากัน 

ซึ่งจากตัวเลขข้างต้นนั้นก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าประเทศไทยนั้น เป็นประเทศที่สามารถผ่านพ้นวิกฤตและฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วก่อนประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศ สังเกตได้จากไทยเป็นประเทศแรก ๆ ในโลกที่เปิดรับนักท่องเที่ยว ซึ่งตัวเลขนักท่องเที่ยวในปัจจุบันนั้นก็ถือว่าใกล้เคียงกับตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในช่วงก่อนจะเกิดโรคโควิด-19แล้ว

‘ชวน’ ลุยหาเสียงคลองท่อม ช่วย ‘พิมพ์รพี’ หาเสียง ยอมรับ!! หนักใจ-วิตกกังวล เหตุผลโพลพรรครั้งท้าย

ชวน ลงพื้นที่ตลาดคลองท่อม ช่วย ผู้สมัคร ส.ส. กระบี่ เขต 3 หาเสียง ยอมรับหนักใจ ผลโพลพรรครั้งท้าย พร้อมวิตกกังวล มีการเงินอย่างหนักมาก

(14 เม.ย. 66) ตลาดคลองท่อม อำเภอคลองท่อมจังหวัดกระบี่ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร และที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย นางสาวพิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล นายสาคร เกี่ยวข้อง และนายธวัช ภูเก้าล้วน ผู้สมัคร ส.ส. ในพื้นที่ จ.กระบี่ ทั้ง 3 เขต

ลงพื้นที่หาเสียงในตลาดคลองท่อม อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ พบปะชาวบ้านพี่น้องประชาชนในเขต 3 ท่ามกลางบรรยากาศตลาดนัดยามเช้าในพื้นที่ซึ่งมีประชาชนเดินทักทายหาเสียงช่วย นางสาวพิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 3


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top