Wednesday, 27 September 2023
CRIMES

ดีอีเอส-ศปอส.ตร. บุกจับพนันออนไลน์เครือข่าย MGM99 เงินหมุนเวียน 1.2 พันล้าน

ดีอีเอส ประสานความร่วมมือ ศปอส.ตร. วันเดียวบุก 6 จุดเมืองปทุมธานี จับกุมเครือข่ายเว็บไซต์พนันออนไลน์ MGM99 เงินหมุนเวียนในระบบ 1,200 ล้านบาท จ่อใช้ยาแรงทั้ง พ.ร.บ.การพนันฯ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และกฎหมายฟอกเงิน

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า วันนี้ (12 ก.ค. 64) กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ประสานความร่วมมือกับศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) เข้าสืบสวนติดตามจับกุมเครือข่ายเว็บไซต์พนันออนไลน์ เครือข่าย MGM99  โดยจากการสืบสวนพบเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง จำนวน 3 เว็บไซต์ ได้แก่ ไลน์ไอดี @MGM99VP,@MGM99TH และเว็บไซต์ WWW.PD24H.COM  มีเงินหมุนเวียนในระบบ 1,200 ล้านบาท ดำเนินการมาประมาณ 2 ปี

โดยช่วงเช้าวันนี้ เจ้าหน้าที่ชุดเทคนิคและสืบสวนชุดที่ 1 และ 3   (ศปอส.ตร.)  ได้นำหมายจับผู้ต้องหาศาลแขวงปทุมวันในความผิดฐาน “ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศหรือโฆษณาโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน” และได้ขอหมายค้นจากศาลจังหวัดธัญบุรีเพื่อทำการตรวจค้นสถานที่ต้องสงสัยกระทำความผิด จำนวน 6 จุด ในพื้นที่ จ.ปทุมธานี จับกุมผู้ต้องหารวม 18 ราย (ผู้ต้องหาตามหมายจับ 3 ราย ผู้ต้องหาอื่น 15 ราย) พร้อมตรวจยึดของกลางซึ่งรวมถึงรถยนต์หรู 8 คัน และเงินสดของกลางประมาณ  11 ล้านบาท

ทั้งนี้ ผู้ต้องหาจะถูกดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศหรือโฆษณาโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน” และความผิดฐาน “ฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน(ห้ามจัดกิจกรรมรวมกลุ่มของบุคคลที่รวมกันมากกว่า 5 คน) ประกอบคำสั่งจังหวัดปทุมธานี ที่ 6728/64 ลง 11 ก.ค. 64” (เฉพาะจุดตรวจค้นที่ 3)

“เนื่องจากคดีการพนันออนไลน์เป็นความผิดมูลฐาน ตามกฎหมายฟอกเงิน ซึ่งทาง ศปอส.ตร.จะได้ดำเนินการประสานกับทาง ปปง. เพื่อยึดทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับคดีทั้งผู้ต้องหาหรือผู้เกี่ยวข้อง และดำเนินคดีฐานฟอกเงินต่อไป” นายชัยวัฒน์กล่าว

สำหรับประชาชนที่พบเห็นหรือทราบถึงการกระทำความผิดของผู้ลักลอบชักชวนให้เล่นการพนันออนไลน์ ในสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ อันเป็นการมอมเมาเยาวชน และทำลายระบบเศรษฐกิจของประเทศ สามารถแจ้งเข้ามาได้ที่เพจอาสาจับตาออนไลน์ https://m.facebook.com/DESMonitor/ ตลอด 24 ชั่วโมง หรือแจ้งมายัง ศปอส.ตร. ได้ที่สายด่วนหมายเลข 1599 และ สายตรง 081-8663000 เวลาราชการ  เพื่อดำเนินการสืบสวนหาพยานหลักฐานจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ผบช.สตม. แถลงผลจับกุมคดีสำคัญ ตม.จว.ชลบุรี กวาดล้างนายห้างแขก เร่ขายสินค้าเงินผ่อนดอกเบี้ยโหด ซ้ำเติมประชาชนช่วงโควิด-19

วันนี้ 9 ก.ค. 64 เวลา 10.00 น. สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม. ในฐานะโฆษก สตม. เปิดเผยว่า พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ทรงโปรด สิริสุขะ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.กฤตัชญ์ บำรุงรัตนยศ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.รัชธพงศ์ เตี้ยสุด รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.หฤษฎ์ เอกอุรุ รอง ผบก.ตม.3 และ ว่าที่ พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงค์ชัย ผกก.สส.บก.ตม.3 และ พ.ต.อ.นเรนทร์ เครื่องสนุก ผกก.ตม.จว.ชลบุรี ร่วมแถลงข่าวการจับกุม ดังนี้

เนื่องด้วย ตม.จว.ชลบุรี ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่ามีบุคคลลักษณะคล้ายแขก มีพฤติการณ์ออกเร่ขายสินค้าประเภทเงินผ่อน ก่อความเดือดร้อนรำคาญในพื้นที่รับผิดชอบจำนวนหลายราย จึงได้ทำการสืบสวนหาข้อมูลก็พบว่า กลุ่มคนเหล่านี้มีพฤติกรรมเร่ขายสินค้าและจูงใจให้มีการผ่อนชำระเป็นรายวัน แต่เมื่อรวมยอดเงินที่ผ่อนครบแล้วพบว่ามีอัตราดอกเบี้ยที่สูงมาก จึงได้รีบสืบสวนหาข่าว จนนำมาซึ่งการจับกุมโดยมีรายละเอียดดังนี้

หลังจากได้รับการร้องเรียนข้างต้น ชุดจับกุมได้ทำการสืบสวนจนพบคนต่างด้าวที่มีพฤติกรรมดังกล่าว ทราบชื่อคือ นายรามสัญชาติอินเดีย พร้อมกับกลุ่มชายแขกยังไม่ทราบชื่ออีกจำนวนหนึ่ง ได้เฝ้าดูพฤติกรรมก็พบว่ามีการตะเวนเร่ขายสินค้าให้กับประชาชนทั่วไปในละแวก เมืองพัทยาและทาง ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี อยู่หลายครั้งซึ่งชุดจับกุมเข้าไปสอบถามประชาชนในบริเวณที่กลุ่มคนเหล่านี้ตระเวนไป พบว่ามีข้อมูลว่ามีการเสนอให้ซื้อผ่อนชำระในอัตราดอกเบี้ยสูงจริง ต่อมา

ชุดจับกุมได้พบนายราม กำลังเร่ขายสินค้าเช่นเคย จึงได้เข้าไปแสดงตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่เพื่อตรวจสอบพบหลักฐานเป็นเงินสดและหนังสือสมุดพกรายการทางบัญชีลูกค้ากว่า 40 ราย จึงได้ตรวจยึดไว้เป็นหลักฐาน และในบริเวณใกล้เคียงยังพบกลุ่มชายลักษณะคล้ายแขกจำนวน 3 คน จึงได้เข้าตรวจสอบบุคคลดังกล่าว พบนายอูเมส ตรวจสอบหนังสือเดินทางพบว่า อยู่ในราชอาณาจักรโดยสิ้นสุด (Overstay) ๕๓๖ วัน พบนายเอเชรัม อยู่ในราชอาณาจักรโดยสิ้นสุด (Overstay) 910 วัน และพบนายซีรอม อยู่ในราชอาณาจักรโดยสิ้นสุด (Overstay) 1,023 วัน จึงได้จับกุมตัวพร้อมกับแจ้งข้อหาในความผิดที่พบเบื้องต้นและจับตัวนำส่งเพื่อดำเนินคดี

การแจ้งข้อกล่าวหา : ในเบื้องต้นมีการแจ้งข้อกล่าวหา นายรามฯ ว่า “เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน

หรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้” (ม.8 พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานคนต่างด้าว พ.ศ.2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2561)

 นายอูเมส ว่า “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการสิ้นสุด (536 วัน)

 นายเอเชรัม ว่า “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการสิ้นสุด (910 วัน)

 นายซีรอม ว่า “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการสิ้นสุด (1,023 วัน)

การตรวจยึดของกลาง :

1. เงินสด 100 บาท

2. สมุกพกปรากฎรายการทางบัญชีลูกค้า จำนวน 1 เล่ม

3. รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ยามาฮ่า รุ่น N MAX สีดำ ทะเบียน ชลบุรี

สอบถามนายรามฯ รับตนเป็นคนต่างด้าวสัญชาติอินเดีย ได้รับอนุญาตให้เข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยถูกต้องประเภทเกษียณอายุ ที่ จ.นครสวรรค์ แต่มาประกอบอาชีพขายสินค้ารายการลักษณะเงินผ่อนรายวันในพื้นที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ชุดจับกุมพบว่า เฉพาะนายรามฯคนเดียว อาจมีลูกค้าจำนวนมากกว่า 40 ราย ดอกเบี้ยสูงร้อยละ 20 ถึง 30 ในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือน มูลค่าความเสียหายประเมินไว้ร่วม 500,000 บาท และในส่วนของนายอูเมส นายเอเชรัม และนายซีรอม ซึ่งพบอยู่บริเวณใกล้เคียง นอกจากจะพบว่าลักลอบอยู่ในประเทศไทยเกินระยะเวลาวีซ่ามาเป็นระยะเวลานานแล้ว ก็ยังมีข้อมูลว่าอาจมีความเกี่ยวข้องกับกระบวนการขายสินค้าเงินผ่อนดอกเบี้ยสูงอีกด้วย ซึ่งอยู่ระหว่างตรวจสอบการตรวจสอบในรายละเอียดหากแน่ชัดจะมีการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนขยายผลตรวจยึดทรัพย์สินที่อาจเกี่ยวเนื่องกัน และบุคคลอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือต่างชาติที่คอยสนับสนุนกลุ่มคนเหล่านี้มาดำเนินคดีต่อไป

พล.ต.ต.อาชยน กล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี   เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

ทางด้าน พ.ต.อ.ภัคพงศ์  สายอุบล รอง ผบก.ตม.1/รอง โฆษก สตม. กล่าวว่า ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตราย ต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อันทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือ www.immigration.go.th

เชียงราย ไม่รอด !! ทหารชายแดนจับยาไอซ์ 12 กระสอบ กลางป่าชายแดนอำเภอแม่ฟ้าหลวง

เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา พลตรี นฤทธิ์ ถาวรวงษ์ ผู้บัญชากองกำลังผาเมืองเข้าตรวจสอบพื้นที่และของกลางยาเสพติดจำนวนมากหลังจากเมื่อคืนที่ผ่านมาโดยการนำของ พันเอก อุไร ศรีม่วงสุข บก.ควบคุม ปส.พื้นที่ 4 อำเภอ ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดเข้ามาในพื้นที่รับผิดชอบจึงร่วมกับ บก.ควบคุมที่ 1หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 3 และ บก.ควบคุมพื้นที่พิเศษ 2 อำเภอ อำเภอแม่ฟ้าหลวง-อำเภอแม่จัน ได้ทำการลาดตระเวนในพื้นที่

จนกระทั่งเวลา 10.00 น. เจ้าหน้าที่พบนาย อาเคอ เวยเม ชาวเขาสัญชาติเมียนมา อยู่ในกระท่อมบริเวณบ้านสวนป่าหมู่ที่14 ตำบลแม่ฟ้าหลวง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย จึงควบคุมตัวมาสอบสวนแต่ให้การวกไปวนมา เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจบริเวณใก้ลเคียงพบกระสอบจำนวน 12 ใบ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการเปิดดูภายในพบว่าเป็นยาไอซ์น้ำหนักประมาณ 156 กิโลกรัม ต่อมาทางด้าน พลตรี นฤทธิ์ ถาวรวงษ์ ผู้บัญชาการกองกำลงผาเมืองบอกว่ายาล็อตนี้เป็นของกลุ่มอาข่าบ้านผาขาวและกลุ่มว้า

จากข่าวที่ได้รับแจ้งพบของกลางทั้งหมด 70 กระสอบ มีทั้งยาบ้าและยาไอซ์ ซึ่งตอนนี้พบแล้ว 12 กระสอบ เป็นยาไอซ์ทั้งหมด โดยใช้คนในประเทศเพื่อนบ้านเป็นคนลำเลียง มีคนในพื้นที่นำทางและจะมีคนมารับต่อไปอีกทอดหนึ่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่จะทำการขยายผลดำเนินการต่อไป


ภาพ/ข่าว  สันติ วงศ์สุนันท์ / ผู้สื่อข่าวเชียงราย

เจ้าหน้าที่ศุลกากรภาคที่ 4 จับกุมบุหรี่เถื่อนที่ลักลอบนำเข้ามาจากต่างประเทศ จำนวน 371,500 ซอง รวม 7,430,000 มวน มูลค่ากว่า 35 ล้านบาท ในโกดังพื้นที่ จ.นราธิวาส คาดขนมาจากเวียดนามทางเรือและเตรียมส่งขายในพื้นที่

วันนี้ ( 9 ก.ค.64 ) ที่สำนักงานศุลกากรภาคที่ 4 นายยุทธนา พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรภาคที่ 4 ร่วมกับ นายจรูญ ราชกิจจา ผู้อำนวยการสำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 9 นายภาณุพงศ์ ศรีเกตุ สรรพสามิตพื้นที่ สงขลา,จำแลง บัวสงค์ ผู้อำนวยการส่วนตรวจสอบป้องกันและปราบปรามสำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 9

ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมบุหรี่ต่างประเทศล๊อตใหญ่หลายยี่ห้อ จำนวน 37 1,500 ซอง รวม 7,430,000 มวน  มูลค่ากว่า 35 ล้านบาท โดยถูกนำมาเก็บไว้ภายในโกดังไม่มีเลขที่ ใน ต.เจ๊ะเห อ.ตากใบ จ.นราธิวาส และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนปราบปรามศุลกากรภาคที่ 4 ร่วมกับเจ้าหน้าที่สรรพสามิตภาคที่ 9 และเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่สงขลา เข้าตรวจค้นและจับกุมได้เมื่อวานนี้ ( 8 ก.ค.64 )

หลังจากสืบทราบจะว่ามีการลักลอบนำบุหรี่เถื่อนเข้ามาจำหน่ายเป็นจำนวนมาก จากการตรวจสอบไม่พบหลักฐานการผ่านพิธีการศุลกากร เจ้าหน้าที่จึงยึดเอาไว้

นายยุทธนา พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรภาคที่ 4 เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่กำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนที่มาของบุหรี่ล๊อตนี้โดยคาดว่าลักลอบขนมาทางเรือและต้นทางอาจจะนำมาจากประเทศเวียดนาม และเตรียมกระจายส่งขายตามท้องตลาด ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนขยายผลที่มาที่ไปและผู้ที่ลักลอบนำบุหรี่เถื่อนเข้ามา


ภาพ/ข่าว  นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

นรข.นครพนม สนธิกำลังหน่วยงานความมั่นคง ตรวจยึดไม้พะยูง 32 ท่อน เตรียมลงเรือส่งข้ามโขง

สโมสรนายทหารสัญญาบัตร หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง น.อ.เสริมศักดิ์ บุญทา หัวหน้ายุทธการและข่าว หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง เขตนครพนม น.ท.วรภัทร แสงสุวรรณ หน.สถานีเรือนครพนม น.ท.บุญเชิด กุลอำภา หน.สถานีเรือบ้านแพง ร่วมแถลงว่า

เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2564 พล.ร.ต.จรัสเกียรติ ไชยพันธุ์ ผบ.นรข. ได้รับแจ้งจากชาวบ้านผู้หวังดีในพื้นที่ ว่าจะมีการลักลอบไม้พะยูงนำออกนอกราชอาณาจักรบริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง บ้านพนอมเหนือ ม.5 ต.พนอม อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม จึงได้สั่งการให้ น.อ.ฤทธิ์ นาทวงศ์ ผบ.นรข.เขตนครพนมทราบ และให้ น.ท.วรภัทร แสงสุวรรณ หัวหน้าสถานีเรือนครพนม จัดชุดลาดตระเวนทางบก ร่วมบูรณาการกับชุดลาดตระเวน สน.เรือบ้านแพง เข้าทำการตรวจสอบพื้นที่ที่ได้รับแจ้ง

จนกระทั่งเวลาประมาณ 20.08 น. ชุด ลาดตระเวน สน.เรือนครพนม ได้ใช้กล้องส่องกลางคืน ตรวจพบชายฉกรรจ์ประมาณ 5 คน กำลังลำเลียงไม้พะยูงลงเรือ ที่จอดไว้บริเวณที่เกิดเหตุ จึงแจ้งชุดลาดตระเวน สน.เรือบ้านแพง พร้อมกับแสดงตนเข้าจับกุม เมื่อกลุ่มชายฉกรรจ์เห็นเจ้าหน้าที่ฯ แสดงตน จึงได้ทิ้งของกลางหลบหนีไปชุดลาดตระเวนได้วิ่งตามกลุ่มชายฉกรรจ์ไปเห็นผู้ต้องหากำลังจะติดเครื่องเรือเพื่อหลบหนี

ชุดลาดตระเวนสามารถควบคุมตัวได้ จำนวน 1 คน สอบถามเบื้องต้นทราบชื่อ คือ ท้าวเพ็ง อานุลัก อายุ 47 ปี เป็นชาว สปป.ลาว บ้านกะวะเหนือ เมืองหินบูน แขวงคำม่วน สปป.ลาว ตรวจพบไม้พะยูงอยู่บนเรือ จำนวน 11 ท่อน อยู่บนรถบรรทุกขนาดเล็ก ยี่ห้อ นิสสัน สีเทา ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน จำนวน 21 ท่อน รวมทั้งสิ้น 32 ท่อน ปริมาตร 1.054 ลบ.เมตร มูลค่า 500,000 บาท จึงได้นำของกลางทั้งหมดมาตรวจสอบโดยละเอียดที่ สน.เรือนครพนม และทำบันทึกการตรวจยึด/จับกุม พร้อมทั้งนำผู้ต้องหาและของกลางทั้งหมดส่ง สภ.ท่าอุเทน เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป


ภาพ/ข่าว  สุเทพ หันจรัส ผสข.นครพนม

ตำรวจไซเบอร์ 1 แจ้งความดำเนินคดีกับพริตตี้สาวและแฟนหนุ่ม โปรโมทเว็บพนันออนไลน์

ตามนโยบายคุมเข้มพนันออนไลน์บอลยูโร 2021 และโคปาอาเมริกา 2021 หรือฟุตบอลชิงแชมป์ทวีปอเมริกาใต้  รวมถึงนโยบายให้มีการปราบปรามการโฆษณาเชิญชวนให้เล่นทายผลฟุตบอลและพนันออนไลน์ ของ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.กระทรวง DES และ พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี,  พล.ต.ต.รณชัย จินดามุข ผบก.สอท.1 ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการกองวิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.1  

โดย พ.ต.อ.ปรีดา คงจัด ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.1 พ.ต.ท.จักร ถนัดอักษา รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครืองมื่อพิเศษ สอท.1, พ.ต.ท.ศุภรฐ โชติจำหงษ์ รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ , พ.ต.ท.ทวีศักดิ์ คัมภีระ รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ 1, พ.ต.ต.นันทพงษ์ ภูนพทอง สว.วิเคราะห์ข่าวฯ, พ.ต.ต.ชาตรี  เขียวงาม สว.วิเคราะห์ข่าวฯ, พ.ต.ต.เอกชัย  ปราบหงส์ สว.วิเคราะห์ข่าวฯ  ให้ทำการสืบสวนหาข่าวผู้กระทำความผิดในลักษณะชักชวนให้เล่นพนันออนไลน์ในสื่อสังคมออนไลน์

พบผู้บัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กเพจ “สมใจอยาก Som Jai Yak” ได้โพสต์วิดีโอ มีลักษณะเป็นเว็บไซต์ชักชวนการเล่นพนันเอาทรัพย์สินกันผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ จากการสืบสวนเบื้องต้นทราบว่าผู้กระทำความผิดมี 2 ราย คือนายปัญญากร ชัยพนัส อายุ 24 ปี ที่อยู่ 56/1 หมู่ที่ 4 ต.โคกสลุง อ.พัฒนานิคม จว.ลพบุรี และน.ส. พงธนิตย์ วงษ์ไล่ติ๊ด อายุ 28 ปีที่อยู่ 145/109 หมู่ที่1 ต.ปากเกร็ด อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี

เมื่อวันที่ 8 ก.ค.64 เวลา ประมาณ 11.00 น. ได้มาพบเจ้าหน้าที่ตำรวจกองวิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.1 เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาในลักษณะ “โฆษณาหรือชักชวน โดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่น หรือเข้าพนันออนไลน์ โดยไม่ได้รับอนุญาต จากการให้ปากคำของผู้ต้องทราบว่าช่วงนี้ พริตตี้ตกงาน ช่วงโควิดรอบแรก เลยเริ่มทำสื่อออนไลน์รีวิวสินค้า รีวิวท่องเที่ยว ต่อมามีคนจ้างให้โฆษณาชักชวนให้เข้าเล่นเว็บพนัน โดยคลิปละไม่เกิน 30 วินาที โดยได้ค่าโฆษณาคลิปละ 3,000 บาท และได้นำส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางเขนดำเนินการตามกฎหมายต่อไป  

ฝากเตือนไปยังผู้ใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียโฆษณาให้ประชาชนเข้าไปเล่นการพนัน ไม่ว่าจะเป็นพริตตี้ คอลัมนิสต์ หรืออินฟูลเรนเซอร์ หากพบว่าเข้าข่ายเชิญชวนให้เล่นการพนัน ถือว่ามีความผิดอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ตร.เตือน !! ซื้อสินค้าออนไลน์ ควรตรวจสอบให้ดี ก่อนโดนเพจปลอมส่งสินค้าไม่ได้คุณภาพมาแทน

เมื่อวันที่ 8 ก.ค.2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์  ดีพอ รอง ผบก.ปอท. ในฐานะ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากกรณีที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) บุกทลายโกดังสินค้าแห่งหนึ่งย่านราษฎร์บูรณะโดยได้ตรวจยึดเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภท เตารีด พัดลม ไมโครเวฟ ที่ไม่มีคุณภาพกว่า 3,000 ชิ้น ซึ่งพบว่าใช้วิธีการแอบอ้างหลอกลวงผู้บริโภคผ่านสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะเฟซบุ๊กเพราะเป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่ได้รับความนิยม ประชาชนเข้าถึงง่ายและมีการใช้งานเป็นจำนวนมาก โดยจะใช้วิธีลงประกาศโฆษณาสินค้าแบรนด์ดังเป็นยี่ห้อที่มีคุณภาพและเป็นที่รู้จัก แต่นำมาจำหน่ายในราคาถูกกว่าท้องตลาดมาก ทำให้ประชาชนตัดสินใจซื้อโดยไม่ทันได้ตรวจสอบข้อมูลร้านค้า โดยหากต้องการซื้อสินค้าจะให้กรอกชื่อที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ จากนั้นจะจัดส่งสินค้าให้กับผู้สั่งซื้อแบบเรียกเก็บเงินปลายทาง ส่วนใหญ่ช่วงที่สินค้ามาส่ง จะเป็นช่วงเวลากลางวัน คนที่รับสินค้าอาจเป็นผู้สูงอายุ หรือ ญาติ เป็นผู้รับสินค้าแทน

แต่ปรากฎว่า เมื่อผู้สั่งสินค้า มาเปิดดูสินค้าภายหลัง จะพบว่าเป็นสินค้าที่ไม่ตรงตามที่โฆษณา หรือที่เรียกว่า “ไม่ตรงปก” ตั้งแต่ยี่ห้อก็ไม่ใช่ ส่วนใหญ่เป็นสินค้านำเข้าจากต่างประเทศที่ไม่มีคุณภาพ ไม่มีมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.)

เมื่อผู้สั่งซื้อไม่พอใจจะเรียกร้องหรือส่งคืนสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพทำได้อย่างยากลำบาก ไม่สามารถติดต่อผู้ขายได้ หรือหากติดต่อได้ก็จะมีขั้นตอนมากทำให้เสียเวลา จนผู้สั่งซื้อท้อใจเลิกไปเอง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน ในกรณีดังกล่าว จึงขอประชาสัมพันธ์ ให้ใช้วิจารณญาณในการสั่งซื้อสินค้าผ่านสื่อสังคมออนไลน์ โดยแนะนำให้ตรวจสอบข้อมูลร้านค้าก่อนสั่งซื้อสินค้า ดังนี้

1.หลีกเลี่ยงร้านค้าที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะชื่อร้านค้าในสื่อสังคมออนไลน์ที่ใช้พยัญชนะภาษาอังกฤษผสมคำในลักษณะอ่านเป็นคำไม่ได้ การติดต่อสอบถามจะผ่านการแชทเท่านั้นซึ่งจะใช้ระบบอัตโนมัติตอบ โดยมักจะตอบไม่ตรงคำถาม อีกทั้งจะมีการลบความคิดเห็นในแชทที่มีผลในเชิงลบกับร้านค้า ไม่มีหมายเลขโทรศัพท์ที่ใช้ติดต่อกับร้านค้า หรือหากมีก็ไม่สามารถติดต่อได้

2.ควรเลือกซื้อสินค้าจากเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือร้านค้าออนไลน์ที่มีความน่าเชื่อถือ

3.ตรวจสอบความน่าเชื่อถือจาก ข้อมูลความคิดของลูกค้าที่เคยซื้อ(รีวิว แต่ต้องระวังรีวิวจัดตั้งสนับสนุนร้านค้า)

4.ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์หรือเพจจำหน่ายสินค้า หากมีการจัดโปรโมชั่น เช่น ลด แลก แจก แถมในราคาที่อาจเกินความเป็นจริง อาจสอบถามไปยัง call center หรือ แผนกบริการสัมพันธ์ของยี่ห้อ/เจ้าของผลิตภัณฑ์ว่ามีจริงหรือไม่อย่างไร

5.ตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับร้านค้า เช่น ชื่อร้าน ชื่อผู้ขาย หมายเลขบัญชีร้านค้า ฯลฯ ทางเว็บไซต์ search engine หรือ เพจเฟซบุ๊กที่รวบรวมข้อมูลผู้ขายที่มีประวัติการโกงลูกค้า เพื่ออาจทราบถึงประวัติการโกงลูกค้า

6.เลือกซื้อสินค้าในเว็บไซต์หรือเพจขายสินค้าที่มีหมายเลขโทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้จริง สำหรับสอบถามรายละเอียดของสินค้า หรือ ขอความช่วยเหลือกรณีสินค้าที่ซื้อมีปัญหา

7.หากตกลงรับสินค้าและชำระเงินค่าสินค้าแล้ว พบภายหลังว่าสินค้าไม่เป็นไปตามโฆษณา  หรือมีลักษณะผู้ขายมีเจตนาหลอกลวงขายสินค้า สามารถนำหลักฐาน(ข้อมูลการโฆษณาของร้านค้า,หลักฐานการสั่งซื้อ,หลักฐานการชำระเงิน,สินค้าที่ได้รับ ฯลฯ)เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนที่สถานีตำรวจ หรือ บก.ปคบ.ได้

ทั้งนี้หากประชาชนพบเห็นสินค้าที่มีการขายผ่านช่องทางออนไลน์ในรูปแบบดังกล่าว หรือ มีการขายสินค้าในลักษณะหลอกลวงขายสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่เป็นไปตามโฆษณาสามารถแจ้งข้อมูล ได้ที่สายด่วน บก.ปคบ. โทร. 1135 หรือผ่านทางเว็บไซต์ บก.ปคบ. www.cppd.go.th

อำเภอขุนหาญเปิดยุทธการ 238 พิทักษ์นครลำดวน กวาดล้างยาเสพติดตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา

เมื่อวันที่ 7 กรกฏาคม 2564  ภายใต้การอำนวยการของนายวัฒนา พุฒิชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ/ผอ.ศอ.ปส.จ.ศก. และนายคมป์ สังข์วงษ์ นายอำเภอขุนหาญ ได้สั่งการให้นายจุติเพชร บุญเนตร ปลัดอำเภอ งานป้องกัน เจ้าพนักงาน ป.ป.ส. เลขประจำตัว 620041นำกำลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน อ.ขุนหาญ ที่ 6 สนธิกำลังกับตำรวจ สภ.ขุนหาญ และทหาร ฉก.3 ร่วมกันระดมกวาดล้างอาชญากรรมและการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ตามแผน "ยุทธการ 238 พิทักษ์นครลำดวน" ในพื้นที่รับผิดชอบของ ศป.ปส.อ.ขุนหาญ 

โดยมีผลการดำเนินการดังนี้ เวลาประมาณ 00.01 น.ได้ร่วมทำการจับตัว นายเอกวัฒน์ วรรณพัน ชาวตำบลบึงมะลู อ.กันทรลักษ์  และนายฐิติศักดิ์ เขียวทอง ชาวตำบลบึงมะลู อ.กันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ พร้อมด้วยของกลาง เป็น

- ยาเสพติดให้โทษประเภท 1(ยาบ้า) ลักษณะชนิดเม็ดสีส้มกลมแบน จำนวน 1,986 เม็ด
- ยาเสพติดให้โทษประเภท 1(ยาบ้า) ลักษณะชนิดเม็ดสีเขียวกลมแบน จำนวน 14 เม็ด

รวมเป็นยาบ้าทั้งหมดจำนวน 1,200 เม็ด ผลตรวจการปัสสาวะเป็นบวก โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า)ไว้ในครอบครอง เพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย มีพฤติกรรม ได้นำยาเสพติด(ยาบ้า) เข้ามาจำหน่ายในเขต อ.ขุนหาญ

สถานที่เกิดเหตุ บริเวณประตูทางออกหน้าโรงเรียนสำโรงเกียรติ หมู่ที่ 9 ต.บักดอง อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ     เจ้าหน้าที่จึงได้จับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองรายพร้อมด้วยของกลางทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวน สภ.ขุนหาญ เพื่อดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป


ข่าว/ภาพ  ทีมข่าวศรีสะเกษ

ไฟในโรงงานผลิตเม็ดโฟม กิ่งแก้ว 21 ปะทุขึ้นมาอีกครั้งหลังฝนตกลงมา เร่งอัดเคมีโฟมคุมสถานการณ์ไว้ได้

เมื่อเวลา 17.00 น ของวันนี้ วันที่ 6 กรกฎาคม 2564 ไฟได้เกิดปะทุลุกไหม้ขึ้นมาอีกครั้งอย่างรุนแรง เนื่องจากในช่วงดังกล่าวมีฝนตกลงมาและมีลมกรรโชกแรง ทำให้เปลวเพลิงยิ่งลุกโหมอย่างรุนแรง ซึ่งขณะเกิดเหตุยังมีเจ้าหน้าที่ดับเพลิงประจำการณ์อยู่ตรงจัดที่เกิดการปะทุของเหลวไฟ โดยกลุ่มควันสีดำจำนวนมากถูกกระแสพัดมาปกคลุมอยู่บนถนนกิ่งแก้วจนไม่สามารถมองเห็นผิวการจราจร เจ้าหน้าที่ตำรวจและมูลนิธิร่วมกตัญญูร่วมทั้งอาสาสมัครกู้ภัยต้องเข้าประจำการตามจุดรวมพลที่อยู่ทางด้านต้นลม เจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้ระดมฉีดอัดน้ำยาเคมีโฟมใช้เวลาประมาณ 30 นาที กลุ่มควันเริ่มเบาบางลง ส่วนสาเหตุน่าจะเกิดจากการที่ฝนตกลงมาแล้วทำให้ชั้นโฟมที่เราฉีดอัดปิดอากาศไว้เกิดเบาบางลงทำให้เกิดไฟปะทุขึ้นมาได้ แต่ขณะนี้สามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้แล้ว

ด้านนายปภินวิช ละอองแก้ว ปภ.จังหวัดสมุทรปราการ ได้กล่าวว่า ขณะนี้ท่านนายอำเภอในฐานะผู้รับผิดชอบในการทำงาน จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดของจังหวัด มาการประชุมปรับปรุงแผนการทำงาน เพราะปล่อยไว้ให้เป็นอย่างนี้กันไม่ได้ ก็คงต้องมีการปรับปรุงแนวทางการทำงานใหม่เพื่อที่จะให้ยุติและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนให้มากที่สุด เพราะเราคลุมสถานการณ์อยู่แบบนี้ โอกาสที่มันจะเกิดขึ้นอีกมันก็ยังมี เราก็เห็นกันอยู่แล้วมันจะดับมันก็ไม่ดับ เพราะฉะนั้นเราถึงได้บอกว่าเราไม่วางใจต้องมีการเฝ้าระวังกันอยู่ตลอด

ซึ่งก็ได้รับแจ้งจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผ่านมาทางท่านนายอำเภอ ว่าจะมีบริษัทจากจังหวัดระยอง ว่าจะมาสนับสนุนการกำจัดสารระเหย ให้ระเหยขึ้นไปในอากาศได้ แต่ก็ยังไม่มั่นใจก็คงต้องรอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะการตัดสินใจอะไรต้องผ่านผู้ดูแลในพื้นที่ร่วมไปถึงท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ที่จะตัดสินใจว่าจะใช้อย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อกำหนดพื้นที่เป้าหมาย

ในส่วนที่ทำให้เกิดเปลวไฟปะทุขึ้นมานั้นส่วนหนึ่งก็เกิดจากแสงแดดตอนกลางวันที่ลงมาเผาเคมีโฟมที่เราฉีดอัดเอาไว้ให้บางลงและเกิดรอยแตกร้าวจึงทำให้เกิดการปะทุขึ้นมาได้ เพราะว่าความร้อนที่อยู่ด้านล่างมันอาจจะยังคงอยู่ โดยขณะนี้ตอนนี้กำลังเริ่มอ่อนล้าเพราะทำงานกันมาตั้งแต่วันแรก

ปภ.จังหวัด โดยท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ก็ได้ให้ระดมสรรพกำลัง อปท.ทุกแห่งในจังหวัดสมุทรปราการ ให้เข้าปฎิบัติหน้าที่เป็นเวรผลัด วันละ 3 ผลัด ในการเฝ้าระวังท้องถิ่นละ 1 คัน ก็เท่ากับว่าผลัดละ 4 คัน ที่จะเข้ามาประจำอยู่ตรงนี้หมุนเวียนกันไปวันละ 8 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดต้องอ่อนล้าเสียกำลัง ซึ่งตรงนี้อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย


ภาพ/ข่าว  ก๊วก สมุทรปราการ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือน !! กรณีการประกาศชักชวนบนสื่อสังคมออนไลน์ โดยให้ผู้อื่นร่วมกันกระทำความผิดในลักษณะการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่มีการประกาศชักชวนบนสื่อสังคมออนไลน์ให้ประชาชนและร้านอาหารออกมาร่วมกันเปิดร้านซึ่งเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ว่า

จากกรณีที่มีแกนนำกลุ่ม “ราษฎร” ได้ประกาศบนสื่อสังคมออนไลน์ ชักชวนให้พี่น้องประชาชนออกมาร่วมกิจกรรมการเปิดร้านอาหาร หรือกระทำการอื่นใดอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่บริเวณทำเนียบรัฐบาล ในวันที่ 6 ก.ค. 64 ตั้งแต่เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป หลังจากที่มีการโพสต์เรื่องราวดังกล่าว ก็มีพี่น้องประชาชนเข้าไปแสดงความเห็นและสนใจ เป็นจำนวนมาก ซึ่งในขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง และขอเตือนไปยังผู้ที่ประกาศชักชวน รวมถึงผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมว่า หากมีการฝ่าฝืนกฎหมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จำเป็นต้องดำเนินคดีกับผู้ที่ฝ่าฝืนอย่างถึงที่สุด

ดังเช่นในกรณีที่มีการจัดกิจกรรมชุมนุมรวมถึงกิจกรรมลักษณะเดียวกับกิจกรรมข้างต้น ซึ่งเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในช่วงวันที่ 2-4 ก.ค. 64 ที่ผ่านมา ทางพนักงานสอบสวนก็ได้รวบรวมพยานหลักฐานและ มีบุคคลที่ต้องถูกดำเนินคดีกว่า 70 ราย และจะยังมีเพิ่มเติมอีกในภายหลัง

การกระทำในส่วนของผู้ที่ประกาศชักชวนนั้น เข้าข่ายความผิดฐานทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีอื่นใด เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116, ความผิดฐานนำเข้าข้อมูลสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เข้าข่ายเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร

มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท ตาม พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 มาตรา 14(3), ความผิดฐานโฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด มีโทษกึ่งหนึ่งของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 85 ส่วนผู้ที่ออกมาร่วมกิจกรรม เข้าข่ายความผิดฐานฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยในกรณีดังกล่าว ซึ่งการออกมาทำกิจกรรมหรือการชุมนุมในห้วงนี้นั้นเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จึงขอความร่วมมือให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการของรัฐบาลโดยเคร่งครัด เพื่อเป็นการลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และขอขอบคุณพี่น้องประชาชน รวมถึงร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ ที่ให้ความร่วมมือกับมาตรการของรัฐบาล ส่วนผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะต้องดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวต่อว่า การชักชวนให้ผู้อื่นออกมากระทำสิ่งผิดกฎหมายนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทุกคนต้องปฏิบัติตามมาตรการของภาครัฐอย่างเคร่งครัด และขอให้ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ทุกคนใช้วิจารณญาณในการเลือกรับข้อมูลข่าวสาร หลีกเลี่ยงการถูกชักชวนให้กระทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย นอกจากนี้หากพบเบาะแสการกระทำความผิด สามารถแจ้งไปยัง Call Center สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หมายเลขโทรศัพท์ 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สืบ สตม.เปิดยุทธการ “ทะยานฟ้าล่าข้ามเกาะ” บุกจับกุม หัวหน้าแก๊งค้ายาเสพติดชาวเยอรมัน หนีมากบดานที่ไทย

บก.สส.สตม.เปิดยุทธการ ทะยานฟ้าล่าข้ามเกาะ ( Operation 2 Island ) นำหมายจับผู้ร้ายข้ามแดนและหมายค้น เข้าจับกุม 2 ผู้ต้องหาชาวเยอรมัน คดีค้ายาเสพติดที่ทางการเยอรมันต้องการตัวเนื่องจากเป็นหัวหน้าขบวนการผลิตและค้ายาเสพติด(สารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท) ให้กลุ่มแก๊งกระจายออกขายทั่วยุโรป ผู้เสพบางรายเสพแล้วถึงกับเสียชีวิต หลังก่อคดีหนีกบดานที่ประเทศไทยนายหลายปี ทางการเยอรมันประสานทางการไทยให้จับกุมและส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดน

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมทีมสืบสวน พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม. พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย,พ.ต.อ.อาภากร โกมลสุทธิ รอง ผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.ปฎิญญา จีรชนาสิน ผกก.๒ บก.สส.สตม. ติดตามจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดชาวเยอรมัน ตามที่สถานเอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำประเทศไทยขอให้ส่งตัว นาย Alex KARTUN สัญชาติเยอรมันและรัสเซีย และนาย Alexander WOLFIEN สัญชาติเยอรมัน เป็นผู้ร้ายข้ามแดน เพื่อนำตัวไปดำเนินคดีความผิดฐานค้ายาเสพติด (ในรูปแบบของกลุ่มผู้กระทำความผิด) จำนวน 14 คดี  ความผิดฐานค้าสารที่ออกฤทธิ์ทางประสาทชนิดใหม่ (ในรูปแบบของกลุ่มผู้กระทำความผิด) จำนวน 2 คดี 

ทางการสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ให้ข้อมูลว่า ได้ทำการจับกุมกลุ่มขบวนการผลิตยาเสพติด จำนวนประมาณ 20 คน ซึ่งทำการผสมสารเคมีกับสารสมุนไพร ให้ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทเหมือนกัญชา และกระจายขายทั่วยุโรป ผู้เสพบางรายถึงแก่ความตาย แต่ปรากฏว่า นาย Alex KURTEN ซึ่งเป็นหัวหน้าขบวนการดังกล่าว ได้หลบหนีออกจากเยอรมัน พร้อมกับลูกน้อง นาย Alexander WOLFIEN จึงได้มีการออกหมายจับ และหมายแดง Interpol ในเวลาต่อมา

จากนั้น ทางการสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ได้ส่งคำร้องขอต่อรัฐบาลไทยให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน เนื่องจาก มีข้อมูลว่าบุคคลทั้งสองราย ได้เข้ามาหลบซ่อนตัวในประเทศไทย ศาลอาญาจึงออกหมายจับ นายอเล็กซ์ คาร์ตูน (Mr.Alex KARTUN) และ นายอเล็กซานเดอร์ โวลเฟียน (Mr.Alexander WOLFIEN) (หมายจับศาลอาญาที่ 150/2564 และ 151/2564  ลง 20 เม.ย.64) ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ค้ายาเสพติด” (ผู้ร้ายข้ามแดน)  

หลังจากได้รับคำสั่ง พ.ต.ท.ทวีป ช่างต่อ รอง ผกก.2 บก.สส.สตม. พ.ต.ท.พิเชษฐ์ แสงบัณฑิตย์ สว.กก.2 บก.สส.สตม. พร้อมเจ้าหน้าที่สืบสวน กก.2 บก.สส.สตม. จึงได้แบ่งกำลังออกสืบสวนติดตาม และเฝ้าสังเกตการณ์ จากการสืบสวนทราบว่านายอเล็กซ์ คาร์ตูน (Mr.Alex KARTUN) กบดานอยู่ที่วิลล่าหรูบนเกาะพะงัน จว.สุราษฎร์ธานี ส่วนนายอเล็กซานเดอร์ โวลเฟียน (Mr.Alexander WOLFIEN) กบดานอยู่ที่บริเวณใกล้กับหาดราไวย์ เกาะภูเก็ต โดยทั้งสองคนอยู่กับกลุ่มเพื่อนชาวรัสเซียที่คอยให้ความช่วยเหลือและเป็นหูเป็นตาให้หากมีเจ้าหน้าที่เข้ามาในพื้นที่ เจ้าหน้าที่จึงต้องใช้ความระมัดระวังในการติดตามสืบสวน เมื่อเป็นที่แน่ใจแล้ว วันที่ 6 ก.ค. 2564 จึงได้ขออนุมัติหมายศาลจังหวัดภูเก็ต และศาลจังหวัดสมุย แบ่งกำลังตำรวจเข้าตรวจค้นทั้งสองแห่ง และจับกุมตัวตามหมายจับผู้ร้ายข้ามแดน นำตัวส่งพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อประสานส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป 

พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม.กล่าวว่าปฏิบัติการครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างประเทศในการปราบปรามขบวนการผลิตและค้ายาเสพติดรายใหญ่ในประเทศเยอรมัน ซึ่งผู้ต้องหาหลบหนีมายังประเทศไทย และสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองมีหน้าที่ในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ อาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หากประชาชนพบเห็นการกระทำความผิดของชาวต่างชาติ สามารถแจ้งเบาะแสมายัง สตม. Call center 1178 หรือ www.immigration.go.th

เตือนประชาชน !! ระวังตกเป็นเหยื่อ วายร้ายในคราบนักบุญ แอบอ้างขอรับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบเหตุเพลิงไหม้โรงงานที่ จว.สมุทรปราการ

เมื่อวันที่ 6 ก.ค. พ.ต.อ.ศิริวัฒน์  ดีพอ รอง ผบก.ปอท. ในฐานะ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  เปิดเผยว่า จากกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานย่านกิ่งแก้ว จว.สมุทรปราการ จนเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่อาสาสมัครกู้ภัย ที่เข้าไปปฏิบัติการในพื้นที่เกิดเหตุจนเสียชีวิตนั้น ปรากฎว่าในสื่อสังคมออนไลน์ มีมิจฉาชีพแอบอ้างขอรับการบริจาคเงินจากประชาชนผู้มีจิตศรัทธา

ขอความช่วยเหลือให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิต ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นภัยสังคม เป็นการฉวยโอกาสก่อเหตุโดยอาศัยความเดือดร้อนของผู้อื่น และจะได้ดำเนินการสืบสวนติดตามจับกุมตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความเป็นห่วงพี่น้องประชาชน โปรดอย่าหลงเชื่อบุคคลแอบอ้างดังกล่าว หากประสงค์จะช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์ดังกล่าวในทุกกรณี ขอให้ตรวจสอบข้อมูลให้ดีเสียก่อน โดยเฉพาะข้อมูลการขอรับการบริจาคผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เพราะอาจมีการแอบอ้างโดยมิจฉาชีพได้ ถ้าเป็นไปได้ขอให้ตรวจสอบข้อมูลจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง หรือจากแหล่งข่าวที่มีความน่าเชื่อถือ

สำหรับผู้ที่กระทำความผิดในการแอบอ้างขอรับบริจาคผ่านสื่อสังคมออนไลน์ จะมีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท ฯ และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (1) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ประชาชนฯ มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท

สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอความร่วมมือมายังพี่น้องประชาชน หากพบเห็นการกระทำผิดกฎหมายดังกล่าว กรุณาแจ้งเบาะแสไปยังสายด่วน 191 และสายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ตม.เลย รวบต่างด้าวไม่ยอมกลับประเทศ หนีความลำบาก เสี่ยงแพร่เชื้อโควิด-19

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์  ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ศิลปคมณ์ เอี่ยมวงศ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.เอกมนต์ พรชูเกียรติ รอง ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.วีรยศ การุณยธร รอง ผบก.ตม.4,พ.ต.อ.ปรีชา กองแก้ว รอง ผบก.ตม.4 และ พ.ต.อ.ชนะพณ สุวรรณศรีนนท์ ผกก.ตม.จว.เลย ร่วมแถลงข่าวการจับกุม ดังนี้

ตม.จว.เลย บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบตามนโยบายสกัดกั้น ป้องกันบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง และลักลอบเข้ามาทำงานโดยผิดกฎหมาย เพื่อป้องกันการนำเชื้อไวรัสโควิด–19 เข้ามาแพร่ระบาดในพื้นที่ จ.เลย โดยสามารถจับกุมบุคคลต่างด้าวสัญชาติลาวได้ 7 ราย กระทำผิดฐาน “อยู่ในรายอาณาจักรเกินกว่าที่ได้รับอนุญาต” จำนวน 4 ราย และ “เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” จำนวน 3 ราย

ตม.จว.เลย ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบบุคคลต่างด้าว พบบุคคลต่างด้าวสัญชาติ ลาว จำนวน 7 คน กระทำผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง

 1. MRS.BOUATOUM อายุ 33 ปี อยู่เกิน 226 วัน

 2. MRS.LAE อายุ 33 ปี อยู่เกิน 116 วัน

 3. MR.BOUNYOK อายุ 38 ปี อยู่เกิน 226 วัน

 4. MR.LATH อายุ 37 ปี อยู่เกิน 166 วัน

 5. ท้าวไร่ อายุ 13 ปี หลบหนีเข้าเมือง

 6. MR.BOUN อายุ 19 ปี หลบหนีเข้าเมือง

 7. MRS.MOR อายุ 20 ปี หลบหนีเข้าเมือง

จากการสอบถามบุคคลต่างด้าวแจ้งว่า ตนกับพวกรับจ้างใช้แรงงานอยู่ในจังหวัดในภาคใต้ ต่อมาถูกเลิกจ้าง ตนกับพวก จึงต้องการเดินทางกลับ สปป.ลาว แต่เมื่อมาถึง จ.เลย เห็นว่า เมื่อกลับไปแล้วจะไม่มีงานไม่มีรายได้ จึงลักลอบอยู่ในพื้นที่ จ.เลย และหางานทำ จนกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่จับกุม โดยท้าวไร่ อายุ 13 ปี ตรวจไม่พบเอกสารสำคัญประจำตัว โดยรับว่าตนเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยใช้บัตรผ่านแดนชั่วคราวเพื่อมาพักอาศัยอยู่กับ MR.BOUNYOK และ MRS.BOUATOUM บิดามารดา ส่วน MR.BOUN และ MRS.MOR รับว่าพวกตนลักลอบเดินทางข้ามแม่น้ำเหือง ช่วงก่อนสงกรานต์ เพื่อเข้ามาหางานทำ จึงนำตัวส่ง พงส.สภ.เมืองเลย ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆรวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตราย ต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อันทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178  หรือที่ www.immigration.go.th

โรงงานระเบิด !! ทำบ้านเรือนเสียหายหลายร้อยหลัง ขณะที่ผู้ว่าสั่งอพยพชาวบ้านรัศมี 5 กิโลเมตร

จากกรณีเมื่อช่วงกลางดึกเมื่อคืนนี้ถังบรรจุเคมีขนาดใหญ่ภายในบริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ภายในซอยกิ่งแก้ว 21 หมู่ 15 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการได้เกิดรั่วและระเบิดขึ้นทำให้ไฟไหม้ตัวโรงงานส่วนแรงระเบิดทำให้โรงงานในละแวกใกล้เคียงและบ้านเรือนประชาชนร่วมทั้งหมู่บ้านหรูที่อยู่ในรัศมี 1 กิโลเมตร หลายร้อยหลังคาเรือนได้รับความเสียหายกระจกฝ้าเพดานรวมทั้งหลังแตกกระจายล่วงลงมา ส่วนโรงงานใกล้เคียงอาคารและหนังปูนถูกแรงอัดจนถล่มลงมาได้รับความเสียหาย และตั้งแต่เกิดเหตุมาจนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถควบคุมเพลิงได้เพลิงยังคงลุกลามเข้าใกล้ถังบรรจุเคมีขนาด 20,000 ลิตรหรือ 30 ตัน ที่อยู่ทางด้านทิศเหนือของโรงงาน เจ้าหน้าที่ดับเพลิงไม่สามารถเข้าฉีดน้ำสกัดได้เนื่องจากมีกลุ่มควันสีดำที่เกิดจากการเผาไหม้เม็ดโฟรมจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ได้ระดมน้ำยาโฟรมจำนวนมากเข้าทำการฉีดสกัดแต่ยังไม่เป็นผลเนื่องจากลมมีการเปลี่ยนทิศตลอดเวลา ซึ่งขณะนี้เพลิงยังคงลุกโหมอย่างรุนแรง

หลังเกิดเหตุ นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการพร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เดินทางเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ และจากการประเมิลสถานการณ์คาดว่าไม่น่าจะปล่อยภัยเนื่องจากเปลวไฟยังลุกโหมอย่างรุนแรงและเข้าประชิดตัวถังบรรจุเคมีขนาดใหญ่ของโรงงาน จึงได้มีการประกาศให้ประชาชนทั้งหมดที่อยู่ในรัศมี 5 กิโลเมตรทำการอพยพ ออกจากพื้นที่ เนื่องจากเกรงหากควบคุมเพลิงยังไม่ได้ถังบรรจุเคมีขนาดใหญ่อาจเกิดการระเบิดได้ชาวบ้านและประชาชนจะได้รับอันตรายจึงได้สั่งอพยพประชาชนทั้งหมดออกจากพื้นที่ในรัศมี 5 กิโลเมตร ทำให้ประชาชนต่างพากันแตกตื่นและเร่งอพยพออกจากบ้านโดยได้รับร่วมมือจากเจ้าหน้าที่อาสาและมูลนิธิต่าง ๆ ที่ระดมกำลังกันมาช่วยกันขนประชาชนออกนอกพื้นที่อย่างเร่งด่วนเพื่อความปล่อยภัย โดยได้มีการจัดเตรียมสถานที่เอาไว้ที่บริเวณลานอเนกประสงข้างที่ทำการ อบต.บางพลีใหญ่ และ ลานดินข้างมูลนิธิร่วมกตัญญู ร่วมทั้งลานด้านหน้าโรงเรียนบางพลีอนุสรณ์ ไว้ลองรับ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างลำเลียงประชาชนออกจากพื้นที่เกิดเหตุ ขณะเดียวกันได้รับรายงานว่ามีการร้องขอเฮลีคอปเตอร์ ที่ใช้ดับไฟป่าลำเลียงน้ำเข้ามาปล่อยน้ำเพื่อดับเพลิง  ส่วนค่าเสียหายคาดว่าหลายร้อยล้าน

ขณะเดียวกันโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนกิ่งแก้ว ห่างจากจุดทีเกิดเหตุประมาณ 500 เมตรได้เร่งย้ายผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลโดยใช้รถของโรงพยาบาลและรถสองแถว กระจายไปตามโรงพยาบาลต่าง ๆ เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยเนื่องจากโรงพยาบาลอยู่ใกล้จุดที่เกิดเหตุจึงกลายเป็นจุดที่อันตราย


ภาพ /ข่าว  ก๊วก สมุทรปราการ

นิพนธ์ รุดติดตามเหตุไฟไหม้ โรงงานหมิงตี้ เคมีคอล ร่วมถกด่วน “ปภ.-ผู้ว่าฯ ปากน้ำ-ทีมผู้เชี่ยวชาญ” ระดมสรรพกำลังหนุนดับไฟ สั่งฮ.2 ลำบินดับเพลิงทางอากาศ

มูลนิธิร่วมกตัญญู ถนนกิ่งแก้ว จังหวัดสมุทรปราการ นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ด่วนติดตามสถานการณ์กรณีโรงงานกรณีไฟไหม้โรงงานบริษัท หมิงตี้เคมีคอล จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานผลิตโฟม และเม็ดพลาสติก ภายในซอยกิ่งแก้ว 21 ถนนกิ่งแก้ว ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการไฟไหม้ว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าของวันเดียวกัน

นายนิพนธ์ กล่าวว่า "กระทรวงมหาดไทยได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดตั้งแต่เริ่มเหตุการณ์ โดยได้ประสานกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในส่วนของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ส่งเครื่องจักรกลสนับสนุนการดับเพลิงไหม้โรงงานพลาสติกกิ่งแก้ว พร้อมด้วยเครื่องจักรกลสาธารณภัยสนับสนุนการดับเพลิงฯ ประกอบด้วย รถหอน้ำ รถกู้ภัยเคลื่อนที่เร็ว รถบรรทุกน้ำช่วยดับเพลิง รถเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัยเพื่อขนโฟมดับเพลิง เฮลิคอปเตอร์ จำนวน 2 ลำ ซึ่งจนท.นำเฮลิคอปเตอร์ขึ้นบินโปรยโฟมเพื่อดับเพลิงทางอากาศไปแล้ว 3 รอบ โดยจะวางแผนและประเมินสถานการณ์การขึ้นบินเป็นระยะ ซึ่งนักบินขอปรับแผนเป็นเทโฟม 300 ลิตรผสมน้ำ 3,000 ลิตร โปรยโฟมแบบเต็มพื้นที่ พร้อมสนธิกำลังภาคพื้นดิน สถานการณ์โดยรอบยังมีเพลิงลุกไหม้และมีกลุ่มควันดำหนาแน่น เจ้าหน้าที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการเข้าปฏิบัติ เนื่องจากจะต้องทำการบินระดับต่ำ และประเมินเหตุระเบิดซ้ำจากถังสารเคมีที่กระจัดกระจาย ขณะเดียวกันได้สั่งประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงโรงงานดังกล่าวในรัศมี 5 กิโลเมต รอพยพด่วน เนื่องจากยังไม่สามารถควบคุมเพลิงได้ และหวั่นไฟลามไปติดถังสารเคมี 20,000 ลิตรที่อยู่ใกล้เคียง"

สำหรับการดูแลพี่น้องประชาชนในพื้นที่เกิดเหตุ ได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ดูแลการเบิกจ่ายงบประมาณการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนให้เป็นไปตามระเบียบการดูแลสถานการณ์ในการเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ และขอให้ปฎิบัติตามกลไกลในการดูแลอย่างรวดเร็วที่สุด” นายนิพนธ์ กล่าว

สำหรับความคืบหน้าล่าสุด เมื่อเวลา 16.15 น. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) แถลงรายงานความคืบหน้าเหตุไฟไหม้โรงงานบริษัท หมิงตี้เคมีคอล จำกัด โดยยืนยัน เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมเพลิงไว้ได้แล้ว 1 บ่อ แต่ยังมีอีก 1 บ่อที่จะต้องใช้อากาศยานเข้าไประงับเหตุ ก่อนจะใช้ทีมภาคพื้นดินเข้าตามไป เบื้องต้นหากเป็นไปตามแผน คาดจะสามารถทำให้เพลิงสงบได้ในระยะเวลาไม่นานนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้ใช้โฟมผสมน้ำในการรักษาอุณหภูมิจุดที่เกิดเพลิงไหม้ และระดมทีมกู้ภัยจากหลายหน่วยงาน รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาดูอย่างใกล้ชิด

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top