Thursday, 5 October 2023
CRIMES

เกิดเหตุ ‘วัยรุ่น’ ทะเลาะวิวาท ถูกยิงกลางคอนเสิร์ตอาร์ซีเอ พบบาดเจ็บหลายราย ‘ตร.’ เข้ารวบมือปืน เตรียมดำเนินคดี

เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 66 เวลา 01.00 น. ตำรวจ สน.มักกะสัน รับแจ้งเหตุทะเลาะวิวาทใช้อาวุธปืนยิงมีผู้บาดเจ็บหลายราย บริเวณลานกลางสถานบันเทิงอาร์ซีเอ ถนนพระราม 9 เขตห้วยขวาง กทม. จึงประสานกู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญู

ที่เกิดเหตุอยู่ใกล้ทางเข้าสถาบันเทิงอาร์ซีเอ ฝั่งถนนพระราม 9 ซึ่งใช้เป็นพื้นที่จัดคอนเสิร์ตเทศกาลสงกรานต์ พบสิ่งของถังน้ำ ขวดสุรากระจายเกลื่อนพื้น และยังพบปลอกกระสุนปืนไม่ทราบขนาด ตกอยู่จำนวนกว่า 10 ปลอก เจ้าหน้าที่จึงกั้นพื้นที่และไม่ให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปบริเวณจุดเกิดเหตุ

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลถูกกระสุนปืนจำนวน 4 ราย ประกอบด้วยนายโอบนิธิ พึ่งเคหา อายุ 26 ปี ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลกรุงเทพ, น.ส.จิราพร พูลสุข อายุ 26 ปี ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลปิยะเวท, นายณัฐนนท์ นนทสุด อายุ 25 ปี และนายฐิติพล ศุภประเสริฐ อายุ 28 ปี ถูกนำตัวส่ง รพ.เพชรเวช นอกจากนี้ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการวิ่งหนีตายหลบกระสุนปืนอีก 4 ราย

‘เลขาฯ ป.ป.ส.’ ชื่นชม ‘เมียนมา’ หลังทลายโรงงานผลิตเฮโรอีน สะท้อนการประชุมแม่น้ำโขงปลอดภัย 6 ประเทศ สัมฤทธิผล

เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 66 นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) เปิดเผยว่า ผลจากการเข้าร่วมประชุมสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์ประสานงานแม่น้ำโขงปลอดภัย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และหารือเกี่ยวกับการพิจารณารับร่างแผนแม่น้ำโขงปลอดภัย เพื่อการควบคุมยาเสพติด 6 ประเทศ ระยะ 5 ปี (พ.ศ.2566 - 2570) โดยมีผู้แทนจาก 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย, กัมพูชา, จีน, ลาว, เมียนมา และเวียดนาม เข้าร่วมประชุม ในระหว่างวันที่ 5 – 7 เม.ย 2566 ที่ผ่านมานั้น

เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า สำนักงาน ป.ป.ส. โดยศูนย์ประสานงานแม่น้ำโขงปลอดภัย (Safe Mekong Coordination Centre : SMCC)  ได้เสนอแผนความร่วมมือให้ทั้ง 6 ประเทศ ลดปัญหายาเสพติดในภูมิภาคด้วยการผนึกกำลังร่วมกัน โดยมีมาตรการสำคัญ คือ การลดศักยภาพการผลิตยาเสพติดในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ โดยมุ่งเน้นมาตรการในการสกัดกั้นปราบปราม
ยาเสพติด การควบคุมสารตั้งต้นเคมีภัณฑ์ และอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตยาเสพติด รวมถึงการร่วมกันสืบสวนขยายผลจับกุมกลุ่มผู้ค้าสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ และเครือข่ายการค้ายาเสพติด ไม่ให้กระจายไปยังประเทศต่าง ๆ โดยประสานข้อมูลการข่าว และปฏิบัติการในประเทศตนเองอย่างเคร่งครัด

นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. เผยว่า ผลจากการประชุมได้ทำให้แต่ละประเทศตื่นตัวเพิ่มมากขึ้น และพร้อมที่จะดำเนินมาตรการตามแผนปฎิบัติการร่วมกัน โดยเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2566 ทางการเมียนมาได้รับรายงานว่ามีโรงงานผลิตยาเสพติดในบริเวณหมู่บ้านห่างจากเมืองน้ำคำ รัฐฉาน ไปทางตะวันตกประมาณ 6.7 กม. เจ้าหน้าที่เมียนมาได้เข้าตรวจสอบพบเพิงพักชั่วคราวที่ประกอบขึ้นเป็นโรงงานจำนวน 4 แห่ง ซึ่งเชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตเฮโรอีน และสามารถตรวจยึดฝิ่นสกัดจำนวน 60 ลิตร พร้อมสารตั้งต้นเคมีภัณฑ์ ได้แก่ เอทิลอีเทอร์ (Ethyl Ether) จำนวน 80 ลิตร เบนซีน (BenZene) จำนวน 60 ลิตร โซเดียมคาร์บอเนต จำนวน 3 กก. โซเดียมไนเตรท จำนวน 4 กก. และ โพรเทสเซียม 15 กก. พร้อมอุปกรณ์การผลิต

โดยขณะนี้อยู่ระหว่างประสานข้อมูลการข่าวกับประเทศรอบข้างรวมทั้งประเทศไทยเพื่อขยายผลต่อไป เนื่องจากเมืองน้ำคำ ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว อยู่ติดชายแดนประเทศจีน และห้ามคนต่างชาติ

‘ชัยวุฒิ’ แจง คุมตัว ‘9 Near’ แล้ว เผย ทำไปเพราะอยากดัง ตัวเจ้ายัน ไม่ได้แฮกข้อมูล แต่ซื้อมาจากเว็บมืด 8 ล้านรายการ

(12 เม.ย. 66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) แถลงความคืบหน้าในการติดตามผู้กระทำความผิดที่อ้างว่ามีข้อมูลส่วนบุคคลของคนไทยจำนวน 55 ล้านรายการว่า จ่าสิบโทเขมรัตน์ ได้ถูกส่งตัวมาที่กองบัญชาการสืบสวนสอบสวนคดีทางเทคโนโลยี โดยได้มีการสอบสวนและจะนำตัวจ่าสิบโทเขมรัตน์ไปค้นหาหลักฐานเพิ่มเติมที่บ้านพัก

ผู้ต้องหายืนยันว่า ข้อมูลที่ได้มาไม่ได้มาจากการแฮกข้อมูล แต่ได้จากการซื้อมาจากเว็บมืดที่ผิดกฎหมาย จำนวน 8 ล้านรายการ ราคา 8 พันบาท เมื่อซื้อข้อมูลมาแล้วต้องการทดลองว่า มีรายชื่อของตนอยู่ในข้อมูลดังกล่าวหรือไม่ เมื่อตรวจสอบพบว่ามีจริง จึงนำมาโพสต์ ครั้งแรกไม่ได้รับการตอบสนอง จึงเลือกเอารายชื่อของผู้มีชื่อเสียงมาโพสต์ทำให้เกิดความสนใจมาก

‘ตร.สืบสวน’ ซ้อนแผนรวบ ‘ตั้มฟองเบียร์’ หนุ่มมีรสนิยมใคร่เด็ก ลวง ด.ญ.อายุต่ำกว่า 15 ปี 3 ราย มีเพศสัมพันธ์-ถ่ายคลิปอนาจาร

(12 เม.ย. 66) พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น., พ.ต.อ.วิชิต ถิรขจรวงศ์ ผกก.สส.1 บก.สส.บช.น., พ.ต.อ.ธนากร อ่อนทองคำ ผกก.สส. 4 บก.สส.บช.น., พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ, ร.ต.อ.ศิวัช ยังอุ่น, ร.ต.อ.พลวัต นาคถมยา, ร.ต.อ.วรภัทร แสงเทียนประไพ, จ.ส.ต.เอกวุฒิ เชื้อโชติ, ส.ต.ท.จิรวัฒน์ ศรีมั่นมีชัย ร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ ชุดสืบสวนนครบาล (บก.สส.บช.น.) จับกุม นายศรัณย์ หรือฉายา ‘ตั้มฟองเบียร์’ อายุ 30 ปี ชาวจังหวัดศรีษะเกษ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาธนบุรี ที่ จ.228/2566 ลงวันที่ 27 มี.ค. 66

ข้อหา “ปราศจากเหตุอันสมควรพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา” โดยชุดจับกุมแจ้งข้อหาเพิ่มเติมว่า “ครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็กเพื่อแสวงหาประโยชน์ในทางเพศสำหรับตนเองหรือผู้อื่น” จับกุมได้ที่ ริมถนนในซอยเอกชัย 64/5 แขวงบางบอนเหนือ เขตบางบอน จังหวัดกรุงเทพเมื่อวันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา

สืบเนื่องจาก ชุดลาดตระเวนออนไลน์ของสืบนครบาล ได้รับแจ้งจากผู้เสียหายรายหนึ่งผ่านเฟซบุ๊กเพจ สืบสวนนครบาล IDMB โดยผู้เสียหายแจ้งว่า ลูกสาววัย 11 ปี นักเรียนชั้นป.6 ถูกคนร้ายซึ่งมีศักดิ์เป็น ‘อดีตน้าเขย’ พาตัวหนีออกไปจากบ้านกว่า 11 วัน และกระทำชำเราจำนวนหลายครั้ง ซึ่งตนแจ้งความไว้กับพนักงานสอบสวน สน.ท่าข้าม

ปัจจุบันออกหมายจับคนร้ายรายนี้แล้ว แต่ยังลอยนวล เกรงว่าลูกสาวจะไม่ปลอดภัย แล้วอาจจะถ่ายคลิปโป๊เก็บไว้ จากตรวจสอบแล้วคือ นายศรัณย์ อายุ 30 ปี ชาว อ.พยุห์ จ.ศรีษะเกษ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาธนบุรีที่ จ.228/2566 ลงวันที่ 27 มี.ค.66 โดยผู้เสียหายขอความช่วยเหลือให้ช่วยติดตามจับกุมตัวโดยเร็ว เพราะครอบครัวของผู้เสียหายไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติสุขได้ ต้องอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวว่า คนร้ายจะมาพาตัวลูกสาวไปอีก

หลังรับแจ้งทีมนักวิเคราะห์แผนประทุษกรรมได้ตรวจสอบประวัติของ น.ส.ศรัณย์ พบประวัติเคยต้องโทษกว่า 4 คดี 1.) พ.ศ. 2553 เคยถูกดำเนินคดีในข้อหา “พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล” 2.) พ.ศ. 2555 เคยถูกดำเนินคดีในข้อหา “ใช้สารระเหย” 3.) พ.ศ. 2558 เคยถูกดำเนินคดีในข้อหา “มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครอง” และ 4.) พ.ศ. 2558 เคยถูกดำเนินคดีในข้อหา “มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย”

พล.ต.ต.ธีรเดช จึงนำกำลังเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนนครบาล (บก.สส.บช.น.) ลงพื้นที่โดยเริ่มจากการเข้าไปพบปะพูดคุยกับครอบครัวของเหยื่อ จนทราบข้อมูลว่าหลังจากที่ครอบครัวของเหยื่อพากันไปแจ้งความ นายศรัณย์หลบหนีไปไม่สามารถติดตามตัวได้ จนกระทั่ง ตนลงมาควบคุมการปฏิบัติด้วยตนเองและเปิดแผนปฏิบัติการสุดคลาสสิค คือการใช้ ‘นางนกต่อ’ ติดต่อไปหา นายศรัณย์จนกระทั่งสามารถตกลงนัดหมายได้

กระทั่งเมื่อวันที่ 11 เม.ย. 66 เวลา 18.40 น. เมื่อถึงเวลานัดหมาย นายศรัณย์เดินทางมา ณ จุดนัดหมาย ซึ่งเป็นบริเวณที่มีเจ้าหน้าที่ดักซุ่มอยู่แล้ว ผบก.สส.บช.น. นำกำลังชุดสืบสวนนครบาลเข้าจับกุมตัว นายศรัณย์ตามหมายจับ โดยจับกุมขณะกำลังนั่งรอเด็กนกต่ออยู่ริมถนน ในซอยเอกชัย 64/5 แขวงบางบอนเหนือ เขตบางบอน กรุงเทพฯ

จากการสอบสวนนายศรัณย์ ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า “ตนยอมรับว่ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเหยื่ออายุ 11 ปี กระทั่งมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเมื่อเดือน ม.ค.66 บนรถที่ตนใช้ทำงาน และหลังจากนั้นก็มีเพศสัมพันธ์กันอีกหลายครั้ง

กระทั่งทางบ้านของเหยื่อจับได้และมาติดตาม ตนจึงพาเหยื่อ 11 ปี รายนี้หลบหนีไปอยู่ที่อื่นเป็นเวลากว่า 11 วัน และสุดท้ายเหยื่อก็ขอกลับบ้าน ตนก็ได้ปล่อยไป และยังยอมรับอีกว่านอกจากเหยื่อรายนี้ยังมี เด็กหญิงวัย 15 ปี อีกคนหนึ่ง ซึ่งตนคบหากันเป็นแฟนและเคยมีเพศสัมพันธ์ด้วยกันมาแล้ว

โดยตั้งใจจะคบเป็นภรรยาทั้ง 2 คน และในอดีตตนเคยถูกดำเนินคดีในข้อหาพรากผู้เยาว์ ซึ่งตอนนั้นตนมีความสัมพันธ์กับเด็กหญิงอายุ 14 ปี ในลักษณะเดียวกัน ซึ่งปัจจุบันยังไม่ทราบว่าตนชอบเด็กเพราะอะไร และยอมรับว่าเคยถ่ายคลิประหว่างการมีเพศสัมพันธ์กับเหยื่อรายอายุ 15 ปี ไว้ในโทรศัพท์ แต่ไม่ได้ไปเผยแพร่ที่ไหน”

ชุดสืบสวนขยายผลการจับกุมจนพบข้อมูลในโทรศัพท์มือถือของ นายศรัณย์คือคลิปโป๊ ซึ่งเป็นการบันทึกภาพระหว่างมีเพศสัมพันธ์กับเหยื่อจริง และยังมีภาพลักษณะวาบหวิวของเหยื่ออีกด้วย จึงแจ้งข้อหาเพิ่มเติมว่า “ครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็กเพื่อแสวงหาประโยชน์ในทางเพศสำหรับตนเองหรือผู้อื่น” ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ท่าข้าม ดำเนินคดีตามกฏหมาย

‘ตร.สืบสวน’ รวบ ‘นวพร’ หัวหน้าใหญ่ ‘อุ้มบุญ-สวมบัตร’ แก๊งจีนเทา พบเอี่ยวค้ามนุษย์ทั้งในจีน-ไทย-กัมพูชา เผย ได้ค่าจ้างหัวละ 5 แสน!!

กรณีเมื่อวันที่ 4 เม.ย.66 เจ้าหน้าที่สืบสวนขยายผลกรณีชายชาวจีนสวมบัตรประจำตัวคนไม่มีสัญชาติไทย (บัตรชมพู) และเข้าตรวจค้นอาคาร 5 ชั้นย่านถนนสีลม แขวงสีลม เขตบางรัก กทม. พื้นที่รับผิดชอบของ สน.บางรัก พบบุคคลต่างด้าวจำนวน 7 ราย และตรวจพบว่าสภาพภายในมีการแบ่งซอยเป็นห้องพัก และมีอุปกรณ์ไว้สำหรับดูแลหญิงไทยที่รับอุ้มบุญให้กับชาวจีน ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียนำเสนอไปนั้น

ล่าสุด วันที่ 11 เม.ย. 66 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. สั่งการให้เจ้าหน้าที่สืบสวน ขยายผลให้ทราบถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสวมบัตรชมพู และกรณีการอุ้มบุญดังกล่าว จากการสืบสวนทราบว่า ชื่อเจ้าของสถานที่ ดังกล่าวคือ น.ส.นวพร อายุ 53 ปี ซึ่งเป็นบุคคลที่ทำหน้าที่นำรายชื่อบุคคลต่างด้าวเข้ามาอยู่ภายในบ้านเลขที่ดังกล่าว

โดยใช้วิธีการแจ้งเท็จต่อเจ้าหน้าที่ว่าเป็นญาติของตน และสำแดงเอกสารเท็จต่อเจ้าหน้าที่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ย้ายชื่อบุคคลดังกล่าวเข้ามาในทะเบียนบ้าน และออกบัตรชมพูให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงรวบรวมพยานหลักฐานและขออนุมัติหมายจับ น.ส.นวพรดำเนินคดีในความผิดฐาน ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม, ร่วมกันแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน และร่วมกันปลอมและใช้ดวงตรา รอยตรา หรือแผ่นปะตรวจลงตรา การเดินทางระหว่างประเทศ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุม น.ส.นวพร ได้เมื่อวันที่ 8 เม.ย. ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจยังพบว่า น.ส.นวพร เป็นบุคคลสัญชาติจีนที่ได้รับสัญชาติไทยจากการแต่งงานกับคนไทย จากนั้นหย่าร้าง และมีสามีใหม่เป็นคนสัญชาติจีน ก่อนจะมีลูกด้วยกัน 3 คน โดยบุตรทุกคนได้รับสัญชาติไทยตามแม่ทั้งหมด ซึ่งทำให้ได้รับสิทธิเช่นเดียวกับคนไทยในการประกอบธุรกิจต่าง ๆ ได้ตามปกติ

น.ส.นวพร เคยถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับการหลอกลวงคนจีนมาลงทุนทำธุรกิจ ความเสียหายมากกว่า 700 ล้านบาท ถูกดำเนินคดีที่ สน.ประเวศ นอกจากนี้ จากการประสานข้อมูลกับทางการจีนพบว่า น.ส.นวพรมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ทั้งในจีน ไทย และกัมพูชา เป็นระยะเวลามากกว่า 10 ปี และมีทรัพย์สินในครอบครองเป็นบริษัทหลายแห่ง ซึ่งมีชื่อของญาติและลูกของ น.ส.นวพร เป็นกรรมการบริหาร รวมทั้งที่ดินและรถหรูอีกจำนวนมาก ทั้งยังทำหน้าที่เป็นคนประสานงานอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้กับกลุ่มทุนจีนสีเทาอีกด้วย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า หลังจากที่เจ้าหน้าที่สืบสวนขยายผลกรณีกลุ่มทุนจีนสีเทามาเป็นเวลานาน ทำให้ทราบว่าเครือข่ายทุนจีนเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกัน โดยมีเครือข่ายของ น.ส.นวพรในการอำนวยความสะดวกช่วยเหลือคนจีนเหล่านี้ ในการสวมบัตรและอุ้มบุญ เพื่อให้ทุนจีนสีเทาเหล่านี้สามารถประกอบธุรกิจหรือทำธุรกรรมต่างๆ เสมือนเป็นคนไทยคนหนึ่ง และเข้ามากระทำผิดในราชอาณาจักรไทย

และทราบว่าเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตแห่งหนึ่ง ออกบัตรสีชมพูต่างด้าวไว้ให้ พบว่ามีน.ส.นวพรที่มาแต่งกับคนไทย เพื่อให้ได้สัญชาติก่อนเลิกรา แล้วไปอยู่กินกับคนจีน ซึ่ง น.ส.นวพรเป็นตัวการสำคัญในการอุ้มบุญ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเบอร์ 1 เรื่องอุ้มบุญจีนในไทย

“น.ส.นวพรมีการถ่ายภาพกับผู้ใหญ่ในประเทศไทย เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือคนจีนและร่วมมือกับอาหม่า ซึ่งอดีตเลขาฯปปง.รู้จักดี จากการตรวจค้นพบว่ามีการแบ่งห้อง และมีเตียงจำนวนมาก และพฤติการณ์มีการทุจริตกับเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตในการออกบัตรสีชมพู วันนี้จะขอออกหมายจับเจ้าหน้าที่เขต และผู้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้อง

‘เจ้าของบ่อกุ้ง’ แทบช็อก!! ใช้รถแบคโฮหวังเคลียร์พื้นที่รกร้าง ดันเจอ!! ยาบ้า-ยาอี-ยาไอซ์-กัญชา มูลค่ากว่า 12 ล้านบาท ซ่อนไว้

(11 เม.ย.66) เมื่อวันที่ 10 เม.ย.66 ที่หน้า บก.ภ.นครศรีธรรมราช นายอภินันท์ เผือกผ่อง ผวจ.นครศรีธรรมราช และ พล.ต.ต.สมชาย ซื่อต่อตระกูล ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช ร่วมแถลงผลงานตำรวจ สภ.หัวไทร พบเจอยาเสพติดชนิดต่างๆ จำนวนมากในพื้นที่ อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช

โดยแถลงข่าวว่า เมื่อเย็น 9 เม.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หัวไทร ได้รับแจ้งจากพลเมืองดี ซึ่งได้ใช้รถแบคโฮทำการเคลียร์พื้นที่รกบริเวณบ่อเลี้ยงกุ้งร้าง หมู่ 9 ต.หน้าสตน อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเจ้าของที่ดินได้ปล่อยรถร้างไว้นานหลายปี ว่าระหว่างใช้รถแบคโฮกวาดพื้นที่ ได้พบมีถุงดำจำนวนหลายถุงปิดคลุมด้วยตาข่ายแสลนสีเขียว มีต้นเถาวัลย์สูงปิดคลุมอยู่ โดยไม่ทราบว่าเป็นของผู้ใด ลักษณะเชื่อว่าทิ้งไว้เป็นระยะเวลานาน โดยมีถุงดำ จำนวน 3 ถุง ที่ถูกรถแบคโฮเกี่ยวขาด พบว่าภายในถุงดำเป็นกัญชาอัดแท่ง ยาบ้า และไอซ์ จำนวนหนึ่ง จึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าทำการตรวจสอบ โดยยังมีถุงดำที่พันปิดปากถุงด้วยผ้าเทปสีเขียวอีกจำนวน 18 ถุง ที่ยังไม่ได้ทำการตรวจสอบภายใน รวมถุงดำที่บรรจุยาเสพติดทั้งหมด 21 ถุง จึงได้ประสานเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน จ.นครศรีธรรมราช ร่วมตรวจสอบเก็บหลักฐานและลายนิ้วมือแฝงในที่เกิดเหตุ

จากนั้นได้ทำการตรวจนับยาเสพติดในถุงดำ 21 ถุง พบจำนวนยาเสพติดทั้งหมดดังนี้ ยาไอซ์ 56 ก้อน (56 กก.) , ยาบ้า 301 ถุง (ถุง 200 เม็ด สภาพเปียก) ยาอี 3,996 เม็ด กัญชา 319 ก้อน (319 กก.) จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หัวไทร ได้ทำการตรวจยึดยาเสพติดดังกล่าว รับคำร้องทุกข์ไว้ดำเนินคดีตามกฎหมาย จะได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนหาตัวเจ้าของยาเสพติดทั้งหมดนี้ว่าเป็นของใคร และผู้กระทำความผิดมาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป โดยยาเสพติดที่พบนี้มีมูลค่าประมาณกว่า 12 ล้านบาท


ที่มา : https://www.naewna.com/local/723591

‘สืบนครบาล’ ขอเกาะกระแส ดึกๆ เห็นน้องกี้ไปแว้นกับผู้ใหม่ที่ไหน โปรดแจ้งเบาะแส รับค่าตอบแทนรายละ 3,000 บาท

(10 เม.ย.66) ดังไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ กับเพลงดังล่าสุด ที่คาดการณ์ว่าจะครอบครองพื้นที่งานสงกรานต์ทั่วไปทั้งประเทศไทย สำหรับ ‘ธาตุทองซาวด์’ ของ ยังโอม หรือ โอม-รัธพงศ์ ภูรีสิทธิ์ ที่ปล่อยอัลบั้มเต็มชื่อ ธาตุทองซาวด์ ที่รวบเพลงไว้ถึง 19 เพลง

เรียกได้ว่าเพลงนี้เป็นกระแสที่ใครๆ ต้องขอเกาะตามเทรน์สักหน่อย โดยเฉพาะท่อน “อีกี้นี้มันเป็นสก้อย ไปกับผู้บ่อย ผู้พาไป skrt” ที่สุดปัง ทำเอาสาวๆ โคฟเป็น “อีกี้” กันทั้งบ้านทั้งเมือง

ทหารพรานที่ 2110 รวบหนุ่มเดชอุดม เดินทางมารับยาบ้า 160,000 เม็ด ที่บ้านนาตาล ได้ค่าจ้าง 50,000 บาท

เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2566 เวลา 21.40 น. ร้อย.ฉก.ทพ.2110 ฉก.ทพ.21, ชปข.กอ.รมน., ฝ่ายปกครอง อ.ดอนตาล, ชปข.7 กกล.สุรศักดิ์มนตรี, ศขย.ฝขว.ศปก.ทบ. และหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ หลังได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่า ได้มีชายต้องสงสัยแบกกระสอบอยู่ริมถนนข้างวัดนาตาลศรีลาวาส พื้นที่ บ.นาตาล ม.8 ต.ดอนตาล อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร แล้วนำไปซุกซ่อนไว้ในป่าข้างถนน เจ้าหน้าที่จึงได้บูรณาการจัดกำลังเข้าตรวจสอบตามที่แหล่งข่าวแจ้ง 

จากการตรวจสอบพบว่าเป็นกระสอบสีฟ้า ซึ่งคาดว่าเป็นสิ่งของผิดกฎหมาย จึงได้กำลังซุ่มเฝ้าตรวจและวางกำลังตามเส้นทางที่คาดว่าน่าจะมีคนมาเอาสิ่งของที่ซุกซ่อนอยู่ป่าริมถนน จนกระทั่งเวลา 02.00 จนท.ได้เข้าตรวจสอบวัตถุที่ซุกซ่อนอยู่ในป่าริมถนน เมื่อเปิดดูภายในพบว่าเป็นยาบ้าห่อด้วยกระสอบปุ๋ย จำนวน 2 ก้อน บรรจุอยู่ในกระเป๋าสีน้ำตาล 1 ใบ ในขณะที่ จนท.กำลังตรวจสอบ ได้มีรถปิคอัพ คันหนึ่ง ขับขี่มาตามถนนหมายเลข 2034 จาก อ.ดอนตาล แล้วเลี้ยวขวามุ่งหน้ามายังจุดที่ จนท.กำลังตรวจสอบห่างประมาณ 5 เมตร  จนท.จึงได้แสดงตัวและทำการตรวจค้นภายในร่างกายและยานพาหนะ ผลการตรวจค้น ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย จากนั้น จนท.จึงได้ตรวจสอบพบว่า โทรศัพท์มือถือ จำนวน 2 เครื่อง ภายในโทรศัพท์มีหลักฐานการติดต่อในการรับส่งยาเสพติด(ยาบ้า)

'สืบนครบาล'จับกุมดร.เอก คนปั้นดิน แอบอ้างรองนายกฝากเข้ารับราชการ ตุ๋นเงินเสียหายกว่า 14 ล้าน

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมที่กระทำความผิดทุกรูปแบบซึ่งสร้างความเดือนร้อนให้กับประชาชนผู้สุจริตจำนวนมาก โดยเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2565 ชุดลาดตระเวนออนไลน์สืบนครบาลร่วมกับชุด PCT 5 ออกลาดตระเวนออนไลน์จนพบความเดือดร้อนของประชาชนซึ่งเคยถูกคนร้าย  ชื่อ ดร.เอก ฅนปั้นดิน อ้างตนว่าสามารถฝากเข้ารับราชการองค์การบริหารปกครองส่วนท้องถิ่นได้ สนิทกับ รองนายกรัฐมนตรีเหยื่อหลงเชื่อจ่ายเงิน 3 แสน แล้วหนีหาย โดยได้เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนและศาลได้พิจารณาออกหมายจับแล้ว เหตุเกิดวันที่ 3 กันยายน 2560 ซึ่ง ณ ปัจจุบันยังไม่สามารถติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาได้

จากการตรวจสอบประวัติการกระทำความผิดของผู้ต้องหาเพิ่มเติมของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการที่ 5 กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. และชุด PCT5 ทราบว่าคนร้ายคือ  นายวรพนธ์ หรือเอก กุลสืบ มีหมายจับที่ยังต้องการตัวเพื่อดำเนินคดีอยู่ 6 หมายจับ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. / หัวหน้าชุดปฏิบัติการ PCT5 กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการที่ 5 กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ ฯรีบทำการสืบสวนเพื่อติดตามจับกุมตัวคนร้ายดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว 

ต่อมาวันที่ 8 เมษายน 2566 เวลาประมาณ 13.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง.ผบ.ตร. (สส) พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. / หัวหน้าชุดปฏิบัติการ PCT 5 พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง , พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย รอง ผบก สส.บช.น. , พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. , พ.ต.ท.ยิ่งยศ ลีชัยอนันต์ , พ.ต.ท.พัชรพงษ์ กาญจนวัฎศรี รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. , พ.ต.ท.สมพงษ์ เกตุระติ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. และ ส.ต.อ.ประกิจ ภูมิวงศ์ ผบ.หมู่ กก.วิเคราะห์ข่าวฯ พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการที่ 5 กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. และชุด PCT5 ได้ร่วมกันสืบสวนติดตามจับกุม

นายวรพนธ์ กุลสืบ อายุ 40 ปี อยู่ที่ บ้านเลขที่ 74/1 หมู่ 1 ตำบลดอนยายหอม อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม (เป็นที่รู้จักในนาม ดร.กิตติมศักดิ์ วรพนธ์ กุลสืบ หรือ “ครูเอก ฅนปั้นดิน)ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดปทุมธานี ที่ จ.133/2561 ลงวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ.2561 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกงทรัพย์ ”        

โดยสามารถจับกุมตัวได้ที่บริเวณหน้าตลาดละแมเมืองใหม่ ตำบลละแม อำเภอละแม จังหวัดชุมพร           

ในชั้นจับกุมผู้ต้องหาให้การภาคเสธ โดยรับว่าตนเรียนจบปริญญาตรีคณะครุศาตร์ สาขาโยธา , ปริญญาโทคณะบริหารการศึกษา มีทักษะในการพูดเชิงโน้มน้าว เป็นวิทยากรให้ความรู้เกี่ยวกับภาวะผู้นำ การทำงานเป็นทีม รับจัดกิจกรรม Team Building , Walk Rail ฝึกอบรมสัมมนาและพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ทักษะ ความสามารถ โดยเน้นจัดสัมมนาในรูปแบบกิจกรรมบันเทิงเชิงสาระตรงตามวัตถุประสงค์และค่านิยมขององค์กรต่างๆ และรับทำพิธีบวงสรวงต่างๆ เช่น พิธีบายศรู่ขวัญ ปฐมนิเทศ ปัจฉิมนิเทศนักเรียน นักศึกษาฯลฯ มีประสบการณ์การทำงานด้านนี้กว่า 15 ปี 

เกี่ยวกับคดีที่ถูกจับกุม ให้การว่าตนมีพฤติการณ์ชักชวนหาคนที่สนใจเข้ารับราชการซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกศิษย์ หรือผู้ซึ่งเคยเข้ารับการอบรมกับตน ตลอดจนบุคคลที่นับถือศรัทธาตนผ่านการบอกต่อปากต่อปากของคนที่นับถือตน ว่าสามารถฝากบรรจุเข้ารับราชการในหน่วยต่าง ๆ ได้ เช่น สอบบรรจุนายสิบทหารบก , นายสิบตำรวจ , ข้าราชการครู และหน่วยราชการอื่น ๆ อีกหลายหน่วยงาน โดยเรียกเก็บเงินกับบุคคลที่สนใจต่อหัว รายละ 200,000 – 300,000 บาท โดยอ้างว่าสามารถวิ่งเต้น โดยตนอ้างใช้เส้นสายของนักการเมืองระดับรองนายกรัฐมนตรีฝากเข้ารับราชการ มีผู้ร่วมขบวนการซึ่งอ้างว่าเป็นคนทำหน้าที่ติดต่อกับรองนายกรัฐมนตรี และข้าราชการระดับสูงให้ช่วยวิ่งเต็นได้ ชื่อนายเสกสรร โดยมีการแบ่งผลประโยชน์ที่ได้จากเหยื่อแต่ละรายกัน คือตนเองได้ 20 เปอร์เซ็นต์ นายเสกสรร ได้ 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจากการตรวจสอบประวัตินายเสกสรร พบว่าเคยถูกจับกุมในข้อหา “ฉ้อโกงประชาชน” มาแล้ว เมื่อปี 2562 

สำหรับประวัติ นายวรพนธ์ เป็นที่รู้จักในนาม ดร.กิตติมศักดิ์ วรพนธ์ กุลสืบ หรือ “ครูเอก ฅนปั้นดิน” ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปวัฒนธรรมไทย เคยดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมวิทยากรฅนปั้นดิน, ประธานฝ่ายกิจกรรม สหพันธ์คนดนตรีแห่งประเทศไทย, ผู้ช่วยผู้ตรวจการประจำสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ, เลขานุการองค์กรการมีส่วนร่วมภาคประชาชนตามรัฐธรรมนูญ, คณะกรรมการองค์กรปลูกปัญญาเรียนรู้ชุมชนท้องถิ่น เป็นต้น นอกจากนี้ ยังเคยได้รับรางวัลศิษย์เก่าดีเด่น ด้านอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรม ม.ย่านปทุม , รางวัลธรรมลักษณ์ศิลา คนดีแบบอย่างของชาติ, รางวัลศิษย์ดีเด่น คนดีศรีพอเงิน, รางวัลลูกผู้มีความกตัญญูอย่างสูง, รางวัลผู้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ, รางวัลบุคคลดีของแผ่นดิน สาขาบุคคลผู้เป็นต้นแบบต่อสังคมดีเด่น จนภายหลังเป็นวิทยากรฝึกอบรม จัดสัมมนา พิธีกร และรับจัดพิธีกรรมตามงานมงคลต่างๆ เช่น พิธีบวงสรวง พิธีบายศรีสู่ขวัญ ทำขวัญนาค ทำขวัญบ่าวสาว

ตำรวจไซเบอร์ ระดมกวาดล้างอาชญากรรมห้วงก่อนวันหยุดยาวสงกรานต์ จับกุมผู้ต้องหา และตรวจยึดของกลางได้เป็นจำนวนมาก

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก บช.สอท. ขอประชาสัมพันธ์ชี้แจงกรณี ตำรวจไซเบอร์ ระดมกวาดล้างอาชญากรรมออนไลน์ในห้วงก่อนสงกรานต์ ทำการจับกุมผู้ต้องหา และตรวจยึกของกลางได้เป็นจำนวนมาก ดังนี้

ตามที่ในช่วงวันที่ 13 - 17 เม.ย.66 เป็นห้วงหยุดยาววันสงกรานต์ คาดว่าจะมีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาเป็นจำนวนมาก ประกอบกับนโยบายด้านการส่งเสริมให้ชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศนั้น นอกจากจะส่งผลกระทบต่อการเดินทางของประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนแล้ว มิจฉาชีพอาจฉวยโอกาสในช่วงเวลาดังกล่าวเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภัยจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งที่ผ่านมาได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนเป็นวงกว้าง 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้ความสำคัญ และมีความห่วงใยต่อภัยจากการหลอกลวงผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ จึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งวางมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมในทุกรูปแบบ ป้องกันไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ซึ่งรับผิดชอบงานป้องกันปราบปราม ได้กำชับสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดดำเนินการตามนโยบาย จัดทำแผนหรือมาตรการป้องกันแลปราบปรามอาชญากรรมเพื่อรองรับช่วงวันหยุดยาวให้สอดคล้องกับสถานกาณ์ดังกล่าว รวมถึงดำเนินการระดมกวาดล้างอาชญากรรมทั่วไป และอาชญากรรมทางเทคโนโลยี นำตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้ขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการเร่งรัดปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง รวมไปถึงการสร้างการรับรู้ให้กับภาคประชาชนเพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อของอาชญากรไซเบอร์

โดยในช่วงระหว่างวันที่ 29 มี.ค. - 9 เม.ย 66 บช.สอท. ได้มีการกำหนดเป้าหมายระดมกวาดล้างอาชญากรรมทั่วไป ได้แก่ ความผิดเกี่ยวกับการพนัน ยาเสพติด การลักลอบหลบหนีเข้าเมือง อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน การสืบสวนจับกุมบุคคลตามหมายจับ เป็นต้น และอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้แก่ การหลอกลวงออนไลน์ด้านการเงิน การหลอกลวงจำหน่ายสินค้าออนไลน์ การเผยแพร่ข่าวปลอม คดีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ การล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กและสตรี การค้ามนุษย์ การพนันออนไลน์ และอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งนี้สามารถทำการจับกุมผู้กระทำความผิดได้กว่า 307 คดี ผู้ต้องหากว่า 329 ราย พร้อมทั้งตรวจยึดของกลางได้เป็นจำนวนมาก มีคดีสำคัญและน่าสนใจ เช่น ปฏิบัติการเหนือเมฆ ตรวจค้น 17 จุด ทั่วประเทศ จับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายเว็บไซต์เงินหมุนเวียนกว่า 3,000 ล้านบาท, จับกุมผู้ต้องหาหลอกลวงให้เช่าบูชาพระเครื่องในกลุ่มต่างๆ กว่า 60 กลุ่ม, จับกุมผู้ต้องหาลักลอบจำหน่ายอาวุธปืนออนไลน์ รวมถึงจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับค้างเก่าอีกหลายคดี เป็นต้น นอกจากนี้แล้ว บช.สอท. ยังได้วางมาตรการป้องกัน ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบถึงกลโกง หรือแผนประทุษกรรมของมิจฉาชีพ ผ่านทางจอภาพในพื้นที่ต่างๆ หรือผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพอีกด้วย 

สืบสวนนครบาลขยายผลทลายขบวนการลักลอบลำเลียงยาเสพติดภาคเหนือเข้าสู่ใจกลางมหานคร

ตามนโยบายรัฐบาลโดย พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ตระหนักถึงปัญหายาเสพติดซึ่งเป็นภัยคุกคามและเป็นหนึ่งในปัญหาชาติที่สำคัญ ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนและจริงจัง จึงมอบนโยบายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.สําเริง สวนทอง รอง ผบช.น. ,พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น./หน.ชป.5 ศอ.ปส.ตร , พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย รอง ผบก.สส.บช.น. จึงได้สั่งการให้ พ.ต.อ.ธัญญพัทธ์ บุญสุข ผกก.สส.2 บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.ณัฐวุฒิ สีเสมอ, พ.ต.ท.นิติกรณ์ ระวัง รอง ผกก.กก.สส.2 บก.สส.บช.น.พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองกำกับการสืบสวน 2 ทำการสืบสวนผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายใหญ่ รายสำคัญ ให้ได้ผลอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อป้องกันไม่ให้ยาเสพติดแพร่กระจายลงสู่ชุมชน ได้ร่วมทำการตรวจยึด ของกลาง 

1. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) น้ำหนักรวมประมาณ 499 กิโลกรัม 
2. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวนประมาณ 1,000,000 เม็ด  
3. รถยนต์บรรทุก หกล้อยี่ห้อฮีโน่สีขาวหมายเลขทะเบียน 70-8583 ลำปาง จำนวน 1 คัน

โดยกล่าวหาว่า “จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1(เมทแอมเฟตามีน) อันเป็นการมีไว้เพื่อจำหน่ายอันเป็นการกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป ”
สถานที่ตรวจยึด บริเวณริมถนนสิงหวัฒน์ ตำบลบ้านใหม่สุขเกษม อำเภอกงไกรลาศ  จังหวัดสุโขทัย เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2566 เวลาประมาณ  20.00 น.

‘ตร.นครพนม’ รวบ ‘นักบินข้ามโขง’ วัย 56 พร้อมเมียเด็กท้อง 3 เดือน ขนยาบ้ากว่าล้านเม็ด อ้างตกงาน หวังรวยทางลัดหาเลี้ยงครอบครัว

เมื่อวันที่ 7 เม.ย.66 ที่ผ่านมา ที่หน้ากองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม (กก.สส.ภ.จว.ฯ) พล.ต.ต.ธวัชชัย ถุงเป้า ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม (ผบก.ภ.จว.ฯ) มอบหมายให้ พ.ต.อ.กฤติน กอร์ปกุลหิรัญ ผกก.กก.สส.ภ.จว.ฯ, พ.ต.อ.ชาญณรงค์ มากพิสุทธิ์ ผกก.สืบสวน 1 บก.สส.ภาค 4, พ.ต.อ.หญิง จิรนันท์ ธนะสิงห์ ผกก.พิสูจน์หลักฐานฯ, พ.ต.ท.ชัชวาลย์ รัชตะประกร รอง ผกก.สืบสวน สภ.เมืองนครพนม ร่วมกับชุดสืบสวนปราบปรามยาเสพติด แถลงการณ์จับกุมขบวนการค้ายาเสพติดรายสำคัญ คือ นายอุดมสิน (สงวนนามสกุล) อายุ 56 ปี เจ้าของฉายา ‘นักบินข้ามโขง’ ชาวอำเภอน้ำโสม จังหวัดอุดรธานี พร้อมภรรยา นางเจนจิรา (สงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี พร้อมตรวจยึดรถยนต์เก๋งยี่ห้อฮอนด้า รุ่นแอคคอร์ด สีดำ ทะเบียน กทม. ตรวจค้นภายในรถยนต์พบกระสอบบรรจุยาบ้า จำนวน 6 กระสอบ ตรวจนับได้จำนวนทั้งสิ้น 1,012,000 เม็ด โดยบรรจุแยกเป็นแพ็กเกจกันชื้น มีตัวอักษรภาษาอังกฤษ สีเขียว Y1

จากข้อมูลพบว่าเป็นสัญลักษณ์ยาบ้าเกรดต่ำ ราคาเม็ดละประมาณ 10 บาท ลักษณะยาบ้าเป็นเม็ดสีส้ม มีตัวอักษร WY คาดว่า กลุ่มผู้ผลิตใช้สารฆ่าแมลงผสมเป็นสารตั้งต้นแทนแอมเฟตามีน เพื่อลดต้นทุน และกำลังระบาดทะลักมาจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อส่งขายในพื้นที่ตอนในอีสาน อาศัยช่วงเทศกาลสงกรานต์ลำเลียง โดยจะใช้กองทัพมดลักลอบขนข้ามแม่น้ำโขงมาทางเรือหางยาว ก่อนนำมาพักไว้ตามแนวชายแดนพื้นที่อีสาน รวมถึงจังหวัดนครพนม

การจับกุมครั้งนี้เป็นการสืบสวนขยายผลจากผู้ต้องหา ที่ถูกจับกุมก่อนหน้านี้ว่า ชาวลาวชื่อ ท้าวบัวพา อายุ 25 ปี ร่วมกับเพื่อนชื่อท้าวอ้วน อายุ 26 ปี มีพฤติกรรมค้ายาเสพติด ชุดสืบสวน กก.สส.ภ.จว.นครพนม จึงวางแผนร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ติดตามความเคลื่อนไหวของบุคคลทั้งสองอย่างใกล้ชิด โดยมี พ.ต.ท.จิรเดช อัตตพงษ์ สว.กก.สส.จวฯ เป็นหัวหน้าชุดวางกำลังไว้ตามจุดต่าง ๆ กระทั่งช่วงเช้าของวันที่ 6 เมษายน สายสืบรายงานว่าพบกระสอบปุ๋ย จำนวน 6 กระสอบ คาดว่าภายในบรรจุยาบ้าซุกซ่อนไว้ในป่าหญ้าริมถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 212 (นครพนม-ท่าอุเทน) จึงซุ่มเฝ้าเพื่อรอว่าจะมีใครมาขนกระสอบปุ๋ยต้องสงสัย

เวลาผ่านไปเกือบ 2 ชั่วโมง ก็มีรถยนต์กระบะสีเทายี่ห้อมิตซูบิชิขับเข้ามาจอด และชายคนขับคือท้าวอ้วน ได้ลงมาแบกกระสอบปุ๋ยใส่ท้ายกระบะ ชุดเฝ้าซุ่มจึงจู่โจมล็อกตัวจับกุม ท้าวอ้วนจำนนต่อหลักฐานจึงรับสารภาพว่า ได้รับท้าวบัวพา โพทิลาด ใช้ให้ขับรถมาขนกระสอบบรรจุยาบ้า จากบริเวณดังกล่าว เพื่อนำไปไว้ที่ท่าทรายร้างแห่งหนึ่งอยู่ บ้านยางนกเหาะ หมู่ 2 ต.เวินพระบาท อ.ท่าอุเทน ระหว่างนั้นเองท้าวบัวพาได้ขับรถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้ามาจอดเทียบรถยนต์ของท้าวอ้วน เพื่อจะสอบถามถึงผลการทำงานลุล่วงหรือไม่ จึงถูกจับกุมตัวได้โดยละม่อม

จากนั้นชุดปฏิบัติการ กก.สส.จว.นครพนม ได้ซ้อนแผนให้ผู้ต้องหาทั้งสองคน นำของกลางยาบ้าที่อยู่ท้ายรถกระบะท้าวอ้วนมาจอดที่ท่าทรายร้าง เพื่อรอผู้ที่จะมารับยาบ้าตามที่นัดหมายกันไว้ ต่อมามีรถเก๋งฮอนด้า รุ่นแอคคอร์ด สีดำ ขับเข้ามาที่ท่าทรายดังกล่าว ชายคนขับเดินลงมาเปิดฝาท้ายแล้วตรงดิ่งไปที่ท้ายรถกระบะขนกระสอบยาบ้าใส่ฝาท้ายรถเก๋ง ตำรวจที่ซุ่มอยู่จึงเข้าจับกุมทันที ทราบว่าชายดังกล่าวชื่อนายอุดมสิน ส่วนภายในรถเก๋งพบนางเจนจิรา ภรรยาของนายอุดมสินนั่งรออยู่ จึงควบคุมตัวผู้ต้องหารวม 4 คนไปสอบสวนขยายผล

‘ตร.’ รวบ ‘บังฟัด’ รับจ้างเปิดบัญชีม้าให้เครือข่ายยาบ้า เจ้าตัวรับสารภาพได้ค่าตอบแทน 5 พันบาท

(7 เม.ย. 66) ที่ กองปราบปราม พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. สั่งการ พ.ต.อ.ปทักข์ ขวัญนา ผกก.5 บก.ป.พ.ต.ต.ธีระพงษ์ คงเขียว สว.กก.5 บก.ป.จับกุม นายอาราฟัด ผลพนม อายุ 20 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ จ.118/2566 ลงวันที่ 17 มี.ค.66 ข้อหา “ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตตามีน หรือยาบ้า) และสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดฯ” ได้หน้าร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งในพื้นที่หมู่ 3 ตำบลนาเคียน อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 65 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พุนพิน ได้จับกุมขบวนการค้ายาเสพติดพร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 701,400 เม็ด ขณะซุกซ่อนในรถกระบะ ได้คาด่านตรวจบริเวณแยกยางงาม ต.หนองไทร อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี สอบสวนทราบว่าลำเลียงจาก จ.สมุทรปราการ เพื่อนำไปส่งต่อที่ จ.นครศรีธรรมราช ต่อมาสอบสวนขยายผลทราบว่า นายอาราฟัด ผู้ต้องหาเป็นหนึ่งในเครือข่ายดังกล่าว จึงขอศาลออกหมายจับไว้ กระทั่งตามจับกุมได้ดังกล่าว

สอบสวน ผู้ต้องหา ให้การปฏิเสธว่า ก่อนหน้านี้มีชายคนหนึ่งมาจ้าง 5,000 บาท ให้เปิดบัญชีธนาคาร โดยไม่ทราบว่าถูกนำไปใช้ในการโอนเงินซื้อขายยาเสพติด เจ้าหน้าที่จึงนำส่ง สภ.พุนพิน ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


ที่มา : https://mgronline.com/crime/detail/9660000032492

‘ปปป.’ บุกค้นคอนโดฯ ฯ สาวคนสนิท บิ๊กเขตราชเทวี พบสมุดบัญชีเงินหมุมเวียนกว่า 5 ล้านบาท เร่งสอบข้อเท็จจริง

บุกค้นคอนโดฯ สาวคนสนิท บิ๊กเขตราชเทวี คดีทุจริตเรียกเงินเลี่ยงภาษี เจอสมุดบัญชีเพียบ เงินหมุนเวียนกว่า 5 ล้าน เชิญตัวมาสอบ มีเอี่ยวด้วยหรือไม่

(6 เม.ย.66) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. นำกำลังเจ้าหน้าที่ กก.1 บก.ปปป. เข้าตรวจค้นห้องพักในคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ย่านจตุจักร กทม. หลังสืบทราบว่าเป็นห้องพักของหญิงสาวคนใกล้ชิดของ นายประมวล เจ้าหน้าที่สำนักงานเขตราชเทวี ผู้ต้องหาคดีเรียกรับสินบนเพื่อเลี่ยงจ่ายภาษี ที่เพิ่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปปป. จับกุมตัวไปเมื่อวันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา เพื่อเป็นการค้นหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม

ผลการตรวจค้นพบสมุดบัญชีธนาคารจำนวนหลายเล่ม พร้อมเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ นายประมวล หลายรายการ จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินในสมุดบัญชีธนาคารดังกล่าว พบมีเงินหมุนเวียนเข้าออกกว่า 5 ล้านบาท จึงตรวจยึดไว้ตรวจสอบ

พร้อมกันนี้เจ้าหน้าที่ยังเชิญตัวหญิงสาวรายนี้ มาสอบปากคำอย่างละเอียดด้วย ว่ามีส่วนรู้เห็นเป็นใจ หรือเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดร่วมกับ นายประมวล หรือไม่ต่อไป


ที่มา : https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_7600312
 

‘หนุ่มใหญ่’ ปล่อยโฮ ถูกมือดีฉกเงินสด 8 หมื่นบาท หลังเผลอหลับ หวังจ่ายค่าผ่าตัดสมองให้พี่ชาย ชาวบ้านยันเห็นคนร้าย

ใจสั่นและขาอ่อนจนระทวย หนุ่มใหญ่วัย 52 ปี อ.ศรีบุญเรือง จ.หนองบัวลำภูหอบเงินเฉียดแสนมาที่อุดรฯหวังจ่ายค่ารักษาพยาบาลพี่ชายผ่าตัดสมอง เผลอนอนหลับที่สวนสาธารณะหนองประจักษ์ มีมือดีมาฉกเงินหนีหน้าตาเฉย ชาวบ้านยันเห็นคนร้าย ยืนยันไม่ได้กุเรื่อง วอนตร.ล่าตัวคนร้ายแสบโดยเร็วไม่งั้นไม่มีเงินรักษาพยาบาลพี่ชายแน่

(4 เม.ย.66) เมื่อวันที่ 3 เม.ย.66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายอดิศร อ่อนมาสาย อายุ 53 ปี ชาวบ้าน ต.นากอก อ.ศรีบุญเรือง จ.หนองบัวลำภู เข้าแจ้งความกับตร.สภ.เมืองอุดรธานีว่า เงินสดตนเองหายไปจากกระเป๋าขณะเผลอหลับไปที่สวนสาธารณะหนองประจักษ์ ข้างรพ.ศูนย์อุดรธานี ที่น่าตกใจกว่านั้นคือเงินสดจำนวน 82,000 บาทได้หายไป คาดว่าจะมีคนมาขโมยตอนหลับ อยากให้ตร.ติดตามมาคืนด้วยเพราะเงินก้อนนี้เป็นเงินก้อนสุดท้ายที่ตนเองนำมาจ่ายค่ารักษาผ่าตัดสมองที่รพ.ศูนย์อุดรธานี

ต่อมานายอดิศรพาตร.ชุดสืบสวนเดินทางไปดูจุดที่เกิดเหตุที่นอนหลับในสวนสาธารณะหนองประจักษ์ โดยนายอดิศรใจสั่นและขาอ่อนจนระทวยที่เงินเฉียดแสนหายไปแบบนี้ พาตร.ชี้จุดที่เกิดเหตุ พร้อมบอกว่า เงินผมหายแล้วหัวหน้า ช่วยตามให้ผมที เงินนี้ผมจะเอามาจ่ายค่าผ่าตัดสมองพี่ชาย ขโมยมาเงินผมไป แบบนี้ผมไม่ได้จ่ายให้พี่ชายแน่

หนุ่มใหญ่เคราะห์ร้ายถูกขโมยเงิน บอกว่า พี่ชายป่วยเป็นเนื้องอกในสมองและมาผ่าตัดที่รพ.อุดรธานีตั้งแต่กลางเดือนมี.ค.แล้วและมีคิวผ่าตัดวันที่ 5 เม.ย.นี้ หมอแจ้งมีค่าใช้จ่ายประมาณ 80,000 บาทเศษ เงินที่ตนเองเก็บหอมรอมรับมานาน เอาใช้เป็นค่าใช้จ่ายพี่ชายทั้งหมด หวังจะให้พี่ชายรอด  ก่อนเกิดเหตุได้ขึ้นไปเยี่ยมพี่ชายและบอกว่าไม่ต้องห่วงมีเงินจ่ายค่าผ่าตัดแล้ว จากนั้นตนเองก็เดินลงมานอนพักผ่อนที่หนองประจักษ์ โดยเอากระเป๋าวางไว้ข้างๆ ที่ตัวเองนอน เผลอหลับไปสักงีบ พอตื่นขึ้นมาปรากฏว่ากระเป๋าเงินหายแล้ว ตกใจมากเงินหายแบบนี้ไม่ได้จ่ายค่าผ่าตัดพี่ชายแน่จึงรีบไปแจ้ง ตร.ให้มาตรวจสอบทันที หมดเนื้อหมดตัวแล้ว และสงสารพี่ชาย พอพี่ชายป่วยก็ถูกภรรยาไล่ออกจากบ้าน ตนเองสงสารพี่ชายจึงอยากจะจ่ายค่าผ่าตัดสมองให้ อยากจะวิงวอนให้ตร.ตามจับคนร้ายให้ได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top