Friday, 4 July 2025
NEWSFEED

‘พิม พิมประภา’ แจงประเด็นดราม่า ไม่อยากให้พ่อเครียด เชื่อแม่ยังรักมาก มีวันนี้ได้เพราะแม่ผลักดัน พาเรียนร้องเพลง-การแสดง 

หลังจากที่วันก่อน “พิม พิมประภา ตั้งประภาพร” ถึงขั้นร้องไห้ หลังถูกแม่โพสต์ฉะแรง ทั้งอกตัญญู ตัดแม่ตัดลูก ไม่ขอเจอกันอีกในชาติหน้า ซึ่งเจ้าตัวเผยว่าขอไปเคลียร์กันหลังบ้านดีกว่า ต่อมา “แม่ศศิกานต์” ก็ออกมาโพศต์สยบดรามา ขอทุกคนอย่าไปถามลูกๆ ถึงเรื่องนี้อีก ยอมรับที่โพสต์เพราะน้อยใจลูก

ล่าสุดในงานประกาศรางวัล MAYA TV AWARDS 2023 พิม พิมประภา ก็เปิดใจถึงเรื่องนี้ว่า ตอนนี้พยายามเข้มแข็งให้มากที่สุด ไม่อยากลงลึกรายละเอียดกับสิ่งที่แม่โพสต์ล่าสุดแล้ว แต่เชื่อแม่ก็ยังรักตนมาก

“ก็พยายามที่จะเข้มแข็งมากที่สุดค่ะตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าก็พิมได้รับกำลังใจที่ดีมากๆ จากทุกคน รวมถึงจากคนที่บ้านด้วย ก็ถือว่าเราก็พยายามที่จะเข้มแข็งให้ได้ แล้วก็พยายามที่จะมองคนที่เรารักให้เยอะๆ เลยตอนนี้ คือเราใช้เวลากับคนที่เรารักให้มากที่สุด พยายามรับพลังบวกจากคนในครอบครัวเยอะๆ

ที่ได้เห็นน้ำตา จริงๆ มันก็ถือว่าเป็นแผลสดเนอะ เราไม่ได้เอฟเฟกต์ว่าจะต้องตอบคำถาม ในเวลาอันใกล้ขนาดนั้น ไม่รู้สิ มันก็สดมาก ถามว่าหลังจากวันนั้น คนในครอบครัวตอนนี้ พยายามที่จะไม่พูดเรื่องเครียดกันเลย คือเราพยายามที่จะให้กำลังใจกัน พูดกันแต่สิ่งดีๆ เรื่องนี้มันสร้างบาดแผลให้กับทุกคนในบ้านเลย พิมก็คือเป็นพี่คนโต เราก็อยากที่จะให้ทุกคนแฮปปี้ และเป็นปกติให้ได้ไวที่สุด”

ส่งผลกระทบต่อจิตใจ เซนซิทีฟที่สุดในชีวิต
“ก็ยอมรับตรงๆ ว่ามีผลกับสภาพจิตใจเรามากๆ เลย จริงๆ เรื่องครอบครัวมันเป็นเรื่องเซนซิทีฟที่สุดสำหรับชีวิตพิมแล้ว พิมก็มองนะ ว่าถ้าพิมผ่านเรื่องนี้ไปได้ ไม่ว่าอะไรจะเข้ามาอีก พิมจะผ่านมันไปได้ทุกเรื่อง”

เชื่อมีทางออกสำหรับครอบครัว
“พิมเชื่อว่าครอบครัวทุกครอบครัว ยังไงก็คือครอบครัวค่ะ มันจะมีทางออกเสมอ แล้วตอนนี้พิมโฟกัสแค่ความสุขของคนในครอบครัวเลย อะไรก็ตามมีที่ทำให้เขามีความสุขและแฮปปี้ พิมทำได้ทุกอย่างเลย”

อ่านสิ่งที่แม่โพสต์แล้ว ไม่อยากพูดถึงอีก สร้างบาดแผลให้ทุกคนในบ้านมากแล้ว
“ได้อ่านแล้วค่ะ พิมรู้สึกว่าพิมไม่อยากที่จะลงรายละเอียด และไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว เพราะพิมว่าเรื่องนี้มัน…อย่างที่บอกคือมันสร้างแผลให้กับคนในบ้านมากแล้ว พิมเป็นพี่คนโต ตอนนี้พิมอยากจะที่นำ และเป็นเสาให้กับทุกคนๆ ให้ได้ ก็พยายามที่จะเข้มแข็งให้มากที่สุด”

แม่ยังฝากให้ติดตามผลงาน เชื่อยังรักมาก
“ถูกต้องค่ะ คืออย่างที่พิมบอก ครอบครัวก็คือครอบครัว ถึงจะมีการไม่เข้าใจกันอะไรก็แล้วแต่ แต่พิมเชื่อเสมอว่าคุณแม่รักพิมมาก อันนี้คือเรื่องที่พิมเชื่อมาตลอด แล้วตั้งแต่เด็กพิมก็ได้รับความรักจากแม่มาเสมอ พิมมายืนอยู่ตรงนี้ได้ แม้กระทั่งวันนี้พิมได้เข้าชิงรางวัลที่มันเป็นเกียรติขนาดนี้ ส่วนใหญ่ๆ เลยก็เพราะแม่พิมผลักดันพิมมาถึงทุกวันนี้ได้ ไม่งั้นพิมจะไปเรียนร้องเพลง ไปเรียนการแสดงยังไง ถ้าเกิดเขาไม่พาพิมไป”

พ่อเครียดเพราะเห็นตนเครียด จากนี้จะเข้มแข็งและแฮปปี้ให้พ่อดู
“ท่านก็เครียดค่ะ ก็ต้องบอกว่าเขาเครียด แต่ว่าอย่างที่บอก ถ้าพิมเครียด เขาเครียดตาม เพราะฉะนั้นตอนนี้พิมจะเข้มแข็งและแฮปปี้ให้เขาดูให้มากที่สุด เพราะถ้าพิมแฮปปี้ เขาแฮปปี้แน่นอน ไม่ใช่แค่ปาป๊าอย่างเดียว ที่พิมร้องไห้ออกไปจากการสัมภาษณ์ครั้งที่แล้ว พิมไม่ได้แฮปปี้กับสิ่งนั้นที่พิมทำไปนะ พิมเชื่อว่าคุณแม่ดู คุณแม่ก็ไม่แฮปปี้ พิมเชื่อว่าคุณแม่ดู คุณแม่ก็เครียด อย่างน้อยๆ พิมรู้จักเขาดี เขาน่าจะต้องร้องไห้ตามพิมแน่ๆ แล้วพิมไม่อยากให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นอีกแล้ว พิมอยากที่จะเข้มแข็งให้ได้มากที่สุดค่ะ”

‘เบส คำสิงห์’ ดูแลตัวเอง ออกกำลังกาย ขัดผิวทุกวัน อยากให้ดูดีเพื่อคนใหม่ ไม่ได้มีสเปกตายตัว ขอแค่คุยกันรู้เรื่อง นิสัยดี

โสดแล้วสวย โสดแล้วแซ่บ สำหรับ “เบส คำสิงห์” หรือ รักษ์วนีย์ คำสิงห์ ลูกสาวคนเก่งของ “สมรักษ์ คำสิงห์” โดยในงานประกาศรางวัล MAYA TV AWARDS 2023 เจ้าตัวเผยสวยขึ้นเพราะอยากดูแลตัวเองให้ดูดีเพื่อแฟนใหม่

“เราก็ดูแลตัวเองค่ะ เพราะว่าว่าง ตอนไม่โสดไม่ว่างเพราะอยู่กับแฟนไง เราเป็นผู้หญิงติดแฟน แต่ตอนนี้หนูตื่นมาออกกำลังกายทุกเช้า แล้วก็ดูแลผิว สครับ ขัดผิวทุกวัน (อยากให้ดูดีขึ้นเพื่อคนที่เข้ามาใหม่?) เพื่อเขาด้วย คนใหม่ก็ต้องภูมิใจที่มีแฟนเป็นเรา (หัวเราะ) เราต้องพัฒนาขึ้นไง เขามาคบเราแล้ว เราก็ต้องพัฒนาในเรื่องของความคิด ทัศนคติ รูปร่างด้วย หุ่นด้วย”

โสดแล้วแซบได้ ชินโดนแซะ คงไม่หนักเท่าปีก่อนแล้ว
“ตอนนี้โสดก็แซบได้ สเปกเหมือนเดิมค่ะ ไม่มีอะไรเปลี่ยน จริงๆ หนูก็ไม่ได้มีสเปกตายตัวนะ แค่คุยกันรู้เรื่อง นิสัยดีก็โอเคแล้ว ส่วนคนคอมเมนต์แซะก็ปกติค่ะ เป็นเรื่องปกติมาก เพราะว่าเราเป็นผู้หญิง เราก็ต้องโดนอยู่แล้ว คือก่อนหน้านี้เราโดนมาหนักมาก ช่วงปีที่แล้ว ไปออกรายการ ทำอะไรก็โดนไปหมด ความรู้สึกเรามันอยู่ตัวแล้ว ก็คงไม่มีอะไรหนักเท่าปีที่แล้วแหละ
ตอนนี้ก็ยังอ่านคอมเมนต์นะ แต่ว่าถ้าใครว่าเรา เราก็ไปอ่านคนที่ชมเรา เราไม่ได้อิกนอร์นะ ถ้าเกิดเขาบอกว่าเราอ้วน เราก็จะลดน้ำหนัก แต่ถ้าด่าว่าเราไม่สวย เราก็จะไปส่องกระจกที่บ้าน ถ้าส่องแล้วรู้สึกว่าก็ดูดีนะ ก็ไม่ได้ไม่สวยขนาดนั้น เราก็ข้ามไป เวลาอ่านเจอคอมเมนต์ไม่ดีก็ไม่โกรธ เพราะว่าหนูเจอมาหนักมากเลยค่ะปีที่แล้ว ปีนี้ก็เลยไม่ค่อยเท่าไหร่ ปีที่แล้วกว่าจะผ่านมาก็ยาก ก็หนักเหมือนกัน”

เคยถามคนเคยฟ้อง แต่ไม่เคยทำ และยังไม่เคยคิด
“ก็เบาๆ ค่ะ คอมเมนต์กันเบาๆ (หัวเราะ) แต่เรื่องฟ้องร้องไม่มีค่ะ ไม่เคยคิดเลย แต่ถามพี่ๆ นักแสดงเหมือนกัน ว่ามันได้เงินจริงเหรอคะ ใช้เวลานานไหม ก็ถามเฉยๆ แต่ไม่เคยทำค่ะ”

โดนด่าเพราะจริต เป็นคนตรงๆ
“อาจจะเป็นจริตหนูด้วย เราเป็นคนตรงๆ อาจจะบอกว่าหนูออกตัวแรงด้วย หลายๆ อย่างค่ะ แต่ตอนนี้ก็ปรับตัวเองลงมาเยอะมากแล้ว หนูแทบไม่ลงสตอรี่เลยด้วยซ้ำ คือเวลามีปัญหาถ้าเกิดเป็นปัญหาเล็กๆ มันก็ไม่เท่าไหร่ค่ะ แต่บางทีเรื่องเล็กๆ แต่ทำไมปัญหามันใหญ่จัง เราก็ซีเรียสนิดหนึ่ง เลยระวังตัวเอง”

แฟนใหม่จะเปย์เหมือนเดิม เปรยขำๆ อาจดาวน์รถให้ก็ได้ แถมไม่เอาคืน
“ก็เปย์นะ ก็แฟนเรา ก็เป็นคนคลั่งรัก มันไม่ได้ให้ถึงขั้นหมดตัว แบบไปกินข้าว เราก็เลี้ยงได้ แต่ถ้าเขาอยากได้รถ ก็ใหญ่ไป แต่หนูอาจจะดาวน์ให้ก็ได้ (หัวเราะ) หนูว่าการเป็นแฟนกันมันเป็นเรื่องปกติมาก ซึ่งหนูให้หนูก็ไม่ได้จะเอาคืน ให้ก็คือให้ ให้แล้วก็จบไป ส่วนคนมองว่าน่าจะเป็นผู้ชายเปย์ มันก็อยู่ที่เขา เราไม่สามารถพูดได้ ว่าพี่จ่ายอันนี้ให้หน่อย แต่ถ้าเกิดเขาอยากให้เรา เราก็รับ แต่เราอยากให้มากกว่า เราดูเหมือนเราอยากให้มากกว่า (หัวเราะ)”

ไม่หวั่นประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ผู้ชายคนใหม่ต้องดีกว่าเดิม
“ไม่ค่ะ เรายังพัฒนาขึ้นเลย ผู้ชายคนใหม่ต้องดีกว่าเดิม ลิมิตในการให้ของใครก็มี ก็ไม่ใช่ว่ามีล้านจะให้ล้านขนาดนั้น ก็บอกอยู่ว่าให้ครึ่งหนึ่ง(หัวเราะ) เดี่ยวเราหาใหม่ ถามว่ากลัวเขาหลอกไหม ไม่หรอกๆ เหมือนคนที่เข้ามาเขาไม่ได้หวังอย่างนั้น”

มั่นใจดูคนเป็น
“เราก็ดูคนเป็นอยู่ เราดูคนออกอยู่ ก่อนที่จะมาเป็นแฟนมันก็ต้องคุยกันมาก่อน ตอนคุยกันเราก็ดูออกประมาณหนึ่งอยู่แล้ว ต้องเป็นแฟนถึงเปย์ ต้องมีสถานะแฟน ทำไมไม่มีใครถามหนูว่ามีใครมาเปย์หนูหรือยัง
(แล้วมีหรือยัง?) ยังค่ะ (หัวเราะ)”

ลุ้นไม่ขึ้น “ซิม คิวเท โอปป้า” แค่เพื่อน แรงเชียร์ไม่เคยได้ผล
“เป็นเพื่อนกัน แต่เขาสายเปย์อยู่แล้ว หนูไปกับเขาไม่ต้องพกกระเป๋าตังค์เลยนะ คิวเทจ่ายให้หมด ถามว่าลุ้นขึ้นไหม ไม่ค่ะ เป็นเพื่อนกันเลย ถามไปก็ไม่ได้อะไรหรอก เพราะว่าคนเชียร์มาก่อนหน้านี้นานแล้ว ก็ไม่เคยได้ผล หนูว่าให้เป็นความน่ารักแบบเพื่อนกันดีแล้ว เป็นเพื่อนกันค่ะ”

ไม่บอกโสด
“ไม่บอก (หัวเราะ) โสดค่ะ แต่ไม่อยากบอกเฉยๆ”

ที่มา :  https://mgronline.com/entertainment/detail/9660000057346

‘ก้อง ห้วยไร่’ ถอดกางเกงกลางเวที เมื่อแฟนคลับทุ่มเงิน ‘ครึ่งแสน’ เพื่อประมูล

จัดเต็มทุกงานตลอดสำหรับนักร้องชายชื่อดัง ก้อง ห้วยไร่ ที่เจ้าตัวนั้นไปแสดงงานคอนเสิร์ตที่ไหนเจ้าตัวจัดเต็มตลอด ทั้งการร้องเพลง เอนเตอร์เทน ไม่มีบกพร่องกันเลยทีเดียว อีกทั้งเจ้าตัวไปแสดงคอนเสิร์ตที่ไหนก็มันจะได้เหล่าบรรดาของขวัญแปลกๆ จากแฟนคลับอยู่บ่อยครั้งจนเป็นกระแสทุกครั้งเลยก็ว่าได้ เอาเป็นว่าเจ้าตัวนั้นเป็นที่รักของเหล่าบรรดาแฟนคลับมาโดยตลอด แต่ล่าสุดเป็นต้องอึ้งเหมือนเหล่าบรรดาแฟนคลับของเจ้าตัวทุ่มเงินถึงครึ่งแสนในการประมูลกางเกงตัวที่เจ้าตัวนั้นใส่แสดงคอนเสิร์ตอยู่นั่นเอง

ล่าสุดในเฟสบุ๊กส่วนตัวของนักร้องชายชื่อดังอย่าง ก้อง ห้วยไร่ ได้ออกมาโพสต์รูปพร้อมข้อความที่เจ้าตัวนั้นได้ไปแสดงคอนเสิร์ตในที่แห่งหนึ่ง โดยเจ้าตัวได้ระบุข้อความไว้ว่า “เมื่อ แฟนเพลงขอประมูลกางเกง 50,000 บาทกูจะเก็บไว้เพื่อ เอาไปเลยน้อง ภาพที่ท่านเห็นคือกล้ามขานะครับผมเป็นคนที่แข็งแรงมากอย่ามองเป็นอย่างอื่น” ซึ่งสำหรับรูปที่เจ้าตัวโพสต์นั้น “เป็นรูปด้านหลังที่เจ้าตัวกำลังก้มถอดกางเกงจนเหลือเพียงกางเกงขาสั้นสีขาวนั่นเอง” จนเหล่าบรรดาแฟนคลับเข้ามาคอมเมนต์แซวสนั่น เช่น โอ้ยตกใจเหมิด ป๊าด ไข่ออกบ่พี่555 แว๊ปแรก นึกว่าย้อย55555 จ้วดๆ แว๊ปแรก เห็นเป็น…อิหลีนิหละจ้า
 

รู้จัก ‘Stüssy’ พี่ใหญ่แห่งวงการสตรีตแวร์ แบรนด์เก่าแก่แต่ครองใจศิลปิน-คนรุ่นใหม่

ธุรกิจเสื้อผ้าแฟชัน นับว่าเป็นธุรกิจที่มีคู่แข่งสูง เนื่องจากมีผู้เล่นในตลาดค่อนข้างสูง ตั้งแต่เสื้อผ้าแฟชันราคาถูกจับต้องได้ ไปจนถึงเสื้อผ้าหรู แบรนด์เนม… งานหนักจึงมาตกอยู่ที่บรรดาเจ้าของแบรนด์ที่ต้องตาม ‘เทรนด์’ การแต่งตัวของผู้คนที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว หรือบางครั้งก็ต้องเทิร์นตัวไปเป็นผู้นำแฟชันเองซะเลยก็มี

อย่างไรก็ตาม แม้ในตลาดเสื้อผ้าแฟชันจะมีการแข่งขันสูง แต่ก็ยังโชคดีที่แบรนด์ต่าง ๆ ที่มีคาแรคเตอร์เฉพาะ ก็มักจะเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นของตัวเองได้ไม่ยาก เฉกเช่นเดียวกับแบรนด์ ‘Stüssy’ (อ่านว่า สตูซี) แบรนด์สตรีตแวร์สุดเก๋า ที่ถือกำเนิดมาแล้วกว่า 44 ปี หรืออาจเรียกได้อย่างเต็มปากเลยว่าเป็น ‘พี่ใหญ่แห่งวงการสตรีตแวร์’ นั้น...ยังยืนตระหง่านในเวทีนี้ได้แบบไม่ตกยุค

… และแน่นอนว่า เหตุผลที่อยากหยิบยก Stüssy แบรนด์สตรีตสัญชาติอเมริกามาเล่า เพราะล่าสุดเขาได้มาเปิดสาขาเป็นของตัวเองเป็นแห่งแรกในไทยแล้ว โดยมีพิกัดอยู่ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ชั้น 2 ซึ่งบอกเลยว่า วันเปิดขายวันแรกนี่ทำเอาห้างแตก ลูกค้าต่อคิวยาวล้นออกมานอกห้าง เพราะลูกค้าจำนวนมากต้องการเข้าไปซื้อสินค้าราคาป้ายไทย รวมถึงเสื้อยืดลายพิเศษ ที่มีจำหน่ายเฉพาะที่สาขา Bangkok Chapter เท่านั้น

เอาล่ะ!! พักเรื่องคามร้อนแรงของ ‘Stüssy’ ในไทยไปก่อน และขอย้อนพาไปดูเส้นทางสู่ความร้อนแรงแห่งสตรีตแฟชันรายนี้ ที่ THE STATES TIMES จะลองขยายประวัติและต้นกำเนิดของแบรนด์นี้ให้ทราบกันพอสังเขป… ซึ่งขอบอกเลยว่าแบรนด์นี้ไม่ได้ขายเสื้อผ้าตั้งแต่แรก… แต่จะขายอะไรมาก่อน เชิญติดตาม!!

ย้อนกลับไปในปี 1979 แบรนด์ Stüssy ถือกำเนิดขึ้นจากชายที่ชื่อว่า ‘Shawn Stussy’ ผู้ที่หลงใหลในการเล่นกระดานโต้คลื่น หรือเซิร์ฟบอร์ด จึงตัดสินใจเปิดธุรกิจผลิตและออกแบบเซิร์ฟบอร์ดเป็นของตนเอง อยู่แถวชายหาดลากูนาบีช ที่แคลิฟอร์เนีย โดยเขาได้นำลายเซ็นนามสกุลของเขามาเป็นโลโก้ประจำแบรนด์ เพื่อเพิ่มความโดดเด่นและจดจำง่าย

ทั้งนี้ ดีไซน์โลโก้ของเขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากข้อความกราฟิตี ศิลปะการพ่นลวดลายบนกำแพง ตามสไตล์ชาวพังก์ร็อกและฮิปฮอปที่เขาชื่นชอบ และสื่อถึงจิตวิญญาณความเป็นศิลปินอันแสนขบถ ในช่วงแรก คุณ Stussy เน้นขายสินค้าเฉพาะเซิร์ฟบอร์ดเท่านั้น 

แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็เกิดปิ๊งไอเดีย โดยลองนำโลโก้ Stüssy มาสกรีนลงบนเสื้อยืด และนำไปขายควบคู่กับเซิร์ฟบอร์ด ที่งาน Action Sports Retailer ในปี 1982 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าเกี่ยวกับกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ เจตนาแรกเขาแค่ต้องการใช้เสื้อยืดสกรีนมาเป็นตัวกระตุ้นยอดขายให้กับเซิร์ฟบอร์ดเท่านั้น แต่กลายเป็นว่าเสื้อยืดเป็นสินค้าที่ขายดีแทน โดยเพียงแค่ 3 วัน เขาสามารถขายเสื้อยืดไปมากกว่า 1,000 ตัว

เมื่อกระแสตอบรับเสื้อยืดดีเกินที่คาดไว้ คุณ Stussy จึงเพิ่มไลน์เสื้อผ้าแนวสตรีตแวร์ในร้านของเขา เป็นการขยายธุรกิจและสินค้าให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น
.
แม้ยอดขายเสื้อยืดจะดีเลิศ แต่ในความเป็นจริง คุณ Stussy ไม่ได้มีความรู้เรื่องการทำการตลาดมากนัก ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจชวน Frank Sinatra เพื่อนสนิทที่เล่นเซิร์ฟด้วยกัน มาเป็นหุ้นส่วนของร้าน การร่วมมือของพวกเขาทั้งสอง ทำให้แบรนด์ Stüssy ได้จดทะเบียนเป็นบริษัทและเป็นที่รู้จักในวงกว้างกว่าเดิม หลังจากนั้นพวกเขาก็ค่อยๆ ลดการขายเซิร์ฟบอร์ดลง และหันมาพัฒนาเสื้อผ้าแทน

เวลาผ่านพ้นไปจนกระทั่งปี 1991 พวกเขาก็ได้เปิด Flagship Store แห่งแรกของแบรนด์ในเมืองนิวยอร์ก โดยได้ James Jebbia มาเป็นผู้จัดการร้าน แต่ภายหลังเขาลาออกไปสร้างแบรนด์ของตัวเองชื่อ ‘Supreme’

แต่หลังจากนั้นประมาณ 5 ปี คุณ Shawn Stussy ก็ได้ตัดสินใจวางมือจากแบรนด์ Stüssy เพื่อกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัว โดยได้ขายหุ้นของบริษัทให้กับคนตระกูล Sinatra ทำให้จวบจนถึงปัจจุบัน แบรนด์ Stüssy อยู่ภายใต้การบริหารงานของครอบครัว Sinatra

แม้ผู้ก่อตั้งแบรนด์คนแรกจะไม่ได้เป็นผู้บริหารแบรนด์เองแล้ว แต่โลโก้แบรนด์ Stüssy ที่เป็นเอกลักษณ์ยังคงอยู่ และได้รับความสนใจจากผู้มากมาย โดยมีร้านแบบ Stand Alone และตัวแทนจำหน่ายอยู่ทั่วโลก นอกจากนี้ยังได้แตกไลน์สินค้ามากขึ้น เช่น หมวก เสื้อแจ๊กเก็ต กระเป๋า ถุงเท้า แว่นตา และอื่นๆ ด้วย

อ่านมาถึงจุดนี้ ก็อาจจะพอรู้แล้วว่าสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ Stüssy คือความเป็นพังก์ร็อก และฮิปฮอป เนื่องจากผู้ก่อตั้งอย่าง Shawn Stussy หลงใหลในวัฒนธรรมเหล่านี้ และเขารู้ว่ากลุ่มคนเหล่านี้มีสไตล์การแต่งตัวแบบไหน หรือเทรนด์กำลังจะเปลี่ยนไปเป็นแบบใด ส่งผลให้สินค้าของแบรนด์ Stüssy ที่ออกมาถูกใจคนกลุ่มนี้ได้ไม่ยาก ซึ่งการรู้ใจผู้บริโภคและมีสินค้าตอบโจทย์ความต้องการ ทำให้แบรนด์ประสบความสำเสร็จและครองใจลูกค้ามาอย่างยาวนาน

อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ฐานลูกค้ายังชื่นชอบและเลือกซื้อสินค้าแบรนด์ Stüssy ก็คือการเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพสูงในการผลิต อีกทั้งยังคงใส่ใจรายละเอียดการตัดเย็บ การดีไซน์ที่คงอัตลักษณ์ของแบรนด์ไว้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ แบรนด์ Stüssy ยังได้ออกสินค้ารุ่นลิมิติดอิดิชันร่วมกับแบรนด์ชื่อดังอื่นๆ ด้วย เช่น Nike Supreme, VANS, CONVERSE, Levi's®, New Balance, G-Shock, COMME des GARÇONS หรือแบรนด์หรูอย่าง Dior ซึ่งการร่วมมือกับแบรนด์อื่นออกสินค้า เสมือนเป็นการพาแบรนด์ออกแนะนำตัวสู่สาธารณะ เปิดโอกาสให้ลูกค้ากลุ่มใหม่ได้ทำความรู้จักแบรนด์ และสร้างประสบการณ์ ไอเดียใหม่ๆ ให้กับแบรนด์

เท่านั้นยังไม่พอ เหล่าศิลปินไอดอล และคนดังระดับโลก เช่น ลิซ่า BLACKPINK, IU, Kendall Jenner, Travis Scott และ ศิลปินวง BTS ต่างก็เลือกสวมใส่เสื้อผ้าจากแบรนด์ Stüssy ด้วยเช่นกัน ยิ่งเป็นแรงเสริมให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น

ในโลกธุรกิจ โอกาสคือสิ่งสำคัญ เพราะในบางครั้ง Passion ที่หวังไว้ อาจจะไม่ได้พาเราไปถึงปลายทางที่ยิ่งใหญ่ได้เสมอ ฉะนั้นการคว้าโอกาสและต่อยอดโอกาสอย่างจริงจัง ในบางครั้งก็มีความจำเป็น เหมือนกับ ‘Stüssy’ ที่ใครจะคิดว่า ไอเดียจากการนำโลโก้เซิร์ฟบอร์ด ที่มาเพ้นต์ลงเสื้อยืดเพื่อสร้างแรงกระตุ้นยอดขายเซิร์ฟบอร์ด จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นตำนานสตรีตแฟชันแห่งยุคได้อย่างลงตัว 

พระเมธีวชิโรดม (ว.วชิรเมธี) ให้แง่คิด คติสอนใจ เรื่องการมองเห็นคุณค่าของชีวิต

“ดินก้อนหนึ่ง จะมีคุณค่ามากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับใครเป็นคนปั้น เพราะฉะนั้น ขอให้เราแต่ละคนจงเพียรปั้นดินแห่งชีวิตของตัวเองให้ดี ให้งดงาม ให้มีคุณค่า ให้สมกับที่ได้เกิดมาเป็นคนกับเขาชาติหนึ่ง”
 

รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น หรือ ‘รัศมีแข’ นักแสดง พิธีกร และนักวอลเลย์บอลลูกครึ่งไทย-เซเนกัล ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงวอเลย์บอลทีมชาติหญิง

“ขอบคุณมากครับสำหรับวันนี้…และยังคงเหมือนเดิมนะเด็ก….รักนะครับ และศรัทธาเคารพวอเลย์บอลทีมชาติหญิงเสมอ…ขอบคุณสำหรับความสุขก่อนนอน….เชียร์สนุกมากครับ…แล้วเจอกันนะ”

ราชการไทยยุคใหม่ แก้ไขความล่าช้า เชื่อมโยงให้บริการประชาชน ใจกลางเมืองหลวง

ผู้ใช้เฟซบุ๊ก แม่บ้านแคนาดา ได้โพสต์ข้อความถึง ระบบราชการไทยยุคใหม่ ที่ให้บริการประชาชนได้อย่างรวดเร็ว โดยได้ระบุว่า ...

วันนี้ตั้งใจไปทำพาสปอร์ตใหม่ที่สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว ปทุมวัน (MBK) ชั้น 5 โซน A แต่บัตรประจำตัวประชาชนเราหมดอายุเจ้าหน้าที่เลยบอกให้เราไปจุดบริการด่วนมหานคร (Bangkok Express Service)

ซึ่งอยู่ติดกัน เราก็กังวลเพราะไม่มีเอกสารอะไรติดมาด้วยเลย มีแค่พาสปอร์ตอันเก่าและบัตรประจำตัวประชาชนหมดอายุ

แต่ๆๆๆๆ เขาใช้แค่บัตรประจำตัวประชาชนหมดอายุเรากับพาสปอร์ตเล่มเก่าเราแค่นั้นก็ทำบัตรประชาชนใบใหม่ได้แล้ว แถมรวดเร็ว เจ้าหน้าที่ดีมาก
เสียค่าปรับไป 100 บาท 

พอได้บัตรประจำตัวประชาชนใบใหม่เราก็กลับมาทำพาสปอร์ตต่อ เราจองออนไลน์มา ได้คิวเลย ทำแปปเดียวก็จ่ายเงินค่าพาสปอร์ต 10 ปี 1,500 บาท และค่าจัดส่ง EMS 40 บาท

วันนี้ประทับใจมากในการใช้บริการทั้งสองที่  กะไปทำแค่พาสปอร์ตแต่ได้ทำตั้งสองอย่างเลยในเวลาไม่ถึง30นาที เริ่ดเด้อ!!

เผื่อใครกลับมาไทยแล้วอยากทำเอกสาร ลองไปที่นี้ดูนะคะ

‘อัจฉราพร’ วอลเลย์บอลสาวทีมชาติไทย พูดทั้งน้ำตา ตั้งใจกับทุกแมตช์ แม้มันไม่ได้ดั่งใจ ชวนคนไทยให้สู้ไปด้วยกัน

เฟซบุ๊ก วอลเลย์บอลไทยแลนด์ ได้โพสต์ข้อความ เกี่ยวกับ   วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย หลังจากที่ได้พ่ายไป 4 เกม โดยระบุว่า ...

วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ไร้ชัยในสนามที่ 2 ที่ประเทศบราซิล หลังจากแพ้ 4 เกม เกมสุดท้ายแพ้ โครเอเชีย 0-3 เซต
หลังจบเกม อัจฉราพร คงยศ ได้เปิดเผยพร้อมขอให้แฟนวอลเลย์บอลไทยเป็นกำลังใจ โดยมีช่วงหนึ่งที่อัจฉราพร ร้องไห้ออกมาด้วย

"อย่าเพิ่งหมดหวังในตัวพวกเรา คือพวกเราสู้กันมาขนาดนี้ หนูอยากให้ทุกคน มองเราครั้งแรกเหมือนที่มองเรา ทุกคนไม่ได้มาคาดหวัง ไม่ได้มากดดันในตัวพวกเรา
“อยากให้ทุกคนให้กำลังใจ ติได้ ด่าได้ แต่กำลังใจมันก็สำคัญกับพวกเรา พวกเราตั้งใจมากกับทุกการแข่งขัน แต่มันอาจจะไม่ได้ดั่งใจเราทุกแมตช์

อยากให้ทุกคนสู้ไปกับเรา เป็นกำลังใจให้กับเรา ค่อยๆ ดูเราเติบโต และก้าวผ่านอุปสรรคที่เราเจอไปด้วยกัน อันนี้หนูคิดว่าเป็นความสุขระหว่างทางมากกว่า มากว่าที่คุณจะไปรอเราตรงนู้น แล้วเราไปหาคุณตรงนั้น หากเดินไปด้วยกัน เห็นสิ่งที่เราเจอ หนูว่าจะรู้สึกอุ่นใจกันมากกว่า"

‘แพทริเซีย’ คลอดลูกสาวแล้ว ‘โน้ต วิเศษ’  ตั้งชื่อให้ว่า ‘น้องเอลิเซีย’ เพื่อให้คล้องจอง กับชื่อของดาราสาว

หลังจากอุ้มท้องมาได้กว่า 38 สัปดาห์ ล่าสุด แพทริเซีย กู๊ด ก็ได้คลอดลูกสาวคนแรกแล้ว แถมตั้งชื่อน่ารักว่า น้องเอลิเซีย ซึ่งชื่อนี้ โน้ต วิเศษ เป็นคนตั้งให้คล้องจองกับ แพทริเซีย 
โดยล่าสุด แพทริเซีย ได้โพสต์ภาพสุดอบอุ่น พร้อมหน้าพ่อแม่ลูก พาลูกสาวตัวน้อยมารายงานตัวผ่านโลกโซเชียลเป็นครั้งแรก น้องเอลิเซีย แก้มยุ้ยน่ารักน่าชังมากๆ และลืมตาดูโลกตั้งแต่วันที่ 16 มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยคุณแม่ป้ายแดงได้เขียนแคปชั่นไว้ว่า 

"Welcome to the world, Alicia our sweet baby girl born on the 16th of June at 38 weeks + 2 days we are so grateful to hold you healthily in our arms.
น้องเอลิเซียมาแล้วค่าทุกคนนน ปะป๊าตั้งชื่อให้คล้องจองกับมามี๊เลย หนูเกิดวันที่ 16.06.66 ทำน้ำหนักได้ 3,160 กรัม แล้วตอนนี้หนูกินเก่ง นอนเก่งสุดๆเลยค่ะ"

‘ยิปซี คีรติ’ เล่าประสบการณ์ จากการหักโหม ‘ลดน้ำหนัก’ ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต เพราะเอาความสุขของชีวิต ไปผูกติดกับตัวเลขตาชั่ง

นับเป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่มักจะถูกทักเข้ามาถามไถ่อยู่บ่อยๆ สำหรับ เคล็ดลับการลดน้ำหนัก หรือเทคนิคดูแลรูปร่างให้ฟิตแอนด์เฟิร์มอยู่ตลอด สำหรับ ยิปซี-คีรติ มหาพฤกษ์พงศ์ นักแสดงสาวมากความสามารถ วัย 35 ปี ที่ยืนหนึ่งเรื่องความแซ่บจนแฟนๆ ต่างยกให้เป็นไอดอล

แต่ใครจะรู้ว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ได้เจ้าตัวเองก็เคยผ่านประสบการณ์เลวร้ายจากการหักโหมลดน้ำหนักมาแล้ว ถึงขนาดส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตเพราะเอาความสุขทั้งชีวิตไปผูกติดกับตัวเลขบนตาชั่ง!?
ซึ่งเรื่องราวที่ว่านี้ ยิปซี คีรติ ได้ตัดสินใจนำมาถ่ายทอดผ่านคลิปวิดีโอบนอินสตาแกรม @gypsykeerati เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับหลายๆ คน พร้อมกับระบุแคปชั่นว่า "ขอฝาก ปสก. ของเราไว้ เป็นอีกทางเลือกนึงเพื่อประกอบการตัดสินใจ ของคนที่กำลังพยายามลดน้ำหนัก / ดูแลตัวเองนะคะ.. ถ้ารู้สึกว่าคลิปนี้น่าจะเป็นประโยชน์กับใคร ฝากแชร์กันน้า"

"แชร์ประสบการณ์การไดเอทจนกลายเป็นโรคทางจิตค่ะ โอเคทุกคนก็คือยิปอ่ะมีทำคลิปนึงไปก่อนหน้านะคะ ซึ่งเนื้อหาในคลิปนั้นได้มีการเมนชั่นเกี่ยวกับการที่ยิปไม่ชั่งน้ำหนัก ไม่คุมแคล อะไรก็ตามที่เป็นตัวเลขเป๊ะๆ ยิปก็พูดว่ายิปไม่เอา เพราะว่ายิปอ่ะเคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดีมาก่อน ซึ่งวันนี้ยิปก็จะมาพูดขยายความถึงประสบการณ์นั้นนั่นแหละ

ก็เอ่อ... ทุกคนก็สามารถที่จะไปกูเกิ้ลได้นะคะ คือคือมันเป็นอาการที่เรียกว่า Eating disorder นะคะ มันก็จะมีหลายประเภทมากเลย พวกแบบ Anorexia, Bulimia, Bing eating และเดี๋ยวนี้มันก็คงมีอะไรมาอีกเยอะมาก

ประสบการณ์ส่วนตัวของยิป อันนี้ก็คืออยากจะมาเล่าเพื่อที่จะเรียกว่าให้เป็นทางเลือกในการประกอบการตัดสินใจของคนที่กำลังไดเอท หรือพยายามที่จะดูแลรูปร่างตัวเองอยู่ละกัน

สิ่งที่เราเคยทำก็คือ งดแป้ง งดแบบงด ไม่ใช่ลดนะคะ งดแบบไม่กินแป้งเลย และก็อดข้าวเย็น ก็คือตั้งกฎนั่นแหละค่ะว่าหลัง 6 โมงฉันจะไม่กินอะไรแล้ว คุมแคล เมื่อก่อนตอนวัยรุ่นเคยคุมแล้ว พยายามที่จะแบบวันนึงต้องกินไม่เกิน 800-900 แคล หรือแม้กระทั่งมีช่วงหนึ่งตอนนั้นย้ายไปอยูอเมริกา และก็กลัวมากเพราะว่าแบบของที่อเมริกามีแต่ของอ้วน ชีส พิซซ่า ตอนนั้นก็เลยพยายามกินแต่แอปเปิ้ล และก็ผอมมาก คือป่วยแหละ

ทีนี้ช่วงที่มีอาการทางจิตเป็นยังไง ก็คือเมื่อก่อนยิปจะพยายามอดข้าวเย็น ออกกำลังกายหักโหมแบบหนักๆ คือเรียกได้ว่าเอาแบบเอาอะไรเข้าตัวน้อยที่สุด และก็ออกให้เยอะที่สุด เพื่อที่อยากที่จะชั่งน้ำหนัก ให้ตื่นมาแล้วแบบตัวเลขลดลง

สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นก็คือ จิตเรามันไปจดจ่อเกี่ยวกับว่า 'เฮ้ย วันพรุ่งนี้เช้าที่ฉันจะตื่นขึ้นมาแล้วเหยียบไปบนตาชั่งเลขจะลดลงมั้ย ถ้าฉันพยายามขนาดนี้' อย่างสมมติวันนี้ฉันอดอาหารแบบอย่างดีอ่ะ พรุ่งนี้มันต้องลดลงสิ แต่ทุกคนเชื่อป่ะ บางทีมันไม่ลด และแย่ไปกว่านั้นคือ บางวันข้าวเย็นก็ไม่ได้กิน แต่ตัวเลขมันเพิ่ม

ซึ่งพอมันมาถึงจุดนั้น มันก็เลยกลายเป็นจุดที่เราแบบ... คือเรากลายเป็นประสาทอ่ะ กลายเป็นเครียดมาก และด้วยความที่เราเป็นแบบ Perfectionist คือ คือเราอยากที่จะเอาชนะมัน เราก็เลยคิดไปว่า หรือเราต้องลดอาหารเพิ่ม หรือเราต้องออกกำลังกายเพิ่ม คือตอนนั้นมันแบบ Messed up! ไปหมดเลย แล้วก็นั่นแหละ ก็คือเป็นป่วย

ทั้งเรื่องของการทำอาหารกินเองทุกมื้อ กินคลีนแบบจัดๆ คือเราคิดว่าเราผ่านมาค่อนบ้างเยอะมากๆ ช่วงที่ทำอาหารกินเองทานคลีน มันก็จะมีปัญหาของการที่เราเข้าสังคมไม่ได้เลย เพราะเหมือนเรากลายเป็นคนกลัวอาหารปกติ ซึ่งนั่นมันไม่ใช่ความคิดที่ดีต่อสุขภ่พแล้วอ่ะ เพราะคนเรายังต้องได้ใช้ชีวิต ต้องได้ออกไปกินข้าวกับเพื่อน ต้องเข้าสังคมบ้าง คือช่วงนั้นเราเหมือนเรากลายเป็นว่าเราไม่อยากเข้าสังคม เวลาเพื่อนนัดเรารู้สึกอึดอัดเพราะเรารู้สึกว่าเราต้องไปกินอาหารข้างนอกที่มัน Out of my comfort zone ไม่ใช่อาหารที่เรารู้สึกว่าปลอดภัย เพราะเราควบคุมไม่ได้

สุดท้ายก็คือ ทำไม่ได้ ก็คือเคยโยโย่เพราะว่ากินคลีนจัดๆ ด้วยนะ ร่างกายเรามันช็อก เหมือนพอเรากินคลีนสะอาดมากเลยโนโซเดียมอะไรก็ตาม แต่พอกินอาหารปกติแค่ไม่กี่มื้อ... บวม โยโย่ขึ้นมาเลย
เราก็เลยรู้สึกว่า โอเค อะไรก็ตามที่มันเป็นวิถีชีวิตที่สุดโต่งจนเกินไป อะไรก็ตามที่ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่สามารถที่จะทำสิ่งนี้ไปได้ตลอดชีวิตจริงๆ เราว่าอย่าทำเลย อะไรก็ตามที่สร้างความกดดันหรือความเครียดให้กับร่างกายมากเกินไป เราไม่ค่อยแนะนำ

มีคน DM มาเรื่องนี้เยอะมาก 'พี่ยิปต้องกินนั่นเท่าไหร่ ต้องโปรตีนเท่าไหร่ แคลเท่าไหร่ ' คือมันทำให้เรารู้แหละว่า โอเค คนยุคปัจจุบันนี้สนในเรื่องการดูแลตัวเอง ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าเป็นไปได้เราก็ไม่อยากให้เขาจะต้องมาอยู่ในจุดที่เราเคยอยู่ ซึ่งมันไม่ใช่จุดที่ดีเลยอ่ะทุกคน

เราใช้เวลานานมากกว่าที่จะก้าวออกมาจากจุดนั้นได้ กว่าจะตัดใจแล้วโยนเครื่องชั่งน้ำหนักทิ้ง เพราะว่าเราติดมาก ติดดูตัวเลขมาก ทุกเช้าถ้าเหยียบขึ้นไปแล้วเลขไม่ได้เป็นแบบที่ตัวเองพอใจเราร้องไห้นะ วันนั้นทั้งวันไม่มีความสุข เริ่มต้นทั้งวันไม่มีความสุขเลยเพราะว่าตัวเลขไม่ใช่แบบที่เราต้องการ
เราไม่อยากให้ความสุขของคุณมันมาถูกกำหนดเอาไว้ด้วยตัวเลขบนตาชั่ง หรือแม้กระทั่งรูปร่างหรืออะไรก็ตาม หาจุดสมดุลให้ดี เลือกอะไรที่เหมาะกับร่างกายของตัวเองจริงๆ และสุดท้ายดูแลสุขภาพจิตของตัวเองด้วย สำคัญมากๆ นะคะ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top