Saturday, 5 July 2025
อรวดี ศิริผดุงธรรม

‘ตลาดประกันภัยไทย’ ยังเติบโตต่อเนื่อง อานิสงส์คนตื่นตัวหลัง ‘โควิด-19’ ระบาด

ประกันชีวิตในยุคนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนแทบจะขาดไม่ได้ เพราะประกันชีวิตก็เป็นเหมือนการวางแผนทางการเงินรูปแบบหนึ่งที่จะทำให้เรามั่นใจได้ว่าถ้ามีอะไรที่ไม่คาดเกิดขึ้นกับเรา คนที่เรารักก็จะไม่ต้องลำบากแถมยังมีเงินสำหรับใช้ในการรักษาพยาบาล ด้วยเหตุนี้เองตลาดประกันในไทยจึงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องค่ะ

โดยได้มีการคาดการณ์การเติบโตในปี 2024 ไว้ว่าตลาดประกันวินาศภัยจะเติบโตประมาณ 4.1% ในปีนี้ และมีเบี้ยประกันภัยรวมคาดว่าจะถึง 310.9 พันล้านบาท ส่วนตลาดประกันชีวิตก็มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 3.6% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ  

โดยการเติบโตนี้มาจาก
• Bancassurance หรือการขายผ่านธนาคารเป็นช่องทางที่มีการเติบโตสูงสุด คิดเป็น 6.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีสัดส่วนตลาดอยู่ที่ 44.5% 
• ช่องทาง Broker มีอัตราการเติบโตสูงสุดที่ 15.6% ส่วนหนึ่งมาจากการโยกย้ายกลุ่มประกันที่มีอยู่แล้วระหว่างบริษัทมากกว่าการได้ลูกค้าใหม่ 

ในส่วนของผลิตภัณฑ์มีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนจาก แผนการออม ไปสู่ ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ ซึ่งมีการเติบโตของยอดขายที่ 48.5% ประกันสุขภาพ มีการเติบโตปานกลางที่ 4.1% ซึ่งอาจเกิดจากการตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพที่เพิ่มขึ้นหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 

และจากข้อมูลเดือนตุลาคม 2024 ตลาดประกันชีวิตในประเทศไทยเองยังคงมีการกระจุกตัวสูง โดยมีบริษัทประกันชั้นนำที่ครองส่วนแบ่งตลาดอย่างมีนัยสำคัญจะประกอบไปด้วย

1. AIA เป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งประมาณ 25.6% โดยคงตำแหน่งนี้ไว้ได้จากเครือข่ายตัวแทนที่กว้างขวางมากกว่า 50,000 คน การเป็นพันธมิตรด้าน Bancassurance ที่แข็งแกร่ง และการเป็นผู้นำในผลิตภัณฑ์สำคัญ เช่น ประกันสุขภาพ ประกันชีวิตแบบ Unit-Linked และการประกันภัยเสริม 

2. ไทยประกันชีวิต (TLI) ตามมาเป็นอันดับสองด้วยส่วนแบ่งตลาดอยู่ระหว่าง 20% ถึง 22% โดยจุดแข็งอยู่ที่ผลิตภัณฑ์การออมและการมีเครือข่ายตัวแทนที่มั่นคง รวมถึงการเป็นพันธมิตร Bancassurance ที่มีประสิทธิภาพ ความมั่นคงทางการเงินที่สูงของบริษัทช่วยเสริมความแข็งแกร่งในการแข่งขันในตลาด

3. เมืองไทยประกันชีวิต มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 10-15% โดยได้รับความนิยมในด้านประกันสุขภาพและประกันกลุ่ม ด้วยเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่งและการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า

4. FWD ประกันชีวิต มีส่วนแบ่งตลาดใกล้เคียงกันที่ 10-15% โดยมุ่งเน้นการสร้างนวัตกรรมดิจิทัลและการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่คำนึงถึงลูกค้าเพื่อสร้างความแตกต่างจากผู้ให้บริการประกันภัยแบบดั้งเดิม 

5. กรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิต และ กรุงเทพประกันชีวิต เป็นคู่แข่งสำคัญที่มีส่วนแบ่งตลาดเล็กกว่าแต่กำลังเติบโต โดยขยายตลาดผ่านผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเป้าหมายและการใช้ช่องทาง Bancassurance เพื่อลูกค้าเข้าถึงได้มากขึ้น

และนอกจากประกันชีวิตแล้ว กลุ่มที่มีความโดดเด่นอื่นๆก็ประกอบไปด้วย
• ประกันภัยรถยนต์: เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนใหญ่ที่สุด โดยคิดเป็นประมาณ 53.8% ของตลาดประกันวินาศภัย การเติบโตในกลุ่มนี้ได้รับแรงหนุนจากการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น 

• ประกันสุขภาพ: การประกันภัยส่วนบุคคลและอุบัติเหตุซึ่งคิดเป็นประมาณ 17.3% ของตลาดกำลังเติบโตเนื่องจากการตระหนักถึงสุขภาพที่เพิ่มขึ้นและค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ที่สูงขึ้น คาดว่ากลุ่มนี้จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 4.2% ตั้งแต่ปี 2024 ถึง 2028 และ

• ประกันภัยทรัพย์สิน: โดยมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 18.8% ประกันภัยทรัพย์สินกำลังเติบโต โดยได้รับการสนับสนุนจากการขยายตัวในโครงการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ คาดว่ากลุ่มนี้จะเติบโต 9.4% ในปี 2024  ค่ะ    

เจาะตลาด ‘ซอส-เครื่องปรุงรส’ ธุรกิจที่สร้างผลกำไรมหาศาลทั่วโลก คาด!! ในปี 2029 จะมีมูลค่าสูงถึง 226.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

(15 ต.ค. 67) รู้กันไหมว่าในปี 2024 มูลค่าตลาดซอส เครื่องปรุงรส และน้ำสลัดทั่วโลกคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึงประมาณ 171.58 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตถึง 226.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2029 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 5.74% ความต้องการซอสและเครื่องปรุงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากความนิยมในการบริโภคอาหารชาติพันธุ์ที่เพิ่มขึ้น เช่น อาหารไทย เม็กซิกัน และตะวันออกกลาง นอกจากนี้ การขยายตัวของการบริโภคซอสสำเร็จรูปในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ และยุโรปก็มีส่วนช่วยขับเคลื่อนตลาดนี้ด้วย

โดยในไทยเองตลาดซอสและเครื่องปรุงในประเทศไทยคาดว่าจะมีมูลค่า 2.06 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2024 และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 5.17% ระหว่างปี 2024-2029 สินค้าหลักที่มีการบริโภคมากในตลาดไทยได้แก่ ซอสพริก ซอสมะเขือเทศ และซอสถั่วเหลือง การเติบโตของตลาดยังได้รับแรงผลักดันจากการเพิ่มขึ้นของประชากรในเมืองและความนิยมในอาหารชาติพันธุ์ รวมถึงการส่งออกซอสไทยไปยังตลาดต่างประเทศ เช่น ซอสพริกและน้ำปลาด้วย ไปดูกันว่า 3 บริษัทที่ผลิตซอสยักษ์ใหญ่ของโลก และอีก 3 บริษัทของไทยที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีบริษัทอะไรกันบ้าง นี่คือรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัทที่ผลิตซอสที่คุณถามถึง รวมถึงบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย ชื่อบริษัท ตลาดหุ้นที่จดทะเบียนมูลค่าทางการตลาด (พันล้านเหรียญ)    จุดเด่น McCormick & Company NYSE 22.15 

- Frank’s RedHot ซอสพริกยอดนิยมที่ใช้ในการทำปีกไก่ Buffalo และอาหารเม็กซิกัน 
-French’s ซอส Worcestershire และ Buffalo Sauce                                                                                        Kraft Heinz Company NASDAQ 42.58 - Heinz Ketchup
- Heinz BBQ Sauces
- Heinz Mayonnaise
Campbell Soup Company NYSE 14.21 - Prego: ซอสพาสต้าชั้นนำ มีหลากหลายรสชาติ ตั้งแต่ซอสมะเขือเทศแบบดั้งเดิมไปจนถึงซอส Alfredo
- Pace: แบรนด์ซัลซ่าชั้นนำที่มีซอสเม็กซิกันและดิปส์ที่มีรสชาติเข้มข้น

ส่วนอีก 3 บริษัทผลิตซอสที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย

1.บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) (XO) บริษัทนี้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารและซอสสำเร็จรูป ส่งออกไปยังหลายประเทศทั่วโลก ผลิตภัณฑ์ของ XO รวมถึงซอสต่างๆ เช่น ซอสพริก น้ำจิ้มไก่ ซอสมะเขือเทศ และผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสอื่นๆ ที่เป็นที่นิยมในตลาดต่างประเทศ โดยปัจจุบัน XO มีมูลค่าทางการตลาด อยู่ที่ 10.2 พันล้านบาท
2.บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (OISHI)
โออิชิเป็นผู้นำด้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทย รวมถึงผลิตภัณฑ์ซอส เช่น ซอสเทอริยากิ และ ซอสถั่วเหลือง ที่ใช้ในร้านอาหารญี่ปุ่นและครัวเรือน โดยปัจจุบัน OISHI มีมูลค่าทางการตลาดราวๆ 20.08 พันล้านบาท โดยรวมในส่วนของการขายเครื่องดื่มด้วยค่ะ
3.บริษัท ไทยเทพรส จำกัด (มหาชน) (SAUCE)
ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสอาหาร ภายใต้เครื่องหมายการค้า ภูเขาทอง ประกอบด้วยซอสปรุงรส ซอสพริก น้ำส้มสายชูกลั่น ซอสมะเขือเทศ ซอสพริกผสมมะเขือเทศ ซอสหอยนางรม ซีอิ๊วขาว ซอสผง ซีอิ๊วผง ซอสพริก ตราศรีราชาพานิช และซีอิ๊วญี่ปุ่น ตรา คินซัน นอกจากนี้ยังผลิตตามเครื่องหมายการค้าของลูกค้าด้วย โดยมูลค่ทางการตลาดตอนนี้อยู่ที่ราวๆ 14.31 พันล้านบาท

เปิดประวัติ ‘แชร์ลูกโซ่’ มีมาแล้ว กว่าร้อยปี เริ่มต้นที่ ‘อเมริกา’ ขายฝัน!! ‘รวยเร็ว-รวยง่าย’ แต่สุดท้าย ไม่เหลืออะไรเลย

(14 ต.ค. 67) ในช่วงนี้มีข่าวการใช้การตลาดหลายรูปแบบในการหลอกเงินประชาชน ทำให้มีหลายคนนึกโยงเข้ากับเรื่องราวของแชร์ลูกโซ่ ซึ่งแชร์ลูกโซ่เป็นรูปแบบหนึ่งของการฉ้อโกงทางการเงินที่มีลักษณะการชักชวนผู้ลงทุนรายใหม่เพื่อให้เข้ามาลงทุนในธุรกิจหรือแผนการลงทุนที่สัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูง โดยเงินที่ได้จากผู้ลงทุนรายใหม่จะถูกนำมาใช้เป็นเงินปันผลให้กับผู้ลงทุนรายก่อนหน้า ซึ่งมักจะถูกทำให้เชื่อว่าเป็นกำไรจากการดำเนินธุรกิจจริง ทั้งที่ในความเป็นจริงนั้นกลับไม่มีธุรกิจหรือแผนการลงทุนจริงเกิดขึ้น
โดยลักษณะการทำงานของแชร์ลูกโซ่จะเริ่มต้นโดย

1.ผู้ก่อตั้งแชร์ลูกโซ่มักจะเริ่มต้นโดยเสนอแผนการลงทุนหรือธุรกิจที่มีผลตอบแทนสูงกว่าปกติ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ใด ๆ เช่น หุ้น ทองคำ หรือสินค้า
2.การชักชวนสมาชิกใหม่ โดยผู้ที่ลงทุนก่อนหน้านี้จะได้รับเงินปันผลหรือผลตอบแทนจากเงินที่มาจากผู้เข้าร่วมใหม่ ซึ่งทำให้ผู้ลงทุนเชื่อว่าเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนจริง
3.การขยายไลน์ธุรกิจ ผู้ลงทุนจะถูกกระตุ้นให้ชักชวนคนอื่นมาร่วมลงทุนเพื่อเพิ่มผลกำไร ซึ่งเป็นรูปแบบการขยายตัวอย่างรวดเร็ว
และ 
4.เมื่อไม่มีผู้ลงทุนรายใหม่เข้าร่วมแล้ว ระบบแชร์ลูกโซ่จะล่มสลาย และผู้ที่ลงทุนในช่วงท้ายจะไม่สามารถถอนเงินหรือได้รับผลตอบแทนใด ๆ เนื่องจากไม่มีเงินจากผู้ลงทุนรายใหม่เข้ามา

แชร์ลูกโซ่เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงปี 1920 โดยชาร์ลส์ ปอนซี (Charles Ponzi) เป็นผู้ริเริ่ม ซึ่งชาร์ลส์ใช้วิธีการหลอกลวงผู้ลงทุน โดยอ้างว่าจะนำเงินไปลงทุนในธุรกิจแลกเปลี่ยนไปรษณีย์ระหว่างประเทศที่สามารถทำกำไรได้สูง ผลตอบแทนที่จ่ายให้กับผู้ลงทุนก่อนหน้านั้นมาจากเงินของผู้ลงทุนรายใหม่ ไม่ใช่จากผลกำไรที่เกิดขึ้นจริง การหลอกลวงของชาร์ลส์ ดำเนินไปได้เพราะผู้ลงทุนเริ่มแรกได้รับผลตอบแทนสูงจนสามารถชักชวนคนอื่นให้เข้ามาลงทุนต่อได้ แต่ในที่สุดระบบก็ล่มสลายเมื่อไม่มีผู้ลงทุนใหม่เข้ามาแล้ว
และถ้าเราจำกันได้ ในไทยเองมีเคสของแชร์ลูกโซ่ที่ดังและสร้างมูลค่าความเสียหายให้กับคนไทยจำนวนมาก และนี่คือ 3 อันดับแชร์ลูกโซ่ครั้งใหญ่ในประเทศไทยที่สร้างความเสียหายสูงสุด

1.ยูฟัน (UFUN) (2558)
-มูลค่าความเสียหาย: ประมาณ 38,000 ล้านบาท
-รายละเอียด: ยูฟันเป็นแชร์ลูกโซ่ข้ามชาติที่หลอกลวงประชาชนโดยอ้างว่าเป็นแพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ที่ใช้เหรียญ ‘ยูโทเคน’ (UToken) ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลปลอม ผู้เสียหายจำนวนมากสูญเสียเงินลงทุนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ทำให้เป็นหนึ่งในแชร์ลูกโซ่ที่มีมูลค่าความเสียหายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย
2. แชร์แม่ชม้อย (2527)
-มูลค่าความเสียหาย: ประมาณ 4,043 ล้านบาท
-รายละเอียด: เป็นคดีแชร์ลูกโซ่ที่เริ่มต้นจากการชักชวนให้ประชาชนเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจที่อ้างว่าจะให้ผลตอบแทนสูง ผู้เสียหายหลายหมื่นรายสูญเสียเงินจำนวนมหาศาลในคดีนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในคดีแรก ๆ ที่ได้รับความสนใจอย่างมากในสังคมไทย
3. Forex-3D (2562)
-มูลค่าความเสียหาย: ประมาณ 2,489 ล้านบาท
-รายละเอียด: Forex-3D เป็นคดีแชร์ลูกโซ่ที่ใช้ชื่อเสียงของคนดังในการชักชวนให้ผู้คนลงทุนในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โดยสัญญาว่าจะได้รับผลตอบแทนสูงถึง 60-80% สุดท้ายพบว่าเป็นการหลอกลวงที่ไม่มีการเทรดจริง

ไม่ว่าการลงทุนอะไรก็ตาม ผลตอบแทนที่มากจนเกินไปมักไม่มีอยู่จริง ดังนั้นก่อนจะลงทุนอะไรก็ตามเราเองก็ควรศึกษาการลงทุนนั้นอย่างละเอียด และตรวจสอบความน่าเชื่อถือของบริษัทที่เราจะเข้าไปลงทุน

‘โอ๋ อรวดี’ พาสำรวจสมรภูมิชิงตำแหน่ง ปธน.สหรัฐฯ พบเงินสะพัด 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ทุ่มซื้อโฆษณาไม่อั้น!!

(10 ต.ค. 67) อีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญสำหรับปีนี้คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายนปีนี้ค่ะ ซึ่งถือเป็นการเลือกตั้งครั้งที่ 60 โดยครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งที่สำคัญมาก เพราะจะเป็นการกำหนดทิศทางของนโยบายเศรษฐกิจ สังคม และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในอนาคตเลยค่ะ 

สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ ทั้ง Donald Trump และ Kamala Harris ต่างมีนโยบายที่แตกต่างกันอย่างมากในด้านการจัดการเศรษฐกิจ เช่น นโยบายการลดภาษีของ Trump และการเพิ่มภาษีสำหรับผู้มั่งคั่งของ Harris ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชาวอเมริกันหลายล้านคน

ในด้านค่าใช้จ่ายในการหาเสียงสำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2024 ก็มีตัวเลขแสดงให้เห็นว่าได้พุ่งสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยมีการคาดการณ์ว่าการหาเสียงในระดับรัฐบาลกลางครั้งนี้จะใช้เงินมากถึง 16 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งทำลายสถิติจากการเลือกตั้งปี 2020 ที่ใช้ไป 15.1 พันล้านดอลลาร์ 

>>>ผู้สมัคร ปธน. หาเงินมาจากไหน???

โดยสาเหตุหลักของการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้มาจากการระดมทุนจาก Super PACs และการใช้จ่ายจากองค์กรที่ไม่แสดงที่มาของเงินบริจาค ซึ่งทุ่มงบประมาณอย่างมหาศาลเพื่อการโฆษณา การรณรงค์หาเสียง และการส่งจดหมายหาเสียงค่ะ ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งมหาศาลนี้แบ่งแยกย่อยออกมาได้เป็น 

1. การใช้จ่ายของ Super PACs: กลุ่มภายนอกอย่าง Super PACs คาดว่าจะใช้จ่ายในระดับที่มากกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าการเลือกตั้งปี 2020 ที่ใช้ไปทั้งหมด 3.3 พันล้านดอลลาร์ 
2. การระดมทุนของผู้บริจาครายใหญ่: 10 ผู้บริจาครายใหญ่บริจาคเงินรวมกว่า 599 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็น 7% ของการระดมทุนทั้งหมดในระดับรัฐบาลกลาง
3. การสนับสนุนจาก Super PACs ฝั่งพรรครีพับลิกัน: โดยในรอบนี้ผู้บริจาครายใหญ่ทั้งหมดที่ติดอันดับท็อป 5 พากันสนับสนุนพรรครีพับลิกัน ซึ่งทำให้พรรครีพับลิกันได้เปรียบในการใช้จ่ายจากกลุ่มภายนอกกว่าอีกฝ่ายค่ะ 

4. การระดมทุนของ Kamala Harris: แคมเปญของ Kamala Harris ระดมทุนได้ถึง 1 พันล้านดอลลาร์ ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน 2024 เพียงลำพัง นับว่าเป็นจำนวนที่สูงมากเมื่อเทียบกับการระดมทุนในอดีตของผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต
5. ค่าใช้จ่ายต่อผู้สมัคร: ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของผู้สมัครในสภาผู้แทนราษฎรอยู่ที่ 2.4 ล้านดอลลาร์ ต่อคนในปี 2020 ซึ่งสูงกว่าปี 2008 ที่ใช้เพียง 1.4 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ผู้สมัครวุฒิสมาชิกต้องใช้เงินเฉลี่ยถึง 27.2 ล้านดอลลาร์ ในปี 2020 เพิ่มขึ้นจาก 8.5 ล้านดอลลาร์ ในปี 2008 

>>>งบโฆษณาออนไลน์พุ่ง

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ มีการใช้เงินจำนวนมากในการโฆษณาและการรณรงค์ในรูปแบบดิจิทัล เนื่องจากการเข้าถึงผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทางออนไลน์กลายเป็นส่วนสำคัญของการหาเสียง ข้อมูลจากหลายฝ่ายแสดงให้เห็นว่าค่าใช้จ่ายในการโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัลเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับการเลือกตั้งครั้งก่อน เนื่องจากการแข่งขันที่ดุเดือดในการครอบครองพื้นที่สื่อสังคมออนไลน์ เช่น Facebook, YouTube, และ Google 

ส่วนเราคนไทยก็ต้องจับตามองการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างใกล้ชิดค่ะ เพราะไม่ว่าใครจะได้มาเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ ก็จะส่งผลต่อการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศเราอย่างแน่นอนค่ะ 

เมื่อ iPhone ไม่ใช่แค่มือถือล้ำยุค ทำความรู้จักกับ iPhone Index ดัชนีที่จะอธิบายว่าทำไมราคา iPhone ในเเต่ละประเทศถึงไม่เท่ากัน 

(7 ต.ค. 67) เคยสงสัยกันไหมคะว่าทำไมราคาของ iPhone รุ่นล่าสุดในแต่ละประเทศนั้นไม่เท่ากันเลย ทั้งๆ ที่มันเป็นสินค้าที่ผลิตและจัดจำหน่ายโดยบริษัทเดียวกัน และทุกเครื่องก็มีฟังก์ชันเหมือนกันทุกประการ เช่น ที่ สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ iPhone ราคาของ iPhone 16 อยู่ที่ประมาณ $1,000 ดอลลาร์ ที่สวิสเซอร์แลนด์กลับอยู่ที่ราวๆ เกือบ $1,400 ดอลลาร์เพียงเพราะสกุลเงินฟรังก์สวิส มีมูลค่ามากกว่าดอลลาร์สหรัฐ ส่วนที่อินเดียกลับวางขายอยู่ที่ประมาณ $1,300 ดอลลาร์

นี่คือจุดเริ่มต้นของแนวคิดที่พัฒนาขึ้นโดยนักวิเคราะห์การเงินและเทคโนโลยีหลายคน ซึ่งได้นำเสนอในสื่อต่างๆ เช่น The Economist เพื่อเปรียบเทียบความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ (Purchasing Power Parity - PPP) ในประเทศต่างๆ โดยใช้ราคาของ iPhone เป็นตัวชี้วัด และ iPhone เป็นผลิตภัณฑ์สำคัญจาก Apple ซึ่งถูกขายในกว่า 100 ประเทศ ความสม่ำเสมอของมาตรฐานในแต่ละตลาดทำให้ iPhone เป็นเครื่องมือที่ดีในการเปรียบเทียบความแตกต่างของราคาทั่วโลก

iPhone Index มักจะถูกมองว่าเป็นภาพสะท้อนของสภาวะเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะเรื่องของ นโยบายภาษี อัตราแลกเปลี่ยน และความแข็งแรงของสกุลเงินท้องถิ่น ประเทศที่มีราคา iPhone สูงมักจะบ่งบอกถึงค่าเงินที่อ่อนหรือภาษีที่สูง ในขณะที่ประเทศที่มีราคาต่ำกว่าอาจสะท้อนถึงกำลังซื้อที่สูงขึ้น ราคาของ iPhone ในแต่ละประเทศจึงไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ของมูลค่าสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่มันยังสะท้อนถึงปัจจัยต่างๆ เช่น

- ภาษีนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): ในบางประเทศ เช่น อินเดียและบราซิล ภาษีนำเข้าและ VAT ทำให้ราคาของ iPhone สูงกว่าที่อื่นมาก ในขณะที่ประเทศอย่างสหรัฐฯ มีภาษีต่ำกว่า ทำให้ราคาถูกกว่า ทำให้ประเทศอย่างบราซิลเป็นประเทศที่มีราคาของ iPhone สูงที่สุดในโลก เนื่องจากภาษีนำเข้าที่สูงมาก ซึ่งอาจสูงถึง 60% ของมูลค่าเครื่อง รวมถึง VAT ด้วย ส่งผลให้ iPhone ในบราซิลมีราคาแพงกว่าสหรัฐฯ ถึง 2 เท่า

- ค่าครองชีพและกำลังซื้อของประชาชน: ในประเทศที่ค่าครองชีพสูง เช่น สวิตเซอร์แลนด์และญี่ปุ่น ราคาสินค้าก็จะสูงขึ้นตาม เพราะคนในประเทศเหล่านี้มีกำลังซื้อที่สูงกว่า รวมถึง Apple เองก็มักจะปรับราคาของ iPhone ในตลาดต่างๆ ตามภาวะเศรษฐกิจท้องถิ่น 

- การปรับอัตราแลกเปลี่ยน: ค่าเงินของแต่ละประเทศมีผลต่อราคาของสินค้าโดยตรง เช่น หากค่าเงินของประเทศหนึ่งมีมูลค่าต่ำกว่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ราคาของ iPhone เมื่อแปลงเป็นสกุลเงินท้องถิ่นจะสูงขึ้น เช่น หากเงินปอนด์ของอังกฤษหรือเงินเยนของญี่ปุ่นอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ iPhone จะมีราคาสูงขึ้นในประเทศเหล่านั้น ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นสินค้าระดับโลกที่มีความอ่อนไหวต่อการเคลื่อนไหวของสกุลเงิน

iPhone Index ถูกนำมาใช้งานก็จริงแต่ก็เป็นไปในแง่มุมขำขันเพื่อใช้เป็นวิธีการวิเคราะห์เศรษฐกิจแบบซับซ้อนให้สามารถเข้าใจได้ง่ายๆ ผ่านสินค้าที่คนรู้จักและใช้งานทุกวัน แม้ว่าตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจอย่าง GDP และ CPI จะให้ข้อมูลเชิงกว้างเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ แต่ iPhone Index ให้ข้อมูลในระดับผู้บริโภคที่แสดงให้เห็นถึงการค้าโลก ภาษี และความผันผวนของสกุลเงิน ความเรียบง่ายของมันทำให้เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและเข้าใจง่ายในการมองเห็นความแตกต่างของกำลังซื้อทั่วโลก

แม้ว่ามันจะไม่ใช่การวัดทางวิทยาศาสตร์ที่แม่นยำและเเน่นอนที่สุด เพราะในหลายประเทศ iPhone ถือเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยมันจึงไม่ได้สะท้อนรูปแบบการบริโภคในชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่ 

ดังนั้นมันอาจไม่สามารถใช้เป็นเครื่องมือเปรียบเทียบค่าครองชีพได้อย่างตรงไปตรงมา เเละราคาของ iPhone อาจเปลี่ยนแปลงตามโปรโมชั่น การอุดหนุนจากผู้ให้บริการโทรศัพท์ และการแข่งขันในท้องถิ่น ซึ่งอาจทำให้ดัชนีนี้ถูกบิดเบือนได้ 

อีกทั้งในบางประเทศ Apple อาจถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของการบ่งบอกสถานะ ทำให้ราคาสูงขึ้นจากกลยุทธ์การตั้งราคาพรีเมียมในตลาดที่ผู้บริโภคพร้อมจะจ่ายมากขึ้นเพื่อซื้อแบรนด์ที่มีมูลค่า แต่มันก็เป็นวิธีที่สนุกที่นักเศรษฐศาสตร์ใช้เพื่ออธิบายเศรษฐกิจโลกค่ะ

เปิดพอร์ต 'Man U' VS 'Spur' ในโลกแห่งการลงทุน 5 แพลตฟอร์มเด่น โกยรายได้สู่สโมสรขนานโม่แข้ง

คืนวันที่ 29 ก.ย.67 ที่ผ่านมาตามเวลาอังกฤษได้มีการแข่งขันฟุตบอลแมตช์สำคัญระหว่าง 'ผีแดง' แมนเซสเตอร์ ยูไนเต็ด และ 'ไก่เดือยทอง' ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่ผลการแข่งขันออกมา 0-3 ประตู ในเกมส์ว่าเดือดแล้ว ในโลกการลงทุนของทั้งสองทีมนี้ก็เดือดไม่แพ้กันค่ะ 

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (Man Utd) และท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ (Tottenham Hotspur) เป็นสองสโมสรฟุตบอลยักษ์ใหญ่จากพรีเมียร์ลีกอังกฤษที่มีศักยภาพ โดยแต่ละสโมสรก็มีลักษณะเด่นและช่องทางการลงทุนที่แตกต่างกันโดยแยกออกมาได้เป็น 5 หัวข้อ ดังนี้ค่ะ...

1.การลงทุนในหุ้นของสโมสร

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มีการเปิดขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) ภายใต้ตัวย่อ 'MANU' ทำให้นักลงทุนสามารถซื้อขายหุ้นและเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของสโมสรได้ การซื้อขายหุ้นของแมนยูนั้นเป็นที่นิยมสำหรับนักลงทุนทั่วโลกที่สนใจในอุตสาหกรรมกีฬา โดยราคาหุ้นของแมนยูอาจได้รับอิทธิพลจากผลงานการแข่งขันและรายได้จากการขายสินค้าและสปอนเซอร์ ในทางกลับกันสเปอร์ยังไม่มีการเปิดขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้นักลงทุนไม่สามารถซื้อหุ้นได้โดยตรง แต่การลงทุนที่เกี่ยวข้องอาจผ่านทางบริษัท ENIC Group ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของสโมสรแทน

2.การลงทุนในสนามกีฬา

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มีสนามโอลด์ แทรฟฟอร์ดเป็นหนึ่งในสนามที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดในโลก การลงทุนในธุรกิจรอบสนาม เช่น ร้านอาหาร, โรงแรม, และร้านขายสินค้าที่ระลึก จะได้รับผลประโยชน์จากการที่แฟนบอลเข้าชมการแข่งขันเป็นจำนวนมากทุกฤดูกาล ส่วน Tottenham Hotspur Stadium เป็นสนามใหม่ที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในโลก มีความสามารถในการจัดอีเวนต์ขนาดใหญ่ เช่น การแข่งขัน NFL จากอเมริกา นอกจากฟุตบอลแล้ว สถานที่นี้ยังสร้างโอกาสในการลงทุนในธุรกิจบันเทิงและกิจกรรมต่างๆ อีกด้วย

3.การลงทุนในแบรนด์และลิขสิทธิ์สินค้า

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มีสินค้าลิขสิทธิ์ที่ขายทั่วโลก เช่น เสื้อทีม, หมวก, และอุปกรณ์กีฬาต่าง ๆ การลงทุนในธุรกิจที่เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าเหล่านี้สามารถสร้างรายได้ในระยะยาว เนื่องจากแมนยูมีฐานแฟนบอลทั่วโลก ส่วนท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์เองก็มีการขายสินค้าที่ได้รับความนิยมเช่นกันค่ะ โดยเฉพาะสินค้า Nike ที่เป็นผู้สนับสนุนเสื้อแข่ง การลงทุนในสินค้าลิขสิทธิ์ของสเปอร์สเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการสร้างรายได้จากการเติบโตของแบรนด์

4.การลงทุนในพันธมิตรทางธุรกิจและสปอนเซอร์

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มีพันธมิตรทางธุรกิจมากมาย เช่น Adidas, TeamViewer, และบริษัทระดับโลกอื่นๆ การลงทุนในบริษัทเหล่านี้สามารถสร้างรายได้ทางอ้อมจากความสำเร็จของสโมสร ส่วนท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์มีสปอนเซอร์หลักคือ AIA บริษัทประกันชีวิตขนาดใหญ่ รวมถึง Nike ที่เป็นพันธมิตรทางการตลาด และ

5.การลงทุนใน e-Sports และสื่อดิจิทัล

เนื่องจากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มีฐานแฟนบอลทั่วโลกที่เชื่อมโยงผ่านสื่อดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย การลงทุนในแพลตฟอร์มดิจิทัล หรือการถ่ายทอดสดออนไลน์ อาจช่วยขยายการเข้าถึงฐานแฟนบอลและสร้างรายได้ในอนาคตส่วนท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์เองเริ่มมีการเข้าสู่โลก e-Sports เช่นเดียวกับทีมใหญ่ทีมอื่นๆ การลงทุนในแพลตฟอร์มเกมหรือการสตรีมมิ่งการแข่งขันฟุตบอลเสมือนจริงสามารถสร้างรายได้จากวงการที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วค่ะ 

ทั้งแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ต่างก็เป็นโอกาสในการลงทุนที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมกีฬา ขณะที่แมนยูมีช่องทางการลงทุนที่หลากหลายผ่านตลาดหุ้นและการเป็นสโมสรระดับโลก สเปอร์สก็ไม่ได้น้อยหน้าค่ะ ด้วยโครงสร้างสนามกีฬาทันสมัยและการขยายตัวในวงการบันเทิง ทำให้นักลงทุนอย่างพวกเราสามารถเลือกลงทุนตามความเหมาะสมของตนเองและสอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจของทั้งสองทีมค่ะ 

🟢สรุปหนังสือเศรษฐศาสตร์เล่มเดียวอยู่ (ฉบับปรับปรุงใหม่) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (Part 4)

📌หนังสือ 'เศรษฐศาสตร์เล่มเดียวอยู่' จากธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) ได้อธิบายเรื่องการวัดว่าเศรษฐกิจของเราเติบโตได้ขนาดไหน โดยเราจะวัดจาก...

>>GDP ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product) คือมูลค่าของสินค้าหรือบริการทั้งหมดที่ประเทศหนึ่งผลิตได้ในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งประกอบไปด้วย รายจ่ายเพื่อการบริโภคของประชาชน รายจ่ายเพื่อการลงทุนของภาคเอกชน รายจ่ายของรัฐบาล มูลค่าการส่งออกสุทธิ 
เงินเฟ้อ

>>อัตราเงินเฟ้อ (Inflation) เงินเฟ้อคือสิ่งที่ทำให้มูลค่าของเงินลดลง ส่งผลให้สินค้ามีราคาแพงขึ้นและกำลังซื้อของประชาชนลดลงโดยการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคจะทำไปเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของเศรษฐกิจโดยรวมที่ตั้งไว้ ซึ่งประกอบไปด้วย 

>>นโยบายการคลัง (Fiscal Policy) รัฐบาลของแต่ละประเทศจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้จ่ายเงินกับโครงการสาธารณะ หรือเก็บภาษีเพื่อลดเงินหมุนเวียนในระบบ ซึ่งนโยบายต่างๆมักจะใช้กระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงซบเซา

>>นโยบายการเงิน (Monetary policy) ธนาคารกลางใช้การปรับอัตราดอกเบี้ยหรือปริมาณเงินในระบบเพื่อควบคุมเศรษฐกิจ เช่น ลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการลงทุน ซึ่งสามารถทำได้ทั้งแบบผ่อนคลายในช่วงเศรษฐกิจซบเซา และตึงตัวในช่วงที่เศรษฐกิจร้อนแรงจนเกินไป และยังมีเรื่องเพิ่มเติมที่น่าสนใจ เช่น

>>การค้าระหว่างประเทศ (International Trade) ประเทศต่าง ๆ มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในการผลิตสินค้าที่แตกต่างกัน เช่น การผลิตรถยนต์ในญี่ปุ่น หรือการผลิตนาฬิกาในสวิตเซอร์แลนด์ การที่แต่ละประเทศมีข้อได้เปรียบทางด้านต้นทุนและเทคโนโลยีทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างกัน จะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง 

>>การออมและการลงทุนในเศรษฐกิจ (Savings and Investment in the Economy) การออมเงินและการลงทุนเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจเติบโต การออมสามารถสร้างเสถียรภาพให้กับเศรษฐกิจในระยะยาว และยังช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินสำหรับอนาคต โดยเฉพาะในสังคมสูงวัยที่การออมเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการเตรียมตัวรับมือกับการเกษียณ 

>>เสถียรภาพของระบบการเงิน (Financial Stability) ระบบการเงินที่มีเสถียรภาพเป็นสิ่งจำเป็นต่อการรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การควบคุมหนี้สินและอัตราเงินเฟ้อจะช่วยลดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและเพิ่มความมั่นใจในการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

>>บทบาทของรัฐบาลในระบบเศรษฐกิจ (The Role of Government in the Economy) เมื่อเกิดความล้มเหลวของตลาด รัฐบาลมีบทบาทสำคัญในการเข้ามาช่วยจัดการทรัพยากรและควบคุมราคาสินค้าบริการที่จำเป็น เช่น การผลิตสินค้าและบริการสาธารณะ เพื่อให้เศรษฐกิจดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและเป็นธรรม

>>การจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน (Sustainable Resource Management) การใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน เช่น การใช้น้ำและพลังงานอย่างประหยัด เป็นการรักษาทรัพยากรเพื่อคนรุ่นหลัง การบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยลดความเสี่ยงของการขาดแคลนในอนาคตและส่งเสริมความยั่งยืนทางเศรษฐกิจได้ 

เพราะเศรษฐศาสตร์ไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขและการคำนวณ แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราทุกคน การเข้าใจหลักการเหล่านี้จะช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้นในทุก ๆ ด้านค่ะ 

🟢สรุปหนังสือเศรษฐศาสตร์เล่มเดียวอยู่ (ฉบับปรับปรุงใหม่) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (Part 3)

📌หนังสือ 'เศรษฐศาสตร์เล่มเดียวอยู่' จากธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) ได้อธิบายถึงหลักศรษฐศาสตร์ที่ยังแบ่งออกมาได้เป็น 2 แขนง คือ 

>>เศรษฐศาสตร์มหภาค (Macroeconomics) เป็นการศึกษาปัจจัยเศรษฐกิจระดับประเทศ เช่น การเจริญเติบโตของ GDP อัตราการว่างงาน และนโยบายทางการเงิน

>>เศรษฐศาสตร์จุลภาค (Microeconomics) จะเน้นศึกษาการตัดสินใจของบุคคลและธุรกิจขนาดเล็กในตลาด เช่น การตั้งราคาสินค้าของร้านค้า

🟢สรุปหนังสือเศรษฐศาสตร์เล่มเดียวอยู่ (ฉบับปรับปรุงใหม่) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (Part 2)

📌หนังสือ 'เศรษฐศาสตร์เล่มเดียวอยู่' จากธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) ได้อธิบายปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งประกอบไปด้วย...

>>ผลิตอะไร (What to produce?) ผู้ผลิตต้องเลือกว่าควรใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดไปผลิตสินค้าหรือบริการใดที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดมากที่สุด

>>ผลิตอย่างไร (How to produce?) ในการผลิตเราต้องคำนึงถึงต้นทุน วิธีการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

>>ผลิตเพื่อใคร (For whom to produce?) ผู้ผลิตจำเป็นต้องมีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายว่าผลิตสินค้าหรือบริการเพื่อใคร เช่น ผลิตอาหารสำหรับผู้มีรายได้น้อยหรือรายได้สูง

และตัวแก้ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์ หรือ ตัวจัดสรรทรัพยากรในระบบเศรษฐกิจ คือ 

>>กลไกราคา (Market mechanisms) โดยราคาสินค้าจะเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ตลาดปรับตัวตามอุปสงค์และอุปทาน เช่น เมื่อราคาสูง ผู้บริโภคซื้อสินค้าน้อยลง

>>อุปสงค์และอุปทาน (Demand and Supply) เมื่อความต้องการสินค้า (อุปสงค์) พบกับปริมาณสินค้าที่มีในตลาด (อุปทาน) จะเกิดราคาที่เหมาะสมสำหรับสินค้านั้น เราจะเรียกจุดนั้นว่า ราคาดุลยภาพ และปริมาณดุลยภาพ โดยการเปลี่ยนแปลงราคาและปริมาณดุลยภาพก็เกิดได้จากอีกหลายปัจจัย เช่น อุปสงค์ที่มากขึ้น หรืออุปทานที่น้อยลง

>>>ความยืดหยุ่นของอุปสงค์และอุปทาน (Elasticity) หมายถึงความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้า เช่น ถ้าสินค้าไหนที่ราคาขึ้น เราอาจจะลดการบริโภคสินค้านั้นลงเลย แต่ถ้าเป็นสินค้าที่จำเป็นจะมีอุปสงค์ยืดหยุ่นต่ำ อย่างเช่น ยารักษาโรค ที่ต่อให้ราคาเพิ่งสูงขึ้น เราก็ยังคงบริโภคอยู่ดี

🟢สรุปหนังสือเศรษฐศาสตร์เล่มเดียวอยู่ (ฉบับปรับปรุงใหม่) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (Part 1)

📌หนังสือ 'เศรษฐศาสตร์เล่มเดียวอยู่' จากแบงก์ชาติ อธิบายถึงเศรษฐศาสตร์ในชีวิตประจำวัน เข้าใจง่าย และใช้ได้จริง เพราะเศรษฐศาสตร์คือเรื่องของการตัดสินใจท่ามกลางทรัพยากรที่มีจำกัดและความต้องการที่ไม่สิ้นสุด การเข้าใจเศรษฐศาสตร์จะช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้นในทุก ๆ ด้านของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการจัดการเงิน การลงทุน หรือการเลือกใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด 

โดยได้อธิบายแนวคิดเศรษฐศาสตร์ที่เราควรรู้ ได้แก่...

>>การตัดสินใจเลือก (Trade-offs) ทุกครั้งที่เราทำการตัดสินใจ เราต้องเลือกสิ่งหนึ่งและเสียอีกสิ่งเสมอ เช่น การเลือกทำงานพิเศษแทนการพักผ่อน

>>ค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) เมื่อเลือกทำบางอย่าง เราเสียโอกาสจากการทำสิ่งอื่น เช่น ถ้าเลือกลงทุนในหุ้นก็เสียโอกาสจากการฝากเงินธนาคาร และค่าเสียโอกาสก็คือเราอาจจะไม่ได้รับดอกเบี้ยเงินฝากที่เราควรจะได้รับนั่นเอง

>>ทรัพยากรมีจำกัด (Scarcity) โลกนี้มีทรัพยากรจำกัด ไม่ว่าจะเป็นเงิน ทรัพยากรธรรมชาติ หรือเวลา เราจึงต้องใช้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการขาดแคลนทรัพยากร 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top