Monday, 21 April 2025
เอสโตเนีย

‘ฟินแลนด์’ เร่งสอบสวนเรือขนส่ง ‘จีน-รัสเซีย’ หลังเกิดเหตุวินาศกรรม ทำ ‘ท่อก๊าซรั่ว-สายเคเบิลใต้ทะเลฟินแลนด์-เอสโตเนีย’ เสียหายหนัก

เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 66 ‘สำนักงานสอบสวนแห่งชาติ’ ของฟินแลนด์ เดินหน้าคดีสืบสวนหาต้นต่อ การก่อวินาศกรรมท่อส่งก๊าซใต้ทะเล Baltic Connector Gas Pipeline ในบริเวณอ่าวฟินแลนด์ จนทำให้ก๊าซรั่วจนต้องปิดท่อก๊าซชั่วคราว ซึ่งในบริเวณใกล้เคียงกัน ยังพบว่า สายเคเบิลสื่อสารใต้ทะเลได้รับความเสียหายด้วย

ถึงแม้ว่าเบื้องต้นจะไม่พบร่องรอยความเสียหายที่เกิดจากการใช้ระเบิด แต่เกิดจากการใช้กำลังเครื่องยนต์อื่น และยังพบวัตถุที่มีน้ำหนักมากตกอยู่ใกล้จุดที่เสียหาย จมฝังอยู่ใต้พื้นทะเล   ทางการฟินแลนด์จึงใช้คำว่า “มีการก่อวินาศกรรม” ท่อก๊าซ และ สายเคเบิลสื่อสาร จนได้รับความเสียหายมากที่ต้องใช้ระยะเวลานานหลายเดือนในการซ่อมแซม

เหตุเกิดขึ้นเมื่อช่วงราวๆ ตี 1 ของวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมาเมื่อ สถาบันตัวจับแผ่นดินไหวของนอร์เวย์ พบแรงสั่นสะเทือนใต้ทะเลบริเวณทะเลบอลติก ในเขตน่านน้ำเขตเศรษฐกิจพิเศษของฟินแลนด์ถึง 2 จุด แต่แรงสั่นสะเทือนดังกล่าวยังถือว่าเบากว่าเหตุระเบิดท่อส่งก๊าซ Nord Stream ของรัสเซียเมื่อปี 2022 มาก

เมื่อทางการฟินแลนด์เข้าไปสำรวจ พบว่า ท่อส่งก๊าซ Baltic Connector เกิดรอยรั่ว รวมถึงสายเคเบิลสื่อสารใต้ทะเลในพื้นที่ใกล้เคียงก็ได้รับความเสียหายเช่นกัน

ลำพังแค่ท่อส่งก๊าซเสียหายก็เรื่องใหญ่แล้ว แต่พอมีกรณีสายเคเบิลใต้ทะเลที่เชื่อมต่อระหว่าง ‘ฟินแลนด์’ กับ ‘เอสโตเนีย’ ถูกทำลายในลักษะเดียวกันด้วย ซึ่งสายเคเบิลส่วนที่เสียหายอยู่ในเขตของเอสโตเนีย ที่บริษัทของสวีเดนเป็นเข้าของความโกลาหลจึงยังจบง่ายๆ เมื่อประเทศผู้เสียหายมีทั้งที่เป็นสมาชิก และเกือบจะเป็นสมาชิก NATO จึงทำให้ถูกมองว่าน่าจะเป็นการก่อวินาศกรรม เพื่อขัดขวางการสื่อสารภายในระหว่างเอสโตเนีย สวีเดน ฟินแลนด์ หรือกับชาติสมาชิก NATO อื่นๆ

ด้าน ‘พอล โจนสัน’ รัฐมนตรีกลาโหมสวีเดนออกมากล่าวว่า มีการระดมทีมจากกองทัพ ตำรวจ และ หน่วยตระเวณชายฝั่ง ประสานงานกับทางเอสโตเนียเพื่อสืบสวนเกี่ยวกับเรื่องนี้ และมองว่าเป็น ‘คดีด้านความมั่นคงที่เกี่ยวกับการบ่อนทำลายโครงสร้างพื้นฐานของชาติ’ จึงต้องให้ความสำคัญอย่างมากเป็นอันดับต้นๆ

ตามมาด้วย ‘เยนส์ สโทเทนเบิร์ก’ เลขาธิการ NATO ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่าน X ว่า ได้พูดคุยกับนายเซาลี นีนิสเตอ ผู้นำฟินแลนด์ถึงความเสียหายของโครงสร้างพื้นฐานใต้ทะเลของทั้งฟินแลนด์ และเอสโตเนียแล้ว ทาง NATO พร้อมร่วมแชร์ข้อมูล และให้การสนับสนุนพันธมิตรของเราอย่างเต็มที่ จึงกลายเป็นคดีที่มีหลายชาติ พัลวัน พัลเก เต็มไปหมด

โดยคดีท่อส่งก๊าซเป็นเขตของฟินแลนด์ จึงเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลเฮลซิงกิในการสืบสวน และต่อมาได้เปิดเผยว่า มีเรือต้องสงสัย 2 ลำ ที่อยู่ใกล้บริเวณจุดเกิดเหตุ ในช่วงเวลานั้น ก็คือ ‘เรือขนส่งพลังงานนิวเคลียร์ Sevmorput’ ของรัสเซีย และ ‘เรือขนส่งจีน Newnew Polar Bear’

แต่ถึงจะมีเรื่อลำอื่นๆ ในบริเวณใกล้เคียงด้วย แต่ตอนนี้ ทีมสืบสวนขอโฟกัสแค่ 2 ลำนี้ เพราะคดีนี้ ถูกมองในมุมมองของ NATO เรียบร้อยแล้ว ก็เหลือแค่เรือจาก 2 สัญชาตินี้เท่านั้นที่น่าสงสัยที่สุด

จากข้อมูลเดินเรือ พบว่าเรือทั้ง 2 ลำกำลังมุ่งหน้าไปเทียบฝั่งที่ท่าเรือเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก โดยเรือของจีนตามหลังเรือของรัสเซียอยู่เล็กน้อย ขณะผ่านใกล้จุดเกิดเหตุ

ด้านรัฐมนตรีต่างประเทศฟินแลนด์ ได้ประสานผ่านช่องทางการทูตถึงรัฐบาลจีน และรัสเซีย เพื่อบอกให้รู้ว่าฟินแลนด์จะต้องสืบสวนเส้นทางของเรือทั้ง 2 สัญชาตินี้แล้ว ซึ่ง ‘วลาดิมีร์ ปูติน’ ผู้นำรัสเซียออกมากล่าวว่า เป็นข้อกล่าวหาที่ไร้สาระมาก แค่มีเรือบรรทุกน้ำมันรัสเซียลอยอยู่แถวนั้น เป็นผู้ต้องสงสัยแล้วหรือ

แต่มาวันนี้ มีรายงานเพิ่มเติมจากฟินแลนด์ว่า น่าจะโฟกัสที่เรือ Newnew Polar Bear ของจีนมากกว่า เพราะลอยอยู่ใกล้จุดที่เกิดเหตุ ในช่วงเวลาเดียวกันมากกว่าเรือของรัสเซีย
ซึ่ง Newnew Polar Bear ปักธงฮ่องกงในการเดินทางก็จริง แต่บริษัทของจีนแผ่นดินใหญ่เป็นเจ้าของชื่อ ‘Hainan Xin Xin Yang Shipping’

แต่ทางการฟินแลนด์ และเอสโตเนีย ยอมรับว่าคดีนี้มีความอ่อนไหวทางการเมือง และการทูตอย่างมาก จึงต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก เมื่อต้องแถลงข้อมูลออกสื่อ ถ้าไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนจริงๆ

เพราะเดี๋ยวจะเหมือนกรณีข้อพิพาท ‘อินเดีย-แคนาดา’ ที่ตอนนี้ยังมองหน้ากันไม่ติด กลายเป็นวิกฤติการทูตที่ใช้เวลาซ่อมนานยิ่งกว่าท่อส่งก๊าซใต้ทะเลบอลติกเสียอีก

‘เจ้าชายวิลเลียม’ ทรงสวมชุดทหารเต็มยศ เยี่ยมกองทัพอังกฤษในเอสโตเนีย เพื่อเน้นย้ำ!! การสนับสนุนของสหราชอาณาจักร ต่อปฏิบัติการของ NATO

(22 มี.ค. 68) เจ้าชายวิลเลียม มกุฎราชกุมารแห่งอังกฤษ และพระโอรสองค์โตของสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ เสด็จไปยังค่ายทหารในเมืองทาปา ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนรัสเซียประมาณ 200 กิโลเมตร (125 ไมล์) โดยทรงตรวจสอบยานเกราะรบของทหารราบและทรงขึ้นรถถัง ขณะสวมชุดลายพรางของกองทัพ

อังกฤษมีทหารประมาณ 900 นายประจำการในเอสโตเนียและโปแลนด์ ภายใต้ 'Operation Cabrit' ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเสริมกำลังของ NATO บริเวณแนวรบด้านตะวันออก เพื่อตอบโต้การรุกรานยูเครนของรัสเซีย

การเสด็จเยือนเป็นเวลา 2 วันของเจ้าชายวิลเลียมมีขึ้นในขณะที่อังกฤษและพันธมิตรยุโรปกำลังเพิ่มงบประมาณกลาโหม เพื่อตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่ต้องการให้ชาติ NATO อื่น ๆ มีส่วนร่วมมากขึ้นในการรักษาความมั่นคงของยุโรป

เจ้าชายทรงยืนอยู่หน้าลวดหนามและควันสีเหลืองขณะทอดพระเนตรการฝึกซ้อมรบในสนามเพลาะ และทรงร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีส่งมอบกำลังพลจาก Royal Dragoon Guards ที่เพิ่งสิ้นสุดภารกิจ ให้แก่ Mercian Regiment ซึ่งจะเข้าประจำการเป็นเวลาหกเดือน โดยเจ้าชายวิลเลียมทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกิตติมศักดิ์ของกองพันดังกล่าว

"ตั้งแต่การฝึกภาคสนามไปจนถึงการใช้อาวุธ ระบบปฏิบัติการภาคสนามนี้มีความสำคัญมาก!! น่าทึ่งที่ได้เห็นความทุ่มเท และความสามารถของทหารของเราในการปฏิบัติงาน" สำนักงานของพระองค์ที่พระราชวังเคนซิงตันโพสต์ข้อความลงใน X (Twitter เดิม)

การเสด็จเยือนครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกของเจ้าชายในรัฐบอลติก ก่อนหน้านี้เมื่อสองปีที่แล้ว พระองค์เคยเสด็จไปยังโปแลนด์เพื่อเยี่ยมทหารอังกฤษที่ให้การสนับสนุนยูเครน

นอกจากนี้ เจ้าชายยังทรงพบปะกับทหารเพื่อรับฟังประสบการณ์ของพวกเขาระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ และหารือเกี่ยวกับสวัสดิการด้านสุขภาพจิตกับเจ้าหน้าที่สนับสนุนทางสังคมของกองทัพ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top