Tuesday, 22 April 2025
เนปาล

'ดร.หิมาลัย' จัดโครงการอุปสมบทหมู่ ตามรอยพระบรมศาสดา สู่ดินแดนพุทธภูมิ แสวงบุญ 4 สังเวชนียสถาน 4 ตำบล รุ่นที่ 5 ปี 2566 ณ ประเทศอินเดีย - เนปาล

'ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ' คณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ประธานจัดโครงการฯ นำคณะเข้าพิธีบรรพชาและพิธีอุปสมบทหมู่ ณ วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย

เมื่อวันที่ 30 พ.ย.66 ที่ วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย บริษัทรักษาความปลอดภัย จีจีไอ.กรุ๊ป จำกัด ร่วมกับ 'มูลนิธิพระราหู' นำคณะผู้เข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 43 ท่าน เข้าพิธีบรรพชา ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ และเข้าพิธีอุปสมบทหมู่ ณ พระอุโบสถ วัดไทยพุทธคยา ตามโครงการอุปสมบทหมู่ ตามรอยพระบรมศาสดา สู่ดินแดนพุทธภูมิ แสวงบุญ 4 สังเวชนียสถาน 4 ตำบล รุ่นที่ 5 ปี 2566 ณ ประเทศอินเดีย - เนปาล ระหว่างวันที่ 29 พ.ย.– 13 ธ.ค.66 

โดยมี ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ คณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค )/ประธานที่ปรึกษา 'มูลนิธิพระราหู'/ประธานจัดโครงการอุปสมบทหมู่ และประธานพระนวกะโพธิ รุ่นที่ 1 ให้เกียรติมาเป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วย คุณพจน์ บุญดวงประเสริฐ คุณไพบูลย์ ศิริภาณุเสถียร กรรมการบริหาร บริษัท อสทม.จำกัด (มหาชน) คุณนรินทร สุขเกษม หัวหน้ากลุ่มขายเส้นทางเอเชียใต้และประเทศตะวันออกกลาง รวมทั้ง คณะญาติโยมและคณะศิษยานุศิษย์ ให้เกียรติเข้าร่วมพิธีฯ

ทั้งนี้ พระเดชพระคุณ พระธรรมโพธิวงศ์ วีรยุทธ วีรยุทฺโธ เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา หัวหน้าธรรมทูต สายประเทศอินเดียเนปาล เมตตาเป็นพระอุปัชฌาย์ และเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วย พระครูอุดมโพธิวิเทศ เจ้าอาวาสวัดพระรามอโยธยาราชธานี หัวหน้ากองงานกิจการพิเศษ พระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย-เนปาล เมตตาร่วมพิธีฯ

หลังจากนั้น ในระหว่างวันที่ 1-13 ธ.ค.66 คณะพระนวกะโพธิ และคณะแม่ชี ที่ร่วมโครงการอุปสมบทหมู่ฯ รุ่นที่ 5 พร้อมคณะศิษยานุศิษย์ จะร่วมเดินทางไปปฏิบัติธรรม เพื่อตามรอยพระบรมศาสดา สู่ดินแดนพุทธภูมิ แสวงบุญ 4 สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ณ ประเทศอินเดีย - เนปาล เป็นลำดับต่อไป

‘ตร.เนปาล’ บุกรวบ ‘บุดดาบอย’ ผู้นำทางจิตวิญญาณชื่อดัง ข้อหาข่มขืนผู้เยาว์ และเอี่ยวการหายตัวไปของผู้ติดตาม

(11 ม.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ราม พหาทุร พามชาน (Ram Bahadur Bomjan) ผู้นำทางจิตวิญญาณชาวเนปาล วัย 33 ปี หรือที่รู้จักกันในชื่อ บุดดาบอย (Buddha Boy) ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศผู้เยาว์ และเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของผู้ติดตามของเขาอย่างน้อย 4 ราย

ตามรายงานของสำนักงานสืบสวนกลาง ระบุว่า พามชานถูกรวบตัวได้เมื่อวันที่ 9 มกราคม ที่ผ่านมา จากบ้านของเขาในพื้นที่กาฐมาณฑุ เมืองหลวงของเนปาล พร้อมใส่กุญแจมือ และแถลงต่อหน้าสื่อมวลชน โดยมีการเปิดเผยว่า เขาพยายามหลบหนีโดยการกระโดดจากหน้าต่างชั้น 2 เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่ไม่สำเร็จ และถูกจับกุมได้ในที่สุด

พามชานถูกจับกุมด้วยข้อหาข่มขืนผู้เยาว์วัย 14 ปี ที่อาศรมในเมืองซาร์ลาฮี ทางตอนใต้ของเมืองหลวง รวมทั้งข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดและการประพฤติมิชอบย้อนหลังไปกว่า 10 ปี นับตั้งแต่ปี 2553 เขาถูกยื่นฟ้องหลายสิบครั้งเกี่ยวกับการทำร้ายร่างกาย มีการระบุว่า เขาทุบตีเหยื่อซึ่งเป็นผู้ติดตาม เหตุเพราะรบกวนสมาธิของเขา ทั้งยังมีแม่ชีวัย 18 ปี อ้างว่าถูกเขาข่มขืนที่วัดแห่งหนึ่ง เมื่อปี 2561 และในปีถัดมา มีรายงานว่าสาวก 4 รายของเขา หายตัวไปจากอาศรมแห่งหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันก็ยังไม่ทราบชะตากรรม

ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ยังได้ยึดของกลางเป็นธนบัตรเนปาลจำนวนมาก มีมูลค่าเทียบเท่าประมาณ 227,000 ดอลลาร์ (ราว 7.9 ล้านบาท) และธนบัตรสกุลเงินต่างประเทศอื่น ๆ มูลค่าประมาณ 23,000 ดอลลาร์ (ราว 8 แสนบาท) หลังจากนี้ คาดว่าพามชานจะถูกนำตัวไปขึ้นศาลทางตอนใต้ของเนปาล เพื่อรับฟังคำตัดสิน

‘ชาวเนปาล’ ประท้วงให้ ‘สถาบันกษัตริย์’ กลับมา หลังรัฐสภามีมติให้ยกเลิกไปเมื่อปี 2008

(11 เม.ย.67) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงาน เกิดการประท้วงขึ้นในเมืองหลวงกาฐมาณฑุของเนปาลเมื่อวันอังคาร โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้แก๊สน้ำตาและปืนฉีดน้ำกับกลุ่มผู้ประท้วงที่รุกล้ำเข้าในพื้นที่ที่ถูกปิดล้อม ด้านโฆษกตำรวจระบุว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ประชาชนชาวเนปาลเริ่มเห็นด้วยกับการนำระบอบกษัตริย์กลับมาใช้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งยังเรียกร้องให้มีการสถาปนาศาสนาฮินดูเป็นศาสนาประจำชาติ

ทั้งนี้ ประเทศเนปาล ซึ่งประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบสาธารณรัฐมาตั้งแต่ปี 2008 ในเวลานั้นรัฐสภาได้ลงมติให้ยกเลิกสถาบันกษัตริย์ การเปลี่ยนแปลงการปกครองของรัฐบาลในครั้งนั้นเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงสันติภาพที่กินเวลานานนับทศวรรษ เพื่อยุติสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศ และทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 16,000 คน

การชุมนุมประท้วงเมื่อวันอังคารจัดขึ้นโดยกลุ่มชาตินิยมฮินดูและระบอบกษัตริย์ พรรครัสตรียาประชาตันตรา ซึ่งปัจจุบันก่อตัวเป็นพรรคที่ใหญ่เป็นอันดับห้าในรัฐสภา โมฮัน เชรษฐา-โฆษกพรรคสรุปข้อเรียกร้องของพรรค นั่นคือ ‘การรื้อฟื้นสถาบันกษัตริย์ รัฐฮินดู และการยกเลิกระบอบสหพันธรัฐ’

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พรรครัสตรียาประชาตันตรา ได้ให้คะแนนสำนักนายกรัฐมนตรีเนปาล 40 คะแนน พร้อมนำเสนอบันทึกข้อตกลงฉบับสมบูรณ์ ซึ่งพวกเขายังได้แถลงประเด็นชี้ขาดเพิ่มเติมด้วย อีกทั้งยังเรียกร้องให้มีการต่อต้านการคอร์รัปชันและดำเนินมาตรการเพื่อให้เกิดธรรมาภิบาล

อย่างไรก็ตาม สมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทระ กษัตริย์องค์สุดท้ายของเนปาล เสด็จขึ้นครองราชย์ครั้งที่สองเมื่อปี 2001 จนถึงขณะนี้ทรงยังไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศ รวมถึงการเรียกร้องให้มีการเรียกร้องให้มีการนำสถาบันกษัตริย์กลับคืนมาอีกครั้ง

'ศาลเนปาล' สั่งจำคุก 10 ปี เจ้าของฉายา 'พระพุทธเจ้าน้อย' หลังพบหลักฐานมัดแน่น ข้อหาล่วงละเมิดทางเพศเด็ก

(4 ก.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ศาลเขตซาร์ลาฮี ในภาคใต้ของเนปาล มีคำตัดสินเมื่อวันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม 2567 ให้จำคุกนายราม พหาทุร พามชาน อายุ 33 ปี หรือที่รู้จักกันด้วยฉายา ‘พระพุทธเจ้าน้อย’ (Buddha Boy) เป็นเวลา 10 ปี จากความผิดฐานล่วงละเมิดทางเพศผู้เยาว์คนหนึ่ง และสั่งให้จ่ายเงินชดเชยจำนวน 3,750 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 138,000 บาท) แก่ผู้เสียหายด้วย แต่ทนายเปิดเผยว่า เขาจะยื่นอุทธรณ์ โดยมีเวลาภายใน 70 วัน

'นายราม พหาทุร พามชาน' ถูกตำรวจเนปาลจับกุมตัว ที่บ้านชานกรุงกาฐมาณฑุ เมื่อ 9 มกราคมที่ผ่านมา ในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศเด็กหญิงคนหนึ่ง ละทำร้ายร่างกายผู้ศรัทธา ตลอดจนเป็นผู้ต้องสงสัยว่าอาจเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของผู้ศรัทธาของเขาอย่างน้อย 4 คน ตำรวจยึดธนบัตรเนปาลมูลค่า 227,000 ดอลลาร์ กับเงินสกุลต่างประเทศอื่น ๆ อีก 23,000 ดอลลาร์ ก่อนที่ศาลจะมีคำตัดสินในวันที่ 26 มิถุนายน ว่าเขามีความผิดจริงในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ

'นายราม พหาทุร พามชาน' หรือที่เรียกกันในภายหลังว่า 'ลามะปัลเดน ดอร์เจ' เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก หลังจากเขาซึ่งตอนนั้นมีอายุเพียง 14 ปี เขาไปนั่งสมาธิใต้ต้นโพธิ์ในป่า ก่อนจะมีข่าวลือว่า เขานั่งสมาธิติดต่อกันนานถึง 10 เดือนโดยที่ไม่ลุกไปไหน ไม่ดื่มน้ำ ไม่ทาน และไม่นอน แม้ปาฏิหาริย์ของเขายังไม่เคยได้รับการพิสูจน์ แต่ผู้คนต่างเชื่อว่า เขาคือ สิทธัตถะ โคตม ที่ประสูติที่เนปาลเมื่อ 2,500 ปีก่อน ก่อนจะรู้จักในพระนาม ‘พระพุทธเจ้า’ ความน่าเลื่อมใสดึงดูดให้ผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันเพื่อชมปาฏิหาริย์ของเขาขณะนั่งสมาธิในป่า โดยในช่วงพีคที่สุด มีผู้ศรัทธามารวมตัวกันหลายหมื่นคน หลายคนพยายามอย่างมากเพื่อจะพิสูจน์ว่าเขานั้นนั่งสมาธิโดยไม่ทานอะไรเลยจริงหรือไม่ และมีผู้ถ่ายคลิปวิดีโอขณะที่เขาทานอาหาร และนอนหลับระหว่างการทำสมาธิในป่าเอาไว้ได้

'นักบิน’ เครื่องบินเนปาล รอดชีวิตเพียงคนเดียว ท่ามกลางเปลวไฟ หลังลุกไหม้ใกล้ส่วนของห้องนักบินที่ขาดจากลำตัวเครื่องบิน

(25 ก.ค.67) รายงานข่าวระบุว่า กัปตันมานิช รัตนา ซาคะยา คือผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวจากโศกนาฏกรรมที่คร่าชีวิตคนอื่น ๆ 18 ราย ณ สนามบินตริภูวัน กรุงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล และเวลานี้กำลังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล โดยล่าสุดสำนักข่าวบีบีซีสาขาเนปาล ยืนยันว่า เขาสามารถพูดคุยได้แล้วและบอกกับสมาชิกในครอบครัวว่า "เขาปกติดีทุกอย่าง"

ทีมช่วยเหลือเปิดเผยกับบีบีซี ว่า พวกเขาเข้าไปถึงตัวนักบินที่อยู่ในอาการทุกข์ทรมาน ท่ามกลางเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้ใกล้ ๆ กับส่วนของห้องนักบินที่ขาดออกมาจากลำตัวเครื่องบิน

"เขามีอาการหายใจลำบาก เราทุบกระจกหน้าต่างและดึงเขาออกมาในทันที" ดัมบาร์ บิชวาคาร์มา ผู้กำกับการอาวุโสแห่งตำรวจเนปาลกล่าว "มีเลือดเต็มใบหน้าเขา ตอนที่เขาได้รับความช่วยเหลือออกมา แต่เราพาตัวเขาส่งโรงพยาบาลในอาการที่ยังสามารถพูดคุยได้"

บาดรี ปันเดย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการบินพลเรือนของเนปาล เปิดเผยว่า เครื่องบินจู่ ๆ ก็หักเลี้ยวขวากะทันหัน ระหว่างเทกออฟขึ้นจากสนามบิน ก่อนพุ่งกระแทกพื้นบริเวณฝั่งซ้ายของรันเวย์

ถ้อยแถลงที่เผยแพร่โดยกองทัพเนปาล ระบุว่านักบินได้รับความช่วยเหลือภายในเวลา 5 นาทีหลังเกิดเหตุ และ "เขาอยู่ในอาการที่น่ากลัวมาก แต่ตอนนั้นยังมีสติอยู่" พร้อมเผยต่อว่าจากนั้นรถฉุกเฉินของกองทัพได้นำตัวเขาส่งโรงพยาบาล

แพทย์มีนา ทีพา ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ของโรงพยาบาล เปิดเผยว่า นักบินรายนี้ได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะและใบหน้า และในไม่ช้าจะมีการผ่าตัดอาการกระดูกหักบริเวณหลัง "เรารักษาอาการบาดเจ็บต่าง ๆ ในหลายส่วนของร่างกายของเขา เวลานี้เขาอยู่ภายใต้การสังเกตการณ์ ภายในแผนกศัลยกรรมประสาทและสมอง"

เมื่อช่วงค่ำวานนี้ นายเคพี ชาร์มา นายกรัฐมนตรีเนปาล เดินทางไปยังโรงพยาบาลเพื่อได้มีโอกาสพบปะกับครอบครัวของนักบิน

เวลานี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการสืบสวนเพื่อสรุปถึงต้นตอของอุบัติเหตุ ในขณะที่ผู้อำนวยการสนามบินนานาชาติตริภูวัน บอกว่า จากคำประเมินเบื้องต้น แสดงให้เห็นว่าเครื่องบินบินไปผิดทิศทาง "ทันทีที่เทกออฟ มันเลี้ยวขวา ทั้งที่ตอนนั้นควรเลี้ยวซ้าย" เขากล่าว

ที่ผ่านมา เนปาลถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับประวัติความปลอดภัยด้านการสัญจรทางอากาศอันย่ำแย่ โดยในเดือนมกราคม 2023 มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 72 ราย ในเหตุเครื่องบินสายการบินเยติลำหนึ่งประสบอุบัติเหตุ ซึ่งต่อมาพบว่ามีต้นตอจากการนักบินไปปิดระบบไฟฟ้าโดยไม่ได้ตั้งใจ

ส่วนอุบัติเหตุทางอากาศครั้งเลวร้ายที่สุดในเนปาล เกิดขึ้นเมื่อปี 1992 โดยคราวนั้นลูกเรือและผู้โดยสารของสายการบินปากีสถาน อินเตอร์เนชันแนล แอร์ไลน์ส เสียชีวิตยกลำ หลังประสบอุบัติเหตุโหม่งก่อน ขณะกำลังเดินทางถึงสนามบินกาฐมาณฑุ

‘หนึ่ง วิทิตนันท์’ ปีนเขา Yasa Thak ที่ยังไม่เคยมีใคร ปีนได้สำเร็จมาก่อน เพื่อฉลองความสัมพันธ์ 65 ปี ‘ไทย - เนปาล’ เฉลิมปีมหามงคล ในหลวง ร.10

(28 ธ.ค. 67) ‘Echo Friendship Project’ เป็นโครงการที่มีวัตถุประสงค์ในการเจริญความสัมพันธ์ในทุกมิติระหว่างประเทศไทยและ Nepal ในวาระ 65 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ ของประเทศไทย และ Nepal  ซึ่งคล้องกันกับในปีนี้เป็นปีมหามงคล ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ได้ส่งเจริญพระชนม์มายุ 72 พรรษา ทางสมาคมมิตรภาพไทย , Nepal  Nepal Mountaineering Association , จึงถือเอาวาระแห่งความสำคัญนี้เริ่มต้นโครงการโดยการปีนยอดเขาที่ยังไม่มีการปีน สำเร็จมาก่อน ถือเอาเป็นภาพสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นที่จะดำเนินไปสู่เป้าหมายตามวัตถุประสงค์ โดยมีนายธัน พหาทุร โอลิ (H.E. Mr. Dhan Bahadur Oli ) เอกอัครราชทูตเนปาลประจำประเทศไทย เป็นประธานที่ปรึกษา และเป็นผู้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการผลักดันโครงการนี้ 

โดยภารกิจในครั้งนี้ นาย วิทิตนันท์ โรจนพานิช นายกสมาคมมิตรภาพไทย Nepal จะเป็น เป็นผู้ปีนยอดเขา Yasa Thak ยอดเขาที่มีความสูง 6,141 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่ง ตั้งอยู่บนเทือกเขาหิมาลัย บริเวณ Solukhumbu ในเขตวนอุทยานแห่งชาติ Sagarmatha ร่วมกับนักปีนเขาชาวเนปาล อีกสามคน ซึ่งการปีนเขาในครั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญคือการบันทึกภาพสัญลักษณ์แห่งความจงรักภักดีและความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ  รวมทั้งได้นำพระพุทธเมตตา จากวัดไทยพุทธคยาขนาดหน้าตัก 5 นิ้ว ขึ้นไปประดิษฐานไว้บนยอดเขาเพื่อสร้างความเป็นสิริมงคลและภาพสัญลักษณ์ของสันติสุข 

การปีนเขาในครั้งนี้ได้ กระทำสำเร็จแล้วเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2567 เวลา 12:05 น. และเมื่อการปีนเขาในครั้งนี้ได้สำเร็จลุล่วงแล้ว ทางสมาคมมิตรภาพไทย Nepal จะได้ดำเนินการขออนุญาตรัฐบาล Nepal ในการต่อชื่อในตอนท้ายของชื่อยอดเขา ในวงเล็บว่ว่า Echo Friendship Peak  

กิจกรรมในครั้งนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าไม่ได้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงต่างประเทศ  , มูลนิธิไทย , นายสุวพงศ์ ศิริสรณ์ เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงกาฐมาณฑุ , วัดไทยลุมพินีประเทศ Nepal , วัดไทยพุทธคยา , วัดไทยกุสินารา, ซึ่ง การบริหารจัดการวางแผนและดูแลความปลอดภัยในการปีนเขาในครั้งนี้ได้รับความช่วยเหลือจาก Echo Friendship Project  

กิจกรรมการปีนยอดเขาในครั้งนี้ได้รับการบริหารจัดการดูแลความเรียบร้อยและความปลอดภัยโดยบริษัท Khumbi-Ila Voyage Mountaineering & Trekking / Travels& Tours จำกัด

และหลังจากสำเร็จกิจกรรมการปีนยอดเขาในครั้งนี้ ทางสมาคมมิตรภาพไทย เนปาล และสถานเอกอัครราชทูตเนปาลประจำประเทศไทย ยังได้มีดำริ ที่จะจัดนิทรรศการเกี่ยวข้องกับการเดินทางในครั้งนี้ ตลอดจนเรื่องราวความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ รวมทั้งกิจกรรมทางการท่องเที่ยว อาหาร และ ศิลปะ วัฒนธรรมของประเทศเนปาล ในราวเดือนเมษายน 2568 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ อีกด้วย

กับภารกิจพิชิตยอด Yasa Thak เชื่อม 65 ปีสายใยไทย-เนปาล พร้อมเสนอตั้งชื่อ 'Echo Peak'ตามเพลงพระราชนิพนธ์ 'แว่ว'

เมื่อวันที่ (20 ม.ค. 68) ที่ประชุมห้องบัวแก้ว กระทรวงการต่างประเทศ นางสาวศศิริทธิ์ ตันกุลรัตน์ อธิบดีกรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา ได้จัดเสวนาถ่ายทอดประสบการณ์เรื่อง  'ก้าวสู่ยอดหิมาลัย เชื่อมสายใยไทย-เนปาล' โดยในงานนี้มี พณฯ ธัน พหาทุร โอลิ เอกอัครราชทูตเนปาลประจำประเทศไทย เข้าร่วมเป็นเกียรติในงาน

สำหรับงานเสวนาถ่ายทอดประสบการณ์เรื่อง  “ก้าวสู่ยอดหิมาลัย เชื่อมสายใยไทย-เนปาล” ได้มีการแบ่งปันประสบการณ์ของ 'หนึ่ง วิทิตนันท์ โรจนพานิช' คนไทยคนแรกที่พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ ถึงประสบการณ์น่าตื่นเต้นของการพิชิตยอดเขา Yasa Thak ประเทศเนปาล เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2567  อันเป็นส่วนหนึ่งในกโอกาสร่วมสนับสนุนในโอกาส ครบรอบ 65 ปี ความสัมพันธ์ ไทย-เนปาล 

นางสาวศศิริทธิ์ ตันกุลรัตน์ กล่าวเปิดงานเสวนา 'ก้าวสู่ยอดหิมาลัย เชื่อมสายใยไทย - เนปาล' ว่าในปีนี้ ประเทศไทยและเนปาล จะครบรอบความสัมพันธ์ทางการทูต 65 ปี โดยทั้งสองประเทศ มีสายใยเชื่อมโยงกันผ่านทางพุทธศาสนาและวัฒนธรรมมาอย่างยาวนาน รวมถึงน้ำใจคนไทยที่ช่วยเหลือประเทศเนปาล จากผลกระทบของเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อ 10 ปีก่อน ก็สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นในระดับประชาชนของทั้งสองประเทศได้เป็นอย่างดี

ขณะที่ นายวิทิตนันท์ โรจนพานิช นายกสมาคมมิตรภาพไทย - เนปาล ชาวไทยผู้มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประเทศเนปาลมาอย่างยาวนาน ได้เปิดเผยถึงแรงบันดาลใจในการพิชิตเอเวอร์เรสต์เมื่อปี 2551 นั้น  เพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รวมถึงในปี 2567 ที่ได้พิชิตยอดเขายาซ่า ทัก (Yasa Thak) นั้น นอกจากจะเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อเชื่อมสัมพันธ์ไทย-เนปาลแล้ว ยังเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 

"ในชีวิตผมใช้ชีวิตโลดโผนมาตลอด ตั้งแต่ดำน้ำ ขับเครื่องบิน แต่ยังไม่เคยปีนเขา จนกระทั่งปีประมาณปี 2551 ได้มีโอกาสทำรายการโทรทัศน์ให้เวียดนาม จนสามารถพิชิตยอดเอเวอร์เรสต์ได้สำเร็จเมื่อ 22 พฤษภาคม 2551 ตอนนั้นผมรับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์รายการ จึงอาศัยจังหวะนี้ขึ้นไปพร้อมกับนักปีนเขาจนสามารถพิชิตยอดเขาได้สำเร็จ เราก็คิดว่าในเมื่อขึ้นไปถึงยอดเขาสูงที่สุดในโลกได้แล้ว ก็อยากขึ้นไปชูพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงรัชกาลที่ 9 บนยอดที่สูงที่สุดในโลกเพื่อป่าวประกาศพระเกียรติยศของพระองค์ท่าน" 

สำหรับภารกิจล่าสุดเมื่อปลายปี 2567 ที่ผ่านมาซึ่ง หนึ่ง วิทิตนันท์ เพิ่งพิชิตยอดเขาแห่งใหม่ เขาได้เผยเรื่องราวในภารกิจการพิชิตยอดเขา Yasa Thak ครั้งล่าสุดนี้ว่า "หลังจากที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคตได้ราวปีเศษ ก็ยังมีความรู้สึกอยากปีนยอดเขาอีกยอดหนึ่งเพื่อรำลึกถึงพระองค์ท่าน เราก็อยากปีนยอดเขาที่ยังไม่เคยมีใครปีนพิชิตมาก่อน ในตอนนั้นผมก็นึกถึงประเทศเนปาล ซึ่งเป็นชาติที่เรารู้สึกผูกพันมากที่สุด จึงได้ขออนุญาตหน่วยงานท้องถิ่นของเนปาล ซึ่งได้รับความอนุเคราะห์เป็นอย่างดีจากสถานเอกอัคราชทูตเนปาลประจำประเทศไทย"

หนึ่ง วิทิตนันท์ เผยว่า ภายหลังที่สามารถพิชิตยอด Yasa Thak ได้สำเร็จเพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติในหลวงรัชกาลที่ 9 และ รัชกาลที่ 10 ตลอดจนสานสัมพันธ์ระหว่างไทย-เนปาล เขาได้ยื่นต่อ 'Nepal Mountaineering Association' เพื่อขอใช้สิทธิการพิชิตคนแรกเสนอตั้งชื่อยอดเขานี้ว่า 'Echo Peak' หรือ 'เสียงสะท้อน' เพื่อสะท้อนถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับเนปาล และสื่อถึงบทเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 41 'แว่ว' และยังเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ด้วย

"ตอนนี้อยู่ระหว่างการเสนอต่อ Nepal Mountaineering Association ในการตั้งชื่อยอดเขา 'Echo Peak' หรือ 'เสียงสะท้อน' ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการโดยคาดจะเสร็จสิ้นกระบวนการตั้งชื่อใหม่ภายในปีนี้"

หนึ่ง วิทิตนันท์  ยังเผยอีกว่า ในฐานะภาคประชาชน เขาอย่างเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมความสัมพันธ์ไทย-เนปาล ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยเขาได้มองถึงความเป็นไปได้ในอนาคตที่จะขับเคลื่อนความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทั้งด้านความเชื่อและวัฒนธรรมระหว่างกัน การเชื่อมโยงผ่านด้านการท่องเที่ยว 'ภูเขาในเนปาล และทะเลไทย' หรือด้านสิ่งแวดล้อม ในการร่วมกับสมาคมนักปีนเขาแห่งประเทศเนปาล ผลิตโดรนเพื่อเก็บขยะบนยอดเขาต่าง ๆ เพื่ออนุรักษ์ธรรมชาติ และนำขยะเหล่านั้นมาหมุนเวียนเพื่อสร้างประโยชน์ต่อไปได้ 

ชาวเนปาลนับหมื่น แห่รับ ‘สมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทระ’ พร้อมเรียกร้องให้ฟื้นฟูสถาบันกษัตริย์อีกครั้ง

กลุ่มสนับสนุนสถาบันกษัตริย์นับหมื่นรวมตัวกันที่สนามบินเพื่อมาต้อนรับสมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทระ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งเนปาล อดีตกษัตริย์เนปาลที่ถูกโค่นอำนาจเมื่อปี 2008 ซึ่งได้เดินทางกลับกรุงกาฐมาณฑุ

พร้อมเรียกร้องให้คืนสถาบันกษัตริย์ที่ถูกโค่นอำนาจไป ท่ามกลางความไม่พอใจของประชาชนต่อสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจของประเทศ

เมื่อวันอาทิตย์ ผู้สนับสนุนของสมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทระ ประมาณ 10,000 คน รวมตัวกันใกล้ทางเข้าหลักของสนามบินนานาชาติตริภูวันในกรุงกาฐมาณฑุ ขณะพระองค์เสด็จกลับจากการเดินทางไปเนปาลตะวันตก

“ขอให้พระองค์ทรงกลับมาเถิด ทรงกลับมาเป็นกษัตริย์ มาช่วยประเทศชาติ กษัตริย์ที่รักของเรา จงทรงพระเจริญ เราต้องการสถาบันกษัตริย์” ประชาชนพากันตะโกน

สมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทระ วัย 77 ปี ได้ขึ้นครองราชย์เมื่อปี 2001 หลังจากพี่ชายของเขา Birendra Bir Bikram Shah และครอบครัวของเขาถูกสังหารในเหตุการณ์สังหารหมู่ที่คร่าชีวิตสมาชิกราชวงศ์ไปเกือบหมด

พระองค์ทรงปกครองประเทศในฐานะประมุขแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญ โดยไม่มีอำนาจบริหารหรืออำนาจทางการเมืองจนถึงปี 2005 เมื่อพระองค์ได้เข้ายึดอำนาจเบ็ดเสร็จโดยกล่าวว่าเพื่อปราบกบฏเหมาอิสต์ที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์

พระองค์สั่งยุบรัฐบาลและรัฐสภา จำคุกนักการเมืองและนักข่าว และตัดการติดต่อสื่อสาร ประกาศภาวะฉุกเฉิน และใช้กองทัพปกครองประเทศ

การเคลื่อนไหวดังกล่าวจุดชนวนให้เกิดการประท้วงบนท้องถนนครั้งใหญ่ จนในปี 2006 สมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทระ ต้องส่งมอบอำนาจให้กับรัฐบาลหลายพรรค

รัฐบาลดังกล่าวได้ลงนามในข้อตกลงสันติภาพกับกลุ่มเหมาอิสต์ ซึ่งยุติสงครามกลางเมืองยาวนานกว่าทศวรรษที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายพันคน

ในปี 2008 พระองค์ได้ลงจากบัลลังก์หลังจากรัฐสภาลงมติให้ยกเลิกระบอบกษัตริย์ฮินดูที่ปกครองมายาวนาน 240 ปีของเนปาล ทำให้ประเทศกลายเป็นสาธารณรัฐฆราวาส

แต่ตั้งแต่นั้นมา เนปาลมีรัฐบาล 13 ชุด และหลายคนในประเทศ เริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับสาธารณรัฐนี้ พวกเขาบอกว่าเนปาลไม่สามารถสร้างเสถียรภาพทางการเมืองได้ และโทษว่าเป็นต้นเหตุของเศรษฐกิจที่ตกต่ำและการทุจริตคอร์รัปชันที่แพร่หลาย

'ความไร้ความสามารถของนักการเมือง’ ผู้เข้าร่วมการชุมนุมกล่าวว่าพวกเขาหวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองเพื่อหยุดยั้งประเทศไม่ให้เสื่อมถอยต่อไป Thir Bahadur Bhandari วัย 72 ปี กล่าวกับสำนักข่าว Associated Press ว่า "เราอยู่ที่นี่เพื่อสนับสนุนกษัตริย์อย่างเต็มที่และรวมตัวสนับสนุนพระองค์เพื่อให้พระองค์ได้ขึ้นครองบัลลังก์อีกครั้ง" 

ในบรรดาคนนับหมื่นที่มาครั้งนี้ มีช่างไม้วัย 50 ปีชื่อ Kulraj Shrestha ซึ่งเคยเข้าร่วมการประท้วงต่อต้านกษัตริย์เมื่อปี 2006 แต่เปลี่ยนใจแล้วและตอนนี้กลับมาสนับสนุนสถาบันกษัตริย์

“สิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นกับประเทศคือการทุจริตคอร์รัปชันครั้งใหญ่ และนักการเมืองที่อยู่ในอำนาจทุกคนไม่ได้ทำอะไรเพื่อประเทศเลย” Kulraj Shrestha ให้สัมภาษณ์กับ AP “ผมเข้าร่วมการประท้วงที่ล้มล้างสถาบันกษัตริย์ด้วยความหวังว่ามันจะช่วยประเทศได้ แต่ผมคิดผิด และประเทศชาติยิ่งตกต่ำลง ผมจึงเปลี่ยนใจ”

สมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทระ ไม่ได้แสดงความคิดเห็นต่อข้อเรียกร้องให้คืนสถาบันกษัตริย์ แม้จะมีการสนับสนุนเพิ่มมากขึ้น แต่โอกาสที่พระองค์จะกลับคืนสู่อำนาจนั้นริบหรี่

Lok Raj Baral นักวิเคราะห์การเมือง กล่าวกับสำนักข่าว AFP ว่าเขาไม่เห็นความเป็นไปได้ที่สถาบันกษัตริย์จะฟื้นคืนมา เพราะสถาบันกษัตริย์เป็น “แหล่งที่มาของความไม่มั่นคง”

“สำหรับกลุ่มที่ไม่พอใจบางกลุ่ม การกระทำดังกล่าวได้กลายเป็นการส่งสัญญาณถอดใจ เนื่องจากความไร้ความสามารถของนักการเมืองที่กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวมากขึ้น ความหงุดหงิดดังกล่าวได้แสดงออกมาผ่านการชุมนุมและการเดินขบวนดังกล่าว” เขากล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top