Tuesday, 22 April 2025
เดโมแครต

เปิดประวัติ ‘อเล็กซานเดอร์ โซรอส’ ทายาทผู้รับช่วงต่อจาก ‘จอร์จ โซรอส’ พ่อมดแห่งโลกการเงิน

จอร์จ โซรอส เจ้าของฉายาพ่อมดการเงินโลกวัย 92 ปี ได้ประกาศวางมืออย่างเป็นทางการแล้วในวันนี้ และได้เลือก อเล็กซานเดอร์ โซรอส ลูกชายคนที่ 3 ของเขาเข้ามารับช่วงต่อ มูลนิธิ Open Society Foundations  มูลค่ามากกว่า 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ กองทุนที่ถูกใช้สนับสนุนองค์กรไม่แสวงกำไร และ สถาบันการศึกษามากกว่า 100 ล้านแห่งทั่วโลกที่มีพันธกิจในการขับเคลื่อนสังคม และการเมืองตามอุดมคติของจอร์จ โซรอส ที่หลายครั้งกลายเป็นประเด็นความขัดแย้งในหลายประเทศเช่นกัน

ก่อนหน้านี้ จอร์จ โซรอส ได้วางแผนถ่ายทอดกิจการมูลนิธิให้กับทายาทคนหนึ่งของเขา และได้โดนทรัพย์สินจากครอบครัวโซรอส เข้ากองทุนในมูลนิธิ Open Society Foundations ไป 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ ในปี 2017 ที่ทำให้กลายเป็นกองทุนการกุศลที่มีมูลค่าสูงที่สุดกองหนึ่งของโลก และได้แต่งตั้ง อเล็กซานเดอร์ โซรอส ลูกชายนั่งในตำแหน่งประธานมูลนิธิแห่งนี้ ทำให้สังคมเริ่มเห็นภาพชัดแล้วว่า จอร์จ โซรอส ได้เลือกใครเป็นทายาทสืบทอดเจตนารมย์ต่อจากเขา 

จอร์จ โซรอส มีบุตรทั้งหมด 5 คน โดยลูก 3 คนแรกที่เกิดกับ แอนนาลีส วิทส์แชค ภรรยาคนแรกของเขา คือ โรเบิร์ต, แอนเดรีย และ โจนาธาน โซรอส แต่หลังจากที่เขาได้หย่าขาดกับนาง แอนนาลิส ในปี 1983 จอร์จ โซรอส ได้แต่งงานใหม่อีกครั้งกับ ซูซาน เว็บเบอร์ และมีลูกด้วยกันอีก 2 คนคือ อเล็กซานเดอร์ และ เกรกอรี เจมส์ โซรอส

และในบรรดาลูกๆ ทั้ง 5 คนของ จอร์จ โซรอส อเล็กซานเดอร์ เป็นลูกชายที่มีความหลงใหลทางการเมืองสูงมากที่สุดคนหนึ่ง อเล็กซานเดอร์เคยให้สัมภาษณ์กับ Wall Street Journal ว่าเขามีความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนทิศทางการเมืองแรงกว่าพ่อของเขาเสียอีก และยังบอกใบ้อีกด้วยว่าจะได้เห็นบทบาทด้านการเงินขององค์กรครอบครัวโซรอสในงานเลือกตั้งผู้นำสหรัฐในสมัยหน้า (2024) อย่างแน่นอน

อเล็กซานเดอร์ โซรอส เกิดที่นิวยอร์ค ในปี 1985 ปัจจุบันอายุ 37 ปี เขาจบปริญญาตรีด้านประวัติศาสตร์ ที่ New York University  และเรียนจบระดับปริญญาเอกที่ University of California, Berkeley แล้วก็ทำงานในองค์กรด้านสังคมมาโดยตลอด และในทุนสนับสนุนกิจกรรมในการรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อม สิทธิแรงงาน และ การเมืองสายเสรีนิยมแบบอเมริกัน 

เช่นเดียวกับจอร์จ โซรอส พ่อของเขา ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นผู้บริจาคเงินสนับสนุนพรรคเดโมแครตรายใหญ่ที่สุดของพรรค อเล็กซานเดอร์ โซรอส ก็ทุ่มเทให้กับกองทุนช่วยเหลือชุมชมชาวยิวในสหรัฐ อาทิ Jewsish Fund for Justice, Progressive Jewish Alliance และ Jewish Council for Education and Research ที่มักอยู่เบื้องหลังแคมเปญหาเสียงของพรรคเดโมแครต ตั้งแต่สมัยอดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา 

ในปี 2012 อเล็กซานเดอร์ ได้ก่อตั้งมูลนิธิภายใต้ชื่อของตัวเอง Alexander Soros Foundation ซึ่งเป็นองค์กรที่มอบรางวัลให้แก่นักเคลื่อนไหวทางสังคม และสิ่งแวดล้อมในแต่ละปี ที่ทำให้ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น จนมาวันนี้ เขาได้รับช่วงต่อ Open Society Foundations หนึ่งในมูลนิธิที่มีกองทุนสนับสนุนมากที่สุดในโลก และ มีประเด็นขัดแย้งมากมายด้วยเช่นกัน 

ในปี 2018 Open Society ถูกบีบให้ย้ายสำนักงานออกจากกรุงบูดาเปสต์ ของฮังการี ไปยังกรุงเบอร์ลิน ในเยอรมันแทน หลังจากที่ข่าวความขัดแย้งกับ วิกเตอร์ ออร์บาน ผู้นำฮังการีฝ่ายขวา ซึ่งเตรียมจะออกร่างกฎหมายใหม่เพื่อควบคุมกลุ่มองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในประเทศ ที่มักถูกเรียกว่าเป็นร่างกฎหมาย "Stop Soros Bill" นอกจากนี้ Open Society ยังถูกแทรกแซงจนต้องปิดสำนักงานในปากีสถาน และ ตุรกี เมื่อมีข่าวว่าสนับสนุนกลุ่มต่อต้านรัฐบาลในประเทศ

จึงเป็นที่น่าสนใจว่า กิจกรรมของ Open Society Foundations ในยุคเปลี่ยนผ่านสู่รุ่นลูก อเล็กซานเดอร์ โซรอส ที่ได้ชื่อว่ามีไฟในการผลักดันกระแสการเมืองยิ่งกว่ารุ่นพ่อ จะสร้างความเปลี่ยนแปลง จนกลายเป็นประเด็นร้อนแรงที่จอร์จ โซรอส มักถูกโจมตีมาตลอดชีวิตการทำงานของเขาหรือไม่

‘เดโมแครต’ เครียด!! ‘ไบเดน’ สภาพแย่ ‘ดีเบตรอบแรก’ ทั้ง ‘ไอ-เสียงแหบ-พูดซ้ำคำเดิม’ ส่ง ‘ทรัมป์’ ชนะใส

(28 มิ.ย. 67) บลูมเบิร์กของสหรัฐฯ รายงานว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครตแสดงความผิดพลาดมากมายระหว่างการดีเบตรอบแรก ยิ่งเป็นแรงส่งให้เกิดความวิตกมากขึ้นถึงอายุที่สูงวัยของเขาและการที่เขาจะทำให้การหาเสียงประสบความสำเร็จและเอาชนะในการเลือกตั้งปลายปีได้อย่างไร

บนเวทีบลูมเบิร์กชี้ว่า ไบเดนนั้นทั้งไอ เสียงแหบ พูดซ้ำประโยคเดิม หยุดนิ่งไม่ไหวติง และเขายังพูดติด ๆ ขัด ๆ เมื่อกล่าวถึงตัวเลขเป็นต้นว่า จำนวนของงานที่สร้างใหม่ในสมัยของเขา การจำกัดเพดานจำนวนเงินสูงสุดที่ประชาชนอเมริกันต้องจ่ายสำหรับค่ายารักษาโรคและอินซูลิน ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของไบเดนในการให้ได้รับเลือกกลับเข้ามา ซึ่งในสหรัฐฯ ดินแดนเสรีนิยมที่มีค่ารักษาพยาบาลพุ่งสูง

การแสดงออกของไบเดนซึ่งเป็นที่น่าผิดหวังของไบเดนยิ่งทำให้ฝ่ายพรรครีพับลิกันลิงโลด และกระพือไฟโหมความอ่อนแรงและชราภาพของไบเดนให้ปรากฏ

ทรัมป์ฮุกหมัดใส่ไบเดนระหว่างเขาพลาดในประเด็นผู้อพยพเข้าสหรัฐฯ

ทรัมป์กล่าวว่า “ผมไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าเขาได้พูดอะไรออกมาในสิ่งนี้ และผมไม่รู้ว่าเขารู้หรือเปล่าถึงในสิ่งที่เขาได้เอ่ย”

บลูมเบิร์กรายงานว่า แต่ใช่ว่าทรัมป์จะทำผลงานดี เพราะเมื่อผู้จัด CNN ถามเขาเกี่ยวกับปัญหาโอปิออยด์ (opioid) ที่กำลังทำร้ายอเมริกันชน อดีตผู้นำสหรัฐฯ โบ้ยตอบเรื่องนักข่าววอลล์สตรีทเจอร์นัลถูกรัสเซียควบคุมตัวแทน และโกหกคำโตด้วยการกล่าวอ้างบรรดาผู้สนับสนุนกบฏบุกรัฐสภา 6 ม.ค. ปี 2021 นั้นได้รับเชิญให้เดินเข้าไปภายในรัฐสภาสหรัฐฯ

โพลด่วนของ CNN จัดทำโดย SSRS ได้แสดงให้เห็นว่าผู้ชมการดีเบตส่วนใหญ่ลงความเห็นให้ทรัมป์ชนะเหนือไบเดน

โดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ลงทะเบียนและได้ชมการดีเบตรอบแรกคืนวันพฤหัสบดี (27) 67% ต่อ 33% ชี้ว่า ทรัมป์แสดงความสามารถในการดีเบตได้ดีกว่า

ซึ่งก่อนการดีเบต พบว่ากลุ่มผู้ร่วมแบบสอบถามคนเดิมกล่าวว่า 55% ต่อ 45% ที่คาดว่าทรัมป์จะแสดงความสามารถในการดีเบตได้ดีกว่าไบเดน

และโพลด่วนของ CNN พบว่าผู้ชม 8 ใน 10 หรือราว 81% ต่างชี้ว่า การดีเบตไม่มีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในครั้งนี้ ส่วนอีก 14% ชี้ว่าการดีเบตทำให้คนเหล่านี้กลับมาพิจารณาใหม่อีกครั้งแต่ไม่เปลี่ยนใจ ส่วนอีก 5% กล่าวว่าเปลี่ยนใจจากผู้สมัครที่ตั้งใจจะเลือกก่อนหน้า

เดอะการ์เดียนชี้ว่า อดีตผู้อำนวยการด้านการสื่อสารของไบเดน เคท เบดิงฟิลด์ (Kate Bedingfield) แสดงความเห็นต่อผลงานของไบเดนว่า ‘มันเป็นการแสดงความสามารถดีเบตที่น่าผิดหวังของประธานาธิบดีโจ ไบเดน’

ขณะที่อดีตนักวางแผนทางยุทธศาสตร์ของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา เดวิด แอ็กเซิลร็อด (David Axlerod) กล่าวว่า พวกเดโมแครตพากันวิตกเป็นอย่างมากและกำลังสงสัยว่าประธานาธิบดีไบเดนสมควรไปต่อในการเดินหน้าหาเสียงเลือกตั้ง

‘Disney-Netflix’ ลั่น หยุดบริจาค หาก ‘เดโมแครต’ ไม่ยอมเปลี่ยนคนอื่นมาชน ‘ทรัมพ์’ มั่นใจ!! หายนะแน่ เพราะสภาพร่างกายไปต่อไม่ไหวแล้ว ชี้!! ดัน ‘แฮริส’ ขึ้นมายังดีกว่า

(7 ก.ค.67) หายนะจากงานดีเบทรอบแรกระหว่าง ไบเดน และ ทรัมพ์ ยังไม่จบง่ายๆ และดูเหมือนจะกลายเป็นสนิมเซาะกร่อนภายในพรรคเดโมแครตไปเรื่อยๆ เมื่อมีคนวงในพรรคหลายคน ออกมาแสดงความเห็นอย่างชัดเจนว่า ต้องการให้โจ ไบเดน ถอนตัวจากการแข่งขันเลือกตั้งประธานาธิบดี 2024 ที่จะถึงนี้ 

ทว่า โจ ไบเดน ยังยืนยันที่จะลงชิงตำแหน่งต่อเป็นสมัยที่ 2 และ ล่าสุดได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ ABC News ว่า มีเพียง ฤทธานุภาพของพระเจ้าเท่านั้น ที่สามารถดลบันดาลให้เขายอมถอนตัวออกจากสนามชิงชัยในการเลือกตั้งครั้งนี้ได้ 

และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า แต่ถ้าผลเกิดเลือกตั้งแพ้ทรัมพ์ขึ้นมา ไบเดนจะว่ายังไง? ไบเดนก็ตอบแบบลางไม่ค่อยดีว่า ‘ผมรู้สึกว่า ผมก็ทุ่มสุดตัวและทำหน้าที่ได้อย่างดีที่สุดเท่าที่ทำได้แล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมทำอยู่’

ฟังดูก็น่าเป็นห่วงอยู่ ว่า โจ ไบเดน วางเดิมพันกับการเลือกตั้งครั้งนี้ ด้วยบุญเก่าของตัวเองล้วนๆ ถ้าเสียงสวรรค์ชาวอเมริกันจะเลือกไบเดน ก็อาจเพราะเห็นใจอยากให้ปู่อยู่ต่อ หรือเป็นแฟนคลับเดนตายของเดโมแครต ที่ไม่เกี่ยงว่าพรรคจะส่งใครมา ยังไงก็เลือก โดยไม่ต้องไปคาดหวังว่าปู่โจ ไบเดน ยังจะขึ้นบันได Air Force One ไหวหรือเปล่า

แต่เมื่อโจ ไบเดน ได้อ้างถึง ฤทธานุภาพของพระเจ้า ผู้ทรงอำนาจสูงสุดในการดลใจมนุษย์หล่ะก็ พระเจ้าอาจไม่แสดงอิทธิฤทธิ์ให้มนุษย์เห็นตรงๆ แต่ทำงานผ่านคนกลาง ผู้มีศักยภาพมากพอที่จะเสกอะไรก็ได้ ประหนึ่งลูกพระเจ้าได้เหมือนกัน 

เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า กิจกรรมพรรคการเมืองขนาดใหญ่ระดับเดโมแครต จะขับเคลื่อนไม่ได้เลย หากไม่มีนายทุนผู้สนับสนุนพรรค ซึ่งนักลงทุนรายใหญ่จะตัดสินใจบริจาคเงินสนับสนุนใครก็ต่อเมื่อเขามั่นใจว่าจะเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า และมองเห็นอนาคต

ซึ่งตอนนี้ ผู้สนับสนุนรายใหญ่ของเดโมแครตหลายคนเริ่มไม่ค่อยมั่นใจในสภาพร่างกายของโจ ไบเดน แล้ว ว่าอาจเป็นตัวเลือกที่เสี่ยงเกินไป เมื่อต้องลงแข่งขันเลือกตั้งกับโดนัลด์ ทรัมพ์ ในครั้งนี้ 

หนึ่งในนายทุนรายใหญ่ที่สุดของเดโมแครตก็คือ อบิเกล ดิสนีย์ ทายาทอาณาจักรดิสนีย์ผู้มั่งคั่ง ออกมาประกาศชัดเจนว่า เธอจะยุติการสนับสนุนทุนให้แก่พรรคเดโมแครต ตราบใดที่พรรคไม่ยอมหาใครมาแทน โจ ไบเดน ในสนามเลือกตั้งครั้งนี้ 

อบิเกลได้ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า ‘นี่คือโลกแห่งความเป็นจริงค่ะ ไม่ได้มีเจตนาหยามเหยียดใคร ไบเดนเป็นคนดีที่ทำงานรับใช้ชาติได้อย่างน่าชื่นชม แต่เดิมพันครั้งนี้มันสูงเกินไป ถ้าไบเดนไม่ถอนตัว เดโมแครตแพ้แน่ ฉันมั่นใจอย่างนั้น และผลจากความพ่ายแพ้ครั้งนี้มันคือหายนะดีๆนี่เอง’
หรือถ้าพรรคยังหาตัวเลือกแทนไบเดนไม่ได้ อบิเกล เสนอให้ดัน กมลา แฮริส รองประธานาธิบดีคนปัจจุบันขึ้นมาแข่งแทน และเชื่อว่าสามารถเอาชนะทรัมพ์ได้ไม่ยากเลย และเรียกร้องให้พรรคอย่ามัวแต่เอาเวลามาล้อเลียนข้อบกพร่องของแฮริส ถ้าพรรคสามารถมองข้ามข้อเสียของไบเดนได้ ทำไมถึงยอมหยวนๆ กับข้อบกพร่องของแฮริสไม่ได้ 

และไม่ใช่เฉพาะทายาทดิสนีย์ ที่ออกมากดดันพรรคเดโมแครตให้เปลี่ยนตัวไบเดน รีด เฮสทิงส์ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Netflix และเป็นผู้บริจาครายใหญ่ของเดโมแครต ก็ออกมาเรียกร้องให้ไบเดนถอนตัวเช่นกัน เพื่อเห็นแก่พระเจ้า อุ่ย! ไม่ใช่! เพื่อเห็นแก่พรรคในการแข่งขันเพื่อเอาชนะทรัมพ์
รีด เฮสทิงส์ และ ภรรยา คือผู้ที่ลงเงินสนับสนุนให้กับแคมเปญหาเสียงของไบเดนตั้งแต่งานเลือกตั้งปี 2020 ถึง 1.5 ล้านเหรียญ และเมื่อไบเดน ตัดสินใจลงสนามอีกครั้งในปีนี้ เขาบริจาคเงินให้แคมเปญของไบเดนอีก 1 แสนเหรียญทันที ก่อนประกาศยุติการสนับสนุนหลังเห็นผลงานการดีเบทของไบเดนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

และนอกจากผู้บริหาร Disney และ Netflix จะออกมาประกาศเทไบเดนแล้ว ยังมีเศรษฐีกระเป๋าหนักด้อมเดโมแครต ที่ออกมายอมรับว่าจะไม่สนับสนุนไบเดนแล้ว อาทิ แบร์รี่ ดิลเลอร์ ผู้บริหารสื่อยักษ์ใหญ่ หรือ อารี เอ็มมานูเอล CEO บริษัทเอเจนซีเจ้าดังในฮอลลิวูด โดยเขาเปรียบเทียบว่า หากสหรัฐอเมริกาเป็นรถยนต์หรูราคา 2.7 ล้านล้านดอลลาร์คันหนึ่ง เขาคงไม่ยอมให้ทั้งทรัมพ์ และ ไบเดน ขับรถคันนี้ออกถนนในยามค่ำคืนแน่ๆ 

แม้ความเห็นของมหาเศรษฐีไม่กี่คน จะสู้เสียงของพระเจ้าในใจไบเดนไม่ได้ แต่ บางคนก็บอกว่า เงินนั่นแหล่ะคือพระเจ้า ถ้าเงินไม่มี จะไปทำอะไรได้ ซึ่งก็อาจจะจริงในแง่หนึ่งเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

เพราะทุกการลงทุนคือความเสี่ยง เช่นเดียวกับการทอดลูกเต๋า โอกาสที่ไบเดนที่จะชนะทรัมพ์ ก็ไม่ได้เป็น 0 เสมอไป เพราะบางคนเลือกแค่คนที่รัก แต่บางคนก็เลือกเพราะพรรคที่ชอบ 

แต่หากเป็นเรื่องของประเทศชาติบ้านเมือง ถ้ามัวแต่เกรงใจกัน ก็ต้องยอมรับผลลัพธ์ร่วมกัน ว่าเราได้เลือกแล้วว่าจะให้ใครมาขับรถหรูคันละ 2.7 ล้านล้าน ออกไปซิ่งยามค่ำคืนในอีก 4 ปีข้างหน้า 

‘แฮร์ริส’ ภูมิใจได้รับแรงหนุนจากคนในพรรค หลัง ‘ไบเดน’ ถอนตัว พร้อมลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สู้!! ‘โดนัลด์ ทรัมป์’

(23 ก.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ‘กมลา แฮร์ริส’ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า เธอได้รับการสนับสนุนจากคณะผู้แทนของพรรคเดโมแครตมากพอจะได้รับการเสนอชื่อเป็นตัวแทนพรรคฯ ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ใกล้จะเกิดขึ้น

โดยแถลงการณ์จากแฮร์ริสระบุว่า เธอภูมิใจที่ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางที่จำเป็นต่อการได้รับเสนอชื่อเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต และหวังว่าจะได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการเร็ว ๆ นี้

อนึ่ง โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันอาทิตย์ (21 ก.ค.) ว่าเขาจะถอนตัวออกจากการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2024 ภายใต้แรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากภายในพรรคเดโมแครต โดยไบเดนยังแสดงการสนับสนุนอย่างเต็มที่ในการเสนอให้แฮร์ริสเป็นแคนดิเดตชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของพรรคฯ

แฮร์ริสได้รับแรงหนุนจากบุคคลสำคัญของพรรคเดโมแครตหลายคน ซึ่งรวมถึงอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรอย่างแนนซี เพโลซี ที่เรียกร้องให้พรรคฯ รวมพลังและคว้าชัยเหนืออดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน

🔍ส่อง 10 ธุรกิจ ที่บริจาคเงินสนับสนุนพรรคการเมืองในสหรัฐฯ มากที่สุดในปี 2024

ปีนี้จะเป็นอีกปีที่มีเหตุการณ์สำคัญระดับโลกอย่างการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งจะมีคณะกรรมการการดำเนินการทางการเมืองที่จัดตั้งขึ้น เพื่อรวบรวมและบริจาคเงินทุนจากบุคคลและกลุ่มต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการเลือกตั้งหรือพรรคการเมืองที่พวกเขาต้องการ

ซึ่งจากข้อมูลของ Quiver Quantitative เมื่อวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมาได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลบริษัท 10 อันดับในสหรัฐฯ ที่มีการบริจาคเงินสูงสุดเพื่อสนับสนุนการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยการบริจาคจะมีทั้งให้พรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน รวมถึงพรรคการเมืองเล็กๆ พรรคอื่นด้วย และจากข้อมูลการบริจาคของทั้ง 10 บริษัทจนถึงวันที่เก็บข้อมูลนั้น แสดงผลการบริจาคว่ามีการบริจาคให้ทั้ง 2 พรรคที่สูสีกัน แต่พรรคที่ได้รับการบริจาคมากกว่าอยู่นิดหน่อยคือพรรครีพับลิกัน

และใน 10 บริษัทนั้นมีถึง 4 บริษัทที่เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างบริษัทผู้รับเหมาด้านกลาโหมของสหรัฐ และเป็นบริษัทที่จัดการสินค้าหรือให้บริการกับหน่วยงานทางการทหารและมีกระทรวงกลาโหมเป็นลูกค้ารายใหญ่อย่างเช่น Boeing, Northrop Grumman, L3Harris Technologies และ Lockheed ด้วย 

ส่วนผลการเลือกตั้งครั้งนี้จะออกหน้าไหน เราคงต้องไปรอลุ้นกันในการเลือกตั้งวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 ซึ่งต้องมารอดูกันว่าหลังจากที่พรรคเดโมแครตได้มีการเปลี่ยนตัวผู้ชิงตำแหน่งจากการถอนตัวของโจ ไบเดนมาเป็น กมลา แฮร์ริส จะสามารถทำให้เดโมแครตสามารถได้เสียงข้างมากในการเลือกตั้งครั้งนี้อีกครั้งหรือไม่?

‘นิวยอร์กไทม์’ เผย!! 'ทรัมป์-แฮร์ริส' คะแนนนิยมกินกันไม่ลงก่อนดีเบตรอบใหม่ ภายใต้มุมมองอเมริกันชนที่ยังไม่ค่อยเข้าใจ 'จุดยืน-นโยบาย' ของ 'แฮร์ริส'

(9 ก.ย. 67) สำนักข่าวรอยเตอร์ ได้มีการเปิดเผยผลสำรวจของ ‘นิวยอร์กไทม์’ (New York Times/ Siena College) พบว่า ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ผู้สมัครประธานาธิบดีจากพรรคริพับริพัน มีคะแนนนิยมนำ รองประธานาธิบดี ‘กมลา แฮร์ริส’ จากพรรคเดโมแครต 1 แต้ม อยู่ที่ 48% ต่อ 47% ซึ่งเป็นส่วนต่างที่ไม่มีนัยสำคัญภายใต้ค่าความผิดพลาดของโพลซึ่งอยู่ที่บวกลบไม่เกิน 3% นั่นหมายความว่าทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็มีโอกาสมากพอๆ กันที่จะชนะศึกเลือกตั้งในวันที่ 5 พ.ย. 67

แม้แคมเปญหาเสียงของ ทรัมป์ จะซวนเซไปบ้างหลังจากที่ประธานาธิบดี ‘โจ ไบเดน’ ประกาศถอนตัว และส่ง ‘กมลา แฮร์ริส’ ขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงพรรคเดโมแครตแทนเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ผลสำรวจล่าสุดของหลายสำนักบ่งชี้ตรงกันว่ากลุ่มประชากรที่เป็นฐานเสียงหลักของ ทรัมป์ ยังคงเหนียวแน่นเหมือนเดิม

โพลฉบับนี้ยังพบด้วยว่า ชาวอเมริกันผู้มีสิทธิเลือกตั้งบางส่วนยังไม่ค่อยเข้าใจจุดยืนและนโยบายต่างๆ ของแฮร์ริสเท่าไหร่นัก ขณะที่ความเข้าใจของพวกเขาต่อทรัมป์ นั้น ‘ชัดเจน’ อยู่แล้ว โดย 28% ยอมรับว่ายังต้องการข้อมูลเกี่ยวกับผู้สมัครของเดโมแครตมากกว่านี้ แต่มีเพียง 9% ที่รู้สึกแบบเดียวกันกับทรัมป์

จากตัวเลขที่ออกมาทำให้เห็นได้ว่า ศึกดีเบตนัดแรกระหว่าง ทรัมป์ กับ แฮร์ริส ในวันพรุ่งนี้ (10 ก.ย. 67) อาจจะเป็นอีกหนึ่งจุดพลิกผันที่สำคัญของศึกการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

โดย ‘แฮร์ริส’ จะได้มีโอกาสแจกแจงนโยบายต่างๆ ของเธอให้ชาวอเมริกันเข้าใจมากยิ่งขึ้นระหว่างที่ประชันวิสัยทัศน์กับ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นเวลา 90 นาที และเนื่องจากคะแนนนิยมของทั้งคู่สูสีกันอย่างยิ่ง ศึกดีเบตครั้งนี้จึงอาจสร้างแรงกระเพื่อมอย่างมีนัยสำคัญหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำผลงานออกมาได้ดีกว่า

นับตั้งแต่ แฮร์ริส ก้าวเข้ามาถือตั๋วผู้แทนพรรคเดโมแครต เธอก็ตระเวนเดินสายพบปะประชาชนอย่างแข็งขัน แต่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นการแสดงวิสัยทัศน์แบบ ‘อ่านบท’ ที่เตรียมเอาไว้แล้ว และยังให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวต่างๆ น้อยมากด้วย

ผลสำรวจครั้งนี้ออกมาคล้ายคลึงกับโพลของ ‘New York Times/ Siena College’ เมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ที่พบว่า ทรัมป์ มีคะแนนนำแฮร์ริส อยู่ 1 แต้มเช่นกัน

สำหรับผลโพลใน 7 รัฐสมรภูมิสำคัญที่คาดว่าจะเป็นตัวตัดสินผลเลือกตั้งในวันที่ 5 พ.ย. 67 ก็พบว่าผู้สมัครทั้ง 2 รายยังคงมีคะแนนนิยมตีคู่สูสีกันอย่างมาก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top