Tuesday, 22 April 2025
เงินกู้

“เงินกู้ดอกเบี้ยเกินกฎหมายกำหนด” จำคุก 2 ปี ปรับ 200,000 บาท ศึกษาข้อมูลก่อน เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อแก๊งเงินกู้โหด ด้วยความห่วงใยจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยว่า ในห้วงปัจจุบันแก๊งปล่อยเงินกู้ระบาดอย่างหนัก มีทั้งรูปแบบเชิญชวนโดยการแจกนามบัตร ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ หรือแอปพลิเคชัน ซึ่งบางครั้งมีการคิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด นั้น

พล.ต.ต.ยิ่งยศฯ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีนโยบายปราบปรามหนี้นอกระบบที่คิดอัตราดอกเบี้ยสูงเกินกฎหมายกำหนดซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของพี่น้องประชาชน เป็นวาระแห่งชาติ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงได้กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เร่งกวาดล้างแก๊งปล่อยเงินกู้ที่คิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนดอย่างเร่งด่วน 

โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการจับกุมแก๊งปล่อยเงินกู้ที่คิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนดมาโดยตลอด และอยากขอฝากถึงพี่น้องประชาชนว่าก่อนที่จะกู้เงินจากที่ใดก็ตามขอให้ศึกษาข้อมูลเงื่อนไขรวมถึงดอกเบี้ยให้ดี¬ เพื่อไม่ให้ถูกเจ้าหนี้คิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด และอยากเตือนไปถึงเจ้าหนี้นอกระบบที่คิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด หรือมีการเรียกเก็บ
ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แอบแฝง นั้น อาจมีความผิดตามกฎหมาย  

‘สันติ’ ดัน นโยบายแก้หนี้นอกระบบ ลดดอกเบี้ยเงินกู้ ช่วยกลุ่มเปราะบาง สร้างความเสมอภาคในการเลี้ยงอาชีพ

(22 มี.ค. 66) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงการผลักดันนโยบายแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ว่า จะมีมาตรการจะช่วยกลุ่มเปราะบาง ซึ่งโดยส่วนตัวตนไม่เห็นด้วยที่ธนาคารแห่งประเทศไทย จะรับรองเงินนอกระบบมาเป็นเงินในระบบและคิดดอกเบี้ย 20-30% เพราะตามข้อเท็จจริงชาวบ้านและเกษตรกร ถ้าไม่ได้รับความเสมอภาคก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะฟื้นตัว เพราะเขาต้องกู้เงินนอกระบบ แต่ต้องมาแบกดอกเบี้ยแพงขนาดนี้ แต่ปล่อยกู้ให้นายทุนคิดดอกเบี้ยเพียง 2-3% เท่านั้น ทั้งที่ต้นทุนส่วนใหญ่เป็นเงินฝากของประชาชนทั้งประเทศประมาณ 22 ล้านล้านบาท

ซึ่งธนาคารต่าง ๆ ปล่อยกู้ให้กิจการขนาดใหญ่จำนวนมาก แต่ในระดับข้างล่าง อาทิ เอสเอ็มอี (SME) หาบเร่แผงลอย ได้มาพูดคุยกับตนและพรรคว่า เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนเหล่านี้ เพราะธนาคารคิดดอกเบี้ยแพง รวมถึงดอกเบี้ยเงินฝากได้เพียง 0.75-1% หรือได้ไม่ถึง 1% แต่เวลาธนาคารต่าง ๆ นำเงินไปปล่อยกู้ เก็บดอกเบี้ย 7-8% ฉะนั้น จะนำเรื่องนี้ประชุมกับคณะกรรมการบริหารพรรค เพื่อหาแนวทางแก้ไข

'มือเศรษฐกิจจุลภาค' เตือน!! หยุดกู้เงินมาใช้บริโภค หากไม่อยากชีวิตพัง แนะ!! ค่านิยมฟุ้งเฟ้อ กำจัดได้ตั้งแต่ 'ครอบครัว-รั้วโรงเรียน'

(20 ก.ย.66) จากรายการ 'ถลกข่าว ถลกปัญหา' ทาง THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 19 ก.ย.66 ได้พูดคุยกับ นายพลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์ มือเศรษฐกิจจุลภาค อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในประเด็นการวางแผนวินัยทางการเงินของคนยุคใหม่ ไว้อย่างน่าสนใจ ว่า…

“ประเทศไทยเริ่มมีการให้สินเชื่อหนี้บุคคลกว้างขวางขึ้น และง่ายขึ้นมาก ๆ แต่หากนำไปใช้เพื่อการบริโภคก็น่าเป็นห่วง ปกติส่วนใหญ่แล้วหากจะก่อหนี้ จะก่อหนี้เพื่อซื้อสิ่งของที่คงทนถาวร เช่น ซื้อรถ ซื้อบ้าน แต่หากกู้ไปเพื่อการบริโภคจะมีปัญหา เช่น การกู้ไปซื้อโทรศัพท์มือถือ แต่ถ้าใช้โทรศัพท์นั้นมาเป็นเครื่องมือทำมาหากิน เช่น ไลฟ์ขายของ อันนี้ถือว่าเป็นหนี้คุณภาพ แต่ถ้ากู้มาเพื่อเอาไปเที่ยวต่างประเทศ อันนี้ผมก็ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่”

“จริง ๆ เรื่องแบบนี้ ต้องเริ่มสอนจากครอบครัวและโรงเรียน เริ่มสอนกันตั้งแต่เด็ก ๆ โรงเรียนในต่างประเทศจะสอนเรื่องวินัยการเงินตั้งแต่เด็ก ๆ เขาจะซื้อของใช้เท่าที่จำเป็น เช่น หากจะซื้อโทรศัพท์สักเครื่อง เขาจะซื้อรุ่นที่เขาจำเป็นต้องใช้ ไม่ได้ซื้อเพราะมีเงินพอที่จะซื้อได้ หรือแม้แต่เรื่องการซื้อกาแฟ เขาก็ซื้อดื่มเท่าที่จำเป็น ผมจึงขอยืนยันอีกครั้งว่า เรื่องพวกนี้ต้องสอนกันตั้งแต่เด็ก ๆ และเป็นวาระแห่งชาติครับ” นายพลัฏฐ์ กล่าวทิ้งท้าย

รับชมสัมภาษณ์เต็มได้ที่ >> https://www.youtube.com/watch?v=raLF6-cwG08

‘ผู้เชี่ยวชาญการเงิน’ แตะเบรกดรามาตัดต้นแค่ 5.50 บาท เพราะยอดผ่อนต่อเดือนน้อย แบบนี้ธนาคารพึงประสงค์

ภายหลังจากเมื่อวานนี้ (2 พ.ย. 66) ได้เกิดกระแสฮือฮาขึ้น เมื่อชาวเน็ตสาวรายหนึ่ง ออกมาโพสต์ภาพใบเสร็จการจ่ายค่าบ้าน มูลค่ารวม 10,900 บาท พร้อมแคปชันว่า...

“ชาติไหนหมดเนี่ย หนักเลยวันนี้ ไปตัดต้นกู 5฿ ฝากถึงคนที่จะกู้บ้าน 5555555 ตาย 2 ปีแรกชิว พอปีที่3….. รอรีไฟแนนซ์!!!!”

พร้อมทั้งโพสต์สลิปบิลการจ่ายค่าบ้านหลักหมื่นบาท แต่หักเงินต้นไปแค่ 5.50 บาท ที่เหลือเป็นค่าดอกเบี้ยนั้น

ล่าสุด ดร.กริช เศรษฐนันท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและเศรษฐกิจ ก็ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กอธิบายสาเหตุที่ทำให้สาวคนดังกล่าวถูกหักเงินต้นน้อยแต่ดอกเบี้ยเยอะ ดังนี้…

สาเหตุที่เป็นแบบนี้ คือ เพราะยอดผ่อนต่อเดือนมันน้อยครับ ไม่มีอะไรผิดปกติในเรื่องการคำนวณใด ๆ (ผิดได้กรณีเดียวคือ ธนาคารใช้ดอกเบี้ยไม่ตรงกับสัญญาหรือข้อกำหนดแบงก์ชาติ แต่ถ้าผิดเรื่องนี้ มันจะไม่ใช่แค่เคสเงินต้นเกือบศูนย์แบบนี้ เพราะมันผิดได้หมดทุกวงเงินกู้)

ดูทรงแล้ว ช่วงของการผ่อน ณ ปัจจุบัน ดอกเบี้ยน่าจะโดนประมาณ 6% ต่อปี ยอดเงินกู้เหลือประมาณ 2 ล้าน ณ ตอนนี้ก็ดอกประมาณ 120,xxx ต่อปี หรือ 10,xxx ต่อเดือน แล้วดันผ่อนประมาณ 10,xxx ต่อเดือนเช่นกัน มันแทบไม่ต่างจากดอก แล้วมันจะเหลือเอาเงินผ่อนที่ไหนไปหักเงินต้น แบบนี้คือเลือกผ่อนน้อย ผ่อนนาน

ถ้าสมมติ ผ่อนประมาณ 20,000 ต่อเดือน มันก็หักดอกประมาณ 10,000 เท่านี้แหละ ที่เหลืออีก 10,000 มันก็จะไปหักต้นให้ มันก็จะตัดเงินต้นได้เยอะ จบได้ไวกว่า

ยอดดอกในแต่ละเดือน มันจะลดลงตามเงินต้นที่ถูกตัดไป ถ้าอยากจ่ายดอก ‘โดยรวมทั้งหมด’ สำหรับการกู้ซื้อบ้านหลังใดหลังหนึ่ง ให้มันน้อยหน่อย ก็ต้องผ่อนต่อเดือนเยอะ ๆ ให้มันมีเงินเหลือจากการหักดอก แล้วไปตัดเงินต้นเยอะๆ

คนที่กู้ แล้วจ่ายเงินผ่อนต่อเดือนน้อย ๆ นี่คือ ลูกหนี้ชั้นดีที่พึงประสงค์ของธนาคารเลยแหละ อ่านสัญญา ดูโครงสร้างการผ่อนเงินกู้ให้ดี รู้จักวิธีรีเทนชั่น วิธีรีไฟแนนซ์ ศึกษาเรื่องเงินที่มันเกี่ยวข้องกับชีวิตเราหลาย ๆ ด้าน 

'กรณ์' เชื่อ!! กู้เงินแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตไม่เกิด ชี้!! หากทำได้ 'เพื่อไทย' ได้ประโยชน์คนเดียว

(23 ม.ค. 67) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงความเห็นถึงโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่รัฐบาลมีเป้าหมายกู้เงิน 5 แสนล้านมาใช้ในโครงการดังกล่าว โดยฟันธงว่า การกู้เงินมาเพื่อ ‘แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท’ คงไม่เกิดแล้ว แม้ว่าทางรัฐบาล (จริงๆ คือพรรคเพื่อไทย) ยังจะวางท่าทีขึงขังเหมือนจะเดินหน้าต่อก็ตาม

นายกรณ์ กล่าวว่า ผมไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ตั้งแต่พรรคเพื่อไทยได้ประกาศออกมาก่อนเลือกตั้ง ด้วยหลากหลายเหตุผลที่ไม่ต่างกับผู้คัดค้านอีกหลายท่าน ทั้งในแง่การเมือง (การหาเสียงแนวนี้มีแต่จะทำให้การเมืองแย่ลง) แง่เศรษฐกิจ (เป็นการใช้เงิน (กู้) ที่ไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ) และแง่กฎหมาย (รัฐธรรมนูญและ พ.ร.บ.วินัยทางการคลัง ชัดเจนมากว่าทำไม่ได้)

นายกรณ์ ระบุด้วยว่า ส่วนตัวได้ถอยจากการเมืองมาแล้ว ก็ไม่อยากออกตัวมากมาย แต่บางเรื่องที่ถือว่าพอมีความรู้และประสบการณ์ และเป็นเรื่องที่มีผลใหญ่หลวงกับบ้านเมือง และมีส่วนได้ส่วนเสียในฐานะประชาชนคนหนึ่ง จึงขอแสดงออก ส่วนจะผิดถูกอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจตัดสินใจเองอยู่ดี

"หลังจากที่ได้อ่านความเห็นคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผมสรุปได้เลยว่า ประเด็นสำคัญที่สุดคือ ผลสรุปว่าสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันไม่อยู่ในเกณฑ์วิกฤต เมื่อไม่วิกฤตก็ไม่เข้าเกณฑ์ตามมาตรา 53 พรบ.วินัยทางการคลังที่จะออกกฎหมายกู้เงินแบบ 'นอกงบประมาณ' ดังนั้นเมื่อ ป.ป.ช. สรุปตามนี้ หากรัฐบาลเดินหน้าต่อไปจะเสี่ยงมาก อย่างไรก็ตาม พรรคเพื่อไทยเขาอาจจะยังกล้าเดินหน้า... แต่ผมไม่คิดว่าพรรคร่วมจะเอาด้วย" นายกรณ์ ระบุ

พร้อมระบุอีกด้วยว่า "ทางการเมืองนโยบายนี้เป็นของเพื่อไทย ไม่ใช่ของพรรคอื่น ถ้าทำได้และทำดี พรรคเดียวที่ได้ประโยชน์คือเพื่อไทย อันนี้ต่างกับนโยบายอื่นที่ก็มีคนคัดค้านมากมายเหมือนกัน เช่น Land Bridge เพราะนโยบายนี้พูดไว้ตั้งแต่สมัยรัฐบาลลุงตู่ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคพลังประชารัฐ จึงมีส่วนเกี่ยวข้อง แม้แต่ภูมิใจไทยที่มีความเป็นพรรคภาคใต้มากขึ้นก็ไม่อยากค้านเรื่องนี้ ประชาธิปัตย์ที่เป็นฝ่ายค้านยังไม่มีท่าทีเรื่องนี้ที่ชัดเจนเลย แต่แจกเงินดิจิทัลนี้ หากล้มไปตอนนี้ผมเชื่อว่าพรรคร่วมแทบทุกพรรคจะถอนหายใจโล่งอก หนึ่งไม่ต้องเสี่ยง สองปัญหาตกอยู่ที่พรรคเพื่อไทยพรรคเดียว แต่ถ้าล้มหลังผ่าน ครม. หรือผ่าน สภาฯ ไปแล้ว พรรคร่วมจะมีปัญหาด้วย เพราะต้องร่วมรับผิดชอบ" 

อดีต รมว.คลัง กล่าวอีกว่า ในกรณี พ.ร.บ.กู้ 2 ล้านล้านบาทนั้น ถึงแม้ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ได้ส่งผลให้รัฐบาลต้องรับผิดชอบเพราะตอนนั้นยุบสภาไปแล้ว และรัฐบาลอยู่ในสภาพรักษาการ ที่สำคัญ ตอนที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นเรื่องร้องเรียน พ.ร.บ.ฉบับนั้น กับศาลรัฐธรรมนูญ เราก็ยื่นด้วยเหตุผลที่ไม่ต่างกันนักกับข้อสรุปล่าสุดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็คือการออก พ.ร.บ.ในกรณีที่ไม่เร่งด่วนจำเป็นทำไมได้ ต้องใช้เงินใน พ.ร.บ.งบประมาณเท่านั้น (ซึ่งตอนหาเสียงพรรคเพื่อไทยเองก็ยืนยันว่าจะทำตามนั้น) และที่สำคัญผู้ที่ร่วมลงนามยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญวันนั้น มีทั้งสส. ทั้งรัฐมนตรี และรวมไปถึงแม้แต่หัวหน้าพรรคของพรรคร่วมรัฐบาลชุดปัจจุบัน

"ดังนั้นผมเชื่อว่าเรื่องนี้คงไม่ได้ไปต่อ เพราะท่านเหล่านั้นตระหนักเป็นอย่างดีว่า การออก พรบ.กู้เงินลักษณะนี้เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ วันนี้มี พรบ.วินัยทางการคลังมายํ้าประเด็นเพิ่มเติม และยังมีความเห็น ปปช. ที่ไม่เห็นด้วยอีกต่างหาก...

"ผมคิดว่าเพื่อไทยคงหาทางลงอยู่ จริงๆ แล้วก็แค่บอกว่า เราเคารพความเห็นและความกังวลของทุกฝ่าย เราจะเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยวิธีอื่น โดยเราจะให้ความสำคัญสูงสุดกับการแก้ปัญหาหนี้สินของประชาชน การฟื้นฟูการลงทุน การยกระดับมาตรฐานการศึกษาของเยาวชนไทย และการส่งเสริมให้มีการแข่งขันที่โปร่งใสและเป็นธรรมในทุกภาคธุรกิจ...

"ผมว่าถ้าออกมาอย่างนี้ รัฐบาลจะไปต่อได้อย่างมั่นคง แต่ถ้าดันทุรัง รัฐบาลจะมีปัญหา ซึ่งหมายความว่าประเทศก็จะมีปัญหา ยิ่งจบเร็วยิ่งจะมีผลเสียน้อยกับทุกฝ่ายครับ" นายกรณ์ ทิ้งท้าย

ศปน.ตร.แถลงผลการดำเนินการระดมกวาดล้างจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบทั่วประเทศ

ศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  (ศปน.ตร.) แถลงผลการดำเนินการระดมกวาดล้างป้องกันและปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับ หนี้นอกระบบทั่วประเทศ ในห้วงระหว่างเดือน พ.ย.66-ก.พ.67 โดยบูรณาการแก้ไขปัญหาร่วมกับกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งแก้ไขปัญหา และบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ตามนโยบายรัฐบาล ภายใต้การกำกับดูแลของ นายเศรษฐา  ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ตระหนักถึงความสำคัญของการแก้ปัญหาหนี้สิน ทั้งหนี้นอกระบบและ หนี้ในระบบ ซึ่งถือเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน จึงได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นเป็นวาระแห่งชาติ  

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยและตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาดังกล่าว อีกทั้งเพื่อเป็นการสนองตอบนโยบายรัฐบาล จึงสั่งการศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปน.ตร.) ซึ่งมี พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. เป็น ผู้อำนวยการศูนย์ฯ และ พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็น รองผู้อำนวยการศูนย์ฯ ดำเนินการระดมกวาดล้างจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบอย่างจริงจัง ให้มีผลการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยบูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผ่านกลไก สถานีตำรวจทั่วประเทศ และ หน่วยงานสืบสวนสอบสวนจากส่วนกลางทุกหน่วย พร้อมกำหนดแนวทางการดำเนินงานเชิงบูรณาการ เป็น 3 มิติ ได้แก่

1. มิติการบูรณาการด้านข้อมูล  เปิดให้บริการรับลงทะเบียนขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบที่สถานีตำรวจทุกแห่ง เพิ่มเติมจากศาลากลางจังหวัด  ที่ว่าการอำเภอ และ สำนักงานเขต เพื่อสนับสนุน และบูรณาการข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับกระทรวงมหาดไทย 

2. มิติการบังคับใช้กฎหมาย ดำเนินการปราบปรามผู้กระทำความผิดทุกรูปแบบ ทั้ง On Ground และ Online อย่างจริงจัง บังคับใช้กฎหมายทุกฐานความผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหนี้ที่มีพฤติการณ์ข่มขู่ ใช้ความรุนแรงในการทวงหนี้ และรับจำนำรถยนต์ รถจักรยานยนต์โดยผิดกฎหมาย รวมทั้งขยายผลไปยังนายทุน ผู้อยู่เบื้องหลัง

3. มิติด้านการไกล่เกลี่ยเชิงบูรณาการ ได้ร่วมกับ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  พิจารณาแนวทางการไกล่เกลี่ย เจรจาและประนอมข้อพิพาท เพื่อให้เกิดสัญญาที่เป็นธรรม และเป็นไปตามกฎหมาย    

วันที่ 23 ก.พ.67 ณ ห้องสารสิน ชั้น 2 อาคาร 1 ตร. โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานฯ และมี พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ต.โชคชัย งามวงศ์ รอง ผบช.ภ.1, พล.ต.ต.สุรจิต  ชิงนวรรณ์ รอง ผบช.ภ.2, พล.ต.ต.ชมชวิณ  ปุระธนานนท์ รอง ผบช.ภ.7, พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ. และ พ.ต.อ.วิชัย แดงประดับ รอง ผบก.สส.บช.น. เข้าร่วมแถลงผลการดำเนินการระดมกวาดล้างป้องกันและปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบทั่วประเทศ ในห้วงระหว่างเดือน พ.ย.66 - ก.พ.67 ซึ่งได้มีการดำเนินการระดมกวาดล้าง 3 ห้วง คือ ห้วงที่ 1 ระหว่างวันที่ 24 พ.ย.66 ถึง 4 ธ.ค.66, ห้วงที่ 2 วันที่ 15 – 24 ม.ค.67 และห้วงที่ 3 วันที่ 12 – 21 ก.พ.67 โดยสามารถดำเนินคดีในความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบได้ 2,182 ราย ผู้ต้องหา 2,296 คน คิดเป็นมูลหนี้รวมทั้งสิ้น 114,801,112 บาท ตรวจยึดของกลางหลายรายการ อาทิเช่น เงินสด อาวุธ บัญชีลูกค้า บัญชีธนาคาร รถยนต์ รถจักรยานยนต์ โฉนดที่ดิน และโทรศัพท์จำนวนมาก ซึ่งประเมินมูลค่าของกลางรวมทั้งสิ้น 63,694,336 บาท   

นอกจากนี้ยังพบว่า ผลการปฏิบัติในการบังคับใช้กฎหมายต่อผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ นับตั้งแต่รัฐบาลได้ประกาศให้การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบเป็นวาระแห่งชาติ ในวันที่ 28 พ.ย.66  ที่ผ่านมา มีผลการปฏิบัติในการบังคับใช้กฎหมายต่อผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ ระหว่าง 1 ธ.ค.66 – 31 ม.ค.67 จำนวนทั้งสิ้น 1,237 คดี ซึ่งมีผลการปฏิบัติที่สูงขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับห้วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยผลการปฏิบัติในการบังคับใช้กฎหมายต่อผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ ระหว่าง 1 ธ.ค.65 –31 ม.ค.66 มีจำนวนทั้งสิ้น 266 คดี
     
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย ศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปน.ตร.) จะยังคง กวดขัน ปราบปราม จับกุม และดำเนินคดี กับผู้กระทำความผิด อย่างต่อเนื่องต่อไป ในส่วนรายที่มีการจับกุมดำเนินคดีแล้ว ได้มีการเร่งรัดการทำสำนวนการสอบสวนให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเวลา รวมไปถึงการควบคุมสำนวนการสอบสวนให้มีความเห็นสั่งฟ้องต่อพนักงานอัยการ เพื่อให้การดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดเกิดประสิทธิภาพสูงสุด 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอให้ความเชื่อมั่นว่า จะระดมทุกสรรพกำลัง เดินหน้าปราบปรามนายทุนเงินกู้นอกระบบอย่างต่อเนื่อง เพื่อปลดปล่อยลูกหนี้ ให้หลุดพ้นจากวงจรอันโหดร้ายนี้ และพร้อม
ร่วมบูรณาการกับทุกหน่วยงาน เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้สำเร็จอย่างยั่งยืน ตามนโยบายรัฐบาลต่อไป
         
ทั้งนี้ ศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบฯ ขอประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนมายังพี่น้องประชาชนหากต้องการกู้ยืมเงินควรศึกษาข้อมูล และเลือกกู้ยืมเงินกับทางสถาบันทางการเงินหรือผู้ให้บริการด้านสินเชื่อที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีความน่าเชื่อถือ และสามารถตรวจสอบได้ เพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพที่หลอกลวงปล่อยเงินกู้นอกระบบ จนสร้างความเดือดร้อน หากตกเป็นเหยื่อหรือได้รับความเดือดร้อน สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน 1599 หรือลงทะเบียนขอความช่วยเหลือที่สถานีตำรวจทุกแห่ง ศาลากลางจังหวัด ที่ว่าการอำเภอ และ สำนักงานเขต

'รมว.คลัง' นัดหารือ 'แบงก์ชาติ' ปมแบงก์เข้มงวด 'เงินกู้ซื้อบ้าน' เชื่อ!! ผ่อนเกณฑ์กู้ในภาวะนี้ ไม่ได้เอื้อคนซื้ออสังหาฯ ไปเก็งกำไร

(11 ก.ค.67) Business Tomorrow เผยว่า นาย พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน หลังได้ปาฐกถาพิเศษ 'พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้ก้าวไกลอย่างยั่งยืน' ที่งาน EnCo ฉลองครบรอบ 20 ปีจัดสัมมนาอสังหาริมทรัพย์ใหญ่แห่งปีร่วมขับเคลื่อนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย ให้ก้าวไกลอย่างยั่งยืน ว่า จะหารือกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเรื่องการผ่อนปรนมาตรการ LTV หรือสัดส่วนเงินกู้ต่อมูลค่าบ้าน

นายพิชัย กล่าวยืนยันว่า “ไม่เชื่อว่าการผ่อนเกณฑ์เงินกู้จะทำให้คนซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อเก็งกำไร ในภาวะที่ผู้บริโภคง่อยเปลี้ยเสียขา จากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมไม่ดี และครัวเรือนมีหนี้สินสูงเกิน 90 % ของจีดีพี ทั้งหนี้เสียของภาคอสังหาริมทรัพย์ก็สูงและมีความเสี่ยงที่จะสูงขึ้นไปอีก”

นายพิชัยยังเรียกร้องให้ธนาคารพาณิชย์ปรับโครงสร้างหนี้ให้คนผ่อนหนี้เงินกู้บ้านได้ยาวขึ้น โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ของรัฐบาลได้นำร่องแล้วซึ่งได้เปิดให้คนกู้ผ่อนหนี้ได้ถึงอายุ 80 ปี และหากเป็นราชการเกษียณก็ให้ยาวถึง 85 ปี

>> เกณฑ์ LTV เปิดทางให้ผู้กู้บ้านหลังแรกอยู่แล้ว
ทั้งนี้ เมื่อเดือนเมษายน นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณีที่มีภาคเอกชนขอให้พิจารณาผ่อนคลายเรื่อง มาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือ LTV นั้น ว่า “ปัจจุบันเกณฑ์ LTV เปิดทางให้ผู้กู้สามารถเป็นเจ้าของบ้านหลังแรกได้อยู่แล้ว โดยผู้กู้สามารถกู้ได้สูงสุด 100-110% ถ้ารวมสินเชื่อเพื่อการตกแต่งบ้าน

ขณะที่บ้านหลังที่ 2 หรือ 3 สัดส่วน LTV สัดส่วนการปล่อยสินเชื่อให้อยู่ที่ระดับ 80-90% ถือว่าเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่อยู่ 60-70% ก็มี เพราะฉะนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องของ LTV แต่เป็นเรื่องของความเสี่ยงของผู้ที่เข้ามาขอสินเชื่อมากกว่า ดังนั้น การปรับเกณฑ์ LTV อาจจะแก้ไขไม่ตรงจุด”

>> ต่างชาติเช่าอสังหาฯ 99 ปี?
ส่วนที่งานสัมมนาวันพุธ (10 ก.ค.67) นายพิชัย ยังกล่าวถึงแนวคิดให้ต่างชาติเช่าอสังหาริมทรัพย์ หรือ ทรัพย์อิงสิทธิได้ยาว 99 ปีว่า รัฐบาลต้องการเอาธุรกิจใต้ดินขึ้นมาบนดิน และเรื่องนี้กรรมสิทธิ์ในที่ดินยังเป็นของคนไทย

นายอุทัย อุทัยแสง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทแสนสิริ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ตนออกความเห็นเรื่องแนวคิดสัญญาเช่าที่ดิน 99 ปีไม่ได้ 

นายอุทัยเป็นผู้บริหารบริษัทที่นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน เคยเป็นผู้บริหารมาก่อน และนายกฯกำลังผลักดันเรื่องแก้กฎหมายเพื่อให้ต่างชาติเช่าที่ดินได้มากกว่า 30 ปีตามกฎหมายปัจจุบัน

ด้านนายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ระบุว่าการขออนุญาตต่าง ๆ มีขั้นตอนยุ่งยากเกินไป และเต็มไปด้วยการคอร์รัปชันของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้บริโภคบางครั้งก็เรียกร้องค่าเสียหายจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์อย่างไม่สมเหตุสมผล

ด้าน ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาค กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เรียกร้องให้ภาคการเงินให้สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยคงที่ยาว 30 ปี อย่างที่มีในประเทศญี่ปุ่น

ขณะที่นาย ศิรศักดิ์ จันเทรมะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ จำกัด หรือ เอนโก้ กล่าวถึงธุรกิจของบริษัทว่า เอนโก้ คาดการณ์รายได้ภายในปี 2570 จะต้องมากกว่า 3,000 ล้านบาท พร้อมเป้าหมายในระยะสั้น จะต้องมีผลตอบแทนจากสินทรัพย์อย่างน้อยร้อยละ 5 ต่อปี และตั้งเป้าหมายแบ่งสัดส่วนกำไร สนับสนุนสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม อย่างน้อยร้อยละ1 ของกำไรสุทธิต่อปี นอกจากนี้ยังตั้งเป้าหมายในระยะยาว ทำกำไรสุทธิมากกว่า 800 ล้านบาทภายในปี 2573 โดยจะเป็นผลมาจากธุรกิจเดิม และโอกาสดำเนินธุรกิจใหม่ที่สอดคล้องกับกลุ่มปตท. เช่น นำธุรกิจปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์มาประยุกต์ใช้ในพื้นที่ที่เอนโก้บริหารจัดการ

ปัจจุบันเอนโก้ดำเนินธุรกิจใน 3 กลุ่มหลักได้แก่ ธุรกิจบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์, บริหารจัดการพื้นที่ และ ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

สหรัฐให้เงินกู้ช่วยยูเครน ใช้สินทรัพย์ที่ยึดจากรัสเซียค้ำประกัน

(25 ธ.ค. 67) เดนิส ชมีฮาล นายกรัฐมนตรียูเครนประกาศเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม ว่า ยูเครนได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจำนวน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากสหรัฐฯ โดยใช้สินทรัพย์ของรัสเซียที่ถูกอายัดเป็นหลักประกัน

ชมีฮาลได้โพสต์ข้อความผ่านทางเทเลแกรมว่า “นี่คือเงินก้อนแรกจากแผนการจัดสรรงบประมาณ 2 หมื่นล้านดอลลาร์ที่สหรัฐฯ เตรียมจัดสรรโดยใช้สินทรัพย์ของรัสเซียที่ถูกอายัดไว้”

ต่อมา กระทรวงการคลังของยูเครนได้ชี้แจงว่า เงินทุนดังกล่าวเป็นเงินช่วยเหลือภายใต้โครงการเงินกู้ Second Growth Foundation Development Policy Loan (DPL) ของธนาคารโลก

ความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นที่มีขอบเขตกว้างขึ้นจากกลุ่ม G7 ที่ได้กำหนดให้จัดสรรเงินจำนวน 5 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนยูเครน โดยใช้เงินจากทรัพย์สินที่ถูกยึดของรัสเซีย

ทั้งนี้ สื่อรายงานว่า กลุ่ม G7 ได้อายัดทรัพย์สินของรัสเซียมูลค่าราว 3 แสนล้านดอลลาร์ หลังจากเกิดความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top