Sunday, 20 April 2025
เกมการเมือง

'ซูเปอร์โพล' เผยปชช. วอนหยุดโหน ม.112 อย่าดึงสถาบันฯ - แก้ม.112 เป็นเกมการเมือง

'ซูเปอร์โพล' เผยผลสำรวจประชาชนเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ต้องการให้นำสถาบันพระมหากษัตริย์ และการแก้ ม.112 มาเป็นเครื่องมือการเมือง จำเป็นต้องปกป้องการล้มล้างสถาบันฯ จากกลุ่มไม่หวังดี

5 พ.ย. 64 - ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) สถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นำ เสนอผลสำรวจ เรื่อง ม.112 : เบื้องหลังและความจำเป็น กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศโดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 2,272 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 1 - 4 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 98.5 ระบุ การมีอยู่ของสถาบันกษัตริย์เป็นส่วนสำคัญของความสัมพันธ์เชิงลึกของคนในชาติและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในเชิงประวัติศาสตร์ เช่น ไทย-จีน ไทย-ญี่ปุ่น ไทย-อังกฤษ เป็นต้น

ที่น่าสนใจ คือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.0 ระบุ สถาบันกษัตริย์เป็นสถาบันหลักของการก่อร่างสร้างชาติในการกอบกู้เอกราช ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และดูแลทุกข์สุขของราษฎร และร้อยละ 96.1 ระบุ ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการยกเลิก หรือ แก้ไข มาตรา 112 เพราะ การมีอยู่ ไม่กระทบต่อการดำเนินชีวิตปกติและสิทธิส่วนบุคคลของประชาชนทั่วไป

นอกจากนี้ เกือบร้อยละร้อย หรือ ร้อยละ 99.1 ไม่ต้องการให้ใคร หรือ ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด นำสถาบันกษัตริย์และการแก้ ม.112 มาเป็นเครื่องมือต่อสู้ทางการเมือง หาคะแนนเสียงและแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวสร้างความแตกแยกขัดแย้งในชาติ ในขณะที่ร้อยละ 98.9 ระบุ จำเป็นต้องป้องกันและปกป้องการล้มล้างสถาบันฯ จากกลุ่มไม่หวังดี บิดเบือนใส่ร้ายและจาบจ้วง ร้อยละ 98.4 ระบุ ประมุขของทุกประเทศ เป็นเกียรติศักดิ์ศรีและสถาบันหลักของชาติ จำเป็นต้องได้รับการคุ้มครองด้วยกฎหมาย และร้อยละ 98.4 เช่นกัน ระบุ ไม่ต้องการให้นำสถาบันกษัตริย์และ ม.112 มาเป็นเครื่องมือปลุกปั่นเยาวชน คนรุ่นใหม่ให้ล้มล้างสถาบันอันเป็นศูนย์รวมจิตใจและความศรัทธาภักดีของคนในชาติ

อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.2 ระบุมีความพยายามจากขบวนการต่างชาติมหาอำนาจ เข้ามาแทรกแซง เชื่อมโยงกับกลุ่มต่อต้านสถาบัน ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทย เพื่อกอบโกยผลประโยชน์ชาติไทย และร้อยละ 96.2 เชื่อว่ามีกลุ่มต่อต้านสถาบันและแกนนำรับเงินและผลประโยชน์อื่น เป็นเครื่องมือของประเทศมหาอำนาจในการโค่นล้มสถาบัน

‘ณัฐชา’ แฉ เกมการเมืองเก่า ปล่อยเฟคนิวส์เกลื่อนไลน์ วอนหยุดปั้นน้ำเป็นตัว ชี้!! ไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน

(30 มี.ค. 66) นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ อดีต ส.ส.กรุงเทพฯ เขตบางขุนเทียน พรรคก้าวไกล กล่าวว่า เมื่อปี่กลองการเลือกตั้งดังขึ้น สิ่งที่ตามมาคือ สารพัดวิชามาร ปล่อยข่าวลวงหรือข่าวเท็จป้ายสีกัน เป็นวิธีของการเมืองแบบเก่า ที่เมื่อสู้ด้วยไอเดีย สู้ด้วยนโยบายไม่ได้ก็ใช้ความกลัวจากการโกหกประชาชนสู้แทน

“ขณะนี้ในไลน์เกลื่อนมาก โดยเฉพาะพรรคการเมืองเก่า ที่เล่นการเมืองแบบเก่า ๆ จะเป็นต้นทาง สั่งให้หัวคะแนนพรรคตัวเอง สร้างเฟคนิวส์ส่งเข้าไลน์กลุ่มหมู่บ้าน กลุ่มโรงเรียน กลุ่มชุมชนโจมตีพรรคก้าวไกลแบบถี่ ๆ ด้วยเนื้อหาที่บิดเบือน เช่นบอกว่า ถ้าเลือกพิธาเป็นนายกฯ จะยกเลิกบำนาญข้าราชการ ลูกหลานจะลำบาก เป็นการโกหกมดเท็จที่ไม่มีความจริงแม้แต่นิดเดียว ผมขอยืนยันเป็นครั้งที่ร้อยว่า พรรคก้าวไกลไม่มีและไม่เคยมีนโยบายยกเลิกบำนาญข้าราชการ” นายณัฐชา กล่าว

‘แดง-ส้ม’ เกมการเมืองหักเหลี่ยมโหด กับทางลัดแก้ รธน. สุดท้ายอาจกลายเป็นลับลวงหลอก

รัฐธรรมนูญ 2560 มีทั้งหมด 16 หมวด  หมวดที่15 คือการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ  มีเพียง 2มาตราคือมาตรา 255 และ 256

เมื่อวันที่ (8 ม.ค.68) ที่ผ่านมา มติวิป 3 ฝ่าย (รัฐบาล  -วุฒิสภา-สภาผู้แทนราษฎร) เห็นพ้องให้จะพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรธน.ฉบับพรรคประชาชน ที่จะแก้ไขมาตรา 256 (ว่าด้วยหลักเกณฑ์วิธีการแก้ไขรธน.) และเพิ่มให้มีหมวด 15/1 การจัดทำการจัดรธน.ฉบับใหม่  ในวันที่ 13 -14ก.พ. โดยเปิดโอกาสให้มีการเสนอร่างแก้ไขในทำนองเดียวกันได้จนถึง 16 ม.ค.

วันเดียวกัน (8 ม.ค.) พรรคเพื่อไทยเสนอร่างประกบพรรคประชาชน...กลายเป็นร่างแดงประกบร่างส้ม..

ความเป็นมาเป็นไปกรณีนี้ สรุปได้สั้น ๆ ว่าพรรคส้มต้องการเดินหน้าจัดทำรธน.ฉบับใหม่  ด้วยเส้นทางลัด..จุดสตาร์ทไม่ต้องทำประชามติ นั่นคือ

-แก้ไข หมวด 15 ให้มีหมวด15/1  ว่าด้วยการจัดทำรธน.ฉบับใหม่
แก้มาตรา 256..ลดอุปสรรคการแก้ไข-จัดทำรธน.เช่นการโหวตวาระ 1 วาระ 3 ใช่แค่เสียงข้างมากรัฐสภา ซึ่งต้องมีเสียงสส.ไม่น้อยกว่า 2ใน 3 (เดิมต้องมีเสียงสว.1ใน3)

ส่วนประเด็นที่จะต้องถามประชามติ ร่างพรรคส้มระบุให้มีเพียงกรณีการแก้ไขเพิ่มเติมรธน.หวด 15 เท่านั้น ตัดทิ้งกรณีแก้ไขหมวด 1 หมวด 2 และเรื่องที่เกี่ยวกับคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆตามรธน...

ทั้งนี้กรณีหัวใจสำคัญที่ตามร่างพรรคส้มคือเพิ่มหมวด 15/1 กำหนดให้มีการเลือกตั้งสสร.200คน ไปยกร่างรธน.ฉบับใหม่ให้เสร็จ...

ตามกระบวนท่าดังกล่าวหากไฟเขียวผ่านตลอดจะลงประชามติเพียง 2 ครั้งคือ ครั้งแรกตอนแก้หมวด 15 มาตรา 256 และครั้งที่สอง ตอนที่สสร.ยกร่างเสร็จแล้ว...

ดูตามนี้แล้วก็เหมือนจะไม่มีอะไรยุ่งยาก...แต่ชีวิตจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่...เพราะนี่คือเส้นทางลัด คือช่องทางธรรมชาติที่ผิดปกติ..ซึ่งสว.ส่วนใหญ่ขยับตัวแล้วว่าจะไม่เล่นด้วย  ขณะที่ซีกพรรคการเมือง..พรรคร่วมอย่างภูมิใจไทยและรวมไทยสร้างชาติ ก็อ่านไม่ยากว่า..ไม่เอาดีกว่า..

น่าแปลกที่พรรคเพื่อไทยแกนนำรัฐบาลยอมมาเล่นเกมนี้กับพรรคประชาชน...ผู้สันทัดกรณีหลายฝ่ายมองว่าเบื้องลึกน่าจะเป็นเกม 'ลับลวงหลอก' ของพรรคเพื่อไทยมากกว่า  เพราะน่าจะรู้อยู่แล้วว่าสุดท้ายจะไปไม่รอด ต้องจอดป้ายตายอยู่ปากซอย..แต่จำเป็นต้องร่วมเกมก็เพื่อรักษาคะแนนแฟนคลับไม่ให้พรรคส้มตีกินคนเดียว....

พยากรณ์ได้ล่วงหน้าว่า..หากมีการบรรจุร่างแก้ไขฉบับ 'แดง-ส้ม' ดังกล่าว จะมีการถกเถียงขัดแย้งกันอย่างรุนแรง และท้ายสุดเรื่องจะไปถึงศาลรัฐธรรมนูญอีกจนได้..

ทั้ง ๆ ที่ ถ้ายังจำกันได้ เมื่อวันที่ 11 มี.ค.2564 เคยมีคำวินิจฉัยกลางของศาลรธน.วินิจฉัยเรื่องการแก้ไขรธน. เอาไว้ชัดเจนตอนหนึ่งว่า..

“...การทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยวิธีการร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม ให้มีหมวด 15/1 ย่อมมีผลเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 อันเป็นการแก้ไขหลักการสำคัญที่มีผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิมต้องการปกป้องคุ้มครองไว้ หากรัฐสภาต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องจัดให้ประชาชนผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญออกเสียงประชามติเสียก่อนว่า สมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ถ้าผลการออกเสียงประชามติเห็นชอบด้วย จึงดำเนินการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต่อไป เมื่อเสร็จแล้ว ต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติว่า เห็นชอบหรือไม่กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกครั้งหนึ่ง...”

ถ้าไม่แถกันให้มาก..การที่จะจัดทำรธน.ฉบับใหม่..โดยไม่เริ่มด้วยการจัดทำประชามตินั้นชัดเจนว่าขัดกับคำวินิจฉัยข้างต้น..แบบเห็นๆ..ถึงแม้จะอ้างว่าเป็นการร่างแก้ไขรายมาตราก็ตาม..แต่การเพิ่มให้มีหมวด 15/1 คือการยกเลิกเพื่อจัดทำรธน.ฉบับใหม่..ซึ่งต้องทำประชามติเสียก่อน..เป็นลำดับแรก..

ดังได้..ลำดับความมาก็ขอย้ำอีกครั้งว่า  กรณีการเพิ่มหมวด 15/1 และแก้รธน.256  รอบนี้เสี่ยงที่จะตายยกพวง เอาได้ง่าย ๆ..!!

กลยุทธ์บ่อนเซาะอำนาจรัฐไทย ยังดำเนินต่อไป เปลี่ยนคนพูด แต่ไม่เปลี่ยนคนเขียนบท อ้าง!! กิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม แต่ความเป็นจริง เต็มไปด้วย ถ้อยคำ ‘ปลุกใจเสือป่า’

(7 เม.ย. 68) ข้าพเจ้าเคยพูดไว้แล้วเรื่องนโยบายของพรรคเป็นธรรม—ไม่ว่าจะเป็นการเสนอถอนทหาร ยกเลิกกฎหมายพิเศษ หรือผลักดันให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ปกครองตนเอง ทั้งหมดล้วนเป็นกลยุทธ์บ่อนเซาะอำนาจรัฐไทยอย่างเป็นระบบ ภายใต้ฉากหน้าคำว่า "สิทธิมนุษยชน" และ "สันติภาพ"

ล่าสุด ขบวนการนี้ยังไม่หยุดพัก เมื่อมีการจัดงาน Green Melayu 2025 โดยอ้างว่าเป็น “กิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม” แต่ในความเป็นจริง เวทีนี้กลับเต็มไปด้วยถ้อยคำปลุกใจเสือป่าในนาม “ราชอาณาจักรปาตานี” พูดถึงอัตลักษณ์ มรดกแผ่นดิน และอำนาจที่ “ต้องทวงคืน”

ผู้ปราศรัยอย่าง มูฮัมหมัดอาราดี เด็งนิ และ ฮาซัน ยามาดีบุ แม้จะถูกมองว่าเป็น “หน้าใหม่” ในสายตาคนนอก แต่ความจริงแล้ว พวกเขาคือ “คนกันเอง” ในเครือข่ายเดียวกับ รอมฎอน ปันจอ และ กัณวีร์ สืบแสง ตัวละครชุดเดิมที่แค่เปลี่ยนเวที เปลี่ยนฉากหน้า

จะเป็นพรรคประชาชนที่ล่มไป หรือพรรคเป็นธรรมที่ยังวิ่งอยู่
จะเป็นเวทีสิทธิมนุษยชน หรือเวทีสิ่งแวดล้อม
จะเป็นงานวิชาการ หรือกิจกรรมวัฒนธรรม

ทั้งหมดล้วนเป็นมุกเก่าในบทใหม่
ทั้งหมดล้วนเป็นคนกันเองที่เปลี่ยนหน้ากากตามสถานการณ์

และเป้าหมายก็ยังไม่เปลี่ยน—ท้าทายอำนาจรัฐไทย และแยกดินแดนในทางอุดมการณ์โดยไม่ต้องใช้ปืนแม้แต่นัดเดียว

พวกเขาอาจเรียกมันว่า “กิจกรรมของคนรุ่นใหม่”

แต่ข้าพเจ้าเห็นชัดว่า มันคือยุทธศาสตร์เดิม ที่เปลี่ยนแค่คนพูด ไม่เคยเปลี่ยนคนเขียนบท


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top