Monday, 21 April 2025
ฮิตเลอร์

สงครามแย่งชิงมวลชน ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ คือภารกิจสำคัญของผู้มีอำนาจทุกยุคทุกสมัย หากต้องการให้มวลชนอยู่ภายใต้การปกครอง และตัวเองสามารถครองอำนาจไปได้ตลอด แม้กระทั่งผู้นำอย่าง ฮิตเลอร์ ก็ยังให้ความสำคัญกับการโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อแย่งชิงมวลชนมาเป็นฝ่ายตัวเอง 

สมัยฮิตเลอร์ครองอำนาจ เขาได้มือขวาคู่ใจคนหนึ่ง ซึ่งต่อมาคือรัฐมนตรีกระทรวงโฆษณาการ นายโยเซฟ เกิบเบิลส์ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการปลุกระดม การโฆษณาชวนเชื่อ และสร้างข่าวเท็จจำนวนมาก หรือที่เรียกว่า Fake News โดยนปัจจุบัน เขามีลักษณะเด่นคล้ายฮิตเลอร์ คือ เป็นนักพูดตัวยง เป็นนักแสดงบนเวที และเป็นนักเล่าเรื่องผู้ยอดเยี่ยม

ฮิตเลอร์ และมือขวาของเขาได้ร่วมกันสร้างหลักการง่ายๆ จนเป็นพื้นฐานสำคัญของการทำโฆษณาชวนเชื่อแพร่หลายทั่วไปจนถึงปัจจุบัน ภายใต้หลักการง่ายๆ 7 วิธี ซึ่ง 7 วิธีนี้ ทุกวันนี้ก็ยังใช้อยู่ในปัจจุบัน

'การใช้สื่อเป็นเครื่องมือ' ภายหลังพรรคนาซีได้รุ่งเรืองอำนาจในปี ค.ศ. 1933 ฮิตเลอร์และเกิบเบิลส์ ได้เข้าควบคุมหนังสือพิมพ์ทั้งหมดในเยอรมนี เพื่อกำหนดข่าวให้อยู่ทิศทางเดียวกัน ไม่รวมถึงวิทยุกระจายเสียงที่อยู่ภายใต้รัฐบาลอยู่แล้ว และพวกเขาได้สร้างนักพูด นักปลุกระดมมวลชนหลายพันคนที่มีฝีปากจัดจ้าน ออกตระเวนไปพูดทั่วประเทศ ส่งเนื้อหาเพื่อทำให้ประชาชนชื่นชอบฮิตเลอร์ พรรคนาซี และความชอบธรรมในการรุกรานประเทศอื่นๆ

...'โกหกจนเป็นเรื่องจริง' !!

โยเซฟ เกิบเบิลส์ เคยกล่าวว่า “ยิ่งโกหกคำโตมากเท่าไร โกหกบ่อยๆ คนจะยิ่งเชื่อมากขึ้น” และ “การหลอกประชาชนจำนวนมากด้วยการพูดโกหกเรื่องใหญ่ๆ ง่ายยิ่งกว่าการโกหกเรื่องเล็กๆ”

“การตั้งฉายา” ตั้งฉายาฝ่ายตรงกันข้ามให้ชั่วร้ายเลวทรามหรือดูแย่ เพื่อให้คนหมู่มากรู้สึกรังเกียจและสร้างความเกลียดชังให้มากขึ้น

“พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก” เป็นการย้ำข้อความเดิมๆ ไปเรื่อยๆ ซ้ำๆจนคนฟังหรือผู้รับสารค่อยๆ ซึมและเชื่อไปเองในที่สุด ไม่ต่างจากการที่ค่ายเพลง เปิดเพลงที่ตั้งใจจะให้ฮิทติดอันดับทางสถานีวิทยุ เปิดไปเรื่อยๆ จนคนฟังชินหู แล้วเริ่มรู้สึกว่าเพลงเพราะ

“ฝ่ายธรรมะ ฝ่ายอธรรม” ฮิตเลอร์พยายามสร้างภาพว่า ตัวเองเป็นสัตบุรุษ เป็นเสมือนพระเยซู ผู้ทรงคุณธรรม มีศีลธรรมอันดีงาม มาช่วยเหลือ ปกป้องชาวเยอรมันและป้ายสีว่าผู้ร้ายคนชั่วคือพวกยิว ที่เป็นพ่อค้าขูดรีด เอาเปรียบชาวอารยันมานาน และพวกคอมมิวนิสต์ที่มีความคิดชั่วร้ายในการปกครองประเทศ แม้กระทั่งก่อนการบุกประเทศเพื่อนบ้าน อย่างประเทศเชคโกสโลวาเกียหรือโปแลนด์ ก็มีการปลุกระดมให้คนเยอรมันเข้าใจผิดว่า ชนชาติเหล่านั้นเป็นคนชั่ว ข่มเหงรังแกคนเยอรมันและชนกลุ่มน้อยในประเทศนั้นๆ ทางรัฐบาลนาซีเลยต้องประกาศสงคราม

“แบ่งแยกผู้คนเป็นฝ่ายต่างๆ ชัดเจน” เมื่อทำทั้ง 6 วิธีด้านบนไปแล้วก็ถึงเวลาในการที่จะบีบให้คนต้องเลือกข้างและด้วยเหตุผลทางจิตวิทยาคงไม่มีใครที่อยากจะเลือกข้างเป็นผู้ร้ายและนั่นคือความสำเร็จของโมเดลโฆษณาชวนเชื่อของฮิตเลอร์

ย้อนอดีต ‘เยอรมัน’ จากผู้แพ้สงคราม สู่ประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ อันดับหนึ่งของยุโรป ครั้งหนึ่งเคยประสบปัญหาเศรษฐกิจ ค่าเงินมาร์คไร้มูลค่ายิ่งกว่าสกุลเงินของ ‘ซิมบับเว’

(8 มี.ค. 68) เพจ ‘ซิริอุส เป็นชื่อของดวงดาว’ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า ...

รู้หรือไม่? เยอรมันประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันหนึ่งของยุโรป และ อันดับสามของโลก ครั้งหนึ่งเคยประสบปัญหาเศรษฐกิจอย่างรุนแรงส่งผลให้ค่าเงินมาร์คไร้มูลค่ายิ่งกว่าสกุลเงินของซิมบับเว และเวเนซุเอลา ในปัจจุบัน

หลังพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่1 ในปี ค.ศ. 1923 เยอรมันประสบปัญหาเงินเฟ้อที่รุนแรงที่สุดครั้งนึงของโลก ถึงขั้นที่ประชาชนต้องขนเงินเป็นแสนๆ ล้านมาร์ค ใส่ตะกร้าเพื่อไปจ่ายตลาด

เมื่อสงครามโลกครั้งที่1 สิ้นสุดลง อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินเยอรมัน(ดอยช์มาร์ค)อยู่ที่ราวๆ 1เหรียญสหรัฐ = 4มาร์ค และดิ่งลงไปแตะที่ 1เหรียญสหรัฐ = 4.2 ล้านล้านมาร์ค ในปี 1923 ..... ล้านสองครั้งนะครับ

ทำให้เยอรมันต้องพิมพ์ธนบัตรที่มีมูลค่าหน้าธนบัตรสูงลิบ ฉบับละเป็นร้อยเป็นพันล้านมาร์คเข้าสู่ระบบให้ประชาชนใช้จ่ายแทนธนบัตรเดิมที่ไร้มูลค่าลงเรื่อยๆ

ในช่วงวิกฤติ ปัญหาเงินเฟ้อรุนแรงมาก ทำให้ราคาสินค้าต่างๆ พุ่งขึ้นไม่หยุดปรับราคากันตลอดเวลา เงินที่พอจะซื้อขนมปังได้ในตอนเช้า อาจไม่พอซื้อในตอนบ่าย ทำให้ห้างร้านต่างๆ แน่นไปด้วยผู้คนที่เข้าคิวรอซื้อของ และยังทำให้สินค้าอื่นๆ เช่นบุหรี่ ฯลฯ ถูกใช้เป็นของแลกเปลี่ยนแทนเงินที่ไร้เสถียรภาพจนแทบจะไม่เหลือมูลค่า ไร้มูลค่าถึงขนาดที่ ปชช.นำธนบัตรมาเผาแทนฟืน เพราะไม้ฟืนยังมีมูลค่ามากกว่าธนบัตร

วิกฤติเงินเฟ้ออย่างรุนแรงในครั้งนี้ทำให้เงินเก็บทั้งชีวิตของหลายคนมีค่าพอซื้อไข่ได้แค่แผงเดียว หรือ ขนมปังแถวเดียว ซึ่งในช่วงพีคขนมปังแถวนึงมีราคาสูงถึง 200,000,000,000 มาร์ค (สองแสนล้านมาร์ค) ในการซื้อ-ขาย หลายแห่งจึงใช้วิธีชั่งน้ำหนักกองธนบัตรเอา เพราะไม่มีเวลามานั่งนับ

ส่วนชนชั้นกลางที่กินเงินเดือน แม้จะมีความพยายามขึ้นเงินเดือนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน แต่ราคาสินค้าที่พุ่งขึ้นอยู่ตลอดเวลา จะมีราคาสูงกว่าเงินเดือนที่ออกเดือนละครั้งสองครั้งอยู่เสมอ

สาเหตุของวิกฤติเงินเฟ้อที่รุนแรงของเยอรมันมาจาก หลังสงครามโลกครั้งที่1 ยุโรปและสหรัฐต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง แต่เยอรมันในฐานะผู้แพ้สงครามฯหนักกว่าใคร เพราะนอกจากต้องแบกหนี้ที่เกิดจากสงครามแล้ว ยังต้องแบกค่าปฏิกรรมสงครามจากสนธิสัญญาแวร์ซาย เท่ากับว่าผลผลิตต่างๆของประเทศส่วนนึงจะกลายเป็นค่าปฏิกรรมสงครามไปแบบเปล่าๆ

สถานการณ์ของเยอรมันที่กำลังเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้ออยู่แล้ว ต้องย่ำแย่ลงไปอีกเมื่อไม่สามารถจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามในรอบปี 1922

ทำให้ฝรั่งเศสและเบลเยี่ยมส่งกองทัพเข้ายึด Ruhr valley ที่เป็นเขตอุตสาหกรรมหลักของเยอรมัน เพื่อยึดสินค้าที่เยอรมันผลิตได้เป็นค่าปฏิกรรมสงคราม เพราะไม่เชื่อว่าเยอรมันไม่มีจ่าย แต่ตั้งใจเบี้ยวมากกว่า

เยอรมันตอบโต้ด้วยการประกาศชักจูงให้คนงานทั้งหมดหยุดงาน โดยรัฐบาลจะจ่ายเงินเดือนให้ ซึ่งการจ่ายเงินเดือนนี้ก็เป็นการพิมพ์เงินออกมาจ่ายเอาดื้อๆโดยไม่มีสินทรัพย์หนุนหลัง ซ้ำเติมวิกฤติเงินเฟ้อที่สาหัสอยู่แล้วให้หนักขึ้นไปอีก

ฝรั่งเศสตอบโต้อย่างรุนแรงด้วยการยิงคนงานในโรงงานผลิตเหล็ก และ เนรเทศคนที่ไม่ยอมรับคำสั่งจากฝรั่งเศสออกจาก Ruhr valley

เหตุการณ์นี้มีผู้เสียชีวิต 132 คน ถูกเนรเทศกว่า 1.5 แสนคน ส่งผลให้เศรษฐกิจของเยอรมันที่ร่อแร่อยู่แล้วดับสนิท อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น

ความวุ่นวายของเยอรมันหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่1 ได้ส่งผลให้บุรุษผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาอาสานำพาเยอรมันฝ่าวิกฤติที่กำลังเผชิญอยู่ และชื่อของเค้าจะเป็นที่รู้จักและจดจำไปอีกนาน

*****หมายเหตุ*****
จริงๆ แล้ว สหรัฐไม่เห็นด้วยและได้ทักท้วงในการเรียกเก็บค่าปฏิกรรมสงครามจากเยอรมันมากขนาดนั้น เพราะนอกจากจะก่อความเดือดร้อนให้ประชาชนทั่วไปแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลังอีกด้วย แต่ฝรั่งเศสดึงดันต้องให้เยอรมันจ่ายให้ได้ รวมๆ แล้วๆ เยอรมันต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามมูลค่าเทียบเท่าทองคำ 1แสนตัน และเพิ่งจ่ายหมดไปเมื่อปี 2010 หรือเกือบร้อยปีหลังสงครามโลกครั้งที่1 สิ้นสุดลง

การยึดอาณานิคมของเยอรมันและการเรียกเก็บค่าปฏิกรรมสงครามโหดแสนโหด ก็เพื่อกดเยอรมันไม่ให้ฟื้นตัวได้อีก อันอาจเป็นการคุกคามฝรั่งเศสในอนาคต
...... ภูมิศาสตร์ด้านชายแดนตะวันออกของฝรั่งเศสที่ติดกับเยอรมัน ป้องกันยากแต่ง่ายสำหรับเยอรมันที่จะรุกเข้ามา เป็นการอธิบายว่าทำไมฝรั่งเศสจึงต้องสร้างแนวป้องกันบริเวณนั้นที่เรียกว่า 'Maginot Line' ในเวลาต่อมา

อีกปัจจัยหนึ่งก็เชื่อว่าเป็นเพราะ ฝรั่งเศสเจ็บใจมาตั้งแต่สงคราม ฝรั่งเศส-ปรัสเซีย/Franco-Prussian War ปี ค.ศ.1870 ที่ไปแพ้ปรัสเซียอย่างน่าอับอาย เสียดินแดนไปบางส่วน แถมเหล่ารัฐเยอรมันยังไปใช้ Hall of Mirrors ที่พระราชวังแวร์ซาย สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ของฝรั่งเศสในการประกาศรวมชาติสถาปนาจักรวรรดิเยอรมัน (ปรัสเซียคือชื่อประเทศที่เป็นแกนกลางของรัฐเยอรมันก่อนรวมชาติ)

ต่อมาก็ปรากฏว่า สหรัฐคาดการณ์ถูก ว่าจะก่อให้เกิดความเดือดร้อนและสร้างปัญหาตามมา เพราะอีกไม่นานฮิตเลอร์ได้ปรากฏตัวออกมาท่ามกลางความวุ่นวาย ความไม่พอใจ และ ความสิ้นหวังของชาวเยอรมัน

เพราะสถานการณ์ที่ย่ำแย่ของเยอรมันในตอนนั้น พอฮิตเลอร์ปรากฏตัวออกมาชูนโยบาย 'ชักดาบ' ฯลฯ ประกอบกับการเป็นนักปราศรัยที่เก่งมาก (public speaker) เลยได้รับความนิยม ได้รับการตอบรับจากประชาชนจำนวนมาก
..... แล้วก็เป็นฮิตเลอร์ที่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจของเยอรมันได้สำเร็จ นำเยอรมันกลับขึ้นไปเป็นหนึ่งในมหาอำนาจยุโรปได้ในเวลาเพียง 6 ปี

ความสำเร็จของฮิตเลอร์ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ ส่วนคนที่รู้ก็ไม่ค่อยอยากพูดถึง และ ผลพวงที่ตามมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง (ทั้งนี้ ความสำเร็จและผลงานของฮิตเลอร์ที่มีต่อเยอรมันไม่สามารถนำไปหักล้างสิ่งเลวร้ายที่ฮิตเลอร์ได้ทำลงไปเช่นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ฯลฯ)

ในช่วงพีค อัตราว่างงานในเยอรมันถึงกับติดลบ ต้องนำเข้าแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ในขณะที่ยุโรปและสหรัฐกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง (the great depression) เป็นการกู้คืนศักดิ์ศรี และความเป็นอยู่ของชาวเยอรมันที่สูญเสียไปหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้สำเร็จ (ในส่วนอัตราว่างงาน ฮิตเลอร์มีเทคนิคในการตบแต่งตัวเลขอัตราว่างงานโดยเอาคนว่างงาน อันธพาล ฯลฯ เข้ากองทัพ สนับสนุนให้ผู้หญิงแต่งงานมีลูก อยู่บ้านเลี้ยงลูก ฯลฯ )

ฮิตเลอร์เป็นมังสวิรัติและรักสัตว์ บางคนก็เชื่อว่าเป็นเพราะเค้ารักสัตว์เลยกลายมาเป็นมังสวิรัติ เยอรมันภายใต้การนำของฮิตเลอร์ได้ออกกฎหมายคุ้มครองสัตว์ตั้งแต่ช่วงแรกๆที่ครองอำนาจในปี ค.ศ.1933 ซึ่งเป็นชาติแรกๆ ในยุโรป ตามหลังเพียงไอร์แลนด์และอังกฤษ แต่เยอรมันมีเนื้อหาที่เข้มงวด ครอบคลุมมากกว่า เช่น กำหนดให้เจ้าของที่ปล่อยปละละเลยสัตว์เลี้ยงมีความผิดทางกฎหมาย, ห้ามทำร้ายสัตว์หรือทำให้สัตว์ตกอยู่ในอันตราย, ห้ามขุนสัตว์ให้อ้วน (เพื่อนำมาฆ่าเป็นอาหาร) ฯลฯ

เป็นยุคที่วงการวิทยาศาสตร์ การแพทย์ ยา และ นวัตกรรมต่างๆ เฟื่องฟู ก้าวหน้ามาก เพราะรัฐบาลสนับสนุนทุนการวิจัยพัฒนา และ ด้านอื่นๆอย่างจริงจัง เต็มที่

โอลิมปิคที่เยอรมันเป็นเจ้าภาพในปี ค.ศ.1936 เป็นโอลิมปิคครั้งแรกที่มีการถ่ายทอดสด

เป็นยุคที่มีการริเริ่มจัดระบบสวัสดิการสังคม การรักษาพยาบาล การคลอดบุตร การลาคลอด ดูแลสิทธิสตรี ต่อต้านสื่อลามก ฯลฯ

นโยบายสนับสนุนด้านความบันเทิงให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงได้ ไม่ว่าจะเป็น โอเปร่า หนัง โรงละคร ฯลฯ ทำให้ประชาชนทุกส่วนเข้าถึงได้ แทนที่เดิมทีจำกัดไว้สำหรับชนชั้นสูงเพราะมีราคาสูงเกินสำหรับคนทั่วไป

โครงการถนนออโต้บาห์น และ รถราคาถูกสำหรับทุกครอบครัว อันเป็นที่มาของรถโฟล์คสวาเกน (โฟล์คเต่า) โครงการรณรงค์ต่อต้านบุหรี่ ซึ่งเป็นอะไรที่ล้ำมากในสมัยเมื่อ 80+ ปีก่อน ฯลฯ ...... ลุงหนวดจิ๋วแกเกลียดบุหรี่

Walther Funk ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจคนสำคัญของฮิตเลอร์เคยคาดการณ์ไว้แล้วว่า ยุโรปจะต้องรวมกันเข้าเป็นเขตเศรษฐกิจเดียวเหมือนอียูในปัจจุบัน หากเยอรมันชนะสงคราม องค์กรที่เหมือนกับอียูก็น่าจะถูกก่อตั้งขึ้นตั้งแต่สมัยนั้น

เพราะความสำเร็จในด้านต่างๆ ของเยอรมันภายใต้การนำของฮิตเลอร์ซึ่งเกิดที่ออสเตรีย เมื่อกองทัพเยอรมันที่มีฮิตเอลร์ร่วมด้วย เดินทัพเข้าออสเตรียประเทศที่ใช้ภาษาเยอรมัน เลยไม่มีการต่อต้าน แถมประชาชนยังออกมาต้อนรับ มอบดอกไม้ให้ทหารเยอรมันอีกด้วย

ผลพวงจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้อังกฤษ และ ฝรั่งเศสอ่อนแอลงมาก จนต้องยอมปล่อยอาณานิคมของตนในหลายๆ แห่งทั่วโลก (หลายแห่งก็ปล่อยไม่จริง อย่างกลุ่มประเทศแอฟริกาตะวันตก-กลาง อดีตอาณานิคมของฝรั่งเศส)

ส่งผลให้โซเวียตฯกลายเป็นมหาอำนาจทัดเทียมกับสหรัฐในเวลาต่อมา ก่อนที่จะล่มสลายในช่วงยุคปี 1990
..... และยังทำให้ชาวยิวมีประเทศเป็นของตัวเองเป็นครั้งแรกในรอบกว่าสองพันห้าร้อยปี จากการขีดพื้นที่บางส่วนของอาหรับปาเลสไตน์ใส่พานให้
(ถ้าจะว่ากันถึงเชื้อสายยิว ชาวปาเลสไตน์มีเชื้อชายยิวเข้มข้นกว่ายิวอิสราเอลที่อพยพมาจากยุโรป เพราะชาวปาเลสไตน์ก็สืบเชื้อสายมาจากยิวแล้วอยู่กันที่นั่นมาตลอดไม่ได้ไปไหน แต่ภายหลังเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่น ...... เป็นเรื่องตลกร้ายที่กลุ่มคนที่มีเชื้อสายยิวเข้มข้นน้อยกว่าพยายามก่อตั้งรัฐยิว โดยรุกล้ำยึดครอง ผลักดัน 'เข่นฆ่า' กลุ่มคนที่มีเชื้อสายยิวเข้นข้นกว่าออกไปจากพื้นที่ตรงนั้น)

การพิจารณาคดีที่เนิร์นแบร์ค (Nuremberg trials) ยังเป็นการสร้างบรรทัดฐานให้เหล่าผู้นำฯที่ก่อสงคราม ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ฯลฯ ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำโดยการถูกนำตัวขึ้นพิจารณาคดีฯ และ ข้ออ้างที่ว่า ทำตามคำสั่ง ไม่สามารถใช้ลบล้างความผิดได้
..... หากฮิตเลอร์ไม่ก่อสงคราม บางทีโลกอาจจะจดจำเค้าในอีกแบบหนึ่ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top