Wednesday, 23 April 2025
อัมพาต

ไขมันตัวร้าย ‘แพทย์’ แนะเลิกใช้น้ำมันหมู หันใช้น้ำมันพืชแทน ชี้!! เสี่ยง ‘เส้นเลือดหัวใจตีบ-อัมพาต-กล้ามเนื้อหัวใจตาย’

คนไข้รอดหวุดหวิด หลังคุณหมอบอกให้เปลี่ยนจากใช้น้ำมันหมู มาเป็นน้ำมันพืช ค่าไขมันบ่งชัด ต่างกันขนาดนี้เลย

คนไข้รอดหวุดหวิด หลังหมอบอกให้เปลี่ยนจากใช้น้ำมันหมู มาเป็นน้ำมันพืช  เดี๋ยวนี้ผู้คนมักป่วยกันง่ายขึ้น ไม่ใช่เพราะดูแลตัวเองไม่ดี แต่เป็นเพราะสิ่งแวดล้อมที่มีมลพิษที่หนักหนาขึ้น จึงทำให้หลายคนป่วยง่าย แต่สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือเรื่องอาหารการกิน เพราะจุดเริ่มต้นของสุขภาพที่ดีก็คืออาหาร 

เกี่ยวกับเรื่องนี้ล่าสุด นพ.วรุตม์ พิสุทธินนทกุล หมอผ่าตัดที่โรงพยาบาลหาดใหญ่ ได้เผยภาพผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ซึ่งเป็นภาพการตรวจสุขภาพของคนไข้คนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนไข้ที่เคยผ่าตัดบายพาสหัวใจ จากอดีตที่คนไข้มีไขมันเลวถึง 215 ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงขนาดที่ว่าอาจเป็นเส้นเลือดหัวใจตีบอีกรอบ ลงมาเหลือแค่ 103

ทั้งนี้ คนไข้คนดังกล่าว เคยเข้ารับการผ่าตัดมาหลายปี ผลเลือดดีมาตลอด แต่คนไข้ได้รับความรู้มาผิด ๆ จากการพยายามหาความรู้ด้านการรักษาสุขภาพ โดยบอกว่า ให้เปลี่ยนจากน้ำมันพืชมาใช้น้ำมันหมู จากที่คุมค่าเลือดได้ กลายเป็นค่าไขมันทะลุ 200 คุณหมอเลยบอกว่าต้องเปลี่ยนกลับมาใช้น้ำมันพืชตามเดิม และค่าไขมันก็ลดลงมา

"ขอเหอะ หยุดใช้น้ำมันหมู มันหมูปรุงอาหาร มันทำลายสุขภาพทั้งเส้นเลือดหัวใจตีบ เส้นเลือดสมองตีบอัมพฤกษ์ อัมพาต กล้ามเนื้อหัวใจตายและอีกมากมาย สรุป น้ำมันหมูทำไขมันตัวร้ายพุ่งเพิ่มความเสี่ยงโรคหลอดเลือด ให้ใช้น้ำมันพืชตามปกติ"
 

'หนุ่มจีน' แชร์!! ทุ่มงานหนักทั้งชีวิต จนสมหวังได้เงินเดือนหลักแสน แต่สุดท้าย 'ป่วยอัมพาตครึ่งซีก-เกือบตาย' ใช้เวลา 6 ปีฟื้นสภาพ

เมื่อไม่นานมานี้ เว็บไซต์ต่างประเทศ รายงานว่า ชายชาวจีนวัย 31 ปีเล่าถึงการต่อสู้กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตถึงขีดต่ำสุด ตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองเป็นอัมพาตครึ่งซีก จากที่เคยมีรายได้เดือนละ 2 แสนกว่าบาท ต้องสู้ชีวิต 6 ปีกว่า สุขภาพจึงจะกลับมาเหมือนเดิม แชร์เป็นอุทาหรณ์

ตามรายงานเผยว่า ชายชาวจีนรายนี้ได้โพสต์เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตจากนิสัยเสียเดิม ๆ จนทำให้เป็นอัมพาตครึ่งซีก ซึ่งเขาใช้เวลาฟื้นฟูร่างกายนานถึง 6 ปีถึงจะกลับมาเป็นปกติ โดยช่วงเช้าวันหนึ่ง ตื่นนอนมาพร้อมกับอาการที่ร่างกายซีกหนึ่งของเขาไม่สามารถขยับได้ แขนขาซ้ายควบคุมไม่ได้ และพูดไม่ชัด

ต่อมา พบว่าใบหน้าของเขาเป็นอัมพาตและไม่สามารถแสดงสีหน้าใด ๆ ที่ซีกซ้ายได้ พร้อมกับอาการอ่อนแรงแบบเฉียบพลันซึ่งทำให้เขาสลบไปในที่สุด และตื่นขึ้นมาอีกครั้งที่โรงพยาบาลหลังต้องนอนเป็นผู้ป่วยโคม่าถึง 3 วัน

แพทย์ได้วินิจฉัยว่า เขามีอาการโรคหลอดเลือดสมองตีบ และอัมพาตครึ่งซีก ดั่งโลกพังทลายชีวิตช่วงนั้นกำลังรุ่งสุด ๆ เพราะเขามีรายได้ต่อเดือนอยู่ที่ 50,000 หยวน คิดเป็นเงินไทยราว 2.5 แสนบาท ใช้ความเพียรพยายามนานกว่า 10 ปี

อย่างไรก็ตาม แพทย์ได้อธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบไว้ว่า มาจากพฤติกรรมที่ทำเป็นประจำ คือ การนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ โดยเฉลี่ยเพียง 4-5 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น เพราะเขาทำงานหนักตั้งแต่เรียนจบเพื่อจะมีชีวิตที่ดีขึ้น และนี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาเกือบเอาชีวิตไม่รอด

ชายรายนี้ยังกล่าวอีกว่า จากคนที่เคยมีรายได้เดือนละหลักแสน หลังจากเกิดเรื่องนี้ทำชีวิตพลิกชั่วข้ามคืน เนื่องจากเขาสูญเสียความสามารถในการทำงาน ทำให้เขาไม่มีรายได้ เขาต้องไปโรงพยาบาลทุกวัน เพื่อรับการบำบัดฟื้นฟู กายภาพบำบัด

ทั้งนี้ เขาได้ทิ้งท้ายไว้ว่า เขายังโชคดีที่มีแม่ ภรรยา และครอบครัวที่คอยดูแล เขาต้องใช้เวลาในการฝึกหัดสิ่งต่าง ๆ ใหม่ทั้งหมดเหมือนเป็นเด็กทารก เช่น การเดิน และการพูด ตอนนี้ผ่านมาแล้ว 6 ปี ร่างกายทุกส่วนของเขาเกือบจะเป็นปกติ สามารถกลับมาทำงานได้แล้ว

‘นักวิจัยอิสราเอล’ พัฒนา AI ช่วย ‘ผู้ป่วยอัมพาต’ ให้สามารถ ‘พูด’ ได้ ใช้วิธีถอดรหัสคลื่นสมอง เปล่งเสียงผ่านความคิด แล้วส่งไปยังคอมฯ

เมื่อวานนี้ (17 ก.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า มหาวิทยาลัยเทลอาวีฟของอิสราเอลเปิดเผยว่าคณะนักวิจัยของอิสราเอลได้พัฒนาวิธีการทางปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตและเป็นใบ้ให้สามารถ ‘พูด’ ผ่านพลังความคิด

โดยผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยฯ และศูนย์การแพทย์ ซูราสกี เทลอาวีฟ ในวารสารนิวโรเซอร์เจอรี (Neurosurgery) ระบุว่า ขั้วไฟฟ้าวัดลึก (depth electrode) ที่ถูกฝังอยู่ในสมองของผู้ป่วยจะส่งสัญญาณไฟฟ้าไปยังคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะเปล่งเสียงสองพยางค์ตามที่ผู้ป่วยจินตนาการถึง

คณะนักวิจัยชี้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่มีการเชื่อมโยงชนิดของคำกับกิจกรรมของเซลล์ในสมอง ซึ่งอาจเป็นความหวังของผู้เป็นอัมพาตโดยสมบูรณ์จากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคหลอดเลือดสมองตีบ หรืออาการบาดเจ็บทางสมอง ในการแสดงความรู้สึกผ่านคำพูดประดิษฐ์

นอกจากนั้นความก้าวหน้านี้อาจเปิดทางสู่การสร้างคอมพิวเตอร์สำหรับผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงระยะแรก ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้ป่วยยังสามารถพูดได้ เพื่อการตีความหมายหลังจากผู้ป่วยสูญเสียการควบคุมกล้ามเนื้อ

คณะนักวิจัยขอให้ผู้ป่วยที่เข้าร่วมการศึกษา ซึ่งเป็นโรคลมบ้าหมูที่มีขั้วไฟฟ้าฝังอยู่ในสมองก่อนผ่าตัด ออกเสียงพยางค์ ‘เอ’ และ ‘อี’ เพื่อบันทึกกิจกรรมของสมองขณะผู้ป่วยเปล่งเสียง ต่อจากนั้นใช้เทคนิคการเรียนรู้เชิงลึกและการเรียนรู้ของเครื่องมาฝึกฝนต้นแบบปัญญาประดิษฐ์เพื่อระบุเซลล์สมองจำเพาะที่เกิดกิจกรรมทางไฟฟ้าอันบ่งชี้ความตั้งใจออกเสียงพยางค์ทั้งสอง

เมื่อคอมพิวเตอร์เรียนรู้การจำแนกรูปแบบของกิจกรรมทางไฟฟ้าในสมองของผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับพยางค์ทั้งสองข้างต้นแล้ว คณะนักวิจัยขอให้ผู้ป่วยจินตนาการการออกเสียงพยางค์ทั้งสองเท่านั้น โดยคอมพิวเตอร์จะแปลสัญญาณไฟฟ้าและเล่นเสียง ‘เอ’ และ ‘อี’ ที่บันทึกไว้ก่อนหน้าตามลำดับ

คณะนักวิจัยกล่าวว่า ขั้นตอนต่อไปคือทำให้การพูดสมบูรณ์แบบ แม้สองพยางค์ที่แตกต่างกันสามารถช่วยให้ผู้เป็นอัมพาตโดยสมบูรณ์ส่งสัญญาณว่า ‘ใช่’ และ ‘ไม่ใช่’ ได้แล้ว โดยนี่ถือเป็นก้าวสำคัญสู่การพัฒนาส่วนต่อประสานสมอง-คอมพิวเตอร์ ที่สามารถผลิตเสียงพูดออกมาได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top