Monday, 12 May 2025
หน่วยงานความมั่นคง

‘บิ๊กป้อม’ ประชุมวางแผนงบบูรณาการ 3 คณะรวด เกาะติดแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ – น้ำ - รบ.ดิจิทัล

พล.อ.ประวิตร  ประชุม วางแผนงบบูรณาการ 3 คณะ  เกาะติดแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ -น้ำ-รัฐบาลดิจิทัล  น้อมนำศาสตร์พระราชา สอดรับยุทธศาสตร์ชาติ ย้ำ งานไม่ซ้ำซ้อน ปชช.มีส่วนร่วม/ได้ประโยชน์ตรงความต้องการ

(26 ม.ค. 65) เมื่อเวลา 10.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการจัดทำงบประมาณรายจ่ายบูรณาการ ปี 67 ทั้ง 3 คณะต่อเนื่องกัน ซึ่งเป็น 3 แผนงาน จากทั้งหมด 11 แผนงาน ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย ณ ห้องประชุมวิจิตรวาทการ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ทำเนียบรัฐบาล

การประชุมคณะแรก (คณะที่ 1.1) การขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมี สมช.เป็นเจ้าภาพหลัก ร่วมกับ กอ.รมน. และ ศอ.บต. โดยที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบ กรอบงบประมาณรายจ่ายบูรณาการตามแผนงานบูรณาการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหา จชต. งบปี67 มีหลักเกณฑ์ในการจัดทำงบฯที่สำคัญ อาทิ ต้องสอดคล้องกับเจตนารมย์และเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ ที่มีการเชื่อมโยงสนับสนุนซึ่งกันและกัน แบบห่วงโซ่คุณค่า (value chain) คำนึงถึงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ของ UN รวมถึงให้มีการขยายผลตามแนวศาสตร์พระราชา และยุทธศาสตร์พระราชทาน "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา" เป็นต้น ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้ให้นโยบายการทำงาน ต้องลดความหวาดระแวง สร้างกระบวนการยุติธรรมให้เด่นชัด มุ่งเน้นการแก้ปัญหาความยากจน และการพัฒนาการศึกษา ให้เป็นรูปธรรม

ต่อด้วย การประชุมคณะที่สอง (คณะที่ 1.2) แผนงานบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ มี สทนช.เป็นหน่วยงานเจ้าภาพหลัก โดยที่ประชุมได้เห็นชอบ หลักเกณฑ์การพิจารณาแผนงานบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ประจำปี67 ซึ่งต้องสอดคล้องกับแผนแม่บทฯน้ำ 20 ปี และเป็นแผน/โครงการ ภายใต้แผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำที่ กนช. เห็นชอบแล้ว รวมทั้งได้พิจารณาเห็นชอบ แผนงานบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำประจำปี67 ซึ่งจะมี 21 หน่วยงานจาก 8กระทรวง รับผิดชอบ ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้กำชับ ให้ สทนช.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องดำเนินการให้ประชาชนได้รับประโยชน์ อย่างทั่วถึง เท่าเทียมกัน เนื่องจากน้ำมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด ต่อทุกคน ทุกพื้นที่ และการบริหาร งป.ต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ด้วย

ตำรวจ ร่วมกับสำนักงาน กสทช.และหน่วยงานความมั่นคง กระชับพื้นที่เชียงแสน เร่งรัดปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเขตพื้นที่ต่าง ๆ ของคิงส์โรมัน

จากการที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สั่งการให้มีการปราบปรามกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ตั้งอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเด็ดขาด โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เริ่มปฏิบัติการ 'ระเบิดสะพานโจร' ตัดสัญญาณโทรคมนาคมที่ลักลอบใช้ในเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ บริเวณที่ตั้งโดยรอบบ่อนคาสิโนคิงส์โรมัน ประเทศลาว และในวันนี้ (23 ก.ค.67) เป็นการปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร.) มอบหมายให้ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศปอส.ตร. ร่วมกับ พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร กสทช. (ด้านกฎหมาย) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และฝ่ายความมั่นคง ตรวจสอบการลักลอบนำสายสัญญาณโทรศัพท์ในพื้นที่ ไปยังบริเวณพื้นที่คิงส์โรมัน ประเทศลาว อย่างผิดกฎหมาย ทั้งจากซิม สาย เสา และออกมาตรการเข้มงวดในการผ่านช่องทางธรรมชาติ เพื่อไม่ให้กลุ่มคนต่างชาติและคนไทยลักลอบไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในบริเวณพื้นที่รอยต่อที่ตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ

พล.ต.ท.ธัชชัยฯ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้หารือกับสำนักงาน กสทช. และผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ทั้ง 3 ค่าย เพื่อแก้ไขปัญหาสัญญาณรุกล้ำข้ามไปยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน และเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่ามีการตัดสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือสัญญาณอินเทอร์เน็ต ที่กระจายลุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ของประเทศเพื่อนบ้าน (คิงส์โรมัน สปป.ลาว) ฝั่งตรงข้าม อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ในทุกมิติ จึงลงพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามแผน รวมทั้งใช้เครื่องมือพิเศษตรวจสอบการกระจายสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่และสัญญาณอินเตอร์เน็ตตามแนวตะเข็บชายแดนในบริเวณใกล้เคียง และมอบหมายให้หน่วยงานในพื้นที่เฝ้าตรวจสอบและติดตามการลักลอบการติดตั้งเสาส่งสัญญาณเถื่อน เพื่อตัดรากถอนโคนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่เป้าหมายนี้

พล.ต.อ.ณัฐธรฯ กล่าวว่า จากการตรวจสอบเชิงรุกล่าสุด พบว่ามีสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่และสัญญาณอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของไทยใช้งานอยู่ในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ฝั่งตรงข้าม อ.เชียงแสน (คิงส์โรมัน สปป.ลาว) ซึ่งมีข้อมูลเชื่อได้ว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นรังใหญ่ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่โทรข้ามแดนมาหลอกคนไทย จึงลงพื้นที่บูรณาการร่วมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมผู้ประกอบการโทรคมนาคมทุกเครือข่าย ใช้เครื่องมือพิเศษติดตั้งบนอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ตรวจสแกนตลอดแนวชายแดนของ อ.เชียงแสน เพื่อตัดสัญญาณสื่อสารข้ามโขงในทุกมิติ นอกจากนั้น ได้ร่วมกับกองกำลังผาเมืองตัดทำลายสายเคเบิ้ลใยแก้วหรือไฟเบอร์ออฟติก ส่งสัญญาณอินเตอร์เน็ตไปยังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อยู่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน บริเวณพื้นที่ อ.แม่จัน จ.เชียงราย

มาตรการตัดปัจจัยสำคัญของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทั้ง ซิม เสา และสาย ที่ กสทช.ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการต่อเนื่องจากปีที่แล้ว โดยได้ระงับการใช้ซิมผีที่มิได้มายืนยันตนตามประกาศ กสทช. ไปแล้วมากกว่า 2 ล้านเลขหมาย ซึ่งเชื่อว่าซิมที่ถูกระงับการใช้งานนั้น ส่วนใหญ่อยู่ในการถือครองของคนร้าย นอกจากนี้ เพียงครึ่งปีที่ผ่านมา กสทช. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการจับกุมผู้ลักลอบติดตั้งเสาและสาย ส่งสัญญาณเถื่อนตามแนวชายแดนไปยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้จำนวน 33 ราย ส่วนผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตจาก กสทช. แต่ทำผิดเงื่อนไขการให้บริการ ได้แจ้งเตือนและสั่งให้ระงับการส่งสัญญาณโทรคมนาคม และถอดสายสัญญาณและอุปกรณ์ (ล้มเสา) จำนวน 179 จุด โดยดำเนินการแล้วใน 11 อำเภอ 9 จังหวัด ที่มีแนวชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ จ.ตาก เชียงราย มุกดาหาร หนองคาย สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระเเก้ว จันทบุรี และ จ.ระนอง ซึ่ง กสทช.ยังคงตรวจตระเวนการกระจายสัญญาณข้ามแดนอย่างต่อเนื่อง

พล.ต.ท.ธัชชัยฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลของการบูรณาการระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ , กสทช. และหน่วยงานความมั่นคง ในการกำจัดซิมผีบัญชีม้า โค่นเสาและสายสัญญาณเถื่อน รวมทั้งตรวจค้นจับกุมอุปกรณ์โทรคมนาคม ผิดกฎหมายดังกล่าว เป็นการทำลายปัจจัยสำคัญของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งส่งผลอย่างเป็นรูปธรรม จะเห็นได้จากการไหลทะลักเข้าไทยของอุปกรณ์สื่อสารดาวเทียมผิดกฎหมาย (Starlink) ผ่านไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง เพื่อทดแทนโครงสร้างโทรคมนาคม (ซิม เสา สาย) เดิม คาดว่าคนร้ายได้รับผลกระทบและเริ่มมีการปรับตัว ซึ่งทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ กสทช. จะได้ดำเนินการติดตามและบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่องต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top