Monday, 9 June 2025
สมภพพอดี

‘สมภพ’ ตีแผ่ระบบการศึกษา ‘ฟินแลนด์’ ที่ได้ชื่อว่าดีสุดในโลก สุดท้ายคุณภาพนักเรียนตกต่ำ แถมคนเก่งเผ่นหนีหาความเจริญ

(3 ม.ค.68) จากเฟซบุ๊ก 'Sompob Pordi' ของ นายสมภพ พอดี นิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความ หัวข้อ ฟินแลนด์ – หายนะทางการศึกษา โดยระบุข้อความว่า

พวกเราคงได้ยินว่า การศึกษาของฟินแลนด์ดีที่สุดในโลก นักเรียนฟินแลนด์เป็นนักเรียนที่มีความสุขที่สุดในโลก กันบ่อย ๆ แล้ว

วันนี้ผมเอาข้อเท็จจริง ที่ตรงข้ามกับการยกย่อง สรรเสริญ เยินยอ มาฝาก 

ฟินแลนด์เปลี่ยนแปลงและปรับปรุงการศึกษาของตนครั้งใหญ่ในยุค 70s โดยเลิกชั้นประถมและมัธยม ปรับเปลี่ยนหลักสูตรจากที่เคยเรียนวิชาพื้นฐานเป็นระดับจากง่ายไปยาก เป็นเรียนตามหัวข้อ เรียนเป็นโปรเจกต์ หลังจากนั้นมีการ ยกระดับการศึกษาอาชีวะและวิชาชีพให้มีความสำคัญเท่าเทียมกับการศึกษาเพื่อเตรียมเรียนต่อในมหาวิทยาลัย นำเอาระบบที่ใช้เด็กเป็นศูนย์กลาง เลิกการให้การบ้าน เลิกการสอบประจำปี จนเหลือแต่การสอบเพื่อเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาที่เรียกว่า Matriculation ที่เป็นการสอบระดับชาติ 

โรงเรียนและการศึกษาของฟินแลนด์ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดเมื่อประมาณ 25 ปีที่แล้ว ก่อนที่เด็กนักเรียนไม่ต้องทำการบ้าน ไม่ต้องสอบ

หลังจากนั้นก็เสื่อมถอยตกตํ่าลงไปเรื่อยไปจนปัจจุบันไม่อาจกล่าวได้ว่ามีอะไรน่าชื่นชม นอกจากเรียนง่าย ๆ สบาย ๆ ซึ่งถูกจริตในหมู่คนที่ต้องการบั่นทอนบ่อนทำลายชาติ หรือโง่เง่า หรือขี้เกียจสันหลังยาวในบ้านเรา ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีกีบ ไม่ว่าจะเลี้ยงลูกที่ไหน ไม่ว่าจะเลี้ยงลูกครึ่งหรือควบครึ่งลูก

ภาพด้านซ้ายมือ คือ ผลการสอบ ด้านวิชาการ (PISA) ของนักเรียนมัธยมปลายของประเทศต่าง ๆ

คะแนนสอบการอ่านของนักเรียนฟินแลนด์ในปี 2022 ลดลงจากปี 2000 มากถึง 56 คะแนน

ส่วนคะแนนสอบคณิตศาสตร์ของนักเรียนฟินแลนด์ในปี 2022 ลดลงจากปี 2003 มากถึง 79 คะแนน

การศึกษาที่ห่วยลงย่อมส่งผลต่อคุณภาพนักเรียนที่เรียนจบ ฟินแลนด์มีปัญหาเศรษฐกิจชะงักงัน ปีนี้จีดีพีติดลบ 1% เมื่อเทียบกับปี 2023 ซึ่งติดลบกว่า 3% เมื่อเทียบกับ 2022 และตั้งแต่ 2008 แทบจะไม่มีการเติบโตของเศรษฐกิจเลย ซึ่งเป็นผลให้ประเทศยากจนลง มีหนี้สาธารณะต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามกราฟในภาพกลาง และคุณภาพชีวิตของคนฟินแลนด์ลดลง

ในขณะเดียวกัน รัฐบาลฟินแลนด์โดยนักเลือกตั้งที่ผ่านการศึกษาฟินแลนด์เปิดรับผู้อพยพนับหมื่น ๆ คนต่อปี โดยคิดไม่ได้หรือไม่ได้คิดว่าจะมีผลอย่างไรบ้าง ทำให้เกิดปัญหาสังคมและเศรษฐกิจตามมาเพิ่มเติมด้วย

ผลลัพธ์คือ คนหนุ่มสาวชาวฟินแลนด์อายุระหว่าง 20 ถึง 40 ปี โดยเฉพาะผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ จำนวนมากขึ้นๆอพยพออกจากฟินแลนด์ เพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีกว่า ตามภาพขวาสุด

สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจและการจัดเก็บภาษีในรัฐสวัสดิการแห่งนี้อย่างรุนแรงต่อไป

ทั้งหมดนี้ เป็นวงจรอุบาทว์ที่เริ่มจากการทำลายการศึกษา ทำลายโรงเรียน ด้วยความหวังดีโง่ ๆ ที่อยากให้เด็ก ๆ ได้เรียนสบาย ๆ 

และหากในอนาคต มีใครเห่าหอนอวยว่าโรงเรียนและการศึกษาของฟินแลนด์ดีงามแค่ไหน เราสามารถแน่ใจได้ว่า ไอ้หรืออีนั่น ไม่รู้ห่านอะไรเลยแม้แต่น้อย

‘ดร.สุวินัย’ โพสต์ข้อความ แลกเปลี่ยนกับ ‘สมภพ พอดี’ เรื่อง!! ‘วิกฤตการศึกษาของเด็กไทย และคนไทย’

(4 ม.ค. 68) รองศาสตราจารย์ ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า …

แลกเปลี่ยนกับคุณสมภพ พอดี เรื่องวิกฤตการศึกษาของเด็กไทยและคนไทย

ผมเขียน : 
ในยุค post-post modern และเป็นยุค dataism อย่างในยุคปัจจุบัน การศึกษาสายสังคมศาสตร์ในมหาลัยกำลังถูกดิสรัป และเผชิญวิกฤตของการดำรงอยู่ ... มาทำความเข้าใจตรงกันในประเด็นนี้ก่อนดีมั้ยเอ่ย 

ขอให้กำลังใจคุณสมภพ พอดีที่เปิดประเด็นเรื่องวิกฤตการศึกษาของเด็กไทยและคนไทยครับ

คุณสมภพ พอดี ตอบ :
ถ้าผมตรงเกินไป ขออภัยด้วยนะครับ
การศึกษาสายสังคมปัจจุบันเป็นความสิ้นเปลือง เป็นภาระของสังคมมากครับ
เด็กนักเรียนใช้เวลาที่ดีที่สุดของชีวิต 4 ปี ใช้เงินทอง เรียนในสิ่งที่เอาไปใช้ทำอะไรในโลกปัจจุบันและอนาคตแทบจะไม่ได้ ใช้ทำธุรกิจหรืออุตสาหกรรมใดๆไม่ได้ ใช้ทำมาหากินสร้างตัว สร้างชีวิต ไม่ได้ แถมไม่สอน ไม่ฝึกฝนให้คนเรียนรู้จักคิดด้วยตรรกะ วิเคราะห์ด้วยเหตุผล

วันนึงในอนาคต หากมนุษยชาติยังคงอยู่ เขาจะตั้งคำถามว่า ทำไมคนในอดีตจำนวนมากมายถึงเสียเวลากับเรื่องพวกนี้

ผมตอบ : 
ผมเข้าใจประเด็นของคุณสมภพดีครับ อย่างไรก็ตามไม่ว่ายุคสมัยไหน สังคมย่อมต้องการ ‘นักปราชญ์’ มาพัฒนา ‘ความคิด’ อยู่ดี เพื่อตอบปัญหา ‘ความหมายของชีวิต’ (ikigai) ... เพราะในการพัฒนาความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์ มันต้องการองค์ความรู้ที่กว้างกว่าและลึกกว่าวิชาทำมาหากิน 

สั้น ๆ คนเราต้องการเสพทั้ง 'ความจริง ความดี และความงาม' เพื่อบรรลุความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง (ความรู้ทางวิทยาศาสตร์สังกัดอยู่ใน 'ความจริง', ความรู้ทางศาสนาสังกัดอยู่ใน 'ความดี' และความรู้ทางศิลปะ-วัฒนธรรมสังกัดอยู่ใน 'ความงาม')

‘นักปราชญ์’ หรือ ผู้นำความคิด/ ผู้ผลิตความคิดที่เป็น ‘ความจริง ความดี ความงาม’ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นในทุกยุคทุกสมัย เพื่อวิวัฒน์อารยธรรมของมนุษยชาติให้รุดหน้า

แต่ในความเป็นจริงก็คือ ยุคสมัยไม่ได้ต้องการ 'นักปราชญ์หรือผู้นำความคิด' จำนวนมากมายเลย แต่มันต้องมีและต้อง 'ผลิตซ้ำ' ออกมาอย่างต่อเนื่องในระดับหัวกะทิ เพราะคนพวกนี้เปรียบเหมือน นักกีฬาโอลิมปิคในวงการความคิด

ปัญหาของสังคม Mass Society ที่ผุดขึ้นมาพร้อมกับระบบ Mass Production ของเศรษฐกิจระบบทุนนิยม คือ มันสร้างระบบมหาลัย และคณะสังคมศาสตร์ ที่ผลิตนักศึกษาสายสังคมศาสตร์ออกมาในระดับ mass เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นความสิ้นเปลืองของสังคมจริง ๆ เพราะ 99.9% ของนักศึกษาเหล่านี้ ไม่สามารถแสดงบทบาทหน้าที่ของ ‘นักปราชญ์’ หรือ ‘ผู้นำความคิด’ ที่สังคมต้องการได้

'ดร.สุวินัย' ชี้วิกฤตจากยกเลิกเอ็นทรานซ์ สู่ปัญหาคนรุ่นใหม่ความคิดตกต่ำไร้คุณภาพ

(7 ม.ค.68) รองศาสตราจารย์ ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  โพสต์ข้อความแลกเปลี่ยนความคิดเห็น 'สมภพ พอดี' ระบุว่า … หายนะยุคใหม่ทางการศึกษาไทยเริ่มจากการยกเลิกการสอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยที่ใช้คะแนนสอบครั้งเดียว 100% เป็นเกณฑ์คัดเลือกนักเรียน ในปี พ.ศ. 2542  และหลังจากนั้นก็ใช้คะแนนสอบวัดผลมัธยมปลายที่ไม่มีมาตรฐานใด ๆร่วมกับคะแนนสอบเข้า เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันที่ใช้เกณฑ์สารพัดตั้งแต่พอร์ตโฟลิโอ จนถึงคณะจัดสอบเอง หลากหลายไปหมด 

ต่อด้วยการปล่อยให้มหาวิทยาลัยของรัฐที่ส่วนใหญ่ใช้เงินภาษีของประชาชนก่อตั้ง ทำนุบำรุง สนับสนุนให้เติบโต ออกจากระบบราชการ ด้วยความเชื่อโง่ ๆ ว่ามหาวิทยาลัยต้องมีอิสระ แต่ก็ยังต้องเอาภาษีจากประชาชนอุดหนุนแถมให้ทุกปี นอกจากที่ได้ยกทรัพย์สินของชาติให้เป็นของมหาวิทยาลัยให้ไปใช้หาประโยชน์กันเองแล้ว 

และการปล่อยและละเลยให้การศึกษาอาชีวะตกตํ่า ทั้งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการยกระดับผลผลิต เศรษฐกิจ รายได้ของชาติ และคุณภาพชีวิตของประชาชน สำคัญมากกว่าการศึกษาสายสังคมในระดับอุดมศึกษาเป็นร้อย ๆ เท่า

ส่วนเรื่องยิบย่อยโง่ ๆ อย่าง 'ควายเซ็นเตอร์' ที่ทำให้ลูกคนเป็นลูกควายเพราะแทนที่จะได้เรียนรู้ตามศักยภาพก็ได้แค่ตามสภาพ การรับเด็กนักเรียนที่อาศัยในพื้นที่ใกล้กับโรงเรียนที่ลอกเลียนจากฝรั่งที่เขาใช้ภาษีของคนในพื้นที่สร้าง สนับสนุน และอุดหนุนการดำเนินการของโรงเรียนที่ต่างจากบ้านเราที่ โรงเรียนของรัฐบาลส่วนใหญ่ใช้ภาษีจากคนทั้งประเทศก็สะท้อนถึงความรู้และสติปัญญาของผู้บริหารในยุคนั้น 

และทำให้คุณภาพของโรงเรียนชั้นนำอย่างสวนกุหลาบ สตรีวิทยา บดินทร์เดชา ตกตํ่าลงตามคุณภาพของนักเรียน การโกงสอบในยุครวยแล้วไม่โกงที่นอกจากทำให้คนโง่ได้แย่งที่เรียนของเด็กนักเรียนคนอื่นแล้ว ยังทำให้คนไทยชินชาเฉยชากับการฉ้อฉล  การยกเลิกวิชาหน้าที่พลเมือง วิชาประวัติศาสตร์ และอื่น ๆ ก็กระหน่ำซํ้าเติมคุณภาพ คุณธรรม จริยธรรมของการศึกษาไทยให้มืดมนลงไปอีก 

นอกจากนี้ ยังมีขบวนการบั่นทอนบ่อนทำลายชาติ ซํ้าเติมด้วยการเผยแพร่ความคิดและวาทกรรมโง่ ๆ ออกมาหลอกคนโง่ ๆ ให้โง่ลง ๆ เช่น ไม่ต้องเรียนก็ประสบความสำเร็จได้อย่าง บิล เกตส์ รึ สตีฟ จ็อบส์, สโลว์ไลฟ์คือความสุข, อย่าสอนปลาให้ขึ้นต้นไม้, ไม่ต้องไปอบรมสั่งสอนเด็กรุ่นใหม่ เพราะเขาฉลาดกว่า รู้มากกว่า รู้ดีกว่า แล้ว, เครื่องแบบและทรงผมนักเรียน กฎระเบียบของโรงเรียน คือการกดขี่กดทับพัฒนาการของเด็ก

ทั้งหมดนี้ ส่งผลร้ายแรงและสร้างความเสียหายต่อสังคมไทยมาตลอด จนทำให้ผู้ที่ผ่านการศึกษาไทยจำนวนมากโง่เง่า ไม่มีความรู้อย่างที่ควรมีโดยเฉพาะคณิตศาสตร์เบื้องต้นและพื้นฐานความเป็นมนุษย์ คิดไม่ได้คิดไม่เป็น ไม่ชอบคิด ขี้เกียจคิด จนคะแนนสอบของนักเรียนส่วนใหญ่ในปัจจุบันตํ่าตมเกือบที่สุดในโลกแล้ว และคนจำนวนมากหลงเชื่อการต้มตุ๋นหลอกลวงต่างๆ มากขึ้นทุกวัน ๆ และวาทกรรมอื่น ๆ เช่น รวยแล้วไม่โกง และอัศวินควายดำ, คนเราเท่ากัน คนที่ไม่ทำหน้าที่เท่ากับคนที่ทำหน้าที่, ประชาธิปไตยคือเป้าหมายสูงสุด, ของฟรีมีในโลก เช่น รัฐสวัสดิการที่ผู้คนจ่ายแวตอย่างเดียว, ลอกเพื่อนยังสอบตก คือ เก่ง ฉลาด สมควรเป็นนายกฯ, ไฮเปอร์ลูป คริปโต วัคซีนเทวดา แชร์สารพัดแม่ ดิไอคอน ฯลฯ 

อย่างไรก็ตาม ทุกวิกฤตมีโอกาสสำหรับคนฉลาด ๆ เสมอ สิ่งที่กล่าวมาแล้ว เกิดขึ้นจริงกับคนจำนวนมาก แต่เราสามารถบริหารจัดการให้ลูกหลานของเราไม่ต้องเป็นอย่างคนจำนวนมากที่โง่เง่า สิ้นคิด ไร้ศักยภาพ ไม่มีอนาคตได้แน่นอน และเมื่อเขามีความรู้ที่มีประโยชน์ ที่ถูกต้องท่ามกลางคนที่ไม่รู้อะไร เขาคิดเป็นคิดได้ท่ามกลางคนสิ้นคิด ที่คิดแค่ อยากมีเหล้าเบียร์เสรี โสเภณีถูกกฎหมาย  เขาย่อมมีความสามารถท่ามกลางคนที่ทำอะไรไม่เป็น เขาจะไม่มีคู่แข่งในแทบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน การค้าขายทำธุรกิจ การสร้างฐานะ สร้างความมั่นคง สร้างอิสรภาพทางการเงิน จะมีและอยู่ในสังคมของเขาที่ไม่มีคนห่วย ๆ โง่ ๆ มาปะปน

‘อ.สมภพ พอดี’ โพสต์เฟซ!! อุดมศึกษาใน ‘ไทย-ไต้หวัน-สิงคโปร์’ เศรษฐกิจ รายได้ คุณภาพชีวิต อนาคต ต้องเริ่มจากการสร้างคนที่มีความรู้

(22 ก.พ. 68) ‘อ.สมภพ พอดี’ โพสต์ข้อความระบุว่า …

อุดมศึกษา ในไทย ไต้หวันและสิงคโปร์ และเศรษฐกิจ รายได้ คุณภาพชีวิต อนาคต

ไทย ประเทศขนาดกลาง มีความอุดมสมบูรณ์ มีก๊าซธรรมชาติ มีประชากร 70 ล้านคน ปัจจุบันมีผลผลิตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพีต่อคนประมาณ $7,200 ไต้หวัน เกาะเล็ก ๆ ไม่มีทรัพยากรมากมาย ไม่มีนํ้ามัน ไม่มีก๊าซ มีแต่ผู้คน มีประชากร 23.4 ล้านคน ปัจจุบันมีผลผลิตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพีต่อคนประมาณ $33,000 หรือมากกว่าไทยประมาณ 5 เท่า

สิงคโปร์ เกาะขนาดจิ๋ว ไม่มีทรัพยากรอะไรเลย นํ้าจืดยังมีไม่พอ ไม่มีนํ้ามัน ไม่มีก๊าซ มีแต่ผู้คน มีประชากร 6 ล้านคน ปัจจุบันมีผลผลิตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพีต่อคนประมาณ $85,000 หรือมากกว่าไทยประมาณ 12 เท่า

ปัจจุบัน นักเรียนในทั้ง 3 ประเทศเข้าเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย ตามสาขาวิชาด้วยสัดส่วนต่อไปนี้
สิงคโปร์
1. ธุรกิจ การบัญชี การเงิน ประมาณ 26%
2. วิศวกรรม ประมาณ 23%
3. คอมพิวเตอร์และไอที ประมาณ 20% และเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
4. วิทยาศาสตร์ด้านสุขภาพ เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล ประมาณ 14%
5. สังคมศาสตร์ทุกสาขา ไม่รวมกฎหมาย เศรษฐศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ ประมาณ 10%

ไต้หวัน
1. วิศวกรรม ประมาณ 28%
2. ธุรกิจ การบัญชี การเงิน ประมาณ 22%
3. คอมพิวเตอร์และไอที ประมาณ 20% และเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
4. วิทยาศาสตร์ด้านสุขภาพ เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล ประมาณ 16%
5. สังคมศาสตร์ทุกสาขา ไม่รวมกฎหมาย เศรษฐศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ ประมาณ 7%

ไทย
1. สังคมศาสตร์ทุกสาขา ไม่รวมกฎหมาย เศรษฐศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ ประมาณ 32%
2. ธุรกิจ การบัญชี การเงิน ประมาณ 20%
3. คอมพิวเตอร์และไอที ประมาณ 12% และเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
4. วิทยาศาสตร์ด้านสุขภาพ เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล ประมาณ 12%
5. วิศวกรรม ประมาณ 8%

สิงคโปร์
มีนศ.รัฐศาสตร์ปีหนึ่ง เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยอย่าง NUS, NTU และ SMU ประมาณ 1,400 คนในแต่ละปี ประมาณ 80% จองนศ.เหล่านี้เป็นคนสิงคโปร์ ดังนั้นจึงมีนศ.สิงคโปร์เข้าเรียน รัฐศาสตร์ ประมาณปีละ 1,100 คน ถ้าสิงคโปร์มีประชากรเท่ากับ ไทย หรือ มากกว่าที่เป็นอยู่ 12 เท่า จะมีนศ.เข้าเรียน รัฐศาสตร์ ประมาณปีละ 13,200 คน

ไต้หวัน
มีนศ.รัฐศาสตร์ปีหนึ่ง เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยอย่าง NTU, NCCU, NTNU, TU และอื่น ๆ ประมาณ 2,200 คนในแต่ละปี ถ้าไต้หวันมีประชากรเท่ากับ ไทย หรือ มากกว่าที่เป็นอยู่ 3 เท่า จะมีนศ.เข้าเรียน รัฐศาสตร์ ประมาณปีละ 6,600 คน

ตัวเลขทั้งหมดด้านบนเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน สังคมที่จะพัฒนาไปข้างหน้าทางเศรษฐกิจได้ สร้างรายได้ คุณภาพชีวิตที่ดี อนาคตที่ดีให้ผู้คนได้ จะต้องเริ่มจากการสร้างคนที่มีความรู้ที่นำไปใช้สร้างธุรกิจอุตสาหกรรม ความรู้ที่สร้างผลผลิตทางเศรษฐกิจได้สูง สร้างมูลค่าเพิ่มได้มาก ต้องไม่ปล่อยให้คนไม่มีความรู้ที่ไม่เป็นประโยชน์ หรือประโยชน์น้อย ไม่มีคุณค่าในทางเศรษฐกิจ ตัวเลขโกหกไม่ได้

ไทย 
มีนศ.รัฐศาสตร์ปีหนึ่ง เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยอย่าง จุฬา, ธรรมศาสตร์, เกษตร, มช., รามคำแหง และอื่นๆ ประมาณกี่คนในแต่ละปีก็ไม่รู้เพราะหาข้อมูลไม่ได้ เอไอสารพัดยี่ห้อก็ไม่รู้ รู้แค่ว่ามากเกินไปมาก มากเกินความจำเป็น เรียนแล้วอาจจะคลั่งอุดมการณ์โง่ๆ อย่างเช่น คนเท่ากัน คอมมี่คือพัฒนาการสูงสุดของประชาธิปไตย ฯ วิกลจริต หรือโง่จนไม่รู้ว่ามนุษย์มีแค่สองเพศคือหญิงกับชาย หรือไม่รู้ว่าไม่มีใครจ้างใครไปทำงานเพราะมีความรู้เรื่องทฤษฎีการเมือง เท่านั้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top