การเจรจาข้อตกลงแร่ธาตุสำคัญ!! ระหว่าง ‘ยูเครน – สหรัฐอเมริกา’ ยุทธศาสตร์การฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสงคราม และการปะทะเชิงภูมิรัฐศาสตร์
เมื่อวันที่ 16 เมษายน ค.ศ. 2025 ที่ผ่านมายูเครนและสหรัฐอเมริกาได้ประกาศความคืบหน้าในการเจรจาความร่วมมือด้านแร่ธาตุสำคัญ (critical minerals) โดยมุ่งเน้นการพัฒนาและส่งออกแร่เชิงยุทธศาสตร์ เช่น ลิเธียม, นิกเกิล, โคบอลต์, และกราไฟต์ ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในเทคโนโลยีแบตเตอรี่ พลังงานสะอาด และระบบอาวุธขั้นสูง การเจรจานี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนเชิงยุทธศาสตร์ในความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ ข้อตกลงดังกล่าวมิได้เป็นเพียงการลงทุนทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังแฝงนัยสำคัญด้านภูมิรัฐศาสตร์ ความมั่นคง และการฟื้นฟูยูเครนหลังจากสงครามที่ดำเนินมายาวนานกับรัสเซีย ทำให้การลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างสหรัฐอเมริกาและยูเครนว่าด้วยความร่วมมือด้านแร่ธาตุได้กลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากนานาชาติโดยเฉพาะจากฝ่ายรัสเซียซึ่งมองว่าความเคลื่อนไหวครั้งนี้มิได้เป็นเพียงข้อตกลงทางเศรษฐกิจเท่านั้น หากแต่เป็นยุทธศาสตร์การแผ่อิทธิพลของตะวันตกในพื้นที่ยุโรปตะวันออกอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ยูเครนถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีแหล่งแร่หายากที่อาจกลายเป็นฐานอุตสาหกรรมใหม่ของตะวันตก ในขณะที่รัสเซียมองว่าการแทรกซึมของสหรัฐฯ เข้าสู่ภาคทรัพยากรธรรมชาติของยูเครนเป็นการคุกคามต่ออิทธิพลของมอสโกในพื้นที่ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิรัสเซียและสหภาพโซเวียต ในบริบทนี้ นักคิด นักวิเคราะห์ และสื่อรัสเซียจำนวนมากจึงพยายามให้ภาพข้อตกลงดังกล่าวในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่สหรัฐฯ กำลังใช้ทรัพยากรของยูเครนเป็นเครื่องมือต่อรองทางยุทธศาสตร์มากกว่าการพัฒนาเพื่อผลประโยชน์ของชาวยูเครนโดยตรง โดยสาระสำคัญของข้อตกลง มีอยู่ด้วยกัน 3 เรื่องประกอบด้วย
1) การจัดตั้งกองทุนร่วมเพื่อการฟื้นฟู (Joint Investment Fund) โดยยูเครนจะนำรายได้ 50% จากการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติของรัฐ เช่น แร่ธาตุ น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ เข้ากองทุนร่วมกับสหรัฐฯ เพื่อใช้ในการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน พลังงาน และอุตสาหกรรมภายในยูเครน การจัดตั้งกองทุนดังกล่าวสะท้อนถึงความพยายามในการผสมผสานผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของพันธมิตรกับเป้าหมายการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานในประเทศที่ถูกทำลายจากสงคราม
2) การลดข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ: สหรัฐฯ ได้ลดข้อเรียกร้องในการชดเชยความช่วยเหลือจาก $300 พันล้าน เหลือ $100 พันล้าน เพื่อให้ข้อตกลงเป็นที่ยอมรับของยูเครนมากขึ้น ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ เคยแสดงความคาดหวังว่ายูเครนควรจะให้สิทธิหรือผลประโยชน์บางอย่างเพื่อแลกกับการสนับสนุนทางการทหาร การเงิน และเทคโนโลยี โดยมีข่าวว่ามีการคาดการณ์มูลค่าผลประโยชน์ตอบแทนจากฝั่งยูเครนสูงถึง $300 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่อาจเชื่อมโยงกับแนวคิดเรื่อง reconstruction bonds หรือการ “แปรค่า” ทรัพยากรเพื่อใช้หนี้หรือเป็นหลักประกันการฟื้นฟูหลังสงคราม การลดข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ครั้งนี้เป็นผลจาก 1) แรงกดดันภายในสหรัฐฯ เห็นได้จากความลังเลของรัฐสภาและกระแสต่อต้านการช่วยเหลือยูเครนที่เพิ่มขึ้นในหมู่ประชาชน ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้อง “ปรับท่าที” ให้มีลักษณะของ win-win deal มากขึ้น 2) แรงต้านจากยูเครน ซึ่งมีเสียงวิจารณ์ว่าข้อเรียกร้องที่มากเกินไปอาจละเมิดอธิปไตยทางเศรษฐกิจของยูเคร และกลายเป็นกับดักการพึ่งพิงระยะยาว และ 3) บริบทระหว่างประเทศ เมื่อจีนและรัสเซียเริ่มเคลื่อนไหวสร้างกรอบความร่วมมือด้านพลังงาน-แร่ธาตุกับประเทศกำลังพัฒนา สหรัฐฯ จึงต้อง ลดแรงกดดัน และ ปรับกลยุทธ์เพื่อไม่ให้สูญเสียพันธมิตร การลดข้อเรียกร้องของสหรัฐฯลงเหลือ $100 พันล้าน สื่อถึงความพยายามสร้าง “ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์” มากกว่าการเอาเปรียบ การเปลี่ยนผ่านจาก “ความช่วยเหลือเพื่อความอยู่รอด” สู่ “ความร่วมมือเพื่อการลงทุนและฟื้นฟู” รวมถึงอาจมีข้อตกลงที่ไม่เป็นทางการแฝงอยู่ เช่น สหรัฐฯ ได้สิทธิพิเศษในการเข้าถึงแร่สำคัญอย่างลิเทียม แรร์เอิร์ธ หรือยูเรเนียมในภูมิภาคของยูเครน
3) การเข้าถึงแหล่งแร่ธาตุสำคัญ ข้อตกลงนี้จะเปิดโอกาสให้สหรัฐฯ เข้าถึงแหล่งแร่ธาตุสำคัญของยูเครน ซึ่งจำเป็นต่ออุตสาหกรรมพลังงานสะอาด เทคโนโลยีขั้นสูง และความมั่นคงด้านอุตสาหกรรม
ในแง่เศรษฐกิจ ข้อตกลงนี้ถือเป็นกลไกสำคัญในการระดมทุนเพื่อฟื้นฟูประเทศในระยะกลางและยาว โดยไม่ต้องพึ่งพาการบริจาคโดยตรงจากภายนอก ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการเข้าถึงแหล่งแร่ธาตุสำคัญของยูเครน ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่ออุตสาหกรรมพลังงานสะอาด เทคโนโลยีขั้นสูง และความมั่นคงด้านอุตสาหกรรม
ในทางความมั่นคง ข้อตกลงดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของสหรัฐฯ ที่จะสานต่อการมีบทบาทในภูมิภาคยุโรปตะวันออก แม้จะไม่มีการให้หลักประกันด้านความมั่นคงอย่างเป็นทางการ แต่ก็สื่อถึง “พันธสัญญาแฝง” (implicit commitment) ในการสนับสนุนยูเครนทั้งในเชิงเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์
ในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ข้อตกลงนี้ไม่ใช่เพียงเรื่อง “ทรัพยากร” แต่เป็นการล็อกพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ในระยะยาว โดยอาศัยทรัพยากรธรรมชาติเป็นตัวประกัน สหรัฐฯ พยายามลดข้อขัดแย้งเพื่อสร้าง “เสถียรภาพความร่วมมือ” ในระยะยาว และกันไม่ให้ยูเครนเปิดดีลทางเลือกกับจีนหรือกลุ่ม BRICS ในทางกลับกันรัสเซียมองว่าการทำข้อตกลงเช่นนี้คือ การบ่อนทำลายภูมิรัฐศาสตร์พลังงานในยูเรเซียที่รัสเซียเคยครองอิทธิพลอยู่
นัยทางภูมิรัฐศาสตร์และการแข่งขันกับรัสเซีย ในบริบทของสงครามรัสเซีย–ยูเครน ความตกลงนี้มีนัยที่ลึกซึ้งในระดับโครงสร้าง กล่าวคือสหรัฐฯ ไม่เพียงแต่สนับสนุนยูเครนในเชิงทหารเท่านั้นแต่ยังวางรากฐานความร่วมมือเชิงโครงสร้าง (structural alignment) ที่อาจเปลี่ยนแปลงสถานะของยูเครนในระบบระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดการพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติร่วมกับรัสเซีย
ในมุมของรัสเซีย ความร่วมมือระหว่างยูเครนและสหรัฐฯ ถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการ “ครอบงำยูเรเชีย” ของตะวันตกและเป็นการท้าทายต่ออิทธิพลของรัสเซียในอดีตพื้นที่หลังโซเวียต ข้อตกลงนี้จึงอาจถูกตีความว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “สงครามตัวแทนทางเศรษฐกิจ” (economic proxy conflict) โดยสามารถแยกประเด็นในการวิเคราะห์ออกเป็นด้านต่างๆ ได้ดังนี้
1) การมองว่าข้อตกลงฯดังกล่าวเป็นภัยคุกคามต่ออิทธิพลของรัสเซียในยูเครน นักวิเคราะห์รัสเซียหลายคนมองว่าข้อตกลงนี้เป็นความพยายามของสหรัฐฯ ในการลดอิทธิพลของรัสเซียในยูเครน โดยการเข้าถึงทรัพยากรแร่ธาตุสำคัญของยูเครน ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถของรัสเซียในการควบคุมภูมิภาคนี้ในระยะยาว
2) ข้อเสนอของรัสเซียในการร่วมมือด้านแร่ธาตุกับสหรัฐฯ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ได้แสดงความพร้อมที่จะเสนอความร่วมมือด้านแร่ธาตุหายากและอลูมิเนียมแก่สหรัฐฯ โดยเน้นว่ารัสเซียมีทรัพยากรเหล่านี้มากกว่ายูเครนและสามารถเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่น่าเชื่อถือได้ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินยังได้แสดงความพร้อมที่จะเสนอความร่วมมือด้านแร่ธาตุหายากและอลูมิเนียมแก่สหรัฐฯ โดยเน้นว่ารัสเซียมีทรัพยากรเหล่านี้มากกว่ายูเครนและสามารถเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่น่าเชื่อถือได้ เห็นได้จากการที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินได้กล่าวต่อสาธารณะหลายครั้งว่า รัสเซียมีศักยภาพในการเป็นแหล่งจัดหาทรัพยากรแร่หายาก (rare earth elements) และโลหะอุตสาหกรรม เช่น อลูมิเนียม ไทเทเนียม และนิกเกิล ที่สำคัญต่ออุตสาหกรรมยุทโธปกรณ์ พลังงานสะอาด และเทคโนโลยีขั้นสูง เมื่อวิเคราะห์ในประเด็นนี้รัสเซียมีข้อได้เปรียบด้านทรัพยากร เพราะมีแหล่งแร่ธาตุหายากจำนวนมาก โดยเฉพาะในไซบีเรียและตะวันออกไกล เช่น Yttrium, Neodymium, Dysprosium เป็นผู้ส่งออกอลูมิเนียมรายใหญ่ ผ่านบริษัท Rusal ซึ่งเคยเป็นผู้จัดหาสำคัญให้กับสหรัฐฯ รวมถึงการมีโครงสร้างพื้นฐานการผลิตครบวงจร ตั้งแต่เหมือง การแปรรูป ไปจนถึงโลจิสติกส์ขนาดใหญ่ (โดยเฉพาะทางรถไฟและทะเล) เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วรัสเซียยังคงมีจุดแข็งที่เหนือกว่ายูเครน เนื่องจาก ปริมาณทรัพยากรแร่และโลหะหายากมากกว่า โครงสร้างอุตสาหกรรมพร้อมกว่า และเสถียรภาพในบางภูมิภาคของรัสเซีย (เช่น ไครเมียตอนนี้) อาจมากกว่ายูเครนที่ยังมีความไม่แน่นอนด้านความมั่นคง
แม้ในเชิงเศรษฐกิจข้อเสนอของรัสเซียจะดูน่าสนใจ แต่ในเชิงการเมืองระหว่างประเทศ มีอุปสรรคสำคัญดังนี้ 1) ข้อจำกัดเชิงนโยบาย สหรัฐฯ มีนโยบายลดการพึ่งพาทรัพยากรจากประเทศ “ศัตรูเชิงยุทธศาสตร์” มีมาตรการกีดกันต่อบริษัทรัสเซียหลายแห่งในภาคเหมืองแร่และโลหะ เช่น Rusal, Norilsk Nickel นอกจากนี้การทำข้อตกลงกับรัสเซียอาจถูกวิพากษ์อย่างรุนแรงจากพันธมิตร NATO และ EU ในขณะที่การเลือกยูเครนนั้นเป็นการสร้างโครงสร้างอุตสาหกรรมใหม่ โดยสหรัฐฯ ต้องการลงทุนระยะยาวในประเทศที่สามารถควบคุมเชิงระบบได้มากกว่าและยูเครนถูกมองว่าเป็น “รัฐในกระบวนการสถาปนาใหม่” ที่สามารถสร้าง dependency model ได้ง่าย
3) การเน้นย้ำถึงความไม่แน่นอนของทรัพยากรในยูเครน แม้ว่ายูเครนจะถูกกล่าวขานว่าเป็นประเทศที่ “อุดมด้วยทรัพยากรใต้ดิน” โดยเฉพาะในภาคตะวันออกและตอนใต้ แต่ในทางวิชาการและอุตสาหกรรม ยังมีข้อจำกัดหลายประการ นักวิชาการรัสเซียบางคนชี้ให้เห็นว่าทรัพยากรแร่ธาตุในยูเครนอาจไม่มีปริมาณหรือคุณภาพที่เพียงพอสำหรับการลงทุนระยะยาว โดยอ้างถึงข้อมูลที่ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับปริมาณสำรองของแร่ธาตุหายากในยูเครน แหล่งข้อมูลหลักเกี่ยวกับ REEs (rare earth elements) ของยูเครนจำนวนมากยังอยู่ในขั้น “preliminary estimates” (การประเมินเบื้องต้น) โดยไม่มีการสำรวจทางธรณีวิทยาเชิงลึก (deep exploration drilling) หรือ การประเมินเชิงปริมาณ (proven reserves) ที่ได้รับการรับรองในระดับสากลข้อมูลที่ปรากฏในสื่อยูเครนจำนวนมาก เช่น การกล่าวว่า “ยูเครนมีแร่หายาก 117 ชนิด” นั้น ไม่สามารถตรวจสอบได้อย่างเป็นทางการ และไม่ปรากฏในฐานข้อมูลของ USGS หรือ IAEA แม้บางแหล่งจะมี REEs แต่หากระดับความเข้มข้นต่ำ (low-grade ores) การสกัดจึงต้องใช้ต้นทุนสูงและอาจไม่คุ้มกับการลงทุนระยะยาว
นอกจากนี้มีรายงานจากนักธรณีวิทยาท้องถิ่นยูเครนว่าแหล่งแร่บางแห่งใน Zhytomyr และ Kirovohrad มีปัญหาเรื่องสารปนเปื้อน (impurities) เช่น thorium และ uranium ทำให้ต้องใช้กระบวนการแยกที่ซับซ้อนและแพง ยูเครนยังขาดโครงสร้างพื้นฐานด้านเหมืองแร่และการแปรรูป ยูเครนไม่มีโรงงาน separation plant สำหรับแร่หายาก ซึ่งจำเป็นในการแยกธาตุเฉพาะออกจากแร่ดิบ การขนส่งโลจิสติกส์ในบางพื้นที่ยังไม่พร้อม โดยเฉพาะในพื้นที่ใกล้เขตความขัดแย้งทางทหาร (Donbas, Kharkiv) พื้นที่ที่อ้างว่ามีศักยภาพแร่ เช่น Donetsk, Luhansk, Zaporozhzhia ล้วนอยู่ในเขตความขัดแย้งที่ยังไม่สงบ นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องความไม่แน่นอนทางความมั่นคง ปัญหาคอร์รัปชัน และข้อจำกัดด้านกฎหมายในยูเครน แม้จะได้รับการสนับสนุนทางการเมืองจากสหรัฐฯ
ข้อตกลงฯดังกล่าวยังคงมีข้อกังวลและประเด็นที่ยังต้องเจรจาอีกในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
1) การควบคุมท่อส่งก๊าซ สหรัฐฯ มีข้อเสนอให้ควบคุมท่อส่งก๊าซสำคัญที่ผ่านยูเครน ซึ่งเป็นประเด็นที่ยูเครนยังไม่เห็นด้วย เนื่องจากเกี่ยวข้องกับอธิปไตยและผลประโยชน์ของประเทศ
2) การให้หลักประกันด้านความมั่นคง แม้ข้อตกลงจะไม่มีการให้หลักประกันด้านความมั่นคงโดยตรง แต่ยูเครนหวังว่าความร่วมมือทางเศรษฐกิจนี้จะนำไปสู่การมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ ในการรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงของประเทศในระยะยาว
3) การให้สัตยาบันโดยรัฐสภายูเครน ข้อตกลงนี้ยังต้องได้รับการให้สัตยาบันจากรัฐสภายูเครนก่อนที่จะมีผลบังคับใช้
แม้ข้อตกลงนี้จะเป็นเพียงกรอบเบื้องต้น แต่หากได้รับการให้สัตยาบันและดำเนินการจริง อาจเป็นต้นแบบของการฟื้นฟูประเทศหลังสงครามโดยใช้ทรัพยากรธรรมชาติเป็นทุน และเป็นกรณีศึกษาสำหรับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ–การเมืองระหว่างประเทศขนาดกลางกับมหาอำนาจในโลกหลังความขัดแย้งในขณะเดียวกัน ยูเครนจะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้ข้อตกลงนี้ขัดแย้งกับพันธะสัญญาต่อสหภาพยุโรป หรือเงื่อนไขของ IMF ที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรของรัฐ
บทสรุป การลงนามข้อตกลงแร่ธาตุระหว่างยูเครนกับสหรัฐฯ ถูกจับตามองจากรัสเซียอย่างใกล้ชิด โดยนักวิเคราะห์รัสเซียมองว่าข้อตกลงนี้เป็นการขยายอิทธิพลของสหรัฐฯ เข้ามาในภูมิภาคที่มีความละเอียดอ่อนทั้งด้านประวัติศาสตร์และภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งยังสะท้อนถึงการใช้ยูเครนในฐานะเครื่องมือทางภูมิยุทธศาสตร์ของตะวันตกเพื่อสกัดกั้นรัสเซียในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นพลังงาน โลจิสติกส์ หรือทรัพยากรแร่ธาตุ แม้ว่ารัสเซียจะพยายามเสนอความร่วมมือทางเศรษฐกิจในด้านเดียวกันเพื่อรักษาฐานอำนาจของตน แต่พลวัตของภูมิภาคยุโรปตะวันออกกลับเคลื่อนตัวอย่างต่อเนื่องไปสู่การจัดระเบียบใหม่ที่ไม่จำเป็นต้องเอื้อประโยชน์ต่อมอสโกอีกต่อไป บทวิเคราะห์เหล่านี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านเชิงอำนาจในศตวรรษที่ 21 ที่รัสเซียจำเป็นต้องเผชิญหน้าและปรับตัว ทั้งในแง่ยุทธศาสตร์และวาทกรรม
