Sunday, 8 June 2025
สนธิญาสวัสดี

‘เพื่อไทย’ ร่อนแถลงการณ์โต้ ‘สนธิญา’ ร้องยุบพรรค ไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ชี้เจตนากลั่นแกล้ง จ่อเอาผิด ม.101 คืน ขอสังคมอย่าให้ค่านักร้อง

เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2564 แถลงการณ์พรรคเพื่อไทย เกี่ยวกับกรณีมีการร้องเรียนต่อ กกต.เพื่อให้ยุบพรรคเพื่อไทย ตามที่ นายสนธิญา สวัสดี ได้ยื่นคำร้องต่อ กกต.ขอให้ยุบพรรคเพื่อไทย โดยอ้างคำพูดของ นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธ์ ที่ได้โพสต์เฟซบุ๊กระบุทำนองว่าพรรคเพื่อไทยสนับสนุนเรื่องทุนให้กับผู้ชุมนุมทางการเมือง นั้น

พรรคเพื่อไทย ขอเรียนว่าการที่ นายสนธิญา สวัสดี ได้นำเพียงข้อความบนเฟซบุ๊กของนายไชยอมรฯ ไปร้องขอให้ยุบพรรคเพื่อไทยนั้น เป็นการดำเนินการที่ไม่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่เพียงพอก่อนนำไปร้อง แต่กลับนำข้อความหรือคำพูดดังกล่าวไปร้องต่อ กกต.ทันทีแสดงให้เห็นว่านายสนธิญาฯ มีเจตนาที่จะกลั่นแกล้งพรรคเพื่อไทย ซึ่งพรรคเพื่อไทยก็จะได้ดำเนินการตามกฎหมายกับนายสนธิญาฯ เช่นกันตามกฎหมายพรรคการเมือง มาตรา 101 ซึ่งกำหนดว่า ผู้ใดแจ้งหรือกล่าวหาพรรคการเมืองว่ากระทำความผิดต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยรู้อยู่ว่าเป็นความเท็จ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น

ประธานฝ่ายกฎหมาย 'เพื่อไทย' ออกโรงเตือน 'สนธิญา' แจ้งเท็จ 'ยุบพรรค' ส่อคุก 5 ปี เชื่อมีบางพรรคอยู่เบื้องหลัง

(7 มี.ค.66) ชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคและประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย ชี้แจงต่อสื่อมวลชนและประชาชนกรณีที่ปรากฏเป็นข่าวว่านายสนธิญาได้ยื่นคำร้องต่อ กกต. ให้ยุบพรรคเพื่อไทย โดยอ้างสาระของข้อร้องเรียนว่าหัวหน้าพรรคเพื่อไทยกล่าวปราศรัยว่านายวีระศักดิ์ฯ อดีต รมช.คมนาคม และทีม อบจ.และพรรคเพื่อไทยเป็นปรากฎการณ์ใหม่ เป็นกลุ่มเดียวกันเพื่อนำไปสู่แลนด์สไลด์ถือเป็นการกระทำที่ขัดมาตรา 28 มาตรา 29 มาตรา 72 และมาตรา 92 (3) ของ พรป.พรรคการเมือง และกรณีการแต่งตั้งนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นผู้ช่วยหาเสียง เป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 258 (2) เนื่องจากนายณัฐวุฒิ ฯ ถูกตัดสิทธิทางการเมืองไปแล้ว ขัดต่อคุณธรรมจริยธรรม

การปราศรัยของหัวหน้าพรรคเมื่อวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมาที่จังหวัดนครราชสีมา เป็นเพียงพูดว่านายวีรศักดิ์ฯ และทีม อบจ. และพรรคเพื่อไทยเป็นกลุ่มเดียวกัน มีความหมายเพียงว่า บุคคลตามที่กล่าวมาเป็นผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย เพื่อนำไปสู่การแลนด์สไลด์เท่านั้น ไม่ได้มีการกระทำใดที่กลุ่มบุคคลดังกล่าวเข้ามาควบคุม ครอบงำหรือชี้นำการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยในลักษณะที่จะทำให้พรรคเพื่อไทยและสมาชิกพรรคขาดความเป็นอิสระในการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองแต่อย่างใดซึ่งการที่บุคคลใดจะสนับสนุนพรรคการเมืองใดนั้น ยอมเป็นสิทธิเสรีภาพของบุคคลนั้นที่จะพึงกระทำได้ อันถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาในทางการเมือง และพรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้มีการกระทำใดที่จะถือเป็นการยินยอมให้บุคคลเหล่านั้นกระทำการในลักษณะเช่นนั้นแต่อย่างใดเช่นกัน

ส่วนกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้ขึ้นเวทีปราศรัยในพื้นที่ต่างๆ นั้น พรรคเพื่อไทย ได้แต่งตั้งให้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นผู้ช่วยหาเสียงของพรรค และยื่นเอกสารดังกล่าวต่อเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้งไปก่อนหน้านั้นแล้ว แม้นายณัฐวุฒิฯ จะมีลักษณะต้องห้ามมิให้สมัคร ส.ส. หรือดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือเป็นสมาชิกพรรคก็ตาม แต่นายณัฐวุฒิ ฯ ยังคงเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งตามกฎหมายที่จะเป็นผู้ช่วยหาเสียงให้กับพรรคและผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยได้ ตามระเบียบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งกำหนดคุณสมบัติของผู้ช่วยหาเสียงไว้ว่า เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งเท่านั้น กรณีเช่นนี้พรรคได้ดำเนินการทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง ไม่ว่าการเลือกตั้งระดับชาติและการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น และ กกต.ก็ประกาศรับรองการเลือกตั้งที่ผ่านมา การที่นายสนธิญากล่าวอ้างรัฐธรรมนูญ มาตรา 258 (2) ซึ่งเป็นเรื่องการปฏิรูปประเทศ ไม่ใช่บทบัญญัติที่ห้ามบุคคลกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด จึงเป็นการกล่าวอ้างที่ไม่เป็นสาระ
 

‘สนธิญา’ ร้อง กกต. สอบคุณสมบัติ ‘พิธา’ ปมถือหุ้นสื่อ ชี้!! หากผิดจริง อาจพาผู้สมัคร ส.ส.ก้าวไกลเป็นโมฆะไปด้วย

(12 พ.ค. 66) ที่สำนักงาน​คณะกรรมการ​การ​เลือกตั้ง ​(กกต.)​ นายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษาประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เข้ายื่นเรื่องร้องเรียนต่อ กกต. เพื่อให้ตรวจสอบกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคฯ หลังถูกตรวจสอบแล้วพบว่า ยังถือครองหุ้นในบริษัทสื่อสารมวลชน อาจเข้าข่ายขัดพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ​(พ.ร.ป.)​ ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง

นายสนธิญา กล่าวว่า​ การถือครองหุ้นสื่อของนายพิธา​หากตรวจสอบแล้วพบว่า นายพิธามีความผิดจริงจะส่งผลให้จำนวน ส.ส.ไม่ถึง 90% และจะทำให้ไม่สามารถเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ เนื่องจากนายพิธาเป็นหัวหน้าพรรคที่ต้องรับรองคุณสมบัติของผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล แต่เมื่อนายพิธาขาดคุณสมบัติเสียเอง ก็จะส่งผลทำให้การรับรองคุณสมบัติของผู้สมัครพรรคก้าวไกลทุกคนเป็นโมฆะ

นายสนธิยา ยังกล่าวว่า ตนได้เปิดแฟนเพจเพื่อรับเรื่องร้องทุกข์แจ้งเหตุการณ์ทุจริตการเลือกตั้งซึ่งพบว่ามีหลายคนส่งข้อความมาแจ้งเรื่องของการซื้อสิทธิ์ ขายเสียง มีหัวคะแนนของพรรคการเมืองและผู้สมัครตระเวนเก็บบัตรประชาชนและจดรายชื่อของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง โดยสัญญาว่าจะให้เงิน ซื้อเสียง แต่จนถึงตอนนี้ใกล้วันเลือกตั้งแล้วหัวคะแนนยังไม่ยอมมาจ่ายเงินตามที่สัญญาไว้จึงอยากให้กรรมการการเลือกตั้งส่งผู้ตรวจการเลือกตั้งหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมีข้อเท็จจริงอย่างไร โดยได้นำหลักฐาน เป็นภาพและเบอร์ของผู้สมัครพร้อมทั้งข้อความการพูดคุยผ่านทางเมสเซนเจอร์แฟนเพจมายื่นให้กับกกต.ประกอบการพิจารณาและสอบสวนหาข้อเท็จจริงต่อไป

‘สนธิญา’ ค้านประกันตัว ‘ตะวัน’ ชี้!! พฤติกรรมไม่เคยสำนึกผิด ย้อนถาม ‘พ่อ’ เป็นไม่ได้ที่จะไม่รับรู้เรื่องของลูกสาวตัวเอง

(24 ก.พ. 67) นายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษากรรมาธิการการกฎหมาย สภาผู้แทนราษฎร ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก กรณีพ่อของ น.ส.ทานตะวัน หรือ ‘ตะวัน’ และครอบครัวของนายณัฐนนท์ หรือ ‘แฟรงค์’ นักเคลื่อนไหวกลุ่มทะลุวัง เข้ายื่นขอให้ศาลอาญาพิจารณาปล่อยตัวชั่วคราวทั้ง 2 คน โดยระบุว่า…

“คัดค้านการร้องขอประกันตัว ของ ‘ตะวัน’ ขวางขบวนเสด็จ ตามที่พ่อของตะวัน ออกมาเขียนคำร้องถึงศาลอาญา กรณีการที่ตะวัน ขวางขบวนเสด็จและเมื่อถูกแจ้งดำเนินคดี ก็แสดงการขัดขืนใช้วิธีการอดข้าวประท้วง และมีข้อเรียกร้องที่ไม่สำนึกในการกระทำเช่นปกติผ่านมา

การกระทำของตะวัน ผ่านมาเป็นลำดับและมีคดีผิดมาตรา 112 มาแล้ว 2 คดี และไม่สำนึก ไม่เคารพคำตกลงกับศาลอาญาในการประกันตัว และเป็นข่าวใหญ่เคลื่อนไหวตลอดมา และเป็นไปไม่ได้ที่พ่อของตะวัน จะไม่รับรู้เหตุการณ์เหล่านี้ตลอดมาปล่อยปละละเว้นให้ผู้ใต้ปกครองกระทำการที่จาบจ้วง ย่ำยีสถาบันและกฎหมายตลอดมา เป็นการท้าทายทั้งกฎหมายและความรู้สึกของสังคมอย่างรุนแรงตลอดมา ทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในประเทศ

ด้วยเหตุผลทั้งหมด ข้าพเจ้านาย สนธิญา สวัสดี ที่เป็นผู้ร้องแจ้งดำเนินคดีต่อ ตะวัน จำนวน 2 ครั้ง กรณี ขวางขบวนเสด็จ และร้องให้ตำรวจเสนออัยการยกเลิกการขอประกันตัว กรณีการทำผิดเงื่อนไขแบบตั้งใจของตะวัน ที่พ่อของตะวันย่อมรู้เงื่อนไขตลอดมา ในข้อตกลงของตะวัน และศาลอาญา เจ้าของคดี ด้วยเหตุผลดังกล่าว

1.) ข้าพเจ้าเรียกร้องศาลอาญาไม่อนุญาตให้ประกันตัวตะวัน ตามคำร้องของพ่อตะวันเรียกร้อง

2.) กรณีการอดอาหารของตะวัน ก็เป็นการแสดงการไม่ยอมรับกระบวนการกฎหมายของประเทศไทย

3.) ยังมีข้อเรียกร้องที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายบัญญัติไว้

4.) การอดข้าวประท้วงกฎหมายครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 2 ของตะวัน ที่ได้รับการปฏิบัติดูแลจากราชทัณฑ์เป็นอย่างดี โดยส่งไปยังมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ด้วยเหตุผลทั้งหมด ข้าพเจ้าจึงเรียกร้องไปยังศาลอาญาคัดค้านการประกันตัว ตะวัน ตามที่พ่อ ตะวันร้องขอ และในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 10.30 น. ข้าพเจ้าจะเดินทางไปที่ศาลอาญารัชดา เพื่อร้องคัดค้านการประกันตัว ตะวัน ต่อไป จึงกราบเรียนมาเพื่อทราบครับ”

‘สนธิญา’ ยื่น ป.ป.ช. สอบจริยธรรม ‘พีระพันธุ์’ ปม อ้างองคมนตรี - ถือหุ้น 3 บริษัท หลังรับตำแหน่ง รมต.

‘สนธิญา สวัสดี’ ยื่นร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.สอบจริยธรรม ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ ปมอ้างองคมนตรี - ถือหุ้น 3 บริษัท หลังเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี

(23 เม.ย. 68) นายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษากรรมาธิการ การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ยื่นร้องเรียนต่อ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ไต่สวนตรวจสอบหาข้อเท็จจริง กรณี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ดังต่อไปนี้

1. มีการอ้างถึงองคมนตรี ซึ่งเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 12 หรือไม่ 

2. ประเด็นการถือหุ้นอยู่ในบริษัท จำนวน 3 บริษัท หลังจาก นายพีระพันธุ์ รับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 2 ก.ย. 2566  

นายสนธิญา เรียกร้องให้ ป.ป.ช. ดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 และมาตรา235 เพื่อไต่สวนและมีความเห็น ว่า เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ในมาตรา 187 ประกอบมาตรา 170 (4) (5) และ มาตรา 219 การกระทำที่ฝ่าฝืน ต่อจริยธรรมร้ายแรง ในข้อที่ 7 ข้อที่ 8 ข้อที่ 11 ข้อที่ 17 ข้อที่ 21 ประกอบข้อที่ 27 

ทั้งนี้เพื่อไต่สวนและตรวจสอบข้อเท็จจริง หากมีการกระทำการดังกล่าว ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง ก็ให้ ป.ป.ช. ดำเนินการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 235 ต่อไป 

นายสนธิญา กล่าวว่า เป็นการใช้สิทธิตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 41 (1)(2) ประกอบ มาตรา 50 เพื่อ ป.ป.ช. ไต่สวน และตรวจสอบหาข้อเท็จจริง อันเป็นที่ประจักษ์ ตามที่ได้รับการร้องเรียน จากประชาชนมา เพื่อเป็นไปตามกระบวนการรัฐธรรมนูญ และจริยธรรมของนักการเมือง และ คณะรัฐมนตรี 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top