Sunday, 20 April 2025
สงครามอินโดจีน

11 มีนาคม พ.ศ. 2484 ‘ไทย-ฝรั่งเศส’ เจรจาลงนามเพื่อสันติภาพ กรณีพิพาทอินโดจีนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

วันนี้ในอดีต 11 มีนาคม 2484 'ประเทศไทย-ฝรั่งเศส' ทำพิธีเจรจาลงนามเพื่อสันติภาพในข้อตกลงกรณีพิพาทอินโดจีน วันที่ชาติไทยได้ดินแดนที่เสียไปในยุคล่าอาณานิคมคืนกลับมา (ชั่วคราว)

11 มีนาคม เป็นอีกวันสำคัญของประวัติศาสตร์ชาติไทยในอดีต โดยเมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ.2484 ประเทศไทยและฝรั่งเศส ได้มี พิธีเจรจาลงนามเพื่อสันติภาพ ในข้อตกลงกรณีพิพาทอินโดจีน หรือ 'สงครามอินโดจีน' ระหว่างประเทศไทยกับฝรั่งเศส ณ กรุงโตเกียว 

เหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นเหตุความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยกับฝรั่งเศส ที่เกิดขึ้นระหว่างที่สงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังดำเนินการรบติดพันอยู่ในทวีปยุโรป แต่ยังไม่ขยายมาสู่ทวีปเอเชีย และยังมีมูลเหตุสืบเนื่องมาจาก ประเด็นการอ้างสิทธิ เหนือดินแดนอินโดจีนบางส่วน ระหว่างไทยกับฝรั่งเศส คือ ดินแดนลาวและกัมพูชา ซึ่งเคยเป็นของไทยมาก่อน ก่อนที่จะสูญเสียให้ฝรั่งเศสไป ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ที่เป็นยุคล่าอาณานิคม ของมหาอำนาจโลกตะวันตก ช่วงปี พ.ศ. 2410-2449 

ครั้งนั้นประเทศไทย จำต้องยอมทำสัญญา และเสียดินแดนให้แก่ฝรั่งเศสรวม 5 ครั้ง โดยประเทศไทยได้เสียจำนวนเนื้อที่ที่เสียไปประมาณ 467,000 ตารางกิโลเมตร เกือบเทียบเท่ากับเนื้อที่ของประเทศไทยในปัจจุบัน นอกจากนั้นยังเสียพี่น้องไทยในแคว้นเขมร 2,900,000 คน ในแคว้นลาว 940,000 คน เพื่อรักษาดินแดนส่วนใหญ่ไว้ 

ต่อมา ในช่วงระหว่างเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝรั่งเศสเกิดความห่วงใย ต่ออาณานิคมของตนเอง ในภูมิภาคอินโดจีน เพราะเกรงว่าประเทศไทย จะส่งกำลังเข้ายึดครองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ที่ถูกฝรั่งเศสยึดครองไป เนื่องจากท่าทีของญี่ปุ่น ที่มีท่าทียอมรับไทยเป็นพันธมิตร ในฐานะกลุ่มเอเชีย ที่ยังไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติใดมาก่อน

เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2483 ฝรั่งเศสได้มาทาบทามกับไทย เพื่อเจรจาทำสัญญาไม่รุกรานกัน รัฐบาลไทยภายใต้การนำของ 'พล.ต.หลวง พิบูลสงคราม' หรือ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ตอบไปในวันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2483 ว่า

"ยินดีจะรับข้อเสนอของฝรั่งเศส แต่ใคร่ขอให้ฝ่ายฝรั่งเศสตกลงดังนี้คือ"
1. วางแนวเส้นเขตแดนลำแม่น้ำโขง ให้เป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ กล่าวคือถือหลักร่องน้ำลึกเป็นเกณฑ์
2. ให้ปรับปรุงเส้นเขตแดนให้เป็นไปตามธรรมชาติ คือ ให้ถือว่าแม่น้ำโขง เป็นเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับอินโดจีน ตั้งแต่ทิศเหนือมาจดทิศใต้ จนถึงเขตแดนกัมพูชา โดยให้ฝ่ายไทยได้รับดินแดนทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขง ตรงข้ามกับหลวงพระบาง และตรงข้ามกับปากเซ (ซึ่งเป็นจุดที่มีปัญหาเขตแดนบ่อย ๆ) คืนมา
3. ให้ฝรั่งเศสรับรองว่า ถ้าอินโดจีนของฝรั่งเศส เปลี่ยนจากอธิปไตยฝรั่งเศสไป ฝรั่งเศสจะคืนอาณาจักรลาวและกัมพูชาให้ไทยตามเดิม

ซึ่งต่อมาในวันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2483 ฝรั่งเศสได้ตอบบันทึกของไทย เรื่องการปรับปรุงเส้นเขตแดนดังนี้

1. รัฐบาลฝรั่งเศสจะจัดผู้แทนอินโดจีนมาประชุม (ซึ่งเดิมตกลงไว้ว่าจะส่งเจ้าหน้าที่ชั้นระดับเอกอัครราชทูตมาประชุม)

2. ฝรั่งเศสไม่ยอมเจรจาปัญหาดินแดนอื่น ๆ นอกจากปัญหาเรื่องเกาะในลำน้ำโขง

3. ฝรั่งเศสยืนยันการรักษาสถานภาพทางการเมือง และบูรณภาพแห่งดินแดนอินโดจีนไว้ ต่อการอ้างสิทธิทั้งปวง และการรุกรานไม่ว่าจะมีกำเนิดมาจากทางใด

หลังได้รับคำตอบดังกล่าว วันที่ 8 ตุลาคม 2483 พล.ต.หลวง พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น ได้ขอ มติสนับสนุนการเรียกร้องดินแดนไทยคราวที่เสียให้แก่ฝรั่งเศสไปเมื่อ ร.ศ. 112 คืน ประชาชนชาวไทยเกือบทั้งประเทศ พร้อมใจกันเดินขบวนเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศส นับเป็นการเดินขบวนครั้งใหญ่ที่สุด หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

จากนั้นสถานการณ์ยิ่งตึงเครียดมากขึ้น เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างจัดหน่วยกำลังทหาร เผชิญหน้ากันตามชายแดน จนเกิดการปะทะกันในที่สุด เมื่อฝรั่งเศสได้ส่งเครื่องบินเข้ามาทิ้งระเบิดที่จังหวัดนครพนม ในวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483 ก่อนที่เหตุการณ์ความขัดแย้งครั้งนี้ จะกลายเป็นสงครามที่รุนแรง โดยหนึ่งในการรบที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักคือ การรบที่เกาะช้างวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2484 

อย่างไรก็ตาม ภายหลังสงครามอินโดจีนฝรั่งเศส ได้สงบลงด้วยข้อตกลงพักรบ เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2484 ญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจในเอเชียขณะนั้น เข้ามาเป็นผู้เจรจาไกล่เกลี่ย กรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ที่ไซ่ง่อน บนเรือรบญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2484 

มีการตกลงทำสัญญาเลิกรบกันที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2484 มีนายโซสุเกะ มัดซูโอกะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่น เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายญี่ปุ่น ฝ่ายไทยมีพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ที่ปรึกษาสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงการต่างประเทศไทยเป็นหัวหน้าคณะ และฝ่ายฝรั่งเศสมี อาร์เซน อังรี เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำกรุงโตเกียวเป็นหัวหน้า

"ข้อความในสนธิสัญญา ระบุว่า ฝรั่งเศสจะยอมเสียดินแดนแขวงหลวงพระบางฝั่งขวาแม่น้ำโขง แคว้นจำปาศักดิ์ และแคว้นเขมร ให้แก่ไทย ข้อตกลงดังกล่าว จึงทำให้กรณีพิพาทจบลงด้วยดี" 

และในวันถัดมา 12 มีนาคม พ.ศ.2484 รัฐบาลไทยได้ประกาศให้เป็นวันหยุดราชการ และประดับธงชาติญี่ปุ่นคู่กับธงชาติไทยเป็นเวลา 3 วัน พร้อมกับให้มีการสวนสนามฉลองชัยที่พระนคร ในวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2484 ก่อนจะมีการลงนามในอนุสัญญาโตเกียว ซึ่งเป็นอนุสัญญาสันติภาพระหว่างประเทศไทยกับฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 โดยมีกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์เป็นหัวหน้าคณะลงนาม

นอกจากนี้ รัฐบาลได้แต่งตั้งนายควง อภัยวงศ์เป็นประธานกรรมการรับมอบดินแดนคืนจากรัฐบาลฝรั่งเศส ดินแดนที่ได้กลับคืนมาครั้งนี้ รัฐบาลไทยได้แบ่งออกเป็น 4 จังหวัด คือ พระตะบอง พิบูลสงคราม จำปาศักดิ์ และลานช้าง 

และภายหลังจากที่กองทัพไทย มีชัยชนะต่ออินโดจีนฝรั่งเศส พล.ต.หลวงพิบูลสงคราม ได้รับโปรดเกล้าฯ พระราชทานยศจอมพล จอมพลเรือ จอมพลอากาศ ในวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2484 โดย จอมพล ป.พิบูลสงคราม หรืออดีตพล.ต.หลวงพิบูลสงคราม ทำพิธีเปิดอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเพื่อเทิดทูนวีรกรรมของทหาร ตำรวจ และพลเรือนที่เสียชีวิตไปในการรบจากสงครามครั้งนี้

เหตุการณ์ครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ประเทศไทย สามารถได้สิทธิประโยชน์จากมหาอำนาจยุโรปได้ แต่อย่างไรก็ตาม หลังการทำพิธีลงนามเพื่อสันติภาพ ในข้อตกลงกรณีพิพาทอินโดจีน ชาวไทยได้ชื่นชมยินดีกับดินแดนที่ได้กลับคืนมาไม่นานนัก เมื่อฝรั่งเศสพลิกสถานการณ์เป็นฝ่ายชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงมีเสียงทางการเมืองระหว่างประเทศมากขึ้น ในที่สุดฝรั่งเศสจึงบีบบังคับให้ไทย ต้องคืนดินแดนดังกล่าวกลับไปให้ฝรั่งเศสอีก

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#3 สงครามกลางเมือง กับ ‘ทฤษฎีโดมิโน’

(13 เม.ย. 68) ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน 
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#3 ‘สงคราม (ลับ) ในลาว’

สงครามกลางเมืองลาวเกิดขึ้นระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์ลาวและรัฐบาลลาวหลวงตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 1959 ถึง 2 ธันวาคม 1975 ราชอาณาจักรลาวเป็นพื้นที่ปฏิบัติการลับในช่วงสงครามเวียดนาม โดยทั้งสองฝ่ายได้รับการสนับสนุนจากภายนอกอย่างหนักในสงครามตัวแทนระหว่างมหาอำนาจสงครามเย็นระดับโลก การสู้รบยังเกี่ยวข้องกับกองทัพเวียตนามเหนือ เวียตนามใต้ สหรัฐอเมริกา และไทย ทั้งโดยตรงและผ่านตัวแทนที่ไม่เปิดเผย สงครามนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ “สงครามลับในลาว” ซึ่งรับผิดชอบปฏิบัติการโดย CIA

วันที่ 9 สิงหาคม 1960 รอ.กองแล วีระสาน รองผู้บัญชาการกองกำลังพลร่มที่ 2 ได้ทำการรัฐประหารในราชอาณาจักรลาว รอ.กองแล ผู้ซึ่งแทบจะไม่มีใครรู้จักแม้แต่ในลาวเอง และล้มรัฐบาลฝ่ายขวาของเจ้าสมสนิท ทำให้เจ้าสุวันพูมาได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง นอกจากนั้น รัฐประหารที่เขาทำให้เกิดการเจรจาที่นำไปสู่ “ข้อตกลงเจนีวาว่าด้วยลาว” ในเดือนกรกฎาคม 1963 รัฐประหารครั้งนั้นทำให้สหรัฐฯและชาติอื่น ๆ ต้องประหลาดใจ และนำไปสู่ความขัดแย้งในการแย่งชิงอำนาจในลาว นอกจากนั้นแล้วการรัฐประหารในครั้งนั้นยังทำให้เกิดความกลัวอย่างต่อเนื่องตามแนวคิดทางการเมืองอเมริกันที่ว่า ประเทศใดก็ตามที่กลายเป็นคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้วจะแพร่ขยายไปสู่ประเทศอื่น ๆ จนกลายเป็นคอมมิวนิสต์ตามไปด้วยตาม “ทฤษฎีโดมิโน”

ดังนั้นประธานาธิบดี Eisenhower และประธานาธิบดี Kennedy ในเวลาต่อมา จึงได้ตัดสินใจเริ่มปฏิบัติการลับในลาว เริ่มต้นจากการฝึกอบรมและติดอาวุธสมาชิกกองกำลังต่อต้านคอมมิวนิสต์จำนวนไม่มาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง และจากนั้นก็กลายเป็นการปฏิบัติการครั้งใหญ่ที่ดำเนินต่อไปเป็นเวลาหลายปี ก่อนที่สหรัฐฯจะเริ่มทิ้งระเบิด และโจมตีเส้นทางโฮจิมินห์ สงครามในลาวและเวียตนามไม่ได้แยกจากกันโดยสิ้นเชิง มีการทับซ้อนกันในบางส่วน แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นปฏิบัติการที่แยกออกจากกัน สงครามในลาวทำให้ CIA กลายเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในวอชิงตันและกลายเป็นหน่วยงานปฏิบัติการทางทหาร แม้ว่าลาวจะถือว่ามีความสำคัญต่อยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ แต่ก็เป็นเพียงประเทศเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างไกลมาก นักข่าวส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงฐานของกองกำลังลาวม้งและกองกำลังของลาวหน่วยอื่น ๆ ได้ เมื่อไม่ปรากฏเป็นข่าว สภาคองเกรสจึงเต็มใจที่จะดำเนินการตามสงครามไปจนถึงปลายทศวรรษที่ 60 และต้นทศวรรษที่ 70 โดยไม่ตั้งกระทู้ถามจนมากเกินไป และประชาชนชาวอเมริกันก็ไม่ค่อยจะรู้อะไรเกี่ยวกับลาวมากนัก และในที่สุดก็มีสถานการณ์ที่ทำให้ CIA กำลังมีอิทธิพลมากขึ้นและเห็นว่าลาวเป็นตั๋วสำหรับอิทธิพลนี้ในกระบวนการนโยบายต่างประเทศ 

โครงการฝึกอบรมทางทหารขนาดเล็กในลาวได้ถูกพัฒนาจนเป็นโครงการการฝึกอบรมทางทหารที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และในที่สุดก็เป็นกลายการปฏิบัติการเต็มรูปแบบ โดยในช่วงกลางถึงปลายทศวรรษที่ 1960 เจ้าหน้าที่ CIA ได้สั่งการกองกำลังหรือปฏิบัติการเพื่อสั่งการกองกำลังซึ่งปฏิบัติการในพื้นที่ลาว ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การฝึกเท่านั้น CIA และสถานทูตสหรัฐฯได้เพิ่มการทิ้งระเบิดครั้งใหญ่เพื่อสนับสนุนปฏิบัติการ และในที่สุดโครงการฝึกอบรมก็มีจำนวนมากขึ้นจนกลายเป็นกองกำลังที่มีกำลังพลหลายหมื่นนาย และอาจมากกว่า 100,000 นายเสียด้วยซ้ำ สิ่งที่มีคือ กลายเป็นว่า CIA และสถานทูตสหรัฐฯทำสงครามกันเป็นภารกิจหลัก ภารกิจของพวกเขาเปลี่ยนไปจากไม่เพียงแต่ทำการรวบรวมข่าวกรอง  แต่เป็นการดูแลและจัดการความขัดแย้งขนาดใหญ่ด้วย แม้จะมีการปฏิรูป CIA ในช่วงทศวรรษที่ 1970 แต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นไม่เคยหายไป กลับกลายเป็นยิ่งเพิ่มความเด่นชัดมาก

โดยที่ปฏิบัติการทหารในลาวมีความสอดคล้องกับสงครามของสหรัฐฯในเวียดนาม และการทิ้งระเบิดกัมพูชาอย่างลับ ๆ ด้วยสงครามในภูมิภาคนี้มีความสัมพันธ์กันและเป้าหมายโดยรวมก็มีการแบ่งปันกันในวงกว้าง แต่ CIA และเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำลาวพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้แน่ใจว่าผู้บัญชาการทหารของสหรัฐฯที่รับผิดชอบปฏิบัติการทางทหารซึ่งบริหารจัดการสงครามในเวียตนามจะไม่สามารถปฏิบัติการในลาวได้ เพราะตัวเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำลาว Bill Sullivan และ CIA ก้าวไปในเรื่องของสงครามในลาวจนไกลมากแล้ว และที่ปรึกษาทางทหารของสหรัฐฯ ที่ได้รับมอบหมายให้ประจำการในกรุงเทพฯ ไม่สามารถให้คำแนะนำที่สำคัญได้เลย เพราะเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำลาว และ CIA กันกองทัพสหรัฐฯ ออกไปจากสงครามในลาวอย่างสุดกำลัง

เมื่อสงครามเวียตนามในภาพรวมขยายตัวขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นในลาวเริ่มที่จะสะท้อนให้เห็นถึงจุดมุ่งหมายโดยรวมของสหรัฐฯ สิ่งที่เริ่มต้นจากการที่สหรัฐฯช่วยชาวลาวในท้องถิ่นต่อสู้กับกองกำลังคอมมิวนิสต์ในที่สุดก็เปลี่ยนไป และโดยที่ที่สุดแล้วจุดมุ่งหมายของสหรัฐฯและจุดมุ่งหมายของชาวลาวในท้องถิ่นก็แตกต่างกันอย่างมากมาย และเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก เพราะชาวอเมริกันไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเช่นเดียวกันกับชาวลาวที่พวกเขาให้ความช่วยเหลือ เดิมทีนักรบต่อต้านคอมมิวนิสต์ชาวลาวต้องการให้ทหารอเมริกันต่อสู้เคียงข้างพวกเขา และช่วยรักษาดินแดนของพวกเขาไว้ แต่ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 สหรัฐฯ และผู้บัญชาการทหารลาวได้ส่งกองกำลังของลาวเข้าสู่การสู้รบเต็มแบบขนาดใหญ่ แทนที่จะเป็นการรบแบบกองโจร การรบขนาดใหญ่กับกองทัพเวียดนามเหนือซึ่งเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งและประสบความสำเร็จมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในศตวรรษที่ 20 ทำให้ทหารลาวจึงถูกสังหารมากมาย และเหตุผลที่สหรัฐฯ เปลี่ยนแปลงนโยบายนี้เป็นเพราะเห็นว่าสงครามในลาวเป็นโอกาสที่จะสังหารทหารเวียตนามเหนือได้มากขึ้น และทำให้สถานการณ์สงครามของสหรัฐฯ ในเวียตนามใต้ดีขึ้น จึงกลายเป็นเหตุให้ราชอาณาจักรลาวต้องพบจุดจบในที่สุด แม้ว่า สหรัฐฯและลาวซึ่งเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่มีประชากรน้อยกว่าพลเมืองของนครลอสแองเจลิส และมีความสัมพันธ์ระหว่างกันในแบบที่เรียบง่ายมากในปัจจุบัน แต่ในทศวรรษที่ 1960 สหรัฐอเมริกาได้ตัดสินใจว่า ประเทศเดียวกันนี้ซึ่งขณะนั้นมีประชากรน้อยกว่าปัจจุบันมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของชาติ ประมาณกันว่า เมื่อ 5-60 ปีก่อน CIA ใช้งบประมาณกว่าเดือนละยี่สิบล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 400 ล้านบาทในขณะนั้น) ซึ่งคำนวณด้วยราคาทองคำจะอยู่ที่เดือนละกว่าสี่หมื่นล้านบาทในปัจจุบันสำหรับการทำสงครามในลาว

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#4 “สงครามกลางเมืองในกัมพูชา” คร่าชีวิตคนนับล้าน

(15 เม.ย. 68) อีกหนึ่งสมรภูมิในสงครามอินโดจีนคือ “สงครามกลางเมืองในกัมพูชา” หลังจากนาวิกโยธินสหรัฐฯ ยกพลขึ้นบกในเวียตนามใต้ในเดือนมีนาคม 1965 ซึ่งเป็นการเพิ่มระดับความพยายามในการทำสงครามของสหรัฐอเมริกาในเวียตนามใต้ ในไม่ช้าหน่วยอื่นๆ ของสหรัฐอเมริกาก็ตามมา กองกำลังคอมมิวนิสต์ (เวียตนามเหนือและเวียตกง) ได้เพิ่มการโจมตีทั้งกองทหารอเมริกันและกองทัพเวียตนามใต้ สหรัฐฯ จึงส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดโจมตีเป้าหมายในเวียตนามเหนือ เมื่อเจ้าสีหนุกษัตริย์กัมพูชาทรงตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับสหรัฐอเมริกา และทรงเสริมสร้างความสัมพันธ์กับเวียตนามเหนือ แม้ว่าพระองค์จะทรงรู้สึกไม่ไว้วางใจเวียตนามเช่นเดียวกับเขมรแดงก็ตาม ในปี 1967 กองทัพเวียตนามเหนือและกองกำลังกบฏเวียตนามใต้ (เวียตกง) ปฏิบัติการจากเขตป่ารักษาพันธุ์ซึ่งตั้งอยู่ในกัมพูชา กองกำลังสหรัฐและเวียตนามใต้ได้ทำการตอบโต้ด้วยการบุกข้ามพรมแดนมาโจมตีกองกำลังดังกล่าวในกัมพูชา 

เดือนมีนาคม 1969 ในความพยายามที่จะทำลายเส้นทางการขนส่งเสบียงของเวียตนามเหนือ ประธานาธิบดีนิกสันได้สั่งการทางลับให้กองทัพอากาศสหรัฐทำการทิ้งระเบิดโดยไม่มีการจำกัดพื้นที่ในเขตกัมพูชาตะวันออก ต่อมาในปีเดียวกันนั้นเอง เจ้าสีหนุได้ทรงฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกับสหรัฐอเมริกา แต่ในขณะนั้น สถานะของพระองค์ในกัมพูชากลับไม่มั่นคงอย่างยิ่งในเดือนมีนาคม 1970 ขณะที่พระองค์เสด็จเยือนสหภาพโซเวียต สมัชชาแห่งชาติกัมพูชาได้ลงมติถอดถอนพระองค์ออกจากตำแหน่งประมุข หลังจากที่มีการประท้วงอย่างกว้างขวางในเมืองหลวงเพื่อต่อต้านการมีอยู่ของกองทัพเวียตนามเหนือในประเทศ ในเวลาต่อมาจอมพล Lon Nol ได้เข้าควบคุมรัฐบาลซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา และเปลี่ยนระบบการปกครองจากประขาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (ราชอาณาจักรกัมพูชา) เป็นประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ (สาธารณรัฐกัมพูชา) เจ้านโรดมสีหนุจึงเสด็จไปประทับยังกรุงปักกิ่ง และทรงรับคำแนะนำจากจีนให้ทรงต่อต้านการรัฐประหารโดยการเข้าควบคุมรัฐบาลแนวร่วมพลัดถิ่น ซึ่งรัฐบาลดังกล่าวเป็นพันธมิตรกับจีนและเวียตนามเหนือ และใช้กองกำลังคอมมิวนิสต์กัมพูชา (เขมรแดง) ที่นำโดย Saloth Sar ซึ่งเพียงไม่กี่วันก่อนนั้นได้สู้รบกับกองทัพกัมพูชาของพระองค์เอง

รัฐบาลใหม่ของจอมพล Lon Nol ได้รับความนิยมในช่วงแรก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคำมั่นสัญญาอันเพ้อฝันของเขาที่จะกำจัดกองกำลังคอมมิวนิสต์เวียตนามออกจากกัมพูชา แต่ในความเป็นจริง การเผชิญหน้าที่เกิดขึ้นได้ลากกัมพูชาเข้าสู่ความขัดแย้งในเวียตนามอย่างสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในเดือนพฤษภาคม 1970 กองกำลังเฉพาะกิจของกองทัพสหรัฐและเวียตนามใต้บุกโจมตีกัมพูชาตะวันออก แต่กองกำลังคอมมิวนิสต์กัมพูชาได้ล่าถอยไปทางตะวันตกแล้ว จากนั้นรัฐบาล Lon Nol ได้เปิดฉากขึ้นโจมตีสองครั้ง และถูกกองทัพเวียตนามเหนือโจมตีกลับ แล้วหลังจากนั้น กองทัพของรัฐบาล Lon Nol ก็เริ่มตั้งรับ เมื่อการสนับสนุนเขมรแดงของเวียตนามเหนือลดลงในปี 1973 หลังจากข้อตกลงหยุดยิงที่ปารีสกับกองทัพสหรัฐ แต่เขมรแดงปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามข้อตกลง แต่พวกเขายังคงถูกโจมตีทางอากาศจากสหรัฐฯ อย่างหนัก แม้ว่า สหรัฐฯ และกัมพูชาจะไม่ได้อยู่ในสภาวะสงครามต่อกัน และกองทหารสหรัฐเองก็ไม่ประสบภัยอันตรายจากฝ่ายกัมพูชาก็ตาม แม้ว่าการทิ้งระเบิดของสหรัฐฯ ทำให้การโจมตีของเขมรแดงต่อกรุงพนมเปญช้าลง แต่กลับเป็นสร้างความหายนะให้กับชนบทรอบเมืองหลวงที่มีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นแทน ในปลายปี 1973 รัฐบาล Lon Nol ก็ควบคุมได้เพียงแต่กรุงพนมเปญ ดินแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือ และเมืองในจังหวัดต่าง ๆ ไม่กี่แห่งเท่านั้น ระหว่างนั้นเจ้าสีหนุก็ทรงเสื่อมความสำคัญลง เมื่อสิ้นสุดปี 1973 เขมรแดงได้ครอบงำทุกองค์ประกอบของกลุ่มต่อต้านไว้หมดแล้ว แต่คงอ้างว่า เจ้าสีหนุยังทรงเป็นผู้นำเขมรแดงอยู่ ขณะนั้นระบอบการปกครองอันโดดเดี่ยวของ Lon Nol ในกรุงพนมเปญยังคงได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก มีการทุจริตเกิดขึ้นอย่างมากมาย และที่สุดในเดือนเมษายน 1975 รัฐบาลของ Lon Nol ก็ล่มสลายลง กองกำลังเขมรแดงได้บุกเข้ายึดกรุงพนมเปญอย่างรวดเร็ว และสั่งให้ชาวเมืองละทิ้งเมืองไปใช้ชีวิตในพื้นที่ชนบททันที กรุงพนมเปญและเมืองเล็ก ๆ ทั่วประเทศถูกกวาดล้างในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ ชาวกัมพูชาหลายพันคนเสียชีวิตระหว่างการถูกบังคับเดินทางไปยังชนบท และในเวลาต่อมา สภาพความเป็นอยู่ของชาวกัมพูชาก็เลวร้ายลงเรื่อย ๆ ในห้วงเวลานั้นมีชาวกัมพูชานับล้านคนพยายามอพยพหลบหนีออกจากกัมพูชา และในจำนวนนั้นหลายแสนคนได้หลบหนีเข้ามาอยู่ในค่ายผู้อพยพในราชอาณาจักรไทย

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียตนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน 
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#5 'มติอ่าวตังเกี๋ย' ผลักสหรัฐฯ ก้าวเข้าสู่สงครามเวียตนามเต็มตัว

ก่อนการเข้าสู่สงครามเวียตนามแบบเต็มตัวนั้น สหรัฐอเมริกาได้สนับสนุนเวียตนามใต้ด้วยการมอบอาวุธยุทโธปกรณ์และที่ปรึกษาทางทหารประจำกองทัพ เวียตนามใต้ราว 1,500 นาย และด้วยความรุนแรงในเวียตนามที่ทวีขึ้นอย่างรวดเร็ว ประธานาธิบดี Kennedy ได้สั่งให้เพิ่มจำนวนที่ปรึกษาของสหรัฐฯ ประจำกองทัพเวียตนามใต้อีกกว่าสิบเท่าเป็น 16,000 นาย

วันที่ 31 กรกฎาคม 1964 เรือพิฆาต USS Maddox ได้เริ่มภารกิจรวบรวมข่าวกรองในอ่าวตังเกี๋ย โดยมีนาวาเอก George Stephen Morrison เป็นผู้บัญชากองกำลังอเมริกันในพื้นที่ดังกล่าวจากเรือธง USS Bon Homme Richard โดย USS Maddox อยู่ภายใต้คำสั่งไม่ให้เข้าใกล้ชายฝั่งทางเหนือและทิศตะวันตกเฉียงเหนือน้อยกว่า 4 ไมล์ จากเกาะ Hon Nieu Mê โดยมีเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Ticonderoga ลอยลำอยู่ใกล้ ๆ วันที่ 1 สิงหาคม 1964 เรือลาดตระเวนของเวียตนามเหนือที่ติดตาม USS Maddox ซึ่งอยู่ในภารกิจลับเพื่อสนับสนุนการทำสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (DESOTO) ใกล้น่านน้ำเวียตนามเหนือ และมีการรบกวนการสื่อสารของ USS Maddox หลายครั้งชี้ให้เห็นว่า เวียตนามเหนือกำลังเตรียมการที่จะโจมตี USS Maddox จึงถอยห่างออกมา แต่ในวันรุ่งขึ้น 2 สิงหาคม USS Maddox ซึ่งมีความเร็วสูงสุด 28 นอตกลับมาลาดตระเวนอีกครั้ง แต่มีเรือตอร์ปิโด P-4 ของ เวียตนามเหนือ 3 ลำ แล่นด้วยความเร็วสูงสุด 50 นอต ได้แสดงท่าทีที่เป็นการคุกคาม USS Maddox มีการก่อกวนการสื่อสารแสดงให้เห็นว่า เรือตอร์ปิโด P-4 ของ เวียตนามเหนือตั้งใจจะโจมตี USS Maddox เมื่อเรือเวียตนามเหนือแล่นมาจากทางตะวันตกเฉียงใต้ USS Maddox จึงเปลี่ยนเส้นทางจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นทิศตะวันออกเฉียงใต้ และเพิ่มความเร็วเป็น 25 นอต 

ตอนบ่ายของวันที่ 2 สิงหาคม 1964 ขณะที่เรือตอร์ปิโดเข้ามาใกล้ USS Maddox ก็ยิงเตือนไป 3 นัด จากนั้นเรือ เวียตนามเหนือก็เปิดฉากโจมตี USS Maddox ได้ส่งสัญญาณวิทยุแจ้งว่า กำลังถูกโจมตีจากเรือ 3 ลำ ในระยะ 10 ไมล์ทะเล ขณะที่แล่นอยู่ห่าง 28 ไมล์ทะเลจากชายฝั่งเวียตนามเหนือในน่านน้ำสากล USS Maddox แจ้งว่า กำลังหลบหลีกการโจมตีด้วยตอร์ปิโดและได้เปิดฉากยิงโต้ตอบด้วยปืน 5 นิ้ว (127 มม.) เพื่อบังคับให้เรือตอร์ปิโดถอยออกไป แต่มีเรือตอร์ปิโด 2 ลำแล่นเข้ามาใกล้ไม่ถึง 5 ไมล์ทะเล และปล่อยตอร์ปิโดลำละลูก ซึ่งไม่เป็นผลเพราะแต่ละลูกไม่เข้าใกล้ USS Maddox เกินกว่า 100 หลาเลย ขณะที่ USS Maddox กำลังหลบอยู่นั้น เรือเวียตนามเหนือลำหนึ่งถูกยิงด้วยปืน 5 นิ้วของ USS Maddox การปล่อยตอร์ปิโดเริ่มผิดพลาด เครื่องบินขับไล่ไอพ่นแบบ F-8 4 ลำจากเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Ticonderoga จากนั้น 15 นาทีหลังจาก USS Maddox ได้ยิงกระสุนเตือนก็เปิดฉากโจมตีเรือตอร์ปิโด P-4 ซึ่งกองทัพเรือสหรัฐฯ อ้างว่า จมเรือตอร์ปิโด P-4 ได้หนึ่งลำ และเสียหายหนักอีกหนึ่งลำ และ USS Maddox ได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อยจากกระสุนขนาด 14.5 มม. จากปืนกลหนัก KPV ของเรือ P-4 เพียงนัดเดียวถูกตัวลำเรือ เมื่อกลับไปยังน่านน้ำเวียตนามใต้ USS Maddox ก็เข้าร่วมกับเรือพิฆาต USS Turner Joy ขณะที่ เวียตนามเหนืออ้างว่า USS Maddox ถูกยิงด้วยตอร์ปิโดหนึ่งลูก และมีเครื่องบินรบอเมริกันถูกยิงตก

การโจมตีระลอกที่ 2 ในวันที่ 4 สิงหาคม  1964 หน่วยลาดตระเวนตามภารกิจ DESOTO ลาดตระเวนนอกชายฝั่ง เวียตนามเหนือ โดย USS Maddox และ USS Turner Joy เพื่อ ทำการ "อวดธง" หลังจากเหตุการณ์โจมตีครั้งแรก คราวนี้มีคำสั่งให้เรือจะไม่เข้าใกล้เกินกว่า 11 ไมล์จากชายฝั่งของ เวียตนามเหนือ ในช่วงเย็นและเช้าตรู่ของสภาพอากาศที่รุนแรงและทะเลหนัก เรือพิฆาตได้รับสัญญาณเรดาร์ โซนาร์ และสัญญาณวิทยุที่เชื่อว่า เป็นการส่งสัญญาณเพื่อโจมตีอีกครั้งโดยกองเรือของเวียตนามเหนือ เป็นเวลา 4 ชั่วโมงที่เรือรบสหรัฐฯ ทั้งสองลำยิงไปยังเป้าหมายที่ปรากฏบนเรดาร์ และการรบดำเนินไปอย่างเข้มข้น อย่างไรก็ตามกองทัพเรือสหรัฐฯ อ้างว่า ได้จมเรือตอร์ปิโดโจมตีได้ 2 ลำ แต่ไม่ปรากฏซากปรักหักพัง และร่างลูกเรือ เวียตนามเหนือที่เสียชีวิต หรือหลักฐานทางกายภาพอื่น ๆ ในที่เกิดเหตุการสู้รบที่ถูกกล่าวอ้างแต่อย่างใด 

ภายใน 30 นาทีหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 4 สิงหาคมประธานาธิบดี Johnson ตัดสินใจโจมตีตอบโต้ (ตามปฏิบัติการ "Operation Pierce Arrow") ในวันเดียวกันนั้นเองประธานาธิบดี Johnson มีการใช้ "สายด่วน" (Hot Line) คุยกับกรุงมอสโก และได้รับคำรับรองว่าโซเวียตไม่มีเจตนาในการขยายสงครามในเวียตนามให้รุนแรงขึ้น ดังนั้นเช้าวันที่ 5 สิงหาคม 1964 ประธานาธิบดี Johnson ได้มีการปราศรัยต่อสาธารณชนเอเมริกันเกี่ยวกับมาตรการตอบโต้โดยระบุว่า "ความมุ่งมั่นของชาวอเมริกันทุกคนที่จะปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่เรามีต่อประชาชนและรัฐบาล เวียตนามใต้จะทวีความรุนแรงขึ้น" ในวันที่ 5 สิงหาคม เวลา 10:40 น. หนึ่งชั่วโมงสี่สิบนาทีหลังจากการปราศรัยของประธานาธิบดี Johnson เครื่องบินรบของสหรัฐฯ ก็ไปถึงเป้าหมายใน เวียตนามเหนือ เครื่องบินทิ้งระเบิดฐานทัพเรือ 4 แห่ง และคลังน้ำมันในเมือง Vinh

หลังจากนั้น รัฐสภาอเมริกันได้ทำการออก "มติอ่าวตังเกี๋ย" (Gulf of Tonkin Resolution) อันมีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ในเวลาต่อมาโดยเป็นจุดเริ่มต้นของการส่งกำลังทหารสหรัฐฯ เข้าไปใน เวียตนามใต้ เพราะมติดังกล่าวมอบอำนาจแก่ ประธานาธิบดี Johnson ให้ใช้กำลังทหารเต็มรูปแบบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยไม่ต้องรอมติการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการจากรัฐสภาเสียก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มติดังกล่าวมอบอำนาจแก่ประธานาธิบดีในการกระทำการใด ๆ ที่จำเป็นเพื่อสนับสนุน "สมาชิกหรือรัฐภาคีใด ๆ ของสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" (SEATO) ซึ่งรวมไปถึงการใช้กำลังทหารด้วย มติดังกล่าวได้รับคะแนนเสียงเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์ในสภาผู้แทนราษฎร ต่อมารัฐบาลของประธานาธิบดี Johnson อาศัยอำนาจตามมติดังกล่าวเริ่มต้นการยกระดับความเกี่ยวข้องทางทหารของสหรัฐใน เวียตนามใต้ และเป็นการทำสงครามโดยเปิดเผยระหว่างเวียตนามเหนือกับสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งสหรัฐฯ ถอนทหารจาก เวียตนามใต้ใน ปี 1973 ตามข้อตกลงสันติภาพปารีส 1973 (ลงนามเมื่อ 27 มกราคม 1973) เชลยศึกอเมริกันได้รับการปล่อยตัวโดยเวียตนามเหนือเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ และกำลังทหารอเมริกันถอนออกจากเวียตนามใต้ในวันที่ 29 มีนาคมในปีเดียวกัน 

ทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory) เกี่ยวกับเหตุการณ์การรบทางเรือที่อ่าวตังเกี๋ย ปี 1964 โดย John White อดีตนายทหารเรือได้เขียนจดหมายถึงบรรณาธิการ New Haven (CT) Register ในปี 1967 ว่า "ผมขอยืนยันว่าประธานาธิบดี Johnson รัฐมนตรีกลาโหม McNamara และประธานเสนาธิการร่วมได้ให้ข้อมูลเท็จแก่รัฐสภา ในรายงานของพวกเราเกี่ยวกับเรือพิฆาตสหรัฐฯ ซึ่งถูกโจมตีในอ่าวตังเกี๋ย" ต่อมาในปี 1968 White ได้เดินทางมามาวอชิงตันเพื่อพบกับวุฒิสมาชิก Fulbright เพื่อหารือเกี่ยวกับข้อกังวลของเขาโดยเฉพาะรายงานความผิดพลาดของโซนาร์ ต่อมาในปี 1981 นาวาเอก Herrick และ Robert Scheer นักข่าวตรวจสอบบันทึกปูมเรือของ Herrick อีกครั้ง เพื่อหาความจริงในการถูกยิงด้วยตอร์ปิโดจากรายงานครั้งแรกเมื่อ 4 สิงหาคม 1964 ซึ่ง Herrick ได้ระบุว่า "เกิดการโจมตี" ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่มีมูลความจริง บทความในปี 1981 ของ Herrick และ Scheer สรุปความไม่ถูกต้องของรารยงานครั้งแรกซึ่งแสดงว่า ไม่มีการโจมตีโดยเรือรบของเวียตนามเหนือในขณะนั้น แต่ผบ.และลูกเรือของ USS Maddox ทั้งหมดกล่าวว่า พวกเขามั่นใจว่ามีการโจมตีเกิดขึ้น เป็นผลให้มีการโจมตีฐานทัพเรือของเวียตนามเหนือ และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกด้านเชื้อเพลิงในระหว่างปฏิบัติการ Operation Pierce Arrow 

พลเรือตรี James Stockdale อดีตเชลยศึกใน เวียตนามเหนือ ผู้เป็นหนึ่งในนักบินของสหรัฐฯ ที่บินโจมตีในระลอกที่สอง เขียนไว้ในหนังสือ Love and War ปี 1984 ว่า "ผมอยู่ในที่นั่งที่ดีที่สุดเพื่อดูเหตุการณ์นั้น เรือพิฆาตของเราก็ยิงไปที่เป้าหมายผี เพราะไม่มีเรือ P-4 ที่นั่น ไม่มีอะไรที่นั่นเลย ทะเลที่มืดสนิทสว่างไปด้วยอำนาจการยิงของเรือรบอเมริกัน" โดย Stockdale ระบุอีกครั้งว่า “เห็น USS Turner Joy เล็งปืนไปยัง USS Maddox” Stockdale กล่าวว่า “เขาถูกผู้บังคับบัญชาสั่งให้ปกปิดเรื่องนี้” หลังจากที่ถูกยิงตก กลายเป็นเชลยศึกในเวียตนามเหนือ เรื่องนี้กลายเป็นภาระหนัก เขาได้กล่าวในภายหลังว่า เขากังวลว่าผู้ที่จับกุมจะบังคับให้เขาเปิดเผยสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับเหตุการณ์โจมตีในระลอกที่ 2 

ปี 1995 Võ Nguyên Giáp อดีตรัฐมนตรีกลาโหมของเวียดนามได้พบกับอดีตรัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐฯ McNamara โดย Võ Nguyên Giáp ปฏิเสธว่า เรือรบเวียตนามเหนือไม่ได้โจมตีเรือพิฆาตอเมริกันในวันที่ 4 สิงหาคม 1964 ในขณะที่ยอมรับการโจมตีในวันที่ 2 สิงหาคม เทปการสนทนาของการประชุมหลายสัปดาห์หลังจากมติอ่าวตังเกี๋ย ถูกเผยแพร่เมื่อ ปี 2001 แสดงว่า McNamara ได้อธิบายข้อสงสัยให้กับประธานาธิบดี Johnson ว่า มีการโจมตีเรือรบอเมริกันเกิดขึ้น ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1999 Eugene Poteat อดีตเจ้าหน้าที่ CIA เขียนว่า เขาถูกถามในต้นเดือนสิงหาคม 1964 เพื่อตรวจสอบรายงานของเจ้าหน้าที่เรดาร์แสดงถึง การโจมตีของเรือตอร์ปิโดเวียตนามเหนือว่า เป็นจริงหรือเป็นการจินตนาการ เขาได้ขอรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเวลาสภาพอากาศและสภาพผิวน้ำ แต่ไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมแต่อย่างใด ในท้ายที่สุดเขาได้สรุปว่า ไม่มีเรือตอร์ปิโดในคืนที่สงสัย และทำเนียบขาวให้ความสนใจในการยืนยันว่า "มีการโจมตี ไม่ใช่ ไม่มีการโจมตี "

ในเดือนตุลาคม 2012 พลเรือตรี Lloyd "Joe" Vasey (เกษียณ) ถูกสัมภาษณ์โดย David Day ใน Asia Review และได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 4 สิงหาคม พลเรือตรี Vasey ซึ่งอยู่บนเรือ USS Oklahoma City เรือลาดตระเวนติดขีปนาวุธชั้น Galveston ซึ่งแล่นอยู่ในอ่าวตังเกี๋ยด้วย และเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ปฏิบัติหน้าที่แทนผู้บัญชาการกองเรือที่ 7 โดย USS Turner Joy ทำการส่งสัญญาณวิทยุรบกวนวิทยุสื่อสารของเวียตนามเหนือ ซึ่งสั่งการให้เรือตอร์ปิโดเปิดฉากโจมตี USS Turner Joy และ USS Maddox หลังจากนั้นไม่นานเรดาร์ได้รับ "หลายรายสัญญาณความเร็วสูง" ถูกล็อกและบันทึกโดย USS Turner Joy ซึ่งได้ยิงทำลายเป้าหมายที่ล็อกได้ โดยมีพยาน 18 นายทั้งลูกเรือและนายทหารซึ่งรายงานทุกแง่มุมในการโจมตี อาทิ ควันจากเรือตอร์ปิโดที่ถูกยิง (รายงานโดยบุคคลที่แยกกัน 4 นาย บนเรือพิฆาตแยกลำสอบสวน) การพบเห็นเรือตอร์ปิโดที่แล่นผ่าน ตลอดจนแสงไฟต่าง ๆ พยานทั้ง 18 นายเป็นพยานในการพิจารณาคดีที่เมืองโอลองกาโป ประเทศฟิลิปปินส์ โดยคำให้การของพวกเขาถูกจัดเก็บเป็นบันทึกสาธารณะ ในปี 2014 ซึ่งครบรอบ 50 ปีของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น John White ได้เขียน เหตุการณ์อ่าวตังเกี๋ย – ห้าสิบปีต่อมา : เชิงอรรถเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของสงคราม เวียตนาม ได้สรุปยืนยันว่า รายงานโซนาร์ของ USS Maddox ทำงานผิดพลาด โดยที่ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดี Johnson เองก็รับรู้ ดังนั้น เหตุการณ์อ่าวตังเกี๋ยตามเรื่องนี้จะ ถูก ผิด เท็จ จริง เป็นเช่นไรนั้น คงเป็นเรื่องที่ต้องมีการศึกษาค้นคว้าหาความจริงกันต่อไป แต่สิ่งที่เรียกคืนไม่ได้ก็คือ ชีวิตของมนุษยชาติหลายล้านคนที่สูญสิ้นไปด้วยผลของสงครามที่เกิดจากเหตุการณ์นี้

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียตนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน 
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#6 เมื่อสมรภูมิ 'เคห์ซาน' ไม่ใช่ 'เดียนเบียนฟู'

หลังจากรัฐสภาสหรัฐฯ ได้ผ่าน “มติอ่าวตังเกี๋ย” ในปี 1964 ประธานาธิบดี Johnson มีอำนาจมากขึ้น จึงเริ่มส่งกำลังทหารสหรัฐฯ ในฐานะ “หน่วยรบ” เข้ามาแทนที่ “ที่ปรึกษาทางทหาร” ในเวียตนามใต้ ซึ่งทำให้รูปแบบการรบในเวียตนามใต้ในบริบทของกองทัพสหรัฐฯ และเวียตนามใต้เปลี่ยนไปจาก “การรบนอกแบบ” จากการฝึกกองกำลังอาสาสมัครขนาดเล็กเป็นนักรบแบบกองโจรโดยบรรดา “ที่ปรึกษาทางทหาร” ชาวอเมริกัน กลายเป็น “การรบในแบบ” โดยกำลังทหารของสหรัฐฯ เวียตนามใต้ และชาติพันธมิตรอื่น ๆ ในเวลาต่อมา

กองกำลังนาวิกโยธินสหรัฐฯ เป็นหน่วยรบหน่วยแรกที่เข้าสู่เวียตนามในปี 1965 โดยแต่เดิม “ที่ปรึกษาทางทหาร” ชาวอเมริกัน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากหน่วยรบพิเศษของกองทัพบกอเมริกัน อาทิ หน่วย Green beret เข้าทำหน้าที่ฝึกอาสาสมัครชาวเวียตนามใต้ให้เป็นนักรบกองโจรในหน่วยรบขนาดเล็ก กำลังทหารสหรัฐฯ ในสถานะเป็น “หน่วยรบ” จึงมีการตั้งฐานทัพกระจายไปทั่วดินแดนเวียตนามใต้ โดยเฉพาะพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับเวียตนามเหนือ ลาว และกัมพูชา ด้วยเหตุที่กองกำลังติดอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์ทั้งสามชาติมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันเป็นอย่างมาก และมักใช้ดินแดนของประเทศเพื่อนบ้านเป็นฐานที่มั่นเพื่อข้ามพรมแดนไปโจมตีที่ตั้งของฝ่ายรัฐบาล

หมู่บ้านเคห์ซานเป็นที่มั่นของรัฐบาลเวียตนามใต้ในทางตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดกวางตรี พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นหมู่บ้านของชาวเขาเผ่าบรูมองตานญาร์และไร่กาแฟ ห่างจากชายแดนลาวไปประมาณ 7 ไมล์ บนเส้นทาง 9 ซึ่งชำรุดทรุดโทรมเป็นอย่างมากทอดยาวจากบริเวณชายฝั่งผ่านที่ราบสูงทางตะวันตกและข้ามพรมแดนเข้าไปในลาว ฐานปฏิบัติการรบเคห์ซานมีต้นกำเนิดมาจากการสร้างสนามบินของกองกำลังพิเศษของกองทัพสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคม 1962 ซึ่งมีป้อมปราการเก่าตั้งแต่ยุคฝรั่งเศส  และต่อมากลายเป็นฐานทัพของอาสาสมัครพลเรือนที่ทำหน้าที่เฝ้าจับตาการแทรกซึมของกองทัพเวียตนามเหนือตามแนวชายแดนและคุ้มครองชาวบ้านในพื้นที่

กองกำลังหลักของสหรัฐฯ ที่ประจำอยู่ในฐานปฏิบัติการเคห์ซาน (KSCB) ได้แก่ กำลังนาวิกโยธินสหรัฐฯ สองกองพัน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทัพบกสหรัฐฯ กองทัพอากาศสหรัฐฯ และกองทัพอากาศเวียดนามใต้ รวมถึงกองกำลังของกองทัพสาธารณรัฐเวียดนาม (ARVN) จำนวนไม่มาก กำลังทหารเหล่านั้นต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังขนาดกองพลสองถึงสามกองพลของกองทัพประชาชนเวียดนามเหนือ (PAVN) ในตอนแรกกองบัญชาการสหรัฐฯ ในกรุงไซง่อนเชื่อว่า ปฏิบัติการรอบ ๆ KSCB เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการรบขนาดเล็กของ PAVN ในพื้นที่ชายแดน แต่เมื่อพบว่า PAVN กำลังเคลื่อนกำลังหลักเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าว กองกำลังสหรัฐฯ ที่ประจำใน KSCB จึงได้รับการเสริมกำลัง 

นายทหารระดับสูงของเวียตนามเหนือเชื่อมั่นว่า “สมรภูมิเคห์ซาน” คงจะไม่แตกต่างไปจาก “สมรภูมิเดียนเบียนฟู” ในอดีตที่กองทัพประชาชนเวียดนามเหนือสามารถทำการรบและเอาชนะกองทหารฝรั่งเศสอดีตเจ้าอาณานิคมได้ในที่สุด แต่การรบใน “สมรภูมิเคห์ซาน” ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะ “ฐานปฏิบัติการเคห์ซาน” ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากกองทัพอากาศสหรัฐฯ ด้วยการปฏิบัติการ “ไนแองการา” ซึ่งเป็นการทิ้งระเบิดทางอากาศครั้งใหญ่ วันที่ 21 มกราคม 1968 กองกำลัง PAVN ได้ทำการปิดล้อม KSCB ในช่วงห้าเดือนต่อมา กองกำลัง KSCB และฐานทัพบนยอดเขาที่อยู่รอบๆ ฐานทัพถูกโจมตีด้วยปืนใหญ่ ปืนครก และจรวดของกองกำลัง PAVN ทุกวัน รวมถึงการโจมตีของทหารราบหลายครั้ง โดยในช่วงสามเดือนแรก เครื่องบินรบของสหรัฐฯ และพันธมิตรได้ทิ้งระเบิดมากกว่า 114,810 ตัน และยิงปืนใหญ่มากกว่า 158,900 นัดในการปฏิบัติการป้องกันฐานฯ ดังกล่าว ในเดือนมีนาคม 1968 กองกำลังพิเศษผสมระหว่างนาวิกโยธิน-กองทัพบก สหรัฐฯ และ ARVN ได้ส่งหน่วยบรรเทาทุกข์ทางบก (ปฏิบัติการ “เพกาซัส”) ซึ่งในที่สุดก็สามารถบุกทะลวงไปยังฐานปฏิบัติการเคห์ซานได้

ผู้บัญชาการของสหรัฐฯ ถือว่า การป้องกัน “ฐานปฏิบัติการเคห์ซาน” ประสบความสำเร็จ อย่างดีเยี่ยม แต่หลังจากที่การปิดล้อมสิ้นสุดลงไม่นาน กองบัญชาการสหรัฐฯ ในกรุงไซง่อนก็ตัดสินใจที่จะรื้อถอน “ฐานทัพปฏิบัติการเคห์ซาน” แทนที่จะเสี่ยงต่อการสู้รบในลักษณะเดียวกันอีกในอนาคต วันที่ 19 มิถุนายน 1968 การอพยพและการทำลาย KSCB ก็เริ่มขึ้น ท่ามกลางการโจมตีอย่างหนัก นาวิกโยธินพยายามทำลายทุกสิ่งที่เหลืออยู่ก่อนที่พวกเขาจะอพยพถอนกำลังออกมา การโจมตีเล็กน้อยยังคงดำเนินต่อไปก่อนที่ KSCB จะปิดตัวลงอย่างถาวรในวันที่ 5 กรกฎาคม อย่างไรก็ตาม ยังมีกำลังนาวิกโยธินสหรัฐฯ อยู่รอบ ๆ เนินเขา 689 และการสู้รบในบริเวณใกล้เคียงยังคงดำเนินต่อไปจนถึงวันที่ 11 กรกฎาคม 1968  จนกระทั่งการอพยพถอนกำลังจบลงและทำให้การสู้รบสิ้นสุดลงด้วย

ภายหลังจากนั้น กองทัพประชาชนเวียดนามเหนือประกาศชัยชนะใน “สมรภูมิเคห์ซาน” ขณะที่กองกำลังสหรัฐฯ อ้างว่า ถอนกำลังจนหมดแล้ว เพราะไม่ต้องการใช้ประโยชน์จาก “ฐานปฏิบัติการเคห์ซาน” อีกต่อไป นักประวัติศาสตร์ตั้งข้อสังเกตว่า “สมรภูมิเคห์ซาน” อาจทำให้ความสนใจขอสหรัฐฯ และเวียตนามใต้เสียไปจากการเพิ่มกำลังของเวียตกงทางตอนใต้ก่อนการรุก Tet (ตรุษญวณ) ในช่วงต้นปี 1968 อย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการกองกำลังสหรัฐฯ ในเวียตนามใต้ พลเอกวิลเลียม เวสต์มอร์แลนด์ ยืนยันว่าเจตนาที่แท้จริงของการรุก Tet คือการเบี่ยงเบนกำลังออกจาก “ฐานทัพปฏิบัติการเคห์ซาน” โดยกองทัพสหรัฐฯ สูญเสียเครื่องบิน KC-130 ลำหนึ่ง เครื่องบิน C-123 ลำสามลำ และเฮลิคอปเตอร์ 35 ลำ ในขณะที่เครื่องบิน 23 ลำ และเฮลิคอปเตอร์ 123 ลำได้รับความเสียหาย ทหารสหรัฐฯ เสียชีวิต 274 นาย และบาดเจ็บมากกว่า 2,500 นาย ทหาร ARVN เสียชีวิต 229 นาย และบาดเจ็บ 436 นาย ทหาร PAVN เสียชีวิต 5,500 นาย (กองบัญชาการสหรัฐฯ ในกรุงไซง่อน) 2,469 นาย (PAVN) และบาดเจ็บ 1,436 นาย นอกจากนี้ยังมีทหารของกองทัพลาวบาดเจ็บและเสียชีวิตอีกจำนวนหนึ่งด้วย ตลอดปฏิบัติการกองกำลังของสหรัฐฯ ได้ใช้เทคโนโลยีล่าสุดในการค้นหาและกำหนดเป้าหมายที่เป็นกองกำลัง PAVN และนวัตกรรมด้านการขนส่งเพื่อสนับสนุนฐานปฏิบัติการเคห์ซานอย่างเต็มที่

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน 
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#7 ‘ทหารเกาหลีใต้’ พันธมิตรร่วมรบของสหรัฐฯ และเวียตนามใต้

สงครามอินโดจีนเป็นสงครามที่มีการระดมกำลังทหารจากพันธมิตรทั้งสองฝ่ายเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐอเมริกาตัดสินใจส่งกำลังทหารเข้าไปปฏิบัติการรบโดยตรง จากเดิมที่มีการส่งเพียงที่ปรึกษาทางทหาร สำหรับสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรแล้ว สงครามเวียตนามเป็นความพยายามของหลายชาติในการหยุดยั้งกระแสการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากขั้วตรงข้ามในสงครามเย็นของสหรัฐฯ คือ สหภาพโซเวียตและจีน ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เวียตนามใต้ถือเป็นจุดที่ร้อนแรงในบริบทของสงครามเย็น เช่นเดียวกับความขัดแย้งทั้งหมด จึงมีการระดมกำลังทหารจากชาติพันธมิตรร่วมอุดมการณ์โลกเสรีอีก 5 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ และไทย 

สงครามเวียดนามเป็นภารกิจทางทหารครั้งใหญ่ครั้งแรกของเกาหลีใต้นับตั้งแต่การลงนามในสนธิสัญญาสงบศึกสงครามเกาหลีในปี 1953 กองทหารเกาหลีทั้งหมดในเวียดนามเป็นอาสาสมัคร การมีส่วนร่วมของกองทัพเกาหลีใต้ในสงครามเวียดนามเริ่มต้นขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงปี 1965 และสิ้นสุดลงเมื่อกองทหารรบสหรัฐฯ ชุดสุดท้ายออกจากเวียตนามใต้ ทหารและนาวิกโยธินสาธารณรัฐเกาหลีชุดแรก (ซึ่งเรียกทั่วไปว่า ‘ROK’) เริ่มมาถึงหลังจากกองทหารรบสหรัฐฯ ชุดแรกมาถึงเวียตนามใต้หลายเดือนก่อนหน้าแล้ว ผู้สังเกตการณ์ทางทหารยืนยันว่า “ทหารเกาหลีใต้” สู้รบด้วยความกล้าหาญ โดยหลายคนบอกว่า ดุเดือด ยุทธวิธี และเทคนิคของพวกเขามักถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า โหดร้ายโดยไม่จำเป็น แต่ความกล้าหาญและมีวินัยของพวกเขานั้นไม่เป็นที่สงสัยเลย แม้แต่จากศัตรูของพวกเขา ความสำเร็จและการมีส่วนสนับสนุนของกองกำลังเกาหลีในเวียตนามใต้นั้น ไม่ได้รับการยกย่องและไม่ได้รับการชื่นชมมากนักนอกแวดวงทหาร สำหรับชาวอเมริกันหลายคนที่เคยร่วมรบกับพวกเขา ความสามารถในการต่อสู้ของ “ทหารเกาหลีใต้” ถือเป็นตำนาน กองกำลังเกาหลีใต้มีอัตราการสร้างความสูญเสียชีวิตให้กองกำลังคอมมิวนิสต์ในอัตราที่สูงมาก และสามารถจับกุมเชลยสงครามได้เป็นจำนวนมาก รวมทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์อีกเป็นจำนวนมาก การกระทำดังกล่าวทำให้กองกำลังคอมมิวนิสต์ไม่กล้าเข้ามาปฏิบัติการในพื้นที่ของ “ทหารเกาหลีใต้” และสามารถขัดขวางภารกิจของเวียตกงในพื้นที่ปฏิบัติการที่ได้รับมอบหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

มุมมองของสหรัฐฯ คือ คนร่วมสมัยเชื่อว่ากองกำลังเกาหลีใต้มีประสิทธิภาพในการสู้รบเทียบเท่ากับกองกำลังสหรัฐฯ จึงช่วยแบ่งเบาภาระของกองกำลังสหรัฐฯ ในพื้นที่ปฏิบัติการของเกาหลีใต้ แน่นอน สหรัฐฯ เป็นผู้สนับสนุนการมีส่วนร่วมของกองกำลังเกาหลี ตั้งแต่ปี 1965 ถึงปี 1973 ทหารบกและทหารนาวิกโยธินของเกาหลีใต้ 320,000 นายถูกส่งมาประจำการประจำการในเวียตนามใต้ ตัวเลขดังกล่าวรองจากทหารสหรัฐฯ และเวียดนามใต้เท่านั้น และมากกว่าทหารพันธมิตรทั้งหมดรวมกัน ทหารเกาหลีใต้ 5,099 นายเสียชีวิตและอีก 10,962 นายได้รับบาดเจ็บในสงครามครั้งนี้ ในเดือนมีนาคม 1965 รายงานของ CIA อธิบายปัญหาหลักของเวียดนามใต้ไว้ดังนี้ “เวียตกงยังคงได้รับชัยชนะอย่างต่อเนื่อง ... โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ลุ่มชายฝั่งทะเล รัฐบาล [เวียตนามใต้] อยู่ในฝ่ายรับอย่างชัดเจน ความสงบยังคงหยุดชะงัก และคาดว่าความมั่นคงในพื้นที่ชนบทจะลดลงต่อไป” การตอบสนองต่อการประเมินของ CIA ได้มาในรูปแบบของ “กองพลเสือ” แห่งกองทัพบกสาธารณรัฐเกาหลี และ “กองพลมังกรน้ำเงินที่ 2”  ของหน่วยบัญชาการนาวิกโยธินสาธารณรัฐเกาหลี หน่วยรบของเกาหลีใต้รับผิดชอบหลักในการสร้างความสงบและรักษาความปลอดภัยในจังหวัดชายฝั่ง (บิ่ญดิ่ญ ฟูเอียน คานห์ฮวา และนิญถวน) ในกองพลที่ 2 พวกเขารับหน้าที่นี้ด้วยความเข้มแข็ง พื้นที่ชายฝั่ง โดยเฉพาะทางใต้ของ Qui Nhon ลงไปจนถึง Phan Rang ยังคงค่อนข้างปลอดภัยตั้งแต่นั้นมา ภายใต้การจับตามองของ “ทหารเกาหลีใต้” 

ในเดือนกันยายน 1966 เกาหลีใต้ส่ง “กองพลม้าขาวที่ 9” ไปปฏิบัติการในพื้นที่ชายฝั่งทางใต้ ทำให้กองพลที่ 2 ทำให้ “กองพลมังกรน้ำเงินที่ 2” สามารถเคลื่อนพลไปทางเหนือเพื่อช่วยเหลือทหารนาวิกโยธินสหรัฐฯ ในจังหวัดกวางนาม ผู้สังเกตการณ์ทางทหารของสหรัฐฯ ได้บันทึกว่า ในเวียตนามใต้ กองกำลัง ROK ปฏิบัติหน้าที่อย่างโดดเด่นและกล้าหาญ และได้รับสถานะที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นตำนานทั้งในหมู่มิตรและศัตรู และทหารร่วมสมัยบางคน แม้จะมีการกล่าวหาว่า “ทหารเกาหลีใต้” ใช้ยุทธวิธีที่ก้าวร้าวเกินไปหรือรุนแรงเกินไป เรื่องเล่าและตำนานมากมายเกี่ยวกับวินัยที่เข้มงวด ความแข็งแกร่ง และความสามารถทางการทหารของ “ทหารเกาหลีใต้” โดยได้รับการกล่าวขานว่ามี ประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างยิ่งในการทำสงครามต่อต้านการก่อความไม่สงบ กลยุทธ์ และการปฏิบัติการของหน่วยขนาดเล็ก และการต่อสู้ด้วยมือเปล่า เป็นตำนานที่ทหารอเมริกันได้นำเล่าขานบ่อยครั้งด้วยความประทับใจ อาทิ “เอกสารของศัตรูที่ยึดมาได้ซึ่งสั่งให้หน่วย NVA [กองทัพเวียดนามเหนือ] หลีกเลี่ยงการปะทะกับ “ทหารเกาหลีใต้” ทั้งหมด เว้นแต่จะมั่นใจ 100 เปอร์เซ็นต์ว่าจะได้รับชัยชนะ” ในขณะที่เรื่องราวที่แต่งขึ้นส่วนใหญ่เกี่ยวกับหน่วยที่เวียดนามเหนือกลัวอย่างแท้จริงนั้นมักจะมีเรื่องเล่าของผู้เล่าเอง แต่เรื่องราวเกือบทุกเรื่องล้วนมีเนื้อหาเกี่ยวกับ “ทหารเกาหลีใต้” 

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’ 

ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน  
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#8 'ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์' พันธมิตรสำคัญฝั่งสหรัฐฯ - เวียตนามใต้

กองกำลังผสมของกองทัพออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ (ANZAC) เป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐอเมริกาในการป้องกันการแพร่กระจายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้ว่าทั้งสองประเทศจะเผชิญกับกระแสต่อต้านสงครามที่เพิ่มมากขึ้นในประเทศ แต่ทั้งสองประเทศยังคงให้การสนับสนุนสหรัฐอเมริกาและเวียตนามใต้ตลอดช่วงสงคราม ในปี 1951 ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และสหรัฐอเมริกาได้ลงนามในสนธิสัญญาความมั่นคง (ANZUS) ซึ่งเป็นข้อตกลงไตรภาคีที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศในภูมิภาคแปซิฟิก แม้ว่าจะไม่ได้มีการเรียกร้องสนธิสัญญาอย่างเป็นทางการสำหรับสงครามเวียตนาม แต่ถึงกระนั้น ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ก็ยังส่งกองกำลัง (ด้วยงบประมาณของตนเอง) เพื่อสนับสนุนสหรัฐอเมริกาในการปกป้องเวียตนามใต้

ในปี 1961 รัฐบาลออสเตรเลียเชื่อว่าการเอาชนะลัทธิคอมมิวนิสต์ในเวียตนามใต้เป็นเรื่องของหลักการและการป้องกันตนเอง เนื่องจากสันนิษฐานว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หากถูกคอมมิวนิสต์เข้าครอบงำแล้วจะเป็นภัยคุกคามต่อดินแดนทางเหนือของออสเตรเลีย ดังนั้น ในปลายฤดูร้อนของปี 1962 รัฐบาลออสเตรเลียได้ส่งทีมที่ปรึกษาทางทหาร 30 นาย ไปช่วยฝึกอบรมทหารของกองทัพสาธารณรัฐเวียดนาม (ARVN) สองปีต่อมา ทีมดังกล่าวมีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าเป็นที่ปรึกษาทางทหาร 80 นายซึ่งฝังตัวอยู่กับกองกำลังภาคสนามของ ARVN และส่งเครื่องบินขนส่ง DHC-4 Caribou (พร้อมนักบิน) ของกองทัพอากาศออสเตรเลียอีก 6 ลำ เมื่อสหรัฐอเมริกาเพิ่มการสนับสนุนเวียดนามใต้ด้วยการส่งกองกำลังรบในปี 1965 ออสเตรเลียก็ดำเนินการตามทันที ด้วยการได้ส่งกองพันที่ 1 กรมทหารออสเตรเลีย (1RAR) และกองกำลังสนับสนุนไปประจำการภายใต้การควบคุมการปฏิบัติการของกองพลทหารอากาศที่ 173 ของกองทัพบกสหรัฐที่เบียนฮัว เมื่อสิ้นสุดปี 1965 หน่วย 1RAR ได้เพิ่ม หน่วยปืนใหญ่ หน่วยวิศวกร หน่วยลาดตระเวนทางอากาศ และหน่วยสนับสนุนด้านโลจิสติกส์

แม้ว่าทหารอเมริกันและออสเตรเลียจะมีความร่วมมือและสู้รบร่วมกันได้ดี แต่โครงสร้างการบังคับบัญชาของออสเตรเลียไม่ได้สนับสนุนยุทธวิธีของกองทัพสหรัฐฯ หรือกฎการรบของกองทัพสหรัฐฯ อย่างเต็มที่ ซึ่งบางครั้งพวกเขามองว่าเป็นข้อจำกัดที่ไร้ประโยชน์โดยไม่จำเป็น พวกเขาต้องการต่อสู้ในแบบของตนเอง ดังนั้นเมื่อในปี 1966 รัฐบาลออสเตรเลียได้เพิ่มกำลังพลให้เป็นหน่วยเฉพาะกิจสองกองพันที่มีการสนับสนุนด้านการส่งกำลังบำรุงในการรบ เรียกว่า หน่วยเฉพาะกิจออสเตรเลียที่ 1 (1ATF) พวกเขาจึงใช้โอกาสนี้แยกตัวออกจากกองพลทหารอากาศที่ 173 และกลายมาเป็นหน่วยบังคับบัญชาอิสระที่มีพื้นที่ปฏิบัติการของตนเองในจังหวัดฟุกตุย โดยมีฐานที่นุยดัต หน่วยสนับสนุนการส่งกำลังบำรุงออสเตรเลียที่ 1 (1ALSG) ตั้งขึ้นในบริเวณใกล้เคียงที่ท่าเรือและสนามบินในเมืองวุงเต่า

วันที่ 18 สิงหาคม 1966 กองร้อยเดลต้า กองพันที่ 6 กรมทหารออสเตรเลีย ซึ่งมีกำลังพลรวมประมาณ 108 นาย ได้ออกเดินทางเพื่อค้นหาและเคลียร์กองกำลังของศัตรูออกจากบิญบา ซึ่งเป็นสวนยางพาราเก่าของฝรั่งเศสที่อยู่ไม่ไกลจากไซง่อน กองกำลังออสเตรเลียถูกกองกำลังคอมมิวนิสต์ผสมกว่า 1,500 นายจากเวียตนามเหนือและเวียตกงเข้าโจมตี ในการยิงตอบโต้กันเป็นครั้งแรกกับศัตรู กองกำลังออสเตรเลียสูญเสียทหารไปเกือบหมด ซึ่งถือเป็นการสูญเสียชีวิตมากที่สุดที่พวกเขาต้องเผชิญในเวียตนามใต้ หลังจากการปะทะครั้งแรก เมื่อกองร้อยเดลต้าตั้งแนวป้องกันได้แล้ว กองกำลังออสเตรเลียก็ต่อสู้อย่างหนักกับการโจมตีหลายครั้งในช่วงสี่ชั่วโมงถัดมาท่ามกลางพายุฝนที่ตกหนัก กองทัพออสเตรเลียได้รับการสนับสนุนด้วยปืนใหญ่ และได้รับเสบียงจากลูกเรือเฮลิคอปเตอร์ UH-1 “Huey” Iroquois ของกองทัพอากาศออสเตรเลียสองลำ และได้รับการเสริมกำลังจากกองร้อยออสเตรเลียอีกกองหนึ่งที่มาถึงในตอนค่ำด้วยรถลำเลียงพลหุ้มเกราะพร้อมปืนกลขนาด .50 ในท้ายที่สุด กองทัพเวียตนามเหนือและเวียคกงก็ยุติการปะทะ ออสเตรเลียสูญเสียทหารไป 18 นาย และบาดเจ็บ 24 นาย ระหว่างปี 1962 ถึง 1973 ทหารจาก กองทัพบก กองทัพอากาศ และกองทัพเรือของออสเตรเลียเกือบ 60,000 นายประจำการในเวียดนามใต้ ในช่วงที่มีกำลังพลสูงสุด มีทหารออสเตรเลียประจำการอยู่ในเวียตนามใต้มากกว่า 8,300 นาย ทหารออสเตรเลียบาดเจ็บมากกว่า 3,000 นาย และเสียชีวิต 521 นายในสงครามครั้งนี้

นิวซีแลนด์ เช่นเดียวกับออสเตรเลีย รัฐบาลนิวซีแลนด์เป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้ในสงครามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในช่วงต้นปี 1963 รัฐบาลนิวซีแลนด์ได้ให้การสนับสนุนที่เป็นรูปธรรมแก่ชาวเวียดนามใต้ด้วยการส่งทีมศัลยแพทย์พลเรือนไปให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์ในเมืองกวีเญิน ฤดูร้อนปี 1964 รัฐบาลนิวซีแลนด์ได้ส่งวิศวกรของกองทัพบก 25 นายไปช่วยเหลือในโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ และในช่วงฤดูร้อนปี 1965 รัฐบาลนิวซีแลนด์จึงได้ส่งกำลังรบเข้าไปในเวียตนามใต้ อันได้แก่ กองร้อยปืนใหญ่ที่ 161 ของกองทหารปืนใหญ่นิวซีแลนด์เดินทางมาถึงเมืองเบียนฮัวในเดือนกรกฎาคม 1965 โดยเริ่มแรกเพื่อประจำการกับกองทัพออสเตรเลียภายใต้การบังคับบัญชาของกองพลทหารอากาศที่ 173 ของกองทัพบกสหรัฐฯ ต่อมาพวกเขาได้ย้ายไปอยู่กับกองกำลังพิเศษของออสเตรเลียที่เมืองนุยดัต ซึ่งพวกเขาประจำการอยู่ในกรมทหารปืนใหญ่ของออสเตรเลียจนถึงเดือนพฤษภาคม 1971

ในปี 1967 นิวซีแลนด์ได้ส่งกองร้อยปืนเล็กยาวจากกองพันที่ 1 ของกรมทหารราบของนิวซีแลนด์ไปประจำการ ซึ่งพวกเขาได้สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับกองกำลังออสเตรเลียในหน่วยรบปืนใหญ่ที่ 1 นอกจากนั้นแล้ว นิวซีแลนด์ยังส่งเฮลิคอปเตอร์ UH-1 Iroquois (พร้อมนักบิน) ของกองทัพอากาศนิวซีแลนด์ไปประจำการอีกหลายลำ และในปี 1969 ก็ได้ส่งกองกำลังขนาดเล็กของหน่วยปฏิบัติการพิเศษทางอากาศพิเศษนิวซีแลนด์ไปประจำการกับกองกำลังของออสเตรเลีย ระหว่างปี 1964 ถึง 1972 บุคลากรทางทหารของนิวซีแลนด์ประมาณ 3,500 นายประจำการในเวียตนามใต้ แม้ว่าจะมีไม่เกิน 550 นายที่อยู่ในประเทศในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งก็ตาม พวกเขาได้รับบาดเจ็บ 187 รายและเสียชีวิต 37 รายในช่วงเวลาดังกล่าว

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#9 'ฟิลิปปินส์' อีกหนึ่งพันธมิตรสำคัญฝั่งสหรัฐฯ - เวียตนามใต้

ฟิลิปปินส์ อดีตรัฐอาณานิคมของสหรัฐอเมริกา จึงเป็นพันธมิตรที่สนิทชิดเชื้ออย่างแนบแน่นกับสหรัฐฯ ตั้งแต่สงครามเกาหลี ฟิลิปปินส์ส่งกองกำลังประมาณ 7,500 นายเข้าร่วมสงครามเกาหลี เมื่อสิงหาคม 1950 เป็นกองกำลังที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 สำหรับสงครามเวียตนาม ฟิลิปปินส์ให้การสนับสนุนกำลังพลในส่วนของปฏิบัติการด้านกิจการพลเรือน การพัฒนาชุมชน การแพทย์และสาธารณสุข โดยเริ่มส่งกำลังเข้าไปในเวียตนามใต้ครั้งแรกในปี 1964 ด้วยกำลังทหาร 28 นาย รวมทั้งพยาบาลและพลเรือน 6 นาย จำนวนทหารของกองทัพฟิลิปปินส์ที่ประจำการในเวียตนามใต้เพิ่มขึ้นเป็น 182 นาย และกำลังพล 1,882 นายในช่วงปี 1966–1968 ทหารฟิลิปปินส์ประมาณ 10,450 นายถูกส่งไปเวียตนามใต้ และสนับสนุนโครงการทางการแพทย์และกิจการพลเรือนในด้านอื่น ๆ เป็นหลัก กองกำลังเหล่านี้ปฏิบัติการภายใต้ชื่อ A หรือ กลุ่มปฏิบัติการกิจการพลเรือนฟิลิปปินส์-เวียดนาม Philippine Civic Action Group - Vietnam (PHILCAG-V)

ในปี 1954 หลังจากที่เวียตนามถูกแบ่งออกเป็นเวียตนามเหนือที่เป็นคอมมิวนิสต์และเวียตนามใต้ที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ชาวเวียดนามเหนือหลายพันคนได้อพยพลงใต้ ออสการ์ อาเรลลาโน ประธานสมาคมหอการค้าเยาวชนฟิลิปปินส์ (Jaycees) สาขามะนิลา เห็นว่าเหตุการณ์นี้เป็นวิกฤตด้านมนุษยธรรม จึงได้ขอความช่วยเหลือจาก รามอน แม็กไซไซ ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ในขณะนั้น ซึ่งตอบว่า “พวกเราได้รับความช่วยเหลือในยามที่เราต้องการความช่วยเหลือจากมิตรสหายผู้ใจดี แล้วเราจะปฏิเสธความช่วยเหลือเพื่อนบ้านเมื่อพวกเขาต้องการความช่วยเหลือได้อย่างไร ความทุกข์ยากของมนุษย์ไม่มีพรมแดนของชาติ ดังนั้นโปรดช่วยเหลือพวกเขาด้วยทุกวิถีทาง และหากข้าพเจ้าและรัฐบาลนี้สามารถช่วยอะไรได้ โปรดอย่าลังเลที่จะติดต่อข้าพเจ้า” ในช่วง 2 ปีต่อมา ในปฏิบัติการที่ชาวฟิลิปปินส์เรียกว่า Operation Brotherhood สมาคม Jaycees ได้ร่วมกับรัฐบาลฟิลิปปินส์ส่งแพทย์ พยาบาล นักสังคมสงเคราะห์ ทันตแพทย์ และเจ้าหน้าที่อื่น ๆ จำนวน 235 คน เพื่อรักษาผู้ป่วยราว 730,000 คนในสถานพยาบาลทั่วเวียตนามใต้

ในปี 1964 เพื่อตอบสนองต่อการรณรงค์ 'More Flags' ของ ลินดอน บี. จอห์นสัน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ดิออสดาโด มาคาปากัล ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ได้ของบประมาณสนับสนุนจากรัฐสภาฟิลิปปินส์เพื่อส่งกำลังรบไปยังเวียตนามใต้ แต่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาฟิลิปปินส์กลับอนุมัติงบประมาณสำหรับความช่วยเหลือด้านพลเรือนแทน ในเดือนสิงหาคม 1964 ฟิลิปปินส์ได้ส่ง แพทย์ พยาบาล ช่างเทคนิค และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการด้านกิจการพลเรือน 16 นายจากกองทัพฟิลิปปินส์เข้าไปช่วยเหลือ "ในความพยายามให้คำแนะนำที่มุ่งเน้นไปที่สงครามจิตวิทยาและกิจการพลเรือนในกองพลที่ 3" ตามประวัติของกองบัญชาการความช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐฯ เวียดนาม (MACV) ซึ่งเรียกหน่วยนี้ว่า PHILCON (กองกำลังฟิลิปปินส์)

ในปี 1966 รัฐบาลเวียตนามใต้ได้ร้องขอความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากฟิลิปปินส์ รวมถึงกองกำลังติดอาวุธ ฟิลิปปินส์จึงส่งกองกำลังใหม่ไปยังเวียตนามใต้เพื่อแทนที่ PHILCON คือ กลุ่มปฏิบัติการกิจการพลเรือนฟิลิปปินส์-เวียดนาม (PHILCAG-V) ประกอบด้วย กองพันวิศวกรก่อสร้าง ทีมปฏิบัติการทางการแพทย์และสาธารณสุข กองพันรักษาความปลอดภัย หน่วยสนับสนุนและกองบังคับการ พวกเขาได้ตั้งฐานทัพที่เมืองเตยนิญห์ 45 ไมล์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของไซง่อน ในช่วงฤดูร้อนของปี 1966 ในช่วง 40 เดือนถัดมา PHILCAG-V ได้ปฏิบัติภารกิจเพื่อพลเรือนที่มีความหลากหลาย โดยส่วนใหญ่เป็นงานก่อสร้างสาธารณูปโภค การพัฒนาชนบท และการบรรเทาทุกข์ด้านอาหารและการแพทย์ แม้ว่า PHILCAG-V จะมีทหารฟิลิปปินส์ 2,068 นายในช่วงที่มีบทบาทสูงสุด แต่ PHILCAG-V เน้นภารกิจด้านมนุษยธรรม ไม่ใช่การรบ ด้วยคติประจำของ PHILCAG-V ว่า “สร้าง ไม่ใช่ทำลาย นำความสุข ไม่ใช่ความเศร้าโศก สร้างความปรารถนาดี ไม่ใช่ความเกลียดชัง”

PHILCAG-V เป็นหน่วยปฏิบัติการที่มีประสิทธิภาพในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการดำเนินการเพื่อสังคม จนเป็นที่ชื่นชมของชาวเวียตนามใต้ สมาชิกหลายคนของ PHILCAG-V รุ่นแรกจำได้ว่า ชาวเวียตนามใต้มีชื่อเล่นพิเศษสำหรับทหารฟิลิปปินส์ว่า “ทุกที่ที่พวกเขาไป พวกเขาถูกเรียกว่า ‘Philuatan’ ซึ่งหมายความว่า ‘ชาวฟิลิปปินส์คือหมายเลขหนึ่ง’” เห็นได้ชัดว่าชาวเวียตนามใต้มากมายจดจำทหารฟิลิปปินส์ด้วยมิตรภาพ นอกจากนั้นแล้วรัฐบาลฟิลิปปินส์ยังให้การสนับสนุนต่อความพยายามในการทำสงครามเวียตนามของสหรัฐฯ ด้วยการให้กองกำลังสหรัฐฯ ปฏิบัติการจากฐานทัพเรือที่อ่าวซูบิกในซัมบาเลส สำหรับกองเรือที่ 7 ของสหรัฐฯ และจากฐานทัพอากาศคลาร์กในแองเจลิสซิตี้ในลูซอนของฟิลิปปินส์ตั้งแต่ปี 1965 จนกระทั่งสิ้นสุดสงครามในปี 1975 ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังรองรับคนงานในท้องถิ่นประมาณ 80,000 คนในธุรกิจระดับตติยภูมิที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีตั้งแต่ธุรกิจทำรองเท้าไปจนถึงการค้าประเวณี มีทหารฟิลิปปินส์ 9 นายเสียชีวิตในเวียตนามใต้ กองกำลังฟิลิปปินส์ถอนตัวออกจากเวียตนามใต้ในวันที่ 12 ธันวาคม 1969 โดยมีการส่งกำลังทหารฟิลิปปินส์ไปยังหมู่เกาะสแปรตลีย์ในเวลาเดียวกัน

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#10 พันธมิตรฝั่งสหรัฐฯ และเวียตนามใต้ : 'ไทย' (1)

ไทยมีบทบาทในภูมิภาคอินโดจีนมายาวนาน เริ่มจาก “เวียตนาม” ตั้งแต่สมัย “องเชียงสือ (เจ้าอนัมก๊ก ตามพงศาวดารไทย)” มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) ที่กรุงเทพฯ ต่อมาสามารถกู้คืนอำนาจ รวมแผ่นดินเวียดนามได้สำเร็จ เฉลิมพระนาม “จักรพรรดิซาล็อง” ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์เหงวียน ราชวงศ์สุดท้ายของเวียดนาม และสามารถโค่นล้มราชวงศ์เต็ยเซินอย่างสมบูรณ์ใน พ.ศ. 2345 ด้วยความช่วยเหลือจากสยามหลายครั้ง เป็นที่มาของการส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทองมาถวายรัชกาลที่ 1 ถึง 6 ครั้งตลอดรัชกาล โดยไทย (“ราชอาณาจักรสยาม” ในสมัยนั้น) ต้องเสียดินแดน “สิบสองจุไทย (สิบสองเจ้าไท)” ให้กับฝรั่งเศสซึ่งส่งกำลังเข้ามายึดเอาดื้อ ๆ ในปี 1888

“ลาว” เป็นดินแดนในปกครองของไทยมายาวนานเช่นกันก่อนที่จะถูกฝรั่งเศสใช้อำนาจและสารพัดเล่ห์กลสร้างเหตุเพื่อยึดเอาดินแดนเหล่านี้ไป ได้แก่ ดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงในปี 1893 ดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงในปี 1904 เช่นเดียวกันกับ “กัมพูชา” ซึ่งได้แก่ ดินแดนกัมพูชาตะวันออกเฉียงใต้ในปี 1867 เมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณในปี 1907 กระทั่งเกิด “กรณีพิพาทอินโดจีน” หรือ “สงครามฝรั่งเศส-ไทย”  เหนือดินแดนบางส่วนของอินโดจีนฝรั่งเศส ทำให้ฝรั่งเศสต้องยกดินแดนจากกัมพูชาและลาวคืนให้ไทย ได้แก่ จังหวัดพระตะบองและจังหวัดไพลิน (จัดตั้งใหม่เป็นจังหวัดพระตะบอง) จังหวัดเสียมราฐ จังหวัดบันทายมีชัย และจังหวัดอุดรมีชัย (จัดตั้งใหม่เป็นจังหวัดพิบูลสงคราม) จังหวัดพระวิหาร ผนวกเข้ากับแขวงจำปาศักดิ์ของลาวที่อยู่ตรงข้ามปากเซ เพื่อสร้างจังหวัดนครจัมปาศักดิ์ แขวงไชยบุรี รวมแขวงหลวงพระบางบางส่วน ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นจังหวัดลานช้าง

อย่างไรก็ตาม ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง ไทยได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ จึงจำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของประเทศมหาอำนาจและฝรั่งเศสซึ่งเป็นฝ่ายชนะสงคราม โดยต้องทำความตกลงระงับกรณีระหว่างไทยกับฝรั่งเศส “ความตกลงวอชิงตัน” ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ในวันที่ 17 พฤศจิกายน 1946 มีผลให้ไทยต้องคืนดินแดน อินโดจีน ที่ได้มาทั้งหมดให้กับฝรั่งเศส ดังนั้นไทยจึงเป็นหนึ่งในผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่สำคัญในภูมิภาคนี้มาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ไทยได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากสหรัฐอเมริกาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ขบวนการเสรีไทย และได้กลายเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง โดยเป็นหนึ่งประเทศซึ่งเป็นแนวร่วมสำคัญของสหรัฐฯ ในการต่อต้านลัทธิคอมมิวนสต์ การส่งกองกำลังไปร่วมรบกับสหประชาชาติภายใต้การนำของสหรัฐฯ ในสงครามเกาหลี

สำหรับสงครามอินโดจีนที่สหรัฐฯ เข้ามามีบทบาทนั้น สืบเนื่องจากภัยคุกคามของไทยในขณะนั้นประสบกับการรุกรานของลัทธิคอมมิวนิสต์เพิ่มมากยิ่งขึ้น ในช่วงต้นเดือนกันยายน 1958 กองทัพบกไทยได้เริ่มทำการฝึกให้กับกองทัพลาวที่ค่ายเอราวัณ ต่อมาเดือนเมษายน 1959 ค่ายฝึกทหารลาวแห่งแรกในประเทศไทยได้เปิดตัวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย มีชื่อรหัสว่า "โครงการเอกราช (Unity)" กองทัพบกไทยยังได้จัดตั้งกองบัญชาการ 333 (HQ 333) เพื่อควบคุมการปฏิบัติการลับที่เกี่ยวข้องกับลาว โดยสำนักข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ (CIA) ได้จัดตั้งหน่วยประสานงานร่วมเพื่อประสานงานกิจกรรมกับ HQ 333 มีการจัดส่งนักบินไทยและเจ้าหน้าที่เทคนิคไปทำการบินให้กับกองทัพอากาศลาว เดือนธันวาคมปี 1960 มีการส่งตำรวจพลร่ม (Police Aerial Reinforcement Unit : PARU) ชุดแรกเข้าไปในลาวเพื่อร่วมในปฏิบัติการด้านสงครามพิเศษ การทำสงครามแบบกองโจร และการฝึกทหารลาวม้ง การปฏิบัติการจิตวิทยา จัดตั้งกองกำลัง และการร่วมปฏิบัติการรบ

หลังจากลงนามสงบศึกที่เจนีวา แต่สงครามในลาวไม่ได้หยุดลง และกลับทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น CIA และ HQ 333 จึงจำเป็นต้องขยายขอบเขตการรบในลาว จึงมีการจัดระบบเตรียมการและจัดส่งกำลังพลทหารรับจ้างไทย (ทหารเสือพราน) เข้าไปในลาว เริ่มจากทหารปืนใหญ่ของกองทัพไทยเข้าร่วมการรบในแนวใกล้ทุ่งไหหินในปี 1964 เพื่อต่อสู้กับกองกำลังของประเทดลาว (ลาวแดง) ในโปรแกรมการฝึกพิเศษของสหรัฐฯ ต่อมาในปี 1969 หน่วยปืนใหญ่อีกหน่วยหนึ่งได้ทารรบป้องกันเมืองสุยเพื่อต่อต้านกองกำลังคอมมิวนิสต์ (ลาวแดงและเวียตนามเหนือ) และกลายเป็นหน่วยรบแรกของไทยที่สู้รบในลาว จากนั้นก็มีหน่วยอื่น ๆ ตามมา ในปี 1970 ฝ่ายอเมริกันได้โน้มน้าวฝ่ายไทยให้ใช้กำลังอาสาสมัครติดอาวุธในลาว (ทหารรับจ้างไทย (ทหารเสือพราน)) และต่อมาอาสาสมัครที่ได้รับการฝึกและใช้งานเหล่านี้ก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายอเมริกัน กองกำลังที่ได้รับการฝึกใหม่ได้รับการจัดเป็นกองพัน กองพันละ 495 นาย ภายใต้สัญญาจ้าง 1 ปี จากนั้นก็สามารถขยายต่อไปได้ กองพันเริ่มต้นด้วยเลข "6" ซึ่งเป็นความแตกต่างในการกำหนดหน่วยของไทยจากหน่วยลาว กองพันแรกเริ่มจาก 601, 602 การเตรียมการของสองกองพันดังกล่าวสิ้นสุดลงในต้นเดือนธันวาคม 1970 และในกลางเดือนธันวาคม กองพันเหล่านี้ก็ถูกส่งเข้าสู่สนามรบแล้ว CIA ซึ่งเคยชินกับความไร้ประสิทธิภาพของทหารลาวรู้สึกประหลาดใจอย่างยินดีกับผลลัพธ์ของการโจมตีของไทย

บทบาทและจำนวนทหารรับจ้างไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง CIA ต้องการทหารให้ได้มากที่สุด จึงเริ่มรับสมัครชายไทยที่ไม่มีประสบการณ์ทางการทหารเข้าค่ายฝึก เป็นผลให้ในเดือนมิถุนายน 1971จำนวนหน่วยทหารรับจ้างไทยที่ไปทำสงครามในลาวเท่ากับ 14,028 นาย และสิ้นเดือนกันยายน 1971 มากถึง 21,413 นาย เมื่อทหารลาวและทหารลาวม้งลดจำนวนลง สัดส่วนของทหารไทยก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อสิ้นสุดปี 1972 ทหารไทยได้กลายมาเป็นกำลังรบหลักของลาวภายใต้การบังคับบัญชาของนายพลวางเปา ทหารรับจ้างไทยถือเป็นกองกำลังที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการต่อสู้กับลาวแดงและเวียตนามเหนือในลาว ทหารม้งซึ่งบางครั้งสามารถทำลายกองกำลังคอมมิวนิสต์บางส่วนด้วยการสนับสนุนทางอากาศจากอเมริกันด้อยกว่าทหารรับจ้างไทยอย่างเห็นได้ชัดในทุกๆ ด้าน อย่างไรก็ตาม การรบในปี 1971 กองกำลังคอมมิวนิสต์ได้สร้างความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ให้กับกองกำลังทหารรับจ้างไทย เป็นครั้งแรกที่เครื่องบิน MiG ของเวียดนามได้เปิดฉากโจมตีในลาวเพื่อสนับสนุนกองกำลังภาคพื้นดินของเวียตนามเหนือและลาวแดง  เนื่องจากคุ้นเคยกับการสนับสนุนทางอากาศจากสหรัฐฯ ทั้งกองกำลังของลาวและไทยจึงไม่สามารถรักษาที่มั่นเอาไว้ได้ เมื่อฝ่ายศัตรูสามารถครองอากาศ และกองกำลังทหารรับจ้างไทยถูกบังคับให้หลบหนีจากสนามรบ ก่อนที่จะมีการสงบศึกในเดือนกุมภาพันธ์ 1973 ทหารรับจ้างไทยเกือบครึ่งหนึ่งหลบหนีกลับไทย ทหารรับจ้างไทยที่เหลือประมาณ 10,000 นายก็ถูกส่งตัวกลับไทยและแยกย้ายกันกลับภูมิลำเนา ไม่มีข้อมูลยืนยันถึงตัวเลขของทหารรับจ้างไทยที่บาดเจ็บและเสียชีวิตในสงครามครั้งนี้ ซึ่งน่าจะถึงหลักพัน สงครามในลาวถือว่าเป็น “สงครามลับ” สำหรับสหรัฐฯ ซึ่งในวันที่ 15 พฤษภาคม 1997 สหรัฐฯ พึ่งจะยอมรับอย่างเป็นทางการว่าตนมีส่วนร่วมในสงครามลับดังกล่าว

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top