Saturday, 7 June 2025
ศาสนาพุทธ

'ผศ.ดร.เพิ่มศักดิ์' ติง!! ‘นักวิชาการ’ วิพากษ์ ‘ศาสนาพุทธ’ ‘อ่านไม่แตก-ขาดความรู้’ แล้วยังกล้ายกยอตนเป็นผู้เชี่ยวชาญ

(20 ส.ค. 67) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เพิ่มศักดิ์ จะเรียมพันธ์ กลุ่มวิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Phermsak Chariamphan โดยระบุว่า

“บางทีนักวิชาการที่ชอบวิพากษ์ศาสนาพุทธอย่างนั้นอย่างนี้ ผมก็ไม่แน่ใจว่า เขาเข้าใจหลักธรรมของศาสนาพุทธมากน้อยแค่ไหน เพราะส่วนใหญ่เขาเป็นมาร์กซิสต์อะครับ อย่าว่าแต่หลักธรรมของศาสนาพุทธเลย บางคนทฤษฎีตะวันตกหรือมาร์กซ์ยังอ่านไม่แตกใช้ไม่คล่อง ดีแต่วิพากษ์อย่างเดียว น้อยคนที่จะเข้าใจลึกซึ้ง (คนที่เข้าใจก็มีนะ บางคนนี่เขาคิดว่า เข้าใจมาร์กซ์มากกว่ามาร์กซ์เข้าใจตัวเองเสียด้วยซ้ำ ต้นกำเนิดลัทธิแก้ ตัวเองแก้ได้คนเดียวแต่คนอื่นห้ามแก้ ผิด ฮา) บางคนเป็นมาร์กซิสต์จิตนิยม ไหว้พระไหว้เจ้าก็มี ไม่รู้ว่าทำไปเพราะแสร้งทำหรืออะไรยังไง ไม่ได้อยากรู้คำตอบด้วยครับไม่ต้องมาตอบ

อย่างผม ผมมองว่าถ้ายังไม่สามารถอ่านเขียนภาษาบาลี สันสกฤต อ่านพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และปกรณ์จนแตกฉานทั้งหมด รวมไปถึงคิด พูด ทำ ให้สมกับภูมิธรรมที่ตัวเองมีด้วย เช่นหลวงพ่อชา ท่านพุทธทาส ท่านปยุต ท่านชยสาโร ฯลฯ ถ้าไม่มีคุณสมบัติแบบนี้อย่ามาเรียกตัวเองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญและวิพากษ์ศาสนาพุทธอย่างนั้นอย่างนี้เลยครับ อายคนมีภูมิเขาบ้าง (ถ้าไม่อายก็ทำไป ด้านได้อายอด)

พอ ๆ กับทฤษฎีตะวันตกนั้นแหละ อธิบายอย่างนั้นอย่างนี้เป็นวรรคเป็นเวร พอไล่ไปถึง Epistemology หรือญาณวิทยา ก็มีแต่หลักกูหรือคิดขึ้นมาเองทั้งนั้น แล้วเที่ยวไปไล่ตัดสินคนอื่น อย่างว่าตามประสาปุถุชน หลอกได้แค่คนไม่เรียนมาหรือคนตามไม่ทันวาทกรรมของเขาแค่นั้นแหละ

แต่สุดท้ายแล้วมีปากก็วิพากษ์ไปเถิดครับ ปากเป็นของท่าน ศอกเป็นของผม

ปล. ตามแนวคิดของพุทธศาสนานั้น พุทธองค์ท่านให้ถือธรรม หรือความถูกต้องเป็นใหญ่หรือธรรมาธิปไตย

ส่วนประชาธิปไตย ในทางพุทธศาสนาถือเป็นระบอบการปกครองที่พุทธองค์ไม่ยกย่อง เพราะถือเป็นโลกาธิปไตย คือเอาความเห็นของคนในโลกเป็นใหญ่ ถ้าความเห็นของคนส่วนใหญ่ในโลกมันดี มีหลักคุณธรรม มีความละอายต่อบาปค้ำจุนอยู่ในกมลสันดานบ้างมันก็ดีไป แต่ถ้าคนส่วนใหญ่ในโลกมันบ้า ไร้คุณธรรม ไม่รู้ดีรู้ชั่ว มันก็เป็นระบอบการปกครองของคนบ้าและคนชั่ว หรืออุปมาดั่งแมลงวันตอมสิ่งโสโครกตามที่หลวงพ่อชาและหลวงพ่อพุทธทาสได้วิเคราะห์เอาไว้ครับ”

'สมเด็จพระสังฆราช' ประทานพระโอวาทแก่ 'พระเถระผู้ใหญ่' โปรดเอื้อเฟื้อต่อพระวินัย ช่วยกันปกป้องดูแลพระศาสนาสืบไป

(10 ก.ย. 67) สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เปิดเผยว่าวันจันทร์ ที่ 9 กันยายน 2567 เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จลงพระวิหาร วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ประทานพระวโรกาสให้พระสังฆาธิการเฝ้ารับประทานสำเนาพระบรมราชโองการและพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดแต่งตั้ง และตามที่มีพระบัญชาโปรดแต่งตั้ง ดังนี้...

1. พระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม
2. พระพรหมสิทธิ วัดสระเกศ เป็นกรรมการมหาเถรสมาคมและเจ้าอาวาสวัดสระเกศ
3. พระพรหมเสนาบดี เจ้าอาวาสวัดปทุมคงคา เป็นที่ปรึกษามหาเถรสมาคม
4. พระพรหมวัชรเมธี เจ้าอาวาสวัดอรุณราชวราราม เป็นที่ปรึกษามหาเถรสมาคม
5. พระธรรมโพธิมงคล เป็นเจ้าอาวาสวัดนิมมานรดี
6. พระธรรมวชิรปัญญาภรณ์ เป็นเจ้าอาวาสวัดเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนนทบุรี

การนี้ โปรดประทานพระดำริว่าให้เอื้อเฟื้อต่อพระวินัย โดยเมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสแล้ว หากมีกรณีที่ต้องเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่แรมคืนในอีกพระอาราม พึงดำเนินการภายหลังปวารณาออกพรรษาแล้ว

โอกาสนี้ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช ประทานพระโอวาท ความตอนหนึ่งว่า...

"ในนามคณะสงฆ์ ขอถวายมุทิตา ในโอกาสที่สมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ มีพระบรมราชโองการโปรดให้ท่าน ดำรงตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคม และในโอกาสที่ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษามหาเถรสมาคม และเป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ซึ่งการทั้งนี้ อนุวัตสนองพระราชดำริของพระองค์ ผู้ทรงเป็นอัครพุทธศาสนูปถัมภก จึงขอให้ทุกท่าน ตั้งกัลยาณจิต ถวายพระพร ให้ทรงเจริญพระชนมสุขสิริสวัสดิ์ทุกประการ

"ท่านทั้งหลายเป็นพระเถระผู้ใหญ่ เป็นหลักเป็นประธาน มีประสบการณ์สูง ในการบริหารการคณะสงฆ์ และการปกครองดูแลพระอารามกันมาแล้วทุกรูป เมื่อท่านได้รับตำแหน่งที่สมควรได้รับ สมควรได้ดำรงอยู่เช่นนี้แล้ว ก็ขออาราธนา เหมือนดังที่เคยอาราธนามาแล้วทุกครั้ง และได้เคยกล่าวย้ำอยู่เสมอ ๆ ว่าขอได้ช่วยกันปกป้องดูแลพระศาสนาของเรา ช่วยกันบริหารงานคณะสงฆ์ของเรา ไม่ว่าจะด้วยการอบรมสั่งสอน การจัดการศึกษา เผยแผ่ และปกครอง ให้พุทธบริษัททุกหมู่เหล่า ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติสมควร ปฏิบัติถูกต้อง ตามหลักธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้สอดคล้องต้องด้วยจารีตแบบแผน ที่บูรพาจารย์ของพวกเรา ได้สู้อุตสาหะสร้างสรรค์และพัฒนามาโดยลำดับ อย่างสุขุมคัมภีรภาพ ตามหลักการในพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และคัมภีร์อันอ้างอิงได้ โดยไม่ถืออัตโนมัติเป็นใหญ่ โดยไม่เห็นแก่ลาภสักการะ และไม่ตกอยู่ใต้อำนาจอคติ ไม่ว่าด้วยประการใด ๆ

"เมื่อท่านเป็นผู้ใหญ่ที่ยุติธรรมสม่ำเสมอ แม้ชีวิตอาจจะเผชิญโลกธรรมบ้าง ตามธรรมดาปกติวิสัย แต่ในที่สุดแล้ว มลทินโทษทั้งปวง ก็คงไม่อาจติดต้องพ้องพานท่านอยู่ตลอดไปได้ ถ้าทุกท่านมั่นในธรรมเป็นเครื่องยุติ มุ่งครองตนบนวิถีที่ปราศจากอคติเป็นแนวทาง ทั้งต่อการดำรงฐานะภาวะของตัวท่านเอง ทั้งต่อการจัดการหมู่คณะ ตลอดจนการพระศาสนาในภาพรวม ความยุติธรรมนั้น ย่อมจักช่วยเชิดชูประโยชน์ตน และประโยชน์ส่วนรวม ให้รุ่งเรืองสว่างไสวอยู่ ดุจดั่งดวงจันทร์ดิถีเพ็ญ อันผ่านพ้นจากมลทินของเมฆหมอก ที่บดบังได้เพียงชั่วครู่ชั่วยามฉะนั้น"

สังคมแตกเป็นสองฝ่าย หนุนกฎหมายใหม่จัดหนักพวกหมิ่นพุทธ

ในประเทศไทยดูเหมือนการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของศาสนาพุทธจะเป็นประเด็นที่ทำให้สังคมแตกแยกออกเป็น 2 ฝ่ายโดยฝ่ายหนึ่งคือกลุ่มแนวคิดเดิมกับอีกกลุ่มคือกลุ่มแนวคิดใหม่ ซึ่งแนวทางของกลุ่มแนวคิดใหม่นั้นมองว่าการกระทำใดๆก็ตามของกลุ่มแนวคิดเดิมเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องไม่ได้ระบุไว้ในพระธรรมวินัยและพยายามทำตัวเองให้กลายเป็นอินฟลูด้านศาสนาขึ้นมาด้วย วิธีการแบบนี้สามารถใช้ได้ในประเทศไทยเพราะถ้าหากเราดูถึงการนับถือศาสนาพุทธในปัจจุบันแล้วก็จะเห็นเป็น 2 กลุ่มกลุ่มแรกคือนับถือพุทธเพราะที่บ้านนับถือสืบต่อกันมา ส่วนอีกกลุ่มนับถือพุทธด้วยถูกจริตต่อจิตใจของตน  

หากมองดูทั้งสองกลุ่มจะเห็นถึงความแตกต่างของคน 2 ประเภทนี้กล่าวคือคนกลุ่มแรกจะสามารถถูกชักจูงง่ายโดยใช้หลักการทางการตลาดใด ๆ ก็ตาม แต่อีกประเภทหนึ่งจะต้องหาเหตุผล หลักฐานมาหักล้างความเชื่อนั้นเพื่อสร้างความเชื่อใหม่ให้เกิดขึ้น เอย่าได้ไปคุยกับผู้สันทัดด้านศาสนาของไทยและเมียนมาและเห็นว่าศาสนาพุทธใน 2 ประเทศนี้มีความคล้ายและต่างกันบางอย่าง ส่วนที่เหมือนกันคือ การผสมผสานของศาสนาพุทธให้เข้ากับลัทธิดั้งเดิมที่มีมาอยู่ก่อนทั้งในไทยและเมียนมานั้น ศาสนาพุทธได้ประสบความสำเร็จจากการเผยแผ่ศาสนาแบบนี้  แต่คน  2 ประเทศนี้มีหลายอย่างต่างกันกล่าวคือ คนเมียนมาส่วนหนึ่งแม้จะบูชาผีนัตก็ตามแต่การบูชาผีนัตก็เพื่อขอความคุ้มครองต่อตัวเขา ครอบครัวและธุรกิจ อันแตกต่างจากของไทยซึ่งส่วนใหญ่การสักการะใดๆก็ตามจะเน้นการขอลาภ ยศเสียมากกว่า

เอย่าถามว่าทำไมคนพม่าถึงนับถือศาสนาพุทธอย่างเหนียวแน่น กูรูศาสนาพุทธชาวเมียนมาให้คำตอบกับเราว่าส่วนใหญ่คนเมียนมานับถือพุทธมากกว่านับถือนัต และระลึกว่าการกราบไหว้บูชาพระพุทธเป็นการสักการะเพื่อต้องการสืบต่อพระศาสนาให้ต่อเนื่องเฉกเช่นเดียวกันกับศาสนาอื่นๆอาทิเช่นชาวมุสลิมในเมียนมาก็พยายามที่จะมาทำพิธีละหมาดวันละ 5 ครั้งในสุเหร่า นั่นก็เพราะชาวเมียนมาส่วนใหญ่มีความเชื่อและความศรัทธาฝังแน่นแม้ว่าสิ่งที่เขาต้องการอาจจะไม่ได้ประสบพบในชาตินี้ชีวิตนี้แต่คนพม่าส่วนใหญ่ก็มองว่าการนับถือศาสนาของเขาจะส่งผลกรรมดีต่อเขาในโลกหน้าด้วย  หันกลับมาไทยเมื่อมาถามกูรูด้านศาสนาฝั่งไทยเขาบอกว่าคนไทยยุคใหม่นับถือศาสนาเพื่อให้ศาสนาบันดาลในสิ่งที่ตนอยากได้ โดยเฉพาะได้ในชาตินี้และนั่นทำให้คนไทยเรากลายเป็นผู้นับถือทุกสิ่งที่สามารถบันดาลให้เราได้ ทั้ง ผี ยักษ์ นาค ครุฑ หมาสองหัววัวหกขา กูรูฝั่งไทยกล่าวว่าอีกฝั่งหนึ่งของคนไทยคือผู้ไม่นับถืออะไรเลย  เพราะไม่คิดว่าทำไปแล้วจะได้อะไรเป็นการตอบแทน ไม่คิดว่าการสืบต่อพระศาสนานั้นจะทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นอย่างไรคนกลุ่มนี้จะไปเสพติดไอดอล อินฟลูต่าง ๆ ที่ถูกกับจริตและจิตใจของเขา ดังนั้นทำให้สังคมไทยจึงแตกออกเป็น 2 ฝ่าย

เมื่อความแตกต่างนำมาซึ่งความแตกแยก กฎหมายจึงเข้ามาเพื่อเป็นข้อกำหนดไม่ให้มีการบั่นทอนความสำคัญของศาสนา ในหลายประเทศมีกฎหมายศาสนาอยู่ไม่ได้มีเพียงเมียนมาแต่ในหลายประเทศก็จะกฎหมายศาสนาเช่นกัน อาทิเช่น มาเลเซียที่มีกฎหมายของชุดคือ กฎหมายฆราวาสและกฎหมายอิสลาม ส่วนในเมียนมามีกฎหมายพุทธศาสนาอยู่เช่นกัน และหลายครั้งในเมียนมาก็มีผู้กระทำผิดต่อกฎหมายที่ว่าด้วยการกระทำผิดต่อศาสนา ในเมียนมามีคดีที่เป็นคดีที่หมิ่นศาสนาอยู่จำนวนมาก อาทิเช่น เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา ศาลเมืองมัณฑะเลย์ตัดสินจำคุก Kyaw Win Thant แพทย์ชาวเมียนมา วัย 31 ปี เป็นเวลา 21 เดือน ในความผิดฐานดูหมิ่นศาสนา สืบเนื่องจากการที่จำเลยโต้เถียงกับบรรดาพระสงฆ์เรื่องการสอนเพศศึกษาในโรงเรียน แล้วมีการโพสต์ข้อความเชิงประชดเสียดสีพระสงฆ์ดังกล่าว หรือในกรณีของ นายฟิลิป แบล็ควูด ผู้จัดการบาร์ชาวนิวซีแลนด์ในเมียนมาและชาวเมียนมาอีก 2 คน ถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปี 6 เดือน ในข้อหาดูหมิ่นพุทธศาสนา จากการโพสต์รูปโฆษณาทางออนไลน์ เป็นรูปพระพุทธรูปสวมเฮดโฟน เพื่อเชิญชวนให้คนมาเที่ยวสถานบันเทิง หรือล่าสุดคือ นายดิดีเยร์ นุสเบาเมอร์ อายุ 52 ปี ถูกจับกุมตัวเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา เขียน ถ่ายทำ และตัดต่อภาพยนตร์เรื่อง 'Don’t Expect Anything' ที่มีความยาว 75 นาที และโพสต์ลงบนสื่อออนไลน์

ในประเทศไทยแม้ในไทยจะมีกฎหมายหมิ่นศาสนาก็ตามแต่ตัวกฎหมายกลับไม่ได้ครอบคลุมและถูกนำมาใช้อย่างที่มันควรจะเป็น โดยมีระบุหลัก ๆ ไว้แค่ 3 มาตราคือ มาตรา 206  ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ แก่วัตถุหรือสถานอันเป็นที่เคารพในทางศาสนาของหมู่ชนใด อันเป็นการเหยียดหยามศาสนานั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 207 ผู้ใดก่อให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในที่ประชุมศาสนิกชนเวลาประชุมกัน นมัสการ หรือกระทำพิธีกรรมตามศาสนาใด ๆ โดยชอบด้วยกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 208  ผู้ใดแต่งกายหรือใช้เครื่องหมายที่แสดงว่าเป็นภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวชในศาสนาใดโดยมิชอบ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นบุคคลเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

แต่ล่าสุดปีที่ผ่านมามีการดำเนินการให้แก้ไข โดยท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กมลศักดิ์  ลีวาเมาะ และคณะได้นำเสนอให้แก้ไขกฎหมายศาสนา โดยอ้างว่าประมวลกฎหมายอาญาที่บัญญัติความผิดเกี่ยวกับศาสนายังไม่ครอบคลุม การกระทำของบุคคลที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมและก่อให้เกิดความเสียหายต่อศาสนา เกิดการดูถูกดูหมิ่น เหยียดหยาม หรือทำให้รู้สึกเกลียดชัง โดยกระทำการใด ๆ เช่น การบิดเบือนหลักธรรมคำสอนของศาสนา รวมถึงการปลุกระดม การเผยแพร่เพื่อให้เกิดการเกลียดชัง การรบกวนการประกอบพิธีกรรม การวิพากษ์วิจารณ์โดยมิใช่ทางวิชาการ รวมถึงการทำลายหรือทำให้สกปรกซึ่งคัมภีร์หรือวัตถุที่เป็นที่สักการะของ ศาสนาใดศาสนาหนึ่ง  ซึ่งทางท่าน สส. ได้ให้มีการระบุรายละเอียดเข้าไปเพิ่มในมาตรา 206 เพื่อให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น เอย่าหวังว่าไหน ๆ ก็มีการระบุถึงความผิดให้ชัดเจนเพิ่มขึ้นแล้วควรจะเพิ่มโทษให้สาสมด้วยว่าการดูหมิ่นให้ร้าย ต่อคนต่างความเชื่อนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำและไม่ควรเกิดขึ้นในสังคม คงต้องดูว่าพรรครัฐบาลชุดนี้จะเห็นด้วยกับประเด็นเหล่านี้หรือไม่   คงต้องติดตามดูกันต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top