Tuesday, 22 April 2025
วิชาเศรษฐศาสตร์101

เมื่อ iPhone ไม่ใช่แค่มือถือล้ำยุค ทำความรู้จักกับ iPhone Index ดัชนีที่จะอธิบายว่าทำไมราคา iPhone ในเเต่ละประเทศถึงไม่เท่ากัน 

(7 ต.ค. 67) เคยสงสัยกันไหมคะว่าทำไมราคาของ iPhone รุ่นล่าสุดในแต่ละประเทศนั้นไม่เท่ากันเลย ทั้งๆ ที่มันเป็นสินค้าที่ผลิตและจัดจำหน่ายโดยบริษัทเดียวกัน และทุกเครื่องก็มีฟังก์ชันเหมือนกันทุกประการ เช่น ที่ สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ iPhone ราคาของ iPhone 16 อยู่ที่ประมาณ $1,000 ดอลลาร์ ที่สวิสเซอร์แลนด์กลับอยู่ที่ราวๆ เกือบ $1,400 ดอลลาร์เพียงเพราะสกุลเงินฟรังก์สวิส มีมูลค่ามากกว่าดอลลาร์สหรัฐ ส่วนที่อินเดียกลับวางขายอยู่ที่ประมาณ $1,300 ดอลลาร์

นี่คือจุดเริ่มต้นของแนวคิดที่พัฒนาขึ้นโดยนักวิเคราะห์การเงินและเทคโนโลยีหลายคน ซึ่งได้นำเสนอในสื่อต่างๆ เช่น The Economist เพื่อเปรียบเทียบความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ (Purchasing Power Parity - PPP) ในประเทศต่างๆ โดยใช้ราคาของ iPhone เป็นตัวชี้วัด และ iPhone เป็นผลิตภัณฑ์สำคัญจาก Apple ซึ่งถูกขายในกว่า 100 ประเทศ ความสม่ำเสมอของมาตรฐานในแต่ละตลาดทำให้ iPhone เป็นเครื่องมือที่ดีในการเปรียบเทียบความแตกต่างของราคาทั่วโลก

iPhone Index มักจะถูกมองว่าเป็นภาพสะท้อนของสภาวะเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะเรื่องของ นโยบายภาษี อัตราแลกเปลี่ยน และความแข็งแรงของสกุลเงินท้องถิ่น ประเทศที่มีราคา iPhone สูงมักจะบ่งบอกถึงค่าเงินที่อ่อนหรือภาษีที่สูง ในขณะที่ประเทศที่มีราคาต่ำกว่าอาจสะท้อนถึงกำลังซื้อที่สูงขึ้น ราคาของ iPhone ในแต่ละประเทศจึงไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ของมูลค่าสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่มันยังสะท้อนถึงปัจจัยต่างๆ เช่น

- ภาษีนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): ในบางประเทศ เช่น อินเดียและบราซิล ภาษีนำเข้าและ VAT ทำให้ราคาของ iPhone สูงกว่าที่อื่นมาก ในขณะที่ประเทศอย่างสหรัฐฯ มีภาษีต่ำกว่า ทำให้ราคาถูกกว่า ทำให้ประเทศอย่างบราซิลเป็นประเทศที่มีราคาของ iPhone สูงที่สุดในโลก เนื่องจากภาษีนำเข้าที่สูงมาก ซึ่งอาจสูงถึง 60% ของมูลค่าเครื่อง รวมถึง VAT ด้วย ส่งผลให้ iPhone ในบราซิลมีราคาแพงกว่าสหรัฐฯ ถึง 2 เท่า

- ค่าครองชีพและกำลังซื้อของประชาชน: ในประเทศที่ค่าครองชีพสูง เช่น สวิตเซอร์แลนด์และญี่ปุ่น ราคาสินค้าก็จะสูงขึ้นตาม เพราะคนในประเทศเหล่านี้มีกำลังซื้อที่สูงกว่า รวมถึง Apple เองก็มักจะปรับราคาของ iPhone ในตลาดต่างๆ ตามภาวะเศรษฐกิจท้องถิ่น 

- การปรับอัตราแลกเปลี่ยน: ค่าเงินของแต่ละประเทศมีผลต่อราคาของสินค้าโดยตรง เช่น หากค่าเงินของประเทศหนึ่งมีมูลค่าต่ำกว่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ราคาของ iPhone เมื่อแปลงเป็นสกุลเงินท้องถิ่นจะสูงขึ้น เช่น หากเงินปอนด์ของอังกฤษหรือเงินเยนของญี่ปุ่นอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ iPhone จะมีราคาสูงขึ้นในประเทศเหล่านั้น ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นสินค้าระดับโลกที่มีความอ่อนไหวต่อการเคลื่อนไหวของสกุลเงิน

iPhone Index ถูกนำมาใช้งานก็จริงแต่ก็เป็นไปในแง่มุมขำขันเพื่อใช้เป็นวิธีการวิเคราะห์เศรษฐกิจแบบซับซ้อนให้สามารถเข้าใจได้ง่ายๆ ผ่านสินค้าที่คนรู้จักและใช้งานทุกวัน แม้ว่าตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจอย่าง GDP และ CPI จะให้ข้อมูลเชิงกว้างเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ แต่ iPhone Index ให้ข้อมูลในระดับผู้บริโภคที่แสดงให้เห็นถึงการค้าโลก ภาษี และความผันผวนของสกุลเงิน ความเรียบง่ายของมันทำให้เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและเข้าใจง่ายในการมองเห็นความแตกต่างของกำลังซื้อทั่วโลก

แม้ว่ามันจะไม่ใช่การวัดทางวิทยาศาสตร์ที่แม่นยำและเเน่นอนที่สุด เพราะในหลายประเทศ iPhone ถือเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยมันจึงไม่ได้สะท้อนรูปแบบการบริโภคในชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่ 

ดังนั้นมันอาจไม่สามารถใช้เป็นเครื่องมือเปรียบเทียบค่าครองชีพได้อย่างตรงไปตรงมา เเละราคาของ iPhone อาจเปลี่ยนแปลงตามโปรโมชั่น การอุดหนุนจากผู้ให้บริการโทรศัพท์ และการแข่งขันในท้องถิ่น ซึ่งอาจทำให้ดัชนีนี้ถูกบิดเบือนได้ 

อีกทั้งในบางประเทศ Apple อาจถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของการบ่งบอกสถานะ ทำให้ราคาสูงขึ้นจากกลยุทธ์การตั้งราคาพรีเมียมในตลาดที่ผู้บริโภคพร้อมจะจ่ายมากขึ้นเพื่อซื้อแบรนด์ที่มีมูลค่า แต่มันก็เป็นวิธีที่สนุกที่นักเศรษฐศาสตร์ใช้เพื่ออธิบายเศรษฐกิจโลกค่ะ

‘โอ๋ อรวดี’ พาสำรวจสมรภูมิชิงตำแหน่ง ปธน.สหรัฐฯ พบเงินสะพัด 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ทุ่มซื้อโฆษณาไม่อั้น!!

(10 ต.ค. 67) อีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญสำหรับปีนี้คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายนปีนี้ค่ะ ซึ่งถือเป็นการเลือกตั้งครั้งที่ 60 โดยครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งที่สำคัญมาก เพราะจะเป็นการกำหนดทิศทางของนโยบายเศรษฐกิจ สังคม และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในอนาคตเลยค่ะ 

สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ ทั้ง Donald Trump และ Kamala Harris ต่างมีนโยบายที่แตกต่างกันอย่างมากในด้านการจัดการเศรษฐกิจ เช่น นโยบายการลดภาษีของ Trump และการเพิ่มภาษีสำหรับผู้มั่งคั่งของ Harris ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชาวอเมริกันหลายล้านคน

ในด้านค่าใช้จ่ายในการหาเสียงสำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2024 ก็มีตัวเลขแสดงให้เห็นว่าได้พุ่งสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยมีการคาดการณ์ว่าการหาเสียงในระดับรัฐบาลกลางครั้งนี้จะใช้เงินมากถึง 16 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งทำลายสถิติจากการเลือกตั้งปี 2020 ที่ใช้ไป 15.1 พันล้านดอลลาร์ 

>>>ผู้สมัคร ปธน. หาเงินมาจากไหน???

โดยสาเหตุหลักของการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้มาจากการระดมทุนจาก Super PACs และการใช้จ่ายจากองค์กรที่ไม่แสดงที่มาของเงินบริจาค ซึ่งทุ่มงบประมาณอย่างมหาศาลเพื่อการโฆษณา การรณรงค์หาเสียง และการส่งจดหมายหาเสียงค่ะ ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งมหาศาลนี้แบ่งแยกย่อยออกมาได้เป็น 

1. การใช้จ่ายของ Super PACs: กลุ่มภายนอกอย่าง Super PACs คาดว่าจะใช้จ่ายในระดับที่มากกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าการเลือกตั้งปี 2020 ที่ใช้ไปทั้งหมด 3.3 พันล้านดอลลาร์ 
2. การระดมทุนของผู้บริจาครายใหญ่: 10 ผู้บริจาครายใหญ่บริจาคเงินรวมกว่า 599 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็น 7% ของการระดมทุนทั้งหมดในระดับรัฐบาลกลาง
3. การสนับสนุนจาก Super PACs ฝั่งพรรครีพับลิกัน: โดยในรอบนี้ผู้บริจาครายใหญ่ทั้งหมดที่ติดอันดับท็อป 5 พากันสนับสนุนพรรครีพับลิกัน ซึ่งทำให้พรรครีพับลิกันได้เปรียบในการใช้จ่ายจากกลุ่มภายนอกกว่าอีกฝ่ายค่ะ 

4. การระดมทุนของ Kamala Harris: แคมเปญของ Kamala Harris ระดมทุนได้ถึง 1 พันล้านดอลลาร์ ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน 2024 เพียงลำพัง นับว่าเป็นจำนวนที่สูงมากเมื่อเทียบกับการระดมทุนในอดีตของผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต
5. ค่าใช้จ่ายต่อผู้สมัคร: ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของผู้สมัครในสภาผู้แทนราษฎรอยู่ที่ 2.4 ล้านดอลลาร์ ต่อคนในปี 2020 ซึ่งสูงกว่าปี 2008 ที่ใช้เพียง 1.4 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ผู้สมัครวุฒิสมาชิกต้องใช้เงินเฉลี่ยถึง 27.2 ล้านดอลลาร์ ในปี 2020 เพิ่มขึ้นจาก 8.5 ล้านดอลลาร์ ในปี 2008 

>>>งบโฆษณาออนไลน์พุ่ง

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ มีการใช้เงินจำนวนมากในการโฆษณาและการรณรงค์ในรูปแบบดิจิทัล เนื่องจากการเข้าถึงผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทางออนไลน์กลายเป็นส่วนสำคัญของการหาเสียง ข้อมูลจากหลายฝ่ายแสดงให้เห็นว่าค่าใช้จ่ายในการโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัลเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับการเลือกตั้งครั้งก่อน เนื่องจากการแข่งขันที่ดุเดือดในการครอบครองพื้นที่สื่อสังคมออนไลน์ เช่น Facebook, YouTube, และ Google 

ส่วนเราคนไทยก็ต้องจับตามองการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างใกล้ชิดค่ะ เพราะไม่ว่าใครจะได้มาเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ ก็จะส่งผลต่อการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศเราอย่างแน่นอนค่ะ 

เจาะตลาด ‘ซอส-เครื่องปรุงรส’ ธุรกิจที่สร้างผลกำไรมหาศาลทั่วโลก คาด!! ในปี 2029 จะมีมูลค่าสูงถึง 226.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

(15 ต.ค. 67) รู้กันไหมว่าในปี 2024 มูลค่าตลาดซอส เครื่องปรุงรส และน้ำสลัดทั่วโลกคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึงประมาณ 171.58 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตถึง 226.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2029 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 5.74% ความต้องการซอสและเครื่องปรุงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากความนิยมในการบริโภคอาหารชาติพันธุ์ที่เพิ่มขึ้น เช่น อาหารไทย เม็กซิกัน และตะวันออกกลาง นอกจากนี้ การขยายตัวของการบริโภคซอสสำเร็จรูปในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ และยุโรปก็มีส่วนช่วยขับเคลื่อนตลาดนี้ด้วย

โดยในไทยเองตลาดซอสและเครื่องปรุงในประเทศไทยคาดว่าจะมีมูลค่า 2.06 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2024 และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 5.17% ระหว่างปี 2024-2029 สินค้าหลักที่มีการบริโภคมากในตลาดไทยได้แก่ ซอสพริก ซอสมะเขือเทศ และซอสถั่วเหลือง การเติบโตของตลาดยังได้รับแรงผลักดันจากการเพิ่มขึ้นของประชากรในเมืองและความนิยมในอาหารชาติพันธุ์ รวมถึงการส่งออกซอสไทยไปยังตลาดต่างประเทศ เช่น ซอสพริกและน้ำปลาด้วย ไปดูกันว่า 3 บริษัทที่ผลิตซอสยักษ์ใหญ่ของโลก และอีก 3 บริษัทของไทยที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีบริษัทอะไรกันบ้าง นี่คือรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัทที่ผลิตซอสที่คุณถามถึง รวมถึงบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย ชื่อบริษัท ตลาดหุ้นที่จดทะเบียนมูลค่าทางการตลาด (พันล้านเหรียญ)    จุดเด่น McCormick & Company NYSE 22.15 

- Frank’s RedHot ซอสพริกยอดนิยมที่ใช้ในการทำปีกไก่ Buffalo และอาหารเม็กซิกัน 
-French’s ซอส Worcestershire และ Buffalo Sauce                                                                                        Kraft Heinz Company NASDAQ 42.58 - Heinz Ketchup
- Heinz BBQ Sauces
- Heinz Mayonnaise
Campbell Soup Company NYSE 14.21 - Prego: ซอสพาสต้าชั้นนำ มีหลากหลายรสชาติ ตั้งแต่ซอสมะเขือเทศแบบดั้งเดิมไปจนถึงซอส Alfredo
- Pace: แบรนด์ซัลซ่าชั้นนำที่มีซอสเม็กซิกันและดิปส์ที่มีรสชาติเข้มข้น

ส่วนอีก 3 บริษัทผลิตซอสที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย

1.บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) (XO) บริษัทนี้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารและซอสสำเร็จรูป ส่งออกไปยังหลายประเทศทั่วโลก ผลิตภัณฑ์ของ XO รวมถึงซอสต่างๆ เช่น ซอสพริก น้ำจิ้มไก่ ซอสมะเขือเทศ และผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสอื่นๆ ที่เป็นที่นิยมในตลาดต่างประเทศ โดยปัจจุบัน XO มีมูลค่าทางการตลาด อยู่ที่ 10.2 พันล้านบาท
2.บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (OISHI)
โออิชิเป็นผู้นำด้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทย รวมถึงผลิตภัณฑ์ซอส เช่น ซอสเทอริยากิ และ ซอสถั่วเหลือง ที่ใช้ในร้านอาหารญี่ปุ่นและครัวเรือน โดยปัจจุบัน OISHI มีมูลค่าทางการตลาดราวๆ 20.08 พันล้านบาท โดยรวมในส่วนของการขายเครื่องดื่มด้วยค่ะ
3.บริษัท ไทยเทพรส จำกัด (มหาชน) (SAUCE)
ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสอาหาร ภายใต้เครื่องหมายการค้า ภูเขาทอง ประกอบด้วยซอสปรุงรส ซอสพริก น้ำส้มสายชูกลั่น ซอสมะเขือเทศ ซอสพริกผสมมะเขือเทศ ซอสหอยนางรม ซีอิ๊วขาว ซอสผง ซีอิ๊วผง ซอสพริก ตราศรีราชาพานิช และซีอิ๊วญี่ปุ่น ตรา คินซัน นอกจากนี้ยังผลิตตามเครื่องหมายการค้าของลูกค้าด้วย โดยมูลค่ทางการตลาดตอนนี้อยู่ที่ราวๆ 14.31 พันล้านบาท

เปิดประวัติ ‘แชร์ลูกโซ่’ มีมาแล้ว กว่าร้อยปี เริ่มต้นที่ ‘อเมริกา’ ขายฝัน!! ‘รวยเร็ว-รวยง่าย’ แต่สุดท้าย ไม่เหลืออะไรเลย

(14 ต.ค. 67) ในช่วงนี้มีข่าวการใช้การตลาดหลายรูปแบบในการหลอกเงินประชาชน ทำให้มีหลายคนนึกโยงเข้ากับเรื่องราวของแชร์ลูกโซ่ ซึ่งแชร์ลูกโซ่เป็นรูปแบบหนึ่งของการฉ้อโกงทางการเงินที่มีลักษณะการชักชวนผู้ลงทุนรายใหม่เพื่อให้เข้ามาลงทุนในธุรกิจหรือแผนการลงทุนที่สัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูง โดยเงินที่ได้จากผู้ลงทุนรายใหม่จะถูกนำมาใช้เป็นเงินปันผลให้กับผู้ลงทุนรายก่อนหน้า ซึ่งมักจะถูกทำให้เชื่อว่าเป็นกำไรจากการดำเนินธุรกิจจริง ทั้งที่ในความเป็นจริงนั้นกลับไม่มีธุรกิจหรือแผนการลงทุนจริงเกิดขึ้น
โดยลักษณะการทำงานของแชร์ลูกโซ่จะเริ่มต้นโดย

1.ผู้ก่อตั้งแชร์ลูกโซ่มักจะเริ่มต้นโดยเสนอแผนการลงทุนหรือธุรกิจที่มีผลตอบแทนสูงกว่าปกติ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ใด ๆ เช่น หุ้น ทองคำ หรือสินค้า
2.การชักชวนสมาชิกใหม่ โดยผู้ที่ลงทุนก่อนหน้านี้จะได้รับเงินปันผลหรือผลตอบแทนจากเงินที่มาจากผู้เข้าร่วมใหม่ ซึ่งทำให้ผู้ลงทุนเชื่อว่าเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนจริง
3.การขยายไลน์ธุรกิจ ผู้ลงทุนจะถูกกระตุ้นให้ชักชวนคนอื่นมาร่วมลงทุนเพื่อเพิ่มผลกำไร ซึ่งเป็นรูปแบบการขยายตัวอย่างรวดเร็ว
และ 
4.เมื่อไม่มีผู้ลงทุนรายใหม่เข้าร่วมแล้ว ระบบแชร์ลูกโซ่จะล่มสลาย และผู้ที่ลงทุนในช่วงท้ายจะไม่สามารถถอนเงินหรือได้รับผลตอบแทนใด ๆ เนื่องจากไม่มีเงินจากผู้ลงทุนรายใหม่เข้ามา

แชร์ลูกโซ่เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงปี 1920 โดยชาร์ลส์ ปอนซี (Charles Ponzi) เป็นผู้ริเริ่ม ซึ่งชาร์ลส์ใช้วิธีการหลอกลวงผู้ลงทุน โดยอ้างว่าจะนำเงินไปลงทุนในธุรกิจแลกเปลี่ยนไปรษณีย์ระหว่างประเทศที่สามารถทำกำไรได้สูง ผลตอบแทนที่จ่ายให้กับผู้ลงทุนก่อนหน้านั้นมาจากเงินของผู้ลงทุนรายใหม่ ไม่ใช่จากผลกำไรที่เกิดขึ้นจริง การหลอกลวงของชาร์ลส์ ดำเนินไปได้เพราะผู้ลงทุนเริ่มแรกได้รับผลตอบแทนสูงจนสามารถชักชวนคนอื่นให้เข้ามาลงทุนต่อได้ แต่ในที่สุดระบบก็ล่มสลายเมื่อไม่มีผู้ลงทุนใหม่เข้ามาแล้ว
และถ้าเราจำกันได้ ในไทยเองมีเคสของแชร์ลูกโซ่ที่ดังและสร้างมูลค่าความเสียหายให้กับคนไทยจำนวนมาก และนี่คือ 3 อันดับแชร์ลูกโซ่ครั้งใหญ่ในประเทศไทยที่สร้างความเสียหายสูงสุด

1.ยูฟัน (UFUN) (2558)
-มูลค่าความเสียหาย: ประมาณ 38,000 ล้านบาท
-รายละเอียด: ยูฟันเป็นแชร์ลูกโซ่ข้ามชาติที่หลอกลวงประชาชนโดยอ้างว่าเป็นแพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ที่ใช้เหรียญ ‘ยูโทเคน’ (UToken) ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลปลอม ผู้เสียหายจำนวนมากสูญเสียเงินลงทุนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ทำให้เป็นหนึ่งในแชร์ลูกโซ่ที่มีมูลค่าความเสียหายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย
2. แชร์แม่ชม้อย (2527)
-มูลค่าความเสียหาย: ประมาณ 4,043 ล้านบาท
-รายละเอียด: เป็นคดีแชร์ลูกโซ่ที่เริ่มต้นจากการชักชวนให้ประชาชนเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจที่อ้างว่าจะให้ผลตอบแทนสูง ผู้เสียหายหลายหมื่นรายสูญเสียเงินจำนวนมหาศาลในคดีนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในคดีแรก ๆ ที่ได้รับความสนใจอย่างมากในสังคมไทย
3. Forex-3D (2562)
-มูลค่าความเสียหาย: ประมาณ 2,489 ล้านบาท
-รายละเอียด: Forex-3D เป็นคดีแชร์ลูกโซ่ที่ใช้ชื่อเสียงของคนดังในการชักชวนให้ผู้คนลงทุนในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โดยสัญญาว่าจะได้รับผลตอบแทนสูงถึง 60-80% สุดท้ายพบว่าเป็นการหลอกลวงที่ไม่มีการเทรดจริง

ไม่ว่าการลงทุนอะไรก็ตาม ผลตอบแทนที่มากจนเกินไปมักไม่มีอยู่จริง ดังนั้นก่อนจะลงทุนอะไรก็ตามเราเองก็ควรศึกษาการลงทุนนั้นอย่างละเอียด และตรวจสอบความน่าเชื่อถือของบริษัทที่เราจะเข้าไปลงทุน

เปิดประวัติ ว่าที่ประธานาธิบดี ‘Donald Trump’ ชีวิตส่วนตัว!! ในมุมที่ไม่มีใครเคยรู้

(9 พ.ย. 67) 10 ข้อเท็จจริงที่ใครอาจจะไม่รู้เกี่ยวกับว่าที่ประธานาธิบดี Donald Trump

1. ชื่อเล่นวัยเด็ก : ในวัยเด็ก โดนัลด์ ทรัมป์ มีชื่อเล่นว่า ‘ดอนนี่; แม้ในปัจจุบันเขาจะไม่ค่อยถูกใครเรียกด้วยชื่อนี้แล้วก็ตาม 

2. ดาวบนฮอลลีวูดวอล์คออฟเฟม : บทบาทของเขาในรายการ The Apprentice และ Celebrity Apprentice ทำให้เขาเป็นที่รู้จักและทำให้ภาพลักษณ์ของเขาที่ดูเป็นนักธุรกิจที่เก่งกาจ จนทำให้ทรัมป์ได้รับดาวบนฮอลลีวูดวอล์คออฟเฟมในปี 2007 จากบทบาทในรายการ แต่ดาวของเขามักถูกทำลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี นอกจากนั้นแล้วทรัมป์เคยปรากฏตัวในภาพยนตร์และรายการทีวีหลายรายการในฐานะตัวเขาเอง การปรากฏตัวที่มีชื่อเสียงของเขารวมถึง Home Alone 2: Lost in New York, The Fresh Prince of Bel-Air, และ Sex and the City อีกด้วย

3. ทรัมป์และเกียรติยศในวงการมวยปล้ำ : ทรัมป์เคยปรากฏตัวใน WWE (เวิลด์เรสลิงเอนเตอร์เทนเมนต์) และขึ้นสังเวียนใน WrestleMania 23 ในปี 2007 เขา ‘ต่อสู้’ กับวินซ์ แม็กมาฮอน ซีอีโอของ WWE ในศึก ‘Battle of the Billionaires’ ซึ่งตัวแทนของทรัมป์เป็นผู้ชนะ ทำให้เขาโกนหัวแม็กมาฮอน

4. ความชอบในอาหารฟาสต์ฟู้ด : แม้จะมีความมั่งคั่ง แต่ทรัมป์กลับชอบรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ด เช่น แมคโดนัลด์ เขาเคยบอกว่าเขาไว้ใจในอาหารเหล่านี้ เพราะมาตรฐานความสะอาดและความสม่ำเสมอของแบรนด์

5. ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ : ทรัมป์ไม่เคยดื่มแอลกอฮอล์เลยในชีวิต ซึ่งเป็นการให้เกียรติแก่เฟร็ด ทรัมป์ จูเนียร์ พี่ชายที่ต่อสู้กับการติดแอลกอฮอล์ก่อนที่จะเสียชีวิต

6. จบการศึกษาจากวอร์ตัน : ทรัมป์เรียนที่ Wharton School of Finance ที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย และจบการศึกษาในสาขาเศรษฐศาสตร์ โดยเขาย้ายไปที่นั่นหลังจากเรียนที่มหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮมเป็นเวลา 2 ปี เพราะ Wharton เป็นที่รู้จักในด้านชื่อเสียงที่แข็งแกร่งในหลักสูตรธุรกิจและการเงิน

7. ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมายาวนานที่สุด : ทรัมป์เคยคิดจะลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีตั้งแต่ทศวรรษ 1980 หลังจากที่ใช้เวลาหลายสิบปีในการคิดสุดท้ายเขาลงสมัครอย่างเป็นทางการในปี 2016 และได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45 และทรัมป์เคยเปลี่ยนพรรคการเมืองหลายครั้ง เขาเคยเป็นสมาชิกพรรคเดโมแครตในช่วงต้นทศวรรษ 2000 เข้าร่วมพรรครีฟอร์มในปี 2000 แต่ถอนตัวออกไป และสุดท้ายเปลี่ยนมาอยู่กับพรรครีพับลิกันจนได้ลงสมัครและชนะการเลือกตั้งในปี 2016

8. ประธานาธิบดีคนแรกที่ไม่มีประสบการณ์ด้านการทหารหรือการเมือง : ทรัมป์ทำลายสถิติด้วยการเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในด้านทหารหรือการเมืองมาก่อน โดยพื้นฐานของเขาคือการเป็นนักธุรกิจและสื่อบันเทิง

9. ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งสองครั้ง : ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกที่ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งสองครั้ง สภาผู้แทนราษฎรถอดถอนเขาครั้งแรกในปี 2019 และอีกครั้งในปี 2021 ทั้งสองครั้ง แต่วุฒิสภายกฟ้องเขา ทำให้เขาสามารถดำรงตำแหน่งได้จนครบวาระ

10. ความฝันในการเป็นเจ้าของทีมฟุตบอล : ทรัมป์เคยพยายามเป็นเจ้าของทีม NFL โดยเขาเคยลงทุนในลีก USFL (ยูไนเต็ดสเตทฟุตบอลลีก) และหวังจะรวมลีกกับ NFL แต่ลีกดังกล่าวล้มเหลวก่อนที่จะเกิดขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top