เมื่อ iPhone ไม่ใช่แค่มือถือล้ำยุค ทำความรู้จักกับ iPhone Index ดัชนีที่จะอธิบายว่าทำไมราคา iPhone ในเเต่ละประเทศถึงไม่เท่ากัน
(7 ต.ค. 67) เคยสงสัยกันไหมคะว่าทำไมราคาของ iPhone รุ่นล่าสุดในแต่ละประเทศนั้นไม่เท่ากันเลย ทั้งๆ ที่มันเป็นสินค้าที่ผลิตและจัดจำหน่ายโดยบริษัทเดียวกัน และทุกเครื่องก็มีฟังก์ชันเหมือนกันทุกประการ เช่น ที่ สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ iPhone ราคาของ iPhone 16 อยู่ที่ประมาณ $1,000 ดอลลาร์ ที่สวิสเซอร์แลนด์กลับอยู่ที่ราวๆ เกือบ $1,400 ดอลลาร์เพียงเพราะสกุลเงินฟรังก์สวิส มีมูลค่ามากกว่าดอลลาร์สหรัฐ ส่วนที่อินเดียกลับวางขายอยู่ที่ประมาณ $1,300 ดอลลาร์
นี่คือจุดเริ่มต้นของแนวคิดที่พัฒนาขึ้นโดยนักวิเคราะห์การเงินและเทคโนโลยีหลายคน ซึ่งได้นำเสนอในสื่อต่างๆ เช่น The Economist เพื่อเปรียบเทียบความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ (Purchasing Power Parity - PPP) ในประเทศต่างๆ โดยใช้ราคาของ iPhone เป็นตัวชี้วัด และ iPhone เป็นผลิตภัณฑ์สำคัญจาก Apple ซึ่งถูกขายในกว่า 100 ประเทศ ความสม่ำเสมอของมาตรฐานในแต่ละตลาดทำให้ iPhone เป็นเครื่องมือที่ดีในการเปรียบเทียบความแตกต่างของราคาทั่วโลก
iPhone Index มักจะถูกมองว่าเป็นภาพสะท้อนของสภาวะเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะเรื่องของ นโยบายภาษี อัตราแลกเปลี่ยน และความแข็งแรงของสกุลเงินท้องถิ่น ประเทศที่มีราคา iPhone สูงมักจะบ่งบอกถึงค่าเงินที่อ่อนหรือภาษีที่สูง ในขณะที่ประเทศที่มีราคาต่ำกว่าอาจสะท้อนถึงกำลังซื้อที่สูงขึ้น ราคาของ iPhone ในแต่ละประเทศจึงไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ของมูลค่าสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่มันยังสะท้อนถึงปัจจัยต่างๆ เช่น
- ภาษีนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): ในบางประเทศ เช่น อินเดียและบราซิล ภาษีนำเข้าและ VAT ทำให้ราคาของ iPhone สูงกว่าที่อื่นมาก ในขณะที่ประเทศอย่างสหรัฐฯ มีภาษีต่ำกว่า ทำให้ราคาถูกกว่า ทำให้ประเทศอย่างบราซิลเป็นประเทศที่มีราคาของ iPhone สูงที่สุดในโลก เนื่องจากภาษีนำเข้าที่สูงมาก ซึ่งอาจสูงถึง 60% ของมูลค่าเครื่อง รวมถึง VAT ด้วย ส่งผลให้ iPhone ในบราซิลมีราคาแพงกว่าสหรัฐฯ ถึง 2 เท่า
- ค่าครองชีพและกำลังซื้อของประชาชน: ในประเทศที่ค่าครองชีพสูง เช่น สวิตเซอร์แลนด์และญี่ปุ่น ราคาสินค้าก็จะสูงขึ้นตาม เพราะคนในประเทศเหล่านี้มีกำลังซื้อที่สูงกว่า รวมถึง Apple เองก็มักจะปรับราคาของ iPhone ในตลาดต่างๆ ตามภาวะเศรษฐกิจท้องถิ่น
- การปรับอัตราแลกเปลี่ยน: ค่าเงินของแต่ละประเทศมีผลต่อราคาของสินค้าโดยตรง เช่น หากค่าเงินของประเทศหนึ่งมีมูลค่าต่ำกว่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ราคาของ iPhone เมื่อแปลงเป็นสกุลเงินท้องถิ่นจะสูงขึ้น เช่น หากเงินปอนด์ของอังกฤษหรือเงินเยนของญี่ปุ่นอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ iPhone จะมีราคาสูงขึ้นในประเทศเหล่านั้น ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นสินค้าระดับโลกที่มีความอ่อนไหวต่อการเคลื่อนไหวของสกุลเงิน
iPhone Index ถูกนำมาใช้งานก็จริงแต่ก็เป็นไปในแง่มุมขำขันเพื่อใช้เป็นวิธีการวิเคราะห์เศรษฐกิจแบบซับซ้อนให้สามารถเข้าใจได้ง่ายๆ ผ่านสินค้าที่คนรู้จักและใช้งานทุกวัน แม้ว่าตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจอย่าง GDP และ CPI จะให้ข้อมูลเชิงกว้างเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ แต่ iPhone Index ให้ข้อมูลในระดับผู้บริโภคที่แสดงให้เห็นถึงการค้าโลก ภาษี และความผันผวนของสกุลเงิน ความเรียบง่ายของมันทำให้เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและเข้าใจง่ายในการมองเห็นความแตกต่างของกำลังซื้อทั่วโลก
แม้ว่ามันจะไม่ใช่การวัดทางวิทยาศาสตร์ที่แม่นยำและเเน่นอนที่สุด เพราะในหลายประเทศ iPhone ถือเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยมันจึงไม่ได้สะท้อนรูปแบบการบริโภคในชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่
ดังนั้นมันอาจไม่สามารถใช้เป็นเครื่องมือเปรียบเทียบค่าครองชีพได้อย่างตรงไปตรงมา เเละราคาของ iPhone อาจเปลี่ยนแปลงตามโปรโมชั่น การอุดหนุนจากผู้ให้บริการโทรศัพท์ และการแข่งขันในท้องถิ่น ซึ่งอาจทำให้ดัชนีนี้ถูกบิดเบือนได้
อีกทั้งในบางประเทศ Apple อาจถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของการบ่งบอกสถานะ ทำให้ราคาสูงขึ้นจากกลยุทธ์การตั้งราคาพรีเมียมในตลาดที่ผู้บริโภคพร้อมจะจ่ายมากขึ้นเพื่อซื้อแบรนด์ที่มีมูลค่า แต่มันก็เป็นวิธีที่สนุกที่นักเศรษฐศาสตร์ใช้เพื่ออธิบายเศรษฐกิจโลกค่ะ
