Tuesday, 22 April 2025
รัดเกล้าสุวรรณคีรี

‘ลูกสาวไตรรงค์’ ชำแหละ ‘ก้าวไกล’ แบบหมดเปลือก ปมตั๋วปารีส - แก้ ม.112 - รื้อ รธน.หมวดพระมหากษัตริย์

(28 ก.ค. 66) ‘เนเน่ รัดเกล้า สุวรรณคีรี’ ผู้สมัคร สส.กทม. เขต 33 บางพลัด-บางกอกน้อย พรรครวมไทยสร้างชาติ ลูกสาวไตรรงค์ สุวรรณคีรี โพสต์เฟซบุ๊ก ตั้งหัวข้อ ‘ก้าวไกล… ฉันสงสัยในตัวคุณ I question YOU’ โดยมีรายละเอียดดังนี้

เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ซึ่งคือวันแรกของการโหวตเลือกนายกหลังจากการเลือกตั้งเสร็จสิ้นไป และคุณพิธาได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกคนที่ 30 ของประเทศไทย คนทั้งประเทศจับตาดูการอภิปรายจาก สส. หลากหลายพรรคในสภา และเห็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจคือแทบจะทุกพรรคในสภามีความเห็นตรงกันเกี่ยวกับนโยบายแก้ ม.112 ของพรรคก้าวไกล มีการตั้งคำถามในทิศทางเดียวกันว่าพรรคก้าวไกลสามารถถอนจุดยืนที่จะดำเนินการตามนโยบายนี้ได้ไหม ขณะที่คุณชาดา ไทยเศรษฐ์ ออกปากว่าหากถอนนโยบายแก้ ม.112 จะยกคะแนนของทั้งพรรคภูมิใจไทยให้… แต่สุดท้ายพรรคก้าวไกลก็ยืนกรานในนโยบายหนึ่งข้อนี้ และมติการโหวตในสภาฯ ก็คือ คุณพิธาไม่ได้เป็นนายก

ในนาทีนั้น เนเน่เชื่อว่าหลายคนคิดเหมือนกันว่า “มันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ? อะไรมันค้ำคอพรรคก้าวไกลอยู่หรือ ถึงจะถอยออกจากเรื่องนี้ไม่ได้เลย”

จากคำถามในวันนั้น หากเราย้อนมองกลับไป จะสังเกตได้ว่ามีสิ่งที่น่ากังวล (ปนน่าสงสัย) อยู่หลายส่วนค่ะ มาลองตั้งคำถามไปด้วยกันนะคะ

ใครคือคนจุดประกายไฟ
สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน (ที่คุณต๋อม ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล เคยเป็นถึงอดีตบรรณาธิการ) ผลิตหนังสือ เช่น ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ และ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรีย์ เป็นหนังสือที่มีการเผยแพร่ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสถาบันกษัตย์ที่สังคม และนักวิชาการหลายท่านตั้งข้อสงสัยถึงความถูกต้องของข้อมูล ถึงขนาดที่ผู้ที่ถูกอ้างอิงข้อมูล (เช่น นสพ. Bangkok Post และลูกหลานของคนในประวัติศาสตร์ที่ถูกอ้างอิง) ต้องออกมาชี้แจง ฟ้องร้อง ว่าข้อมูลที่หนังสือกล่าวถึงไม่มีจริง (ดูแหล่งข้อมูลจากลิงก์ด้านล่างได้ค่ะ)… แต่อย่างไรก็ตาม หนังสือเหล่านี้กลับเป็นหนังสือที่โปรดปรานประหนึ่งเหมือนกับพระคัมภีร์ให้กับเยาวชนนักต่อสู้ (เช่น รุ้ง เพนกวิน ที่ให้สัมภาษณ์ว่าเป็นหนังสือเล่มโปรด) ที่เป็นฐานเสียงกลุ่มสำคัญของพรรคก้าวไกล

ใครคือคนเติมฟืนใส่ไฟ
คณะก้าวหน้าเดินสายทำกิจกรรมในรั้วมหาลัย เผยแพร่ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสถาบันกษัตย์ที่ ถูกตั้งข้อสงสัยถึงความถูกต้องของข้อมูล ชักชวนเยาวชนต่อสู้เพื่อสิทธิ เสรีภาพ (แต่พูดถึงภราดรภาพบ้างรึเปล่าน้าาา) การแยกตัวของรัฐปาตานี และอีกหลากหลายหัวข้อที่สร้างความโกรธ เกลียด ในสังคมไทย และที่สำคัญคือทำให้คนส่วนหนึ่งมีความรู้สีกไม่ดีต่อสถาบัน… นี่พูดแค่เรื่องเติมฟืนใส่ไฟให้เยาวชนนะคะ… ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องเติมเงินเข้ากระเป๋านะ… ตอนนี้เรื่อง #ตั๋วปารีส ที่มีคนบางกลุ่มตั้งข้อสังเกตและชี้ให้เห็นว่าคุณมี “เงินทุนจากต่างชาติ” มาเป็นน้ำหล่อเลี้ยงอยู่ หากเป็นจริง แสดงว่าประเทศไทยเรามีมหาอำนาจต่างชาติเข้ามาแทรกแซงจริงๆ สินะ… เอ… คนในที่เปิดประตูให้คนนอกเข้ามาเผาบ้านตัวเองนี่ เขาเรียกว่าอะไรน้าาาาา … ยังไงก็รอดูหลักฐานกันต่อไปนะคะ ว่าจริงแท้แน่เท็จขนาดไหน ความจริงมีหนึ่งเดียว รอดูกันไปๆ

ใครเตรียมการทุกอย่างไว้พร้อม รอโอกาสดำเนินการ
ขอชวนไปลองอ่าน ‘เปิดร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม หมวด 2 พระมหากษัตริย์’ บนเว็บของคณะก้าวหน้าที่นี่ https://progressivemovement.in.th/article/special/5069/ เพื่อเห็นกับตาตนเองว่ามีการเตรียมร่างรัฐธรรมนูญเปลี่ยนโครงสร้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ไว้แล้ว #ใครคือคนสร้างบรรทัดฐานทำชั่วได้ดี คณะ สส. ของพรรคก้าวไกลหลายคนมีคดีติดตัวและมีประวัติพฤติกรรมถูกดำเนินคดีข้อหาหมิ่นสถาบันกษัตย์อย่างโจ่งแจ้ง เปิดเผย ชัดเจน แต่พรรคก้าวไกลกลับส่งเสริมให้คนที่ถูกดำเนินคดีกลุ่มนี้ ได้ดิบ ได้ดี ได้เป็น สส. อันทรงเกียรติ มาทำงานขับเคลื่อนฝั่งนิติบัญญัตในสภาฯ

ใครกลืนน้ำลายเก่ง พลิกลิ้นไปเรื่อย
วันนึงคุณก็ขึ้นเวที ติดสติกเกอร์ในฝั่งยกเลิก ม.112 และมาอีกวันคุณบอกว่าจะแก้เฉยๆ และล่าสุดบอกปรับเพื่อยกระดับให้สถาบันกษัตย์มีมาตรฐานที่ดีขึ้นเทียบเท่ากับประเทศอื่นๆ แต่เมื่อดูในรายละเอียดดีๆ การกำหนดโทษลดลงเยอะ ถ้าหมิ่นประมาทกษัตริย์โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ถ้าหมิ่นประมาทราชินี โทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน (ต่ำกว่าหมิ่นประมาทเดิมที่คนธรรมดาที่จำคุกไม่เกิน 1 ปีอีก) สิ่งที่สังคมสงสัยว่าคุณจะทำให้เกิดขึ้นคือการเลิกการคุ้มครองพระบารมี และคงเหลือไว้แต่การคุ้มครองชื่อเสียงของกษัตริย์ด้วยกฎหมายหมิ่นประมาทเช่นคนทั่วไป โดยมีความพิเศษเล็กๆ น้อยๆ เช่น ให้ในหลวงไม่ต้องร้องทุกข์เอง ให้สำนักพระราชวังร้องทุกข์แทนได้ เป็นต้น …ถ้าจะขนาดนี้ มันก็ไม่ต่างกับการยกเลิกหรอกค่ะ

ใครเร่งจนสร้างปัญหา
ถ้าคุณจะลดความรุนแรงของบทลงโทษ คุณได้ให้เวลาและความสำคัญกับการปรับพฤติกรรมและความเข้าใจคนในประเทศด้วยแล้วหรือยัง ของญี่ปุ่น โทษการหมิ่นประมาทกษัตย์เทียบเท่ากับการหมิ่นประมาทคนทั่วไป แต่ที่สวีเดนการดูหมิ่นกษัตริย์และสมาชิกราชวงศ์ยังเป็นความผิดทางอาญา โดยมีโทษถึง 4 ปี หรือ 6 ปี… ฉะนั้น ขอถามว่ามาตรฐานของโลกคืออะไร เนเน่ว่าคำตอบคือ “หลากหลายและแล้วแต่ความเหมาะสมของแต่ละประเทศ” ไม่ใช่ว่าเราเห็นของเพื่อนดีแล้วต้องซื้อตามเพื่อเสมอใช่ไหมละคะ เราต้องดูความเหมาะสมกับเราด้วย ในเมื่อปัจจุบันนี้สังคมไทยยังแตกแยกกันเพียงแค่หยิบประเด็นนี้มาพูดถึง ก็หมายความว่าเราอาจจะยังไม่พร้อม หรือเราต้องการเวลามากกว่านี้หรือเปล่า …ทำไมคุณต้องเร่งคะ?

ฉะนั้น ก้าวไกลคะ อุดมการณ์อยู่ที่การกระทำไม่ใช่คำพูด ที่คุณพิธาให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างชาติ และล่าสุดกับ CNN ว่าโดนเกมการเมืองเอา ม.112 มากลั่นแกล้ง กีดกันตนเองที่ชนะมาด้วยเสียงของประชาชน จนไม่ได้รับตำแหน่งนายก… ก่อนจะตีหน้าเศร้า เล่านิทานว่าตนเป็นผู้ถูกกลั่นแกล้ง และโดนเข้าใจเจตนารมย์ผิด ที่อยากแก้ ม.112 คืออยากยกระดับสถาบันกษัตย์ไทยให้เท่ามาตรฐานโลกคุณมองย้อนหลังสักนิดนะคะ

ในวันที่ 13 กรกฎาคม ที่ผ่านมาคุณมีโอกาสเข้ามาทำงานตามที่ประชาชน 14 ล้านเสียงได้เลือกคุณมา (ซึ่งไม่ใช่ทั้งหมดแน่นอนที่อย่างแก้ ม.112 หลายคนหวังพึ่งนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาท และเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุ 3,000 บาท และอีกหลายๆ นโยบายดีๆ) แต่คุณก็เลือกที่จะทิ้งโอกาสนั้นไป ทิ้ง 299 นโยบาย เพียงเพื่อนโยบายเพียง 1 เดียวของคุณ

การกระทำย้อนหลังไป 20 ปีของพวกคุณ ของกลุ่มที่สังคมสงสัยถึงความเชื่อมโยงกับพวกคุณ สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ของคณะก้าวหน้า หรือแม้แต่ของคนในพรรคก้าวไกล และรายละเอียดในนโยบายของคุณเอง…. ทุกสิ่งมัน #ย้อนแย้ง โดยสิ้นเชิง การกระทำของคุณทำให้เรา ‘สงสัย’ เชื่อไม่ลงจริงๆ ว่าคุณมีความบริสุทธ์ใจ อยากทำเพื่อ ‘ยกระดับมาตรฐานให้สถาบันกษัตย์’ จริงๆ  พวกเราจำต้องยืนกรานพูดว่า “ไม่ใช่แค่เรื่อง ม112 แต่ด้วยแนวทางและอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน เราไม่สามารถทำงานร่วมกับพรรคก้าวไกลได้” 

หรือให้เราพูดตรงๆ ก็คงต้องพูดเลยว่า…

“ที่คุณบอกว่าตั้งใจเข้ามายกระดับสถาบันกษัตย์ไทยให้เท่ามาตรฐานโลกนั้น #อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อค่ะ”

'รัดเกล้า' แชร์มุมมองคนจีนรุ่นใหม่ ผ่านเลนส์ 'ศาสตราจารย์ชื่อดังชาวจีน' ใช้ชีวิตอิสระบนกองมรดก จนไม่สนใจ 'งาน-รายได้' ประจำอีกต่อไป

(16 พ.ค.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'เนเน่ รัดเกล้า สุวรรณคีรี' ความว่า...

เนเน่ดิ่งกลับจากเพชรบุรีมาร่วมรับประทานอาหารค่ำและแบ่งปันความรู้กับท่าน Prof. Zhang Weiwei, China Institute, Fudan University ผู้เป็นทั้ง lecturer ชื่อดังของจีน และผู้ให้คำปรึกษา Politburo ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนค่ะ

วันนี้ได้เรียนรู้หลายเรื่องหลายมิติ เราคุยกัน ครอบคลุมถึงเรื่อง เทคโนโลยี AI เรื่องภูมิรัฐศาสตร์ เรื่องเศรษฐกิจ ปัญหาสังคม ฯลฯ

หนึ่งในคำถามในวงสนทนาที่น่าสนใจคือการถามถึง "ปัญหาการจ้างงานขาดแคลนที่เกิดขึ้นกับคนรุ่นใหม่ทั่วโลก สถานการณ์ในประเทศจีนเป็นเช่นไร"

คำตอบของอาจารย์น่าสนใจมาก...อาจารย์บอกว่า ปัญหาของจีนจะแตกต่างจากชาติอื่น เพราะเจนเนอเรชันใหม่ของจีนจำนวนมาก เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะแล้ว...อันนี้ไม่ใช่ว่าอวดรวยนะ แต่เพราะด้วยวัฒนธรรมของจีน (และก่อนหน้านี้ที่ประเทศจีนมี One Child Policy) ทำให้คนรุ่นใหม่ (ที่โดยส่วนใหญ่เป็นลูกคนเดียว) อยู่ในสถานะมีมรดกตกทอดมาจากพ่อแม่ค่อนข้างเยอะ ยิ่งถ้าแต่งงานกันแล้วและเป็นลูกคนเดียวทั้งคู่ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะจะมีมรดกของทั้งฝั่งชายและฝั่งหญิงมารวมกัน

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนจีนรุ่นใหม่ มีทางเลือกเยอะ มีอิสระทางความคิด มีอิสระที่จะตัดสินใจ หลาย ๆ คนไม่ได้รู้สึกลำบากอะไร กับการไม่มีงานประจำทำ...ปรากฏการณ์นี้ ทำให้จีนมีสังคมรุ่นใหม่ที่เป็นศูนย์รวมของคนที่ไม่มีรายได้ประจำ ซึ่งหากมองในมิติของเสรีภาพทางความคิดแล้วอาจจะถือว่าเป็นเรื่องดี (และแอบน่าอิจฉา) แต่ในที่ทางเดียวกัน สิ่งนี้มีผลกระทบระยะยาวต่อรายได้ของประเทศ เพราะตลาดแรงงานหดลดลงเรื่อย ๆ

‘เศรษฐา’ หารือ ‘มาครง’ เดินหน้าในระดับโลก แลก ‘Whatapp’ คุยตรง เรียกร้อง ‘อิสราเอล’ ให้หยุดยิง หนุนเจรจาใน ‘เมียนมา’ ฟรี ‘วีซ่าเชงเกน’

(18 พ.ค. 67) เพจเฟซบุ๊กของ นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี (เนเน่) รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ การที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีของไทย ได้เข้าพบกับนายเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส เพื่อร่วมหารือเกี่ยวกับเรื่องที่สำคัญในระดับโลก และมีผลกระทบต่อประเทศไทย โดยได้ระบุว่า ...

ไทยพบ ปธน.มาครง ครั้งนี้ การเมืองระหว่างประเทศของไทย ก้าวไปอีกหลายก้าว... เรียกร้องอิสราเอลหยุดยิง เมียนมาสู่ความเป็นหนึ่งเดียว ไทย-ฝรั่งเศส-กัมพูชา และ ฟรีวีซ่าเชงเกน!

ประเด็น #ฮามาส - #อิสราเอล ฝรั่งเศสมีบทบาทในเรื่องนี้อย่างแข็งขัน ไทยยังคงมีตัวประกันอยู่ ซึ่งยังไม่ทราบชะตากรรม ซึ่งทางประธานาธิบดีมาครงเห็นใจและพร้อมให้การสนับสนุนให้มีการหยุดยิงชั่วคราว ซึ่งทางประธานาธิบดีมาครงมีไอเดียที่จะใช้โอกาสจากการที่ฝรั่งเศสจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2024 ณ กรุงปารีส ตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม - 11 สิงหาคม 2567 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาสำคัญ Olympic Ceasefire เชื่อว่ากีฬาเป็นสิ่งที่ทำให้ลืมความขัดแย้ง รวมถึงขอให้ประเทศไทยเข้าร่วมสนับสนุน เพื่อแสดงเจตจำนงเรียกร้องให้มีการหยุดยิงเพื่อโอลิมปิกในช่วงเวลาดังกล่าว 

เรื่อง #เมียนมา นายกฯ ได้มอบหมายให้นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไปร่วมพูดคุยว่าไทยสนับสนุนให้มีการเจรจา เพื่อให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในเมียนมา และเกิดความสงบ ซึ่งทางประธานาธิบดีมาครงพร้อมให้การสนับสนุนและช่วยเหลือ

#ฟรีวีซ่าเชงเกน เดินหน้าผลักดันการยกเว้นการตรวจลงตราเข้าเขตเชงเกนสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทย ซึ่งอาจจะเดินหน้าดำเนินการได้ช่วงเดือนสิงหาคม หลังการเลือกตั้งสภายุโรปในเดือนมิถุนายน 2567 และสำหรับเรื่องการท่องเที่ยว ซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยวระหว่างกันยังคงไม่เท่ากับช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันผลักดันการเพิ่มเที่ยวบินระหว่างกัน

#ไทยฝรั่งเศสกัมพูชา สื่อสารกันใกล้ชิดมากขึ้น สองผู้นำ ไทย-ฝรั่งเศส แลก Whatapp กัน และจะมีการสร้างกลุ่ม 3 คน โดยดึง นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เข้ามาด้วย เพื่อที่จะได้สามารถพูดคุยหารือกันได้สะดวกสบายมากขึ้นอีกด้วย

'รัดเกล้า' แนะ!! 'ปิยบุตร' ลดความหมกมุ่น-จับผิด 'ลุงตู่' พูดคุย 'นายกฯ-รทสช.' ชี้!! ผู้ใหญ่เขาคุยกันเรื่องประเทศชาติ ไม่ว่างฝักใฝ่ในพรรคการเมือง

(6 ส.ค.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

#หมกมุ่น #ฝักใฝ่ในพรรคการเมือง

จากกรณีที่ คุณ #ปิยบุตรแสงกนกกุล ออกมาแสดงความเห็น กรณีการไปร่วมงานศพคุณแม่ของ ท่านนายกเศรษฐา ทวีสิน โดยท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ตอนนี้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี ซึ่งในระหว่างการเข้าร่วมพิธีนั้น ผู้นำทั้งสองท่านมีพูดคุยทักทายกัน และท่านประยุทธ์เองก็ได้ทักทายหลายคนจากพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เพราะแต่เดิมเคยสังกัดอยู่ในพรรคดังกล่าวจึงมีความคุ้นเคยกันดี รวมถึงมีการบอกให้คนใน รทสช. ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลว่าให้ช่วยนายกฯ อย่างตั้งใจ เนเน่ขอตอบกลับดังนี้...

1. ตาม #มารยาท ในสังคม การเจอคนที่รู้จักกัน การทักทายกัน ถ้าไม่คุยอะไรกันเลยสิแปลก ซึ่งโดยปกติแล้ว สิ่งที่ผู้ใหญ่ของบ้าน ของเมืองจะคุยกัน ก็ต้องเป็นเรื่องสารทุกข์สุกดิบของประเทศ ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร...ถ้าจะมีอะไรที่แปลก ก็คงที่คุณปิยบุตรตีความว่าการทักทายเช่นนี้คือการ "ฝักใฝ่ในพรรคการเมือง" นั่นแหละค่ะที่ #แปลก

2. คล้าย ๆ ข้อแรก...ปฏิเสธไม่ได้ว่าท่านประยุทธ์เคยเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ซึ่งแม้ว่าตอนนี้ #ท่านไม่ใช่สมาชิกแล้ว ท่านไม่ได้ยุ่งเกี่ยวเลยตั้งแต่ท่านเป็นองคมนตรี การทักทายกันและบอกให้ รทสช. ช่วยท่านนายกทำงาน ก็ไม่ได้แปลกอะไร และก็เป็นกลางทางการเมืองด้วยค่ะ จริง ๆ แล้ว ระหว่างเดิน ท่านก็เจอคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็น รทสช. ท่านก็พูดเหมือนกัน นัยคือฝากฝังให้ทุกคนดูแลประเทศด้วยบทบาทหน้าที่ของตัวเอง สิ่งนี้ก็ไม่แปลกอะไรนะคะ...ถ้าจะมีอะไรที่แปลก ก็คงที่คุณปิยบุตรตีความว่าการทักทายเช่นนี้คือการ "ฝักใฝ่ในพรรคการเมือง" นั่นแหละค่ะที่ #แปลก

3. ท่านนายกเศรษฐาเพิ่งสูญเสียมารดาไป ซึ่งในระหว่างห้วงเวลาของการสูญเสียนี้ ท่านยังคงปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีให้กับคนไทยอย่างเข้มแข็ง การที่คนระดับองคมนตรีจะร่วมไว้อาลัย ร่วมให้กำลังใจ เป็นสิ่งที่เหมาะสมและเป็น #ไมตรีจิต ที่สวยงามที่สุด ไม่ได้แปลกอะไรเลย...ซึ่งจริงๆ ในระบอบประชาธิปไตยที่เราอยู่นี้ การมีภราดรภาพต่อกัน การเห็นความเป็นพี่น้องกันสำคัญเหนือความแตกต่างทางการเมืองเป็นสิ่งที่ควรจะมี ตัวเนเน่เองก็อยากเห็นคุณปิยบุตรแสดงถึงวุฒิภาวะและเป็นแบบอย่างของการเมืองสร้างสรรค์บ้างนะคะ... คุณใช้โอกาสนี้ในการตีความทางการเมือง มันเหมาะสมแล้วเหรอคะ?

ที่แปลกใจคือ คนที่มีคนจำนวนหนึ่งนับถือเป็น ‘อาจารย์’ อย่างคุณปิยบุตร กลับมี #ตรรกะวิบัติ แยกแยะไม่ออกว่าอะไรคือกาลเทศะ อะไรควรไม่ควรทำค่ะ ก่อนหน้านี้เนเน่ก็มองว่าคุณเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง...วันนี้ ทั้งแปลกใจและผิดหวังจริง ๆ ค่ะ

...แต่เอาจริง ๆ พอเห็นอย่างนี้แล้วก็ไม่แปลกใจที่พรรคที่คุณปิยบุตรคอยเห็นด้วยเออออห่อหมกมีตรรกะผิดเพี้ยนเหมือนกัน ที่ผ่านมา ‘สนับสนุนคนฝ่าฝืนกฎหมาย ม.112’ แต่แล้วก็ออกมาระดมกระแสว่า ‘กฎหมายสิผิด ศาลสิผิด คนทำผิดคือคนถูกรังแก’

สุดท้ายนี้ การที่คุณมานั่งจับผิดผู้ใหญ่ทั้ง 2 ท่าน มานั่งอ้างรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 12 ซะยืดยาว คุณทำเพื่ออะไร หากเป็นห่วงท่านประยุทธ์ เกรงว่าท่านจะทำผิดกฎหมาย ก็ขอขอบคุณในความหวังดี แต่คุณเอาเวลาไปให้กำลังใจ ‘พรรคการเมือง’ ที่คุณ ‘ฝักใฝ่’ ที่ตอนนี้อนาคตแขวนอยู่บนเส้นด้าย...จะดีกว่าไหมคะ?

หมายเหตุ: เป็นความเห็นส่วนตัวของเนเน่ไม่เกี่ยวข้องกับ คณะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติหรือคณะโฆษกรัฐบาลแต่อย่างใด 

‘รัดเกล้า’ โพสต์เฟซ!! โต้กลับ ‘แบงค์ ศุภณัฐ’ ชี้!! เป็น ‘โรคระแวง การสร้างคอนเนคชั่น’

(30 พ.ย. 67) ‘เนเน่’ หรือ นางสาวรัดเกล้า สุวรรณคีรี อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ในฐานะศิษย์เก่าของสถาบันพระปกเกล้า และสถาบัน วปอ. โดยมีใจความว่า ...

#ปปร และ #วปอบอ เป้านิ่ง อคติทางการเมือง

เอาจริงๆ โรคระแวงการสร้างคอนเนคชั่นของกลุ่มนักการเมืองในสังคมไทยนี่นับว่าอยู่ในระดับเรื้อรัง เป็นโรคที่มีมากันยาวนานแล้วนะคะ ซึ่งเอาจริงๆ ก็คงโทษประชาชนไม่ได้ที่จะมีอคติมองว่าการสร้างคอนเนคชั่นเป็นเรื่องไม่ดี มันก็คงเป็นเพราะเขาโดนมาเยอะ เจ็บมาแยะ กับการเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องเพื่อประโยชน์ส่วนตนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ฉะนั้น จริงๆ แล้วเป็นโจทย์ที่นักการเมืองรุ่นใหม่ทุกคน ทุกพรรค ควรรับไว้เป็นการบ้าน คือต้องช่วยกันแก้อคติด้วยการประพฤติดี ใช้คอนเนคชั่นและเครือข่ายที่มีเพื่อส่งเสริมบรรยากาศการทำงานร่วมกัน สร้างการเมืองสร้างสรรค์ สร้างประโยชน์ให้กับประเทศและประชาชน หากทุกคนร่วมกันทำเช่นนี้ ทำไปหลายๆ ปี แน่นอนว่ามันจะช่วยบรรเทาโรคระแวงของประชาชนได้ค่ะ อย่างไรก็ตาม ในสภาวะที่อาการโรคระแวงนี้ยังไม่ทุเลา หลักสูตรดัง เช่น การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย (ปปร.) และ การป้องกันราชอาณาจักรสำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต (วปอ.บอ.) ก็ไม่ต่างอะไรกับการเป็น #เป้านิ่ง ให้คนยิงเป้า จับผิด ตำหนิ ติติง ระบายความระแวงใจ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้... อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งที่นักการเมืองรุ่นใหม่ไม่ควรทำต่อความระแวงของประชาชน คือการ #ขว้างงูไม่พ้นคอ ทำให้โรคระแวงมันแย่ลงด้วยการเอาอคติทางการเมืองของตนเองมายัดเยียด ป้ายสีใส่กลุ่มการเมืองฝั่งตรงข้าม มุ่งหวังให้ประชาชนหันไปรุมคนอื่นแทนนะคะ 

ในโพสต์นี้ เนเน่ในฐานะศิษย์เก่าของทั้งสถาบันพระปกเกล้าและสถาบัน วปอ. ขอตอบคำถามและให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับทาง ส.ส. แบงค์ ศุภณัฐ มีนชัยนันท์ เกี่ยวกับ หลักสูตร วปอ.บอ. นะคะ ทั้งนี้เพื่อสร้างความกระจ่างในข้อมูลที่ผิดเพี้ยน ที่อาจสร้างความเข้าใจผิดต่อสถาบันเหล่านี้ และมิหน่ำซ้ำ ยังอาจจะตอกย้ำโรคระแวงในใจของประชาชนให้อาการแย่ลงไปอีกค่ะ

ข้อที่ 1. ที่ถามว่า... คนที่เข้าไปเรียนใช้สิทธิอะไรในการถูกคัดเลือกเข้าไปเรียน...

เฉกเช่นที่ สส.แบงค์ ออกมาปกป้องหลักสูตร ปปร. ว่าผู้จัดหลักสูตรมีการจัดสรรโควต้าให้กับ สส. 40 คน ทาง วปอ.บอ. เองก็มีโควต้าทางการเมือง 10 คนค่ะ บ้างก็เป็น สส. บ้างก็เป็นข้าราชการการเมือง (ซึ่งก็มีเนเน่ ที่เป็นรองโฆษกรัฐบาล ในช่วงนั้น) อย่างไรก็ตาม ผู้สมัครที่ผ่านเกณฑ์ทั้งสิ้นเกือบ 500 คน จำเป็นต้องผ่านการสอบสัมภาษณ์โดยคณะกรรมการของหลักสูตร เพื่อกลั่นกรองหา 150 คนที่มีทัศนคติที่เหมาะสมและมีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำในอนาคตได้จริงๆ เท่านั้นค่ะ (ซึ่งจริงๆคณะกรรมการหลักสูตรเคยเล่าให้เนเน่ฟังอยู่หลายครั้งนะคะว่าเขาเสียดายมากๆ ที่ไม่มีตัวแทนจากพรรคก้าวไกล (ตอนนั้นยังไม่เปลี่ยนชื่อพรรค) เข้ามาเรียน ความจริงมีคนมาสมัครนะคะ แต่อายุเกินบ้าง อายุขาดบ้าง เลยกลายเป็นว่าผู้สมัครจากพรรคก้าวไกลล้วนไม่ผ่านเกณฑ์เบื้องต้น เลยไม่มีใครได้เรียนค่ะ ...เล่าให้ฟัง จะได้ระงับดราม่าไว้ก่อนค่ะ ว่าทำไมไม่มีคนจากพรรคก้าวไกลมาเรียนเลย... อาจารย์อยากให้พวกคุณมาเรียนจริงๆ นะคะ ท่านเชื่อว่าการมามีส่วนร่วมจะช่วยให้คนในพรรคของคุณเข้าใจเรื่องของความมั่นคงมากขึ้น ขนาดตอนที่นักเรียน วปอ.บอ. รุ่น 1 เรียนจบแล้วมีนำเสนอผลงานทางวิชาการ ทางหลักสูตรยังส่งจดหมายเชิญไปที่พรรคประชาชน (ตอนนั้นเปลี่ยนชื่อแล้ว) แต่สุดท้ายแล้ว ก็ไม่มีการส่งตัวแทนรับฟังค่ะ)

ทั้งนี้ในเรื่องคุณสมบัติของคนที่เข้าเรียน ที่ ส.ส.แบงค์ ทำให้หลายคนกังขาว่าคนที่มาเรียน "ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ" เกรงว่าคนจะเข้าใจผิด เหมารวม นึกว่าหมายถึงนักเรียนทั้งหมด ...ในฐานะเพื่อนร่วมชั้น เนเน่ขอชี้แจงว่านักเรียนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มหัวกะทิ บ้างมีโปรไฟล์เป็นถึงนักวิชาการที่มีชื่อเสียง บ้างเคยเป็นถึงนักเรียนเกียรตินิยมจากโรงเรียนชั้นนำ บ้างเป็นผู้บริหารในองค์กรระดับประเทศ อีกทั้ง ทางฝั่งข้าราชการพลเรือน ทหาร และตำรวจ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นตัวท็อปในหน่วยงานของตัวเองกันทั้งนั้นค่ะ เนเน่ได้เรียนรู้หลายเรื่องจากเพื่อนๆ เหล่านี้ ไม่น้อยไปกว่าที่ได้เรียนจากวิทยากรเลยค่ะ เขาเก่งกันจริงๆ นะคะ วอนหยุดเอาอคติทางการเมืองที่คับแคบมาตัดสิน มาด้อยค่าเพื่อนๆ ร่วมสถาบันของเนเน่เลยค่ะ ข้อ 2. ที่ถามว่าคนที่มาเรียนนั้นได้ จ่ายเงินค่าหลักสูตรหรือไม่ เพราะที่กองทัพให้ข้อมูลมาคือค่าใช้จ่ายหลักสูตรนี้ #เรียนฟรี และได้รับการสนับสนุนจากกองบัญชาการกองทัพไทย แปลว่าใช้ #ภาษีกู แบบเต็มๆ ...

อันนี้ เกรงว่าแหล่งข่าวในกองทัพของ สส.แบงค์ คงจะพูดไม่ครบนะคะ อันนี้ ถ้าไม่ทราบจริงๆ ก็ไม่ว่ากัน แต่ขอเพิ่มเติมข้อมูลเพื่อให้เข้าใจให้ตรงกันนะคะ ว่าผู้เรียนกลุ่มเอกชน และข้าราชการการเมืองต้องจ่ายเงินเอง 130,000 บาทเพื่อใช้ในการดูงานในประเทศและต่างประเทศค่ะ (ที่ว่าเรียนฟรีนี้ สำหรับบุคลากรของรัฐ เช่น ข้าราชการพลเรือน ทหาร และตำรวจ ที่ทางหน่วยงานส่งตัวแทนมาเรียนเท่านั้นค่ะ) ...ฉะนั้นขอย้ำนะคะว่า นอกเหนือจากที่เราไม่ได้เบียดเบียนภาษีประชาชนแล้ว เราได้ตัดสินใจใช้เงินส่วนตัวลงทุนเพื่อรับความรู้ผ่านหลักสูตรนี้ค่ะ

อ่อ... และที่ถามว่า ‘กล้าเอารูปมาโพสต์’ ไหม ... ในคอมเมนท์ เนเน่ขอเอารูปตอน วปอ.บอ. ไปทำ CSR ด้วยเงินส่วนตัวที่พวกเราระดมกัน นำไปช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่สุโขทัย มาให้ดูเป็นตัวอย่างให้ดูนะคะว่าเราก็รวมตัวกัน ‘ก่อการดี’ ไม่ต่างอะไรกับ คณะนักศึกษา ปปร. ของ สส.แบงค์ ค่ะ มาช่วยกันคลายโรคระแวงการสร้างคอนเนคชั่นในสังคมไทยด้วยการเมืองสร้างสรรค์กันดีกว่านะคะ

‘เนเน่ รัดเกล้า’ โพสต์เเนะ!! กรณี ‘สส.ปูอัด ไชยามพวาน’ ชี้!! ควรมีจิตสำนึก ยืดอก ลาออก เป็นแบบอย่างที่ดีให้สังคม

(9 ก.พ. 68) นางสาวรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี หรือ ‘เนเน่’ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ กรณี ‘สส.ปูอัด ไชยามพวาน’ โดยมีใจความว่า …

สิ่งที่ #สสปูอัด ต้องทำ และทำทันทีคือ ‘ลาออก’ ...เพราะประชาชนคนไทยสมควรที่จะมีผู้แทนที่มีคุณภาพ เป็นแบบอย่างที่ดีให้สังคมและคนรุ่นหลัง ไม่มีมลทินทั้งในด้านกฏหมายและจริยธรรม

แม้ว่ากฏหมายและแนวปฏิบัติโดยปรกติ สภาจะไม่ส่งตัว สส.ที่ถูกออกหมายจับไปให้ตำรวจระหว่างสมัยประชุม เพื่อไม่ให้การทำหน้าที่สมาชิกผู้แทนราษฎูรในฝ่ายนิติบัญญัติสะดุดลง และคดีอาจจะเกิดขึ้นจากการถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง... แต่! แต่!! นายไชยามพวาน (ปูอัด) เป็นบุคคลที่มีคดีทางเพศ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ในระยะเวลาเพียงไม่ถึง 2 ปี!

แม้จะออกตนว่าโดนกลั่นแกล้ง โดนใส่ร้าย (อีกแล้ว) แต่ควรมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อบทบาทหน้าที่อันทรงเกียรติของการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร... คุณยืดอก ลาออก สู้คดี พิสูจน์ตัวเอง ในฐานะบุคคลธรรมดา เถอะค่ะ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top