Sunday, 20 April 2025
ยึดทรัพย์

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ นำกำลังเข้าตรวจค้นยึดทรัพย์เครือข่ายผู้ต้องหา คดีร่วมกันทุจริตเงินสหกรณ์ออมทรัพย์ ในพื้นที่ 9 จังหวัด 74 จุด เกือบ 700 ล้านบาท

จากกรณีเมื่อวันที่ 24 ม.ค. 65 ที่ผ่านมา กลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นสมาชิกสหกรณ์จังหวัดพัทลุง ได้รวมตัวกันยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมจาก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ให้ช่วยติดตามคดีการทุจริตภายในสหกรณ์ออมทรัพย์จังหวัดพัทลุง ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและครอบครัวที่เป็นสมาชิกได้รับความเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก และคดีนี้ยังมีความสลับซับซ้อน แม้มีเจ้าหน้าที่หลายคนถูกพบว่ากระทำผิด แต่ยังสามารถทำงานในสหกรณ์ได้ ซึ่งอาจทำให้พยานหลักฐานต่าง ๆ สูญหายหรือถูกแก้ไขไปอีก ความเสียหายโดยรวมมีมูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาท นั้น

จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร.เร่งสืบสวนและสอบสวนคดีที่เกิดขึ้น  และได้ออกคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 293/2565 ลงวันที่ 22 มิ.ย.65  แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนตามคำสั่งดังกล่าว มีอำนาจในการสืบสวนคดีร่วมกันทุจริตเงินสหกรณ์ออมทรัพย์พัทลุง จำกัด เพื่อเร่งคลี่คลายคดีและติดตามทรัพย์สินที่ถูกประทุษร้ายกลับคืนให้กลุ่มผู้เสียหาย

จากการสืบสวนพบว่า ในช่วงปี พ.ศ. 2563 หลังจากที่ทางสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจพัทลุง จำกัด ได้มีการเปลี่ยนตัวผู้จัดการสหกรณ์และคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ รวมทั้งได้มีการตรวจสอบการดำเนินการทางบัญชีของสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจพัทลุง ผลปรากฏว่า มีการพบความผิดปกติทางบัญชี ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทุจริตของคณะกรรมการดำเนินการ ฝ่ายจัดการเจ้าหน้าที่และบุคคลภายนอกรวมหลายราย จึงได้มีการร้องทุกข์ดำเนินคดีต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทลุง เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย  และจากการสอบสวนพยานบุคคล และรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ปรากฏพบกลุ่มผู้ต้องหา ประกอบไปด้วยคณะกรรมการดำเนินการ ผู้จัดการ เจ้าหน้าที่ของสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจพัทลุง จำกัด และบุคคลภายนอก จำนวน 25 คน มีพฤติการณ์ในการร่วมกันวางแผน แบ่งหน้าที่กันทำ และลงมือกระทำความผิดหลายกรรมหลายวาระต่างกัน เป็นเวลาต่อเนื่องกันมาเป็นเวลายาวนาน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2544 จนถึงปี พ.ศ.2563  โดยมีรูปแบบการกระทำความผิดมากกว่า 10 วิธี เช่น การตกแต่งบัญชีของสมาชิกและไม่ได้เป็นสมาชิก การตกแต่งบัญชีลูกหนี้และลูกหนี้ที่ไม่มีตัวตน หรือตกแต่งบัญชีเกินความเป็นจริง การปลอมใบเสร็จรับเงิน เป็นต้น รวมมูลค่าความเสียหายประมาณ  1,577,836,978.14 บาท
ต่อมา ในห้วงระหว่างวันที่ 6-8 มิ.ย.65 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 25 คน ตามหมายจับศาลจังหวัดพัทลุง  ประกอบด้วย
1. นางสาวสุภา อายุ 68 ปี ผู้ต้องหาที่ 1
 2. นางสุพร อายุ 62 ปี  ผู้ต้องหาที่ 2
 3. นางสุชาดา อายุ 61 ปี ผู้ต้องหาที่ 3
 4. นางสาวจุฑารัตน์ อายุ 31 ปี ผู้ต้องหาที่ 4
 5. นางสาวนันทิยา อายุ 52 ปี ผู้ต้องหาที่ 5
 6. นางอัมพร อายุ 55 ปี ผู้ต้องหาที่ 6
 7. นางพัชราภรณ์ อายุ 39 ปี ผู้ต้องหาที่ 7
 8. นางสาวสุกัญญา อายุ 43 ปี ผู้ต้องหาที่ 8
 9. นางสาวปาณิศา อายุ 40 ปี ผู้ต้องหาที่ 9
 10. นางสาวสุวนันท์ อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาที่ 10
 11. นางสาวกชกร อายุ 26 ปี ผู้ต้องหาที่ 11
 12. นายไกรศิริ อายุ 38 ปี ผู้ต้องหาที่ 12
 13. พ.ต.ท.วิเชียร อายุ 53 ปี ผู้ต้องหาที่ 13
 14. ร.ต.ต.พันธ์ชัย อายุ 55 ปี ผู้ต้องหาที่ 14
 15. ด.ต.ชุณฐกฤตม์ อายุ 52 ปี ผู้ต้องหาที่ 15
 16. พ.ต.อ.ชำนาญ อายุ 60 ปี ผู้ต้องหาที่ 16
 17. ร.ต.ท.อรุชา  อายุ 56 ปี ผู้ต้องหาที่ 17
 18. ร.ต.อ.ธนเวทย์ อายุ 53 ปี ผู้ต้องหาที่ 18
 19. ด.ต.วิชา อายุ 75 ปี ผู้ต้องหาที่ 19
 20. นางสารภี อายุ 68 ปี ผู้ต้องหาที่ 20
 21. นายศิรัฐโรจ อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาที่ 21
 22. นางมณฑา อายุ 75 ปี ผู้ต้องหาที่ 22
 23. นายวิเชียร อายุ 53 ปี ผู้ต้องหาที่ 23
 24. นางพรศรี อายุ 74 ปี ผู้ต้องหาที่ 24
 25. นางสาวพัชรา อายุ 40 ปี ผู้ต้องหาที่ 25

โดยกล่าวหาว่า ลักทรัพย์ โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป, ร่วมกันลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้างหรืออยู่ในความครอบครองของนายจ้าง, ร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอม, ร่วมกันปลอมเอกสาร และใช้เอกสารปลอม

จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของเจ้าหน้าที่ พบว่ามีการโอนเงินออกจากบัญชีสหกรณ์ออมทรัพย์ไปยังเครือญาติใกล้ชิดของกลุ่มเครือข่ายผู้ต้องหา ในเขตพื้นที่ 9 จังหวัด จึงได้ทำการอายัดบัญชีธนาคารและในวันนี้ (22 ส.ค.65) ได้ขออนุมัติหมายค้นศาลอาญา เพื่อเข้าตรวจค้น 74 เป้าหมายในพื้นที่ 9 จังหวัด ได้แก่ พัทลุง, ภูเก็ต, นครศรีธรรมราช, ตรัง, กระบี่, ประจวบคีรีขันธ์, จันทบุรี, ระยอง และกรุงเทพมหานคร โดยผลการตรวจค้น สรุปการดำเนินการ ดังนี้

'เลขา ป.ป.ส.' สั่ง ขยายผล คดีจับยาบ้า 1 ล้านเม็ด เผย เฉพาะ 4 เดือน ยอดยึดทรัพย์กว่า 2 หมื่นล้านบาท!!

(17 ก.พ. 66) นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) กล่าวถึง กรณีที่เจ้าหน้าที่ ตร.บก.สส.ภ.9 จับกุมผู้ต้องหาชาวอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา รวม 3 คน คือ นายสรายุทธ เศรษฐรินทร์ อายุ 37 ปี, นายวีรยุทธ วิรัชวรกร อายุ 39 ปี และนายทรงพล โสภาสิทธิ์ อายุ 35 ปี พร้อมของกลางยาบ้า 1 ล้านเม็ด เหตุเกิดที่ริมถนนเพชรเกษมขาเข้าหาดใหญ่ ตำบลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา กลางดึกของคืนวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา

เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า “คดีดังกล่าว เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. ตรวจสอบในฐานข้อมูลการข่าวของ ป.ป.ส. พบว่า ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมเป็นเครือข่ายการค้ายาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่ จ.สงขลา ค้ายาเสพติดมาเป็นระยะเวลานาน และล้วนแต่มีประวัติเคยถูกจับกุมคดียาเสพติดมาก่อน ทั้งยังมีสมาชิกเครือข่ายอยู่ในพื้นที่เป็นจำนวนมาก ทั้งที่ทำหน้าที่กระจายยาเสพติด และดำเนินการเรื่องการเงินและทรัพย์สิน บางรายในอดีตเคยต้องโทษจำคุกอยู่ในเรือนจำ แต่ยังลักลอบใช้โทรศัพท์ติดต่อสั่งซื้อยาเสพติดจำนวนมาก จากนักค้าในประเทศเพื่อนบ้านและพื้นที่ภาคเหนือ ลงไปกระจายจำหน่ายใน จ.สงขลา, จ.สตูล และจังหวัดใกล้เคียง

26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ศาลสั่งยึดทรัพย์ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ รวมมูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาท

วันนี้ เมื่อ 13 ปีก่อน ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษายึดทรัพย์ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 46,373 ล้านบาท คืนเงิน 30,247 ล้านบาท

องค์คณะผู้พิพากษาเริ่มอ่านคำพิพากษาในเวลา 13.30 น.ใช้เวลาอ่านคำฟ้องของอัยการ 1 ช.ม.อ่านคำคัดค้านการยึดทรัพย์ของผู้ถูกร้อง (จำเลย) 1.30 ช.ม. เริ่มเข้าสู่การพิจารณาในแต่ละประเด็น 16.00 น.

1. องค์คณะผู้พิพากษามีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯมีอำนาจพิจารณาคดีนี้ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพราะคดีนี้ไม่ใช่คดีความผิดทางละเมิดของศาลปกครอง หรือ คดีถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

2. มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ผู้ร้อง ทั้งอัยการ, ป.ป.ช., คตส. มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ยึดทรัพย์ 7.66 หมื่นล้าน ตกเป็นของแผ่นดิน เพราะ

2.1 พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. ปี 42 ไม่ได้สิ้นสุดลงตาม รธน.40 จากการยึดอำนาจ 19 ก.ย.49
2.2 คตส.จึงสามารถใช้อำนาจ ป.ป.ช.ในการตรวจสอบการทุจริต ตามประกาศ คปค.ได้

2.3 การที่ พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.กำหนดให้การฟ้องคดีร่ำรวยผิดปกติ ต้องทำในสมัยที่นักการเมืองคนนั้น อยู่ในตำแหน่ง ไม่สามารถนำมาบังคับใช้กับการตรวจสอบของ คตส.ที่มีการบัญญัติไว้เป็น กม.เฉพาะได้

2.4 การตั้งนายกล้าณรงค์ จันทิก , นายบรรเจิด สิงคเนติ , นายแก้วสรร อติโพธิ เป็นอนุกรรมการตรวจสอบชอบด้วย กม.ไม่ได้มีอคติ หรือ เป็นปรปักษ์กับผู้ถูกกล่าวหา เพราะการไปฟังกลุ่มพันธมิตรฯปราศรัย , การแสดงความเห็นตรงข้ามกับผู้ถูกกล่าวหา เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพในฐานะประชาชนทั่วไป , นักวิชาการ และ ส.ว. ไม่ได้มีเรื่องโกรธแค้นเป็นการส่วนตัวกับผู้ถูกกล่าวหา

2.5 ป.ป.ช.ชุดนี้ตั้งตามประกาศ คปค. ฉบับที่ 19 ซึ่งชอบด้วย กม.แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องให้ ปธ.วุฒิสภา รับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง

2.6 คดีนี้เป็นคดีแพ่ง ไม่ใช่คดีแพ่งประกอบคดีอาญา ที่ต้องรอผลทางอาญาก่อน ตาม ป.วิ อาญา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจึงสามารถดำเนินกระบวนพิจารณาได้ โดยไม่ต้องรอให้มีคำพิพากษาในส่วนที่เป็นคดีอาญาก่อน

3. องค์คณะผู้พิพากษามีมติเป็นเอกฉันท์ว่า คำร้องขอให้ยึดทรัพย์ 7.66 หมื่นล้าน มีความชัดเจนไม่คลุมเครือ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถือหุ้นชินคอร์ปผ่านเครือญาติ และนิติบุคคลที่ตัวเองตั้งขึ้น

ถอนลึกถึงราก!! ‘บิ๊กเด่น’ ลุยหน้า! กวาดล้าง ‘ซัว มาเฟียฯ’ ออกหมายจับ - ยึดทรัพย์มูลค่ากว่า 1.4 พันล้าน

(3 มี.ค.66) ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ที่ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ดำเนินการตรวจสอบคดี พ.ต.ท.วสวัตติ์ มุครสกุล หรือสารวัตรซัว อดีตข้าราชการตำรวจ หลังจากมีประเด็นกรณีเป็นเจ้าของเครือข่ายพนันออนไลน์รายใหญ่ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับบริษัทในเครือเป็นต่อกรุ๊ป จำนวน 55 บริษัท มีพฤติการณ์ในการสนับสนุนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์

พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องในสังกัดตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ดำเนินการตรวจสอบประเด็นดังกล่าวอย่างเร่งด่วน ซึ่งจากข้อมูลการสืบสวนพบว่า สารวัตรซัว และบริษัทในเครือเป็นต่อกรุ๊ป มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับเครือข่ายการพนันออนไลน์ เบื้องต้นเชื่อว่า มีบริษัทกว่า 30 บริษัทในเครือเป็นต่อกรุ๊ปที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทผลิตเกมส์, ผลิตโปรแกรม, พัฒนาซอฟแวร์, จัดการบัญชี, จดทะเบียนพาณิชย์, จัดการเงิน, แลกเปลี่ยนเงิน และทำการตลาด

นอกจากนี้ ยังพบว่า เมื่อปี พ.ศ.2555 ได้มีภาพซึ่งปรากฎข้อความที่เกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์ติดอยู่บริเวณหน้าบริษัทในเครือเป็นต่อกรุ๊ป จากข้อมูลดังกล่าวจึงทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่า สารวัตรซัว น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์ มาตั้งเเต่ปี พ.ศ.2555  เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน โดยจากการสืบสวนพบมูลคดีที่เกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์ของสารวัตรซัวเป็นจำนวนหลายคดี ซึ่งอยู่ระหว่างทำการสืบสวน
 

‘สาวใหญ่’ หลงคารมหนุ่มสายบุญ ให้ยืมเงิน-ซื้อรถป้ายแดง สุดท้ายโดนชิ่ง เจอหมายศาลยึดทรัพย์ ส่งถึงหน้าบ้าน

กำลังถูกยึดทรัพย์ หลงคารมหนุ่มสายบุญ เจอหมายศาลถึงบ้าน โทรไปถามแถไม่หยุด

(19 มี.ค.66) นางเอ (นามสมมติ) อายุ 57 ปี พนักงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งใน จ.บุรีรัมย์ ได้นำเอกสารหลักฐาน และหมายศาลที่ถูกฟ้องยึดทรัพย์ มาร้องขอความเป็นธรรมและขอความช่วยเหลือจากผู้สื่อข่าว หลังถูก นายเอ็ม (นามสมมติ) อายุ 42 ปี พ่อค้าขายเครื่องราง หลอกยืมเงิน 2 แสนบาท และยังหลอกให้เช่าซื้อรถป้ายแดงให้ สุดท้ายกำลังจะถูกยึดทรัพย์

นางเอ เล่าว่า ตนรู้จักกับ นายเอ็ม เพราะชอบเข้าวัดทำบุญเหมือนกัน ก่อนนับถือเป็นพี่น้อง จากนั้นเมื่อปี 64 นายเอ็ม มาขอยืมเงินตน 200,000 บาท และต้นปี 2565 ก็หลอกให้ใช้ชื่อเช่าซื้อรถยนต์ป้ายแดงให้ โดยอ้างว่าชื่อตัวเองติดแบล็กลิส เนื่องจากได้รับผลกระทบจากพิษโควิดทำให้ขายของไม่ได้ จนถูกยึดรถยนต์ที่มีอยู่ ทั้งประสบปัญหาขาดทุนขายของไม่ได้ครอบครัวเดือดร้อนไม่มีเงินซื้อนมให้ลูกน้อยกิน

ด้วยความสงสารจึงยอมให้ยืมเงินและใช้ชื่อเช่าซื้อรถให้ ทั้งเห็นว่าเป็นคนชอบทำบุญจึงเชื่อใจ ประกอบกับ นายเอ็ม รับปากว่าจะรีบหาเงินมาคืนและผ่อนจ่ายค่างวดโดยไม่ให้มีปัญหาแน่นอน แต่เมื่อเดือน พ.ย.65 ก็ได้รับหมายศาลจังหวัดนางรอง เนื่องจากถูกธนาคาร และบริษัทที่ตนใช้ชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ยื่นฟ้องเรียกรถยนต์คืน หากไม่มีรถคืนก็ให้จ่ายเป็นเงินแทน เนื่องจาก นายเอ็ม ที่หลอกให้ตนใช้ชื่อเช่าซื้อรถยนต์ราคาเกือบล้านบาท ไม่ยอมชำระค่างวด หากตนไม่มีรถไปคืนบริษัทหรือหาเงินไปชำระตามหมายศาล ก็จะถูกยึดทรัพย์

บช.ปส. เปิด “ยุทธการสยบไพรีปราบสมุทร (Poseidon 1) ตามแผนปฏิบัติการตามล่า100เครือข่าย ยึดทรัพย์ 140 ล้าน”

ตามนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เน้นการใช้ทุกมาตรการทางกฎหมายเพื่อทำลายเครือข่ายยาเสพติด และยึดทรัพย์ที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ประกอบกับนโยบายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา, พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี, พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. มุ่งเน้นในการเร่งรัดดำเนินการป้องกันปราบปรามยาเสพติดในทุกมิติ เนื่องจากปัญหายาเสพติดอาชญากรรมที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนและเป็นภัยสังคม  

ล่าสุด วันนี้ 26 ธ.ค.66 เวลา 09.00 น.  พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ  พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.ภาณุรัตน์  หลักบุญ ผู้ช่วย ผบ.ตร. รักษาราชการแทน เลขาธิการ ป.ป.ส., พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. /รอง ผอ.ศอ.ปส., พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.สมเกียรติ วัฒนพรมงคล, พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง, พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์ รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.นพสิทธิ์ มิตรภักดี ผบก.ปส.1, พล.ต.ต.อดิศ เจริญสวัสดิ์ ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร ผบก.ขส. และ พล.ต.ต.วิทัศน์ บริรักษ์ ผบก.สกส. ร่วมแถลงเปิด“ยุทธการสยบไพรีปราบสมุทร (Poseidon 1) ตามแผนปฏิบัติการตามล่า 100 เครือข่าย” ยึดทรัพย์สินเครือข่ายได้กว่า 140 ล้านบาท 

สืบเนื่องเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.66 เวลาประมาณ 20.00 น. ตำรวจปราบปรามยาเสพติด โดย บก.ปส.3, บก.ขส., บก.สกส. และ บก.ปส.1 ได้สืบสวนและจับกุมเครือข่ายลำเลียงยาเสพติดข้ามชาติขณะกำลังขนยาเสพติดจากรถยนต์กระบะตู้ทึบลงเรือศรีมงคลทรัพย์ ที่บริเวณท่าเรือของบริษัทท่าเรือบางประกงจำกัด ต.บางประกง อ.บางประกง จ.ฉะเชิงเทรา พบยาเสพติดเป็นไอซ์แพ็กอัดแน่นอยู่ในถุงผลไม้อบแห้งใส่ในกล่อง ๆ ละ 24 ถุง รวมจำนวน 52 กล่อง และคีตามีนบรรจุแพ็กอัดแน่นในถุงชาใส่ในกล่อง ๆ ละ 25 ถุง จำนวน 48 กล่อง รวมน้ำหนักทั้งหมดประมาณ 2,200 กก. พร้อมควบคุมตัวผู้เกี่ยวข้องที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ทั้งบนเรือและบนท่าเรือ จำนวน 14 คน จากพฤติกรรมที่พบขณะจับกุมและการสอบสวนผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว พบผู้ร่วมกระทำความผิดขณะเกิดเหตุ จำนวน 6 คน แบ่งได้ 2 กลุ่ม คือ 1)กลุ่มขับรถยนต์ลำเลียง รวม 3 คน จับกุม 2 คน หลบหนีไป 1 คน  2) กลุ่มการ์ดบนเรือ จำนวน 3 คน จับกุมได้ 2 คน หลบหนีไป 1 คน ในส่วนคนที่เหลืออีก 8 คนในที่เกิดเหตุนั้น จากการสอบสวนแล้วทำหน้าที่เป็นกัปตันเรือ ลูกเรือและช่างซ่อมเรือ มีหลักฐานการรับจ้างทำงานถูกต้อง ยังไม่พบว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด

วันที่ 7 ธ.ค.66 จากการขยายผล พนักงานสอบสวน ได้ยื่นคำร้องขอหมายจับต่อศาลอาญา และศาลอาญาได้อนุมัติออกหมายจับผู้ร่วมกระทำผิดจำนวน 3 คน ได้แก่ นายชานนท์ฯ หัวหน้าทีมขับรถยนต์ลำเลียง, นายศิริทรัพย์ฯ ทีมการ์ดบนเรือ (ต่อมานายศิริทรัพย์ได้เข้ามามอบตัวแล้ว) และผู้สั่งการคือนายชาญชัยฯ หรือกัปตันตุ้ย อดีตกัปตันเรือเรือที่มีชื่อเสียงระดับท็อปของประเทศไทย ที่ผันตัวมาเปิดบริษัทเดินเรือ โดยเป็นผู้บริหารจัดการลำเลียงยาเสพติดทางเรือ ครั้งนี้ได้เช่าเรือศรีมงคลทรัพย์ไปส่งยาเสพติดในน่านน้ำสากลและพบว่าเคยมีการลักลอบลำเลียงมาแล้วถึง 7 ครั้ง ในช่วงเดือน มิ.ย.-ธ.ค.66 โดยอ้างว่ามี “พ่อเลี้ยง” เป็นคนสั่งการใหญ่ที่จะเป็นผู้สั่งการนายชาญชัยฯ และทีมงานทั้งหมดนี้ และออกหมายจับนายอนุรุตฯ ซึ่งเป็นตัวการสำคัญอีกคนหนึ่ง โดยเป็นลูกน้องของนายชาญชัยฯ ทำหน้าที่ในการประสานงานกับหัวหน้าการ์ดบนเรือ รวมทั้งกับพ่อเลี้ยงและนายชาญชัยฯ

ต่อมาในห้วงวันที่ 9 - 20 ธ.ค.66 บก.ปส.3, บก.ขส.และสำนักงาน ป.ป.ส. ได้ร่วมกันเปิด “ยุทธการสยบไพรีปราบสมุทร(Poseidon 1) ภายใต้แผนปฏิบัติการตามล่า 100 เครือข่าย” เพื่อปิดล้อมตรวจค้นจับกุม รวบรวมพยานหลักฐานและยึดทรัพย์ผู้ต้องหาตามหมายจับ จำนวน 3 คน มีเป้าหมายจุดปิดล้อมจำนวน 10 จุด ผลการปฏิบัติ จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ 1 คนคือนายอนุรุตฯ และยึดทรัพย์สินของนายชาญชัยฯ กับพวกทั้งหมด มีทั้งที่ดินและกิจการของนายชาญชัยฯ เช่น ร้านอาหารตำทะลวงและกิจการเดินเรือและกิจการอื่น ๆ เงินสด ทองแท่งและทองรูปพรรณ พระเครื่อง รถยนต์และรถจักรยานยนต์จำนวนมาก  รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ทาง สำนักงาน ป.ป.ส. ได้ตรวจสอบเพื่อตรวจยึดทรัพย์สินตามมูลค่ารวมประมาณ 140 ล้านบาท 

ด้าน พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส. ระบุว่า ภายหลังการจับกุม ตำรวจปราบปรามยาเสพติด ได้สืบสวนขยายผลกันมาอย่างต่อเนื่องโดยกลุ่มเครือข่ายนี้มีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดปริมาณมากออกไปยังต่างประเทศโดยทางเรือมาแล้วหลายครั้ง ปลายทาง ได้แก่ ประเทศไต้หวัน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ออสเตรเลีย ซึ่งถือเป็นเครือข่ายยาเสพติดข้ามชาติที่ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านในการลักลอบลำเลียง โดยเครือข่ายนี้มีลักษณะการทำงานเป็นองค์กรอาชญากรรม มีการแบ่งหน้าที่ในการทำงานซึ่งมีผู้เกี่ยวข้องอีกจำนวนมาก  ซึ่งขณะนี้ตำรวจปราบปรามยาเสพติดกำลังทำการสืบสวนขยายผลเพื่อจับกุมและยึดทรัพย์เครือข่ายที่เกี่ยวข้องทั้งระดับผู้สั่งการและผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ ในประเทศและต่างประเทศต่อไป

พิษณุโลก เลขาฯ ป.ป.ส. ลุยงานยึดทรัพย์ฯเหนือล่าง เสริมศักยภาพเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ริบทรัพย์ทำลายเครือข่ายนักค้ายาเสพติด

วันที่ 13 พฤษภาคม 2567 พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ  เลขาธิการ ป.ป.ส. ตรวจเยี่ยมโครงการฝึกอบรมเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ในการริบทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติดในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง พร้อมพบปะและมอบนโยบายแก่เจ้าพนักงาน ป.ป.ส. และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. และเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ที่รับผิดชอบด้านสอบสวน สังกัดตำรวจภูธรภาค 6 ณ โรงแรมเดอะพาร์ค จังหวัดพิษณุโลก                    

พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ  เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และพันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีเป้าหมายลดความรุนแรงของปัญหายาเสพติดและต้องเห็นผลเป็นรูปธรรม ภายใน 1 ปี โดยในด้านการปราบปรามผู้ค้ายาเสพติดได้สั่งการให้ทำงานบูรณาการหนักขึ้น ในการยึดทรัพย์ผู้ค้าทั้งรายใหญ่รายย่อย และต้องขยายผลให้ถึงผู้ค้าเครือข่ายรายสำคัญ ตลอดจนการใช้สาธารณสุขนำการแก้ไขปัญหายาเสพติด ผ่านการสร้างศูนย์บำบัด และนำผู้เสพเข้ารับการบำบัดรักษาอย่างเหมาะสม รวมถึงมาตรการป้องกันยาเสพติดที่มุ่งหวังให้เยาวชนไทยมีปฏิกิริยาการปฏิเสธต่อยาเสพติด เหมือนกับเยาวชนในสหรัฐอเมริกาที่หาที่กำบังเมื่อได้ยินเสียงปืน หรือเหมือนกับเยาวชนในญี่ปุ่นที่รีบวิ่งเข้าใต้โต๊ะเมื่อรู้สึกถึงการสั่นของอาคาร โดยให้ทุกหน่วยงานผนึกกำลังเพื่อลดความเดือนร้อนของประชาชน โดยยึดหลัก “ผู้เสพเป็นผู้ป่วย ส่วนผู้ค้าจะต้องถูกลงโทษและยึดทรัพย์สิน” โดยการยกระดับการปราบปราม ทำลายโครงสร้างเครือข่ายกลุ่มการค้ายาเสพติดระดับต่าง ๆ อย่างจริงจัง

การจัดโครงการฝึกอบรมในครั้งนี้ ถือเป็นการเสริมเขี้ยวเล็บแก่เจ้าหน้าที่ให้พร้อมทั้งองค์ความรู้แนวทางการทำงาน และเครือข่ายประสานงาน เพื่อให้การยึดทรัพย์สินตามมูลค่าหรือ Value-based confiscation ตามประมวลกฎหมายยาเสพติดทำได้อย่างมีศักยภาพ จำเป็นต้องพัฒนาเจ้าหน้าที่ที่ทำงานด้านสอบสวนตรวจสอบทรัพย์สินเพราะต้องใช้องค์ความรู้ในการรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงพยานหลักฐานให้ครอบคลุม และต้องก้าวทันรูปแบบการโอนย้ายอำพรางเส้นทางการเงินของเครือข่ายการค้ายาเสพติด อาจใช้กลไกศูนย์สืบภาค บูรณาการงานร่วมกันระหว่างสำนักงาน ป.ป.ส.ภาค กับตำรวจภูธรภาค เพื่อขยายผลยึดทรัพย์ผู้กระทำผิด และนำผู้เกี่ยวข้องมาลงโทษให้มากที่สุด 

พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ  เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวทิ้งท้ายว่า ขอเป็นกำลังให้เจ้าหน้าที่ทุกท่านในทำงานเพื่อการแก้ไขปัญหายาเสพติด ทั้งนี้  สำนักงาน ป.ป.ส. พร้อมให้การสนับสนุนงบประมาณแก่ตำรวจภูธรภาคในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด โดยเฉพาะยุทธการเด็ดปีกผู้ค้ารายย่อย เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของยาเสพติดในระดับพื้นที่จากผู้ค้ารายย่อย รวมถึงการลดความรุนแรงที่อาจเกิดจากผู้ป่วยจิตเวชจากการใช้ยาเสพติด ตลอดจนการนำผู้เสพเข้าสู่กระบวนการบำบัดตามนโยบายของรัฐบาล

ปรีชา นุตจรัส รายงานข่าวพิษณุโลก

ตำรวจ ปส. แถลงผลงานปิด Job “ปฏิบัติการตามล่า 100 เครือข่าย“ ในรอบ 1 ปี ยึดยาบ้ากว่า 380 ล้านเม็ด, ไอซ์ 13,170 กก. คีตามีน 2,388 กก. และยึดทรัพย์กว่า 4,100 ล้านบาท

เมื่อวันที่ (30 ก.ย. 67) ตามนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาล ที่มุ่งเน้นการใช้มาตรการทางกฎหมาย เพื่อทำลายเครือข่ายยาเสพติดอย่างจริงจังทั้งระบบ ประกอบกับนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา, พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี, พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. มุ่งปราบปรามจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ ขยายผลเครือข่ายเพื่อยึดอายัดทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ทั้งของผู้ค้า ผู้ช่วยเหลือและสนับสนุนเครือข่ายทั้งหมดมาตรวจสอบทุกระดับอย่างจริงจังทุกพื้นที่ ควบคู่ไปกับการทำชุมชนบำบัดเพื่อให้ผู้เสพกลับคืนสู่สังคม เลี้ยงตน เลี้ยงชีพได้อย่างมั่นคง

วันนี้ 30 ก.ย.67 เวลา 10.00 น. พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส. พร้อมด้วย พล.ต.ท.สมเกียรติ วัฒนพรมงคล ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ /รรท. รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง, พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์ รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง รอง ผบช.ฯ ช่วยราชการ บช.ปส., พล.ต.ต.นพสิทธิ์ มิตรภักดี ผบก.ปส.1, พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.อดิศ เจริญสวัสดิ์ ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4, พล.ต.ต.อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร ผบก.ขส. และ พล.ต.ต.วิทัศน์ บริรักษ์ ผบก.สกส. ได้ร่วมแถลงผลการสกัดกั้นเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ 4 เครือข่าย ผู้ต้องหา 9 คน ยึดยาบ้า 6,600,000 เม็ด, ไอซ์ 565 กก. และเฮโรอีน 6.98 กก. ดังนี้

บก.ปส.3
คดีที่ 1
จากการขยายผลการตรวจยึดไอซ์ 7.58 กก. เมื่อวันที่ 16 ส.ค.67 ถูกซุกซ่อนในขวดโรออน ระงับกลิ่นกาย พยายามลักลอบส่งไปประเทศออสเตรเลีย และพบว่าผู้ส่งคือหญิงสาวสัญชาติลาว จากนั้นตำรวจชุดจับกุมจึงสืบสวน และติดตามพฤติการณ์เรื่อยมา กระทั่งพบว่าจะมีการส่งพัสดุในลักษณะเดิมอีกครั้ง โดยกลับเข้ามาพักอาศัยที่อพาร์ทเม้นท์เดิม ตำรวจจึงรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลอนุมัติออกหมายจับ กระทั่ง วันที่ 17 ก.ย.67 หน่วยปราบปรามยาเสพติดสุวรรณภูมิ กก.1 บก.ปส.3 ร่วมกับ ป.ป.ส. และศุลกากร นำกำลังเข้าตรวจค้นที่ ห้องพัก 514 อพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่ง ถ.รัชดาภิเษก แขวง-เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร พบ น.ส.ติ่ง พันทะวง อายุ 31 ปี สัญชาติลาว ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลอาญา ที่ 506/2567 ลง 17 กันยายน 2567 ในข้อหา “พยายามส่งออกฯ” และพบกล่อง 2 กล่อง ภายในเป็น ขวดโรลออน และยาสีฟัน จากการตรวจสอบมี เฮโรอีน ซุกซ่อนอยู่ น้ำหนัก 6.98 กก.  นอกจากนี้ยัง ตรวจยึดทรัพย์สิน กระเป๋าแบรนเนม 1 ใบ ราคาประมาณ 70,000 บาท จึงนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

คดีที่ 2
ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 ได้สืบสวนขยายผลเครือข่ายที่ลักลอบลำเลียงยาเสพติด ส่งออกต่างประเทศ โดยอำพรางไปกับสินค้าประเภทเฟอร์นิเจอร์ จนทราบว่าจะนำยาเสพติดที่ซุกซ่อนไปกับเฟอร์นิเจอร์มาพักเก็บในพื้นที่ อ.แม่สาย   จ.เชียงราย ตำรวจจึงทำการวางแผนจับกุม กระทั่งวันที่ 19 ก.ย.67 เวลาประมาณ 10.00 น. พบว่าเฟอร์นิเจอร์ดังกล่าวได้นำมาเก็บพักคอยที่บ้านเช่าเลขที่ 112/6 ม.2 ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อเตรียมส่งต่างประเทศ จึงนำกำลังตำรวจเข้าตรวจสอบ ภายในบ้านพบเป็นโต๊ะ และเก้าอี้ ตรวจสอบภายใน พบยาเสพติดเป็นไอซ์ ลักษณะเป็นก้อนคล้าย ดินน้ำมันสีขาว และ สีชมพู คละกัน มีผงลักษณะเป็นเกล็ดสีขาวใสผสมอยู่ ซุกซ่อนอำพรางในช่องลับภายในแผ่นรองนั่งของเก้าอี้ น้ำหนัก 325 กก. และ ซุกซ่อนอยู่ในช่องลับภายในแผ่นหน้าโต๊ะ น้ำหนัก 240 กก. รวมน้ำหนักทั้งสิ้น 565 กก. จากการสอบถามผู้ดูแลแจ้งว่าเป็นสินค้าที่มีลูกค้านำมาฝากไว้กับทางร้าน จากนั้นจึงนำของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย และ จะทำการสืบสวนขยายผลถึงกลุ่มเจ้าของยาเสพติดต่อไป

คดีที่ 3
ตำรวจหน่วยปราบปรามยาเสพติดเชียงราย กก.2 บก.ปส.3 ได้สืบสวนเครือข่ายลำเลียงยาเสพติดในพื้นที่ จ.เชียงราย จนทราบว่า นายอาตี๋ ชนเผ่าอาข่า จะลำเลียงยาเสพติดเข้ามาในพื้นที่ บ้านผาหมี อ.แม่สาย จ.เชียงราย กระทั่ง วันที่ 25 ก.ย. 67 เวลาประมาณ 21.30 น. ขณะตำรวจชุดสืบสวน ร่วมกับทหาร ออกสำรวจพื้นที่ ก็พบเข้ากับคารวานลำเลียงยาเสพติด ซึ่งเป็นกลุ่มชาย ฉกรรจ์ จำนวน 12 คนแบกสัมภาระเป็นกระเป๋าที่คาดว่ามียาเสพติดถูกบรรจุอยู่ด้านใน ขณะเดินลัดเลาะออกมาจากชายป่า ก่อนที่ทั้งหมดจะไปหยุดรวมตัวกันบริเวณริมถนนทางเข้าหมู่บ้านผาหมี หน้าศูนย์กำจัดขยะมูลฝอย ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ตำรวจจึงนำกำลังแสดงตัวเข้าตรวจสอบและตรวจค้น สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 6 ราย 

ซึ่งทั้งหมดเป็นคนสัญชาติเมียนมาร์ ส่วนคนที่เหลือวิ่งหลบหนีไปได้ ตรวจค้นในกระเป๋าพบกระสอบ 11 กระสอบ ภายในบรรจุยาบ้ารวมทั้งสิ้น ประมาณ 1,600,000 เม็ด โดยตำรวจเตรียมขยายผลหาเพื่อนร่วมขวนการที่สามารถหลบหนีไปได้ ก่อนนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

บก.สกส.
คดีที่ 4
เมื่อวันที่ 6 ก.ย.67 เวลาประมาณ 20.00 น. – 23.50 น. ต่อเนื่องกัน ตำรวจ บก.สกส., ตำรวจด่านพยุหะคีรี บก.ปส.3 ตำรวจ สภ.วังทอง ภ.จว.พิษณุโลก และ หน่วยข่าวกรองทางทหาร กองกำลังนเรศวร ร่วมกันจับกุม ผู้ต้องหา 2 คน หลังตำรวจจับกุมผู้ต้องหาลักลอบลำเลียงยาเสพติดเมื่อวันที่ 31 มี.ค 60 ของกลางยาบ้า 500,000 เม็ด ก่อนจะขยายผลพบว่ายังมีเครือข่ายซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ รับจ้างลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ลงมาส่งให้กับลูกค้าในพื้นที่ ภาคกลาง  กระทั่ง พบความเคลื่อนไหวของเครือข่ายอยู่ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ จึงจัดชุดติดตามจนมาถึงพื้นที่ ต.วังทอง อ.วังทอง จ.พิษณุโลก พบว่า รถทั้ง 2 คัน คือ รถบรรทุก หมายเลขทะเบียน 71 21xx เชียงใหม่ และ รถยนต์ หมายทะเบียน 8กข 31xx กรุงเทพฯ ขับเข้าไปในปั๊มน้ำมัน ปตท.วังทอง ตำรวจจึงแสดงตัวเข้าตรวจสอบ พบนายสมศักดิ์ และนายสุทธิศักดิ์ พี่น้องกัน จึงเชิญตัวทั้ง 2 คน และนำรถมายังด่านตรวจยาเสพติดพยุหะคีรี เพื่อเข้าเครื่อง X-Ray ตรวจค้นโดยละเอียด ปรากฏว่าพบวัตถุต้องสงสัยซุกซ่อนอยู่ในช่องลับผนังด้านข้างทั้ง 2 ข้าง ของรถบรรทุก  ตรวจสอบพบเป็นยาบ้า 2,500 มัด จำนวนรวมทั้งสิ้น 5,000,000 เม็ด เบื้องต้นแจ้งข้อหา “ร่วมกัน จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าหรือ เมทแอมเฟตามีน) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่าย โดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน หรือ เป็นการกระทำที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ” ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี

นอกจากนี้ บช.ปส. ยังได้สรุปภาพรวมการปราบปรามยาเสพติดในปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ภายใต้การขับเคลื่อนของ พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส. ซึ่งได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ที่ถูกกำหนดให้เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ทั้งแผนงานและภารกิจ ให้สอดรับกับนโยบายของรัฐบาล รวมถึงการตัดต้นตอการผลิตและจำหน่าย ด้วยการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน การสกัดกั้น ควบคุมการลักลอบนำเข้าและ  ตัดเส้นทางการลำเลียงยาเสพติด การปราบปรามและการยึดทรัพย์ผู้ค้าอย่างเด็ดขาด ซี่งตลอดทั้งปีที่ผ่านมา บช.ปส. ได้ขับเคลื่อนการปราบปราม การสกัดกั้นการลำเลียง และการขยายผลจับกุมยึดทรัพย์เพื่อทำลายเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด  อย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยกำหนด “แผนปฏิบัติการตามล่า 100 เครือข่าย” เพื่อสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดในพื้นที่ ตอนในและพื้นที่ปลายทาง และทำลายเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่เป้าหมาย ส่งผลให้ปีงบประมาณ พ.ศ.2567

สามารถจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดได้ถึง 1,322 คดี เพิ่มขึ้น 427 คดี มีผู้ต้องหา 1,729 คน เพิ่มขึ้น 518 คน  ตรวจยึดยาบ้าได้ 380,317,464 เม็ด เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 137,871,101 เม็ด คิดเป็น 56.87%  และคิดเป็น 41.05% ของ ตร., ไอซ์ 13,170 กก. คิดเป็น 58.34% ของ ตร. คีตามีน 2,388 กก. คิดเป็น 47.09% ของ ตร. ในส่วนการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดทั้งตามแนวชายแดน และพื้นที่ตอนใน โดยเฉพาะยาบ้า สามารถจับกุมผู้ค้ารายสำคัญรายใหญ่ ยาบ้า 500,000 เม็ดขึ้นไป จำนวน 90 คดี สกัดกั้นยาบ้าได้ 361,853,712 เม็ด เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว คิดเป็น 87.24 %                 

โดยภารกิจสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดในพื้นที่ตอนใน และพื้นที่ปลายทาง รวมทั้งทำลายเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดรายสำคัญ ในพื้นที่เป้าหมาย ถือเป็นภารกิจสำคัญของ “แผนปฏิบัติการตามล่า 100 เครือข่าย” ในปีงบประมาณ พ.ศ.2567 มีผลการดำเนินการที่น่าสนใจ ได้แก่ วันที่ 20 เม.ย.2567 จับกุมผู้ต้องหาพร้อมยาบ้า 14,648,000 เม็ด  ขณะลักลอบลำเลียงจากแนวชายแดนเข้ามาส่งต่อให้เครือข่ายในพื้นที่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ นับเป็นการสกัดกั้นการขนลำเลียงยาบ้าที่มีปริมาณมากที่สุดของกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดที่จับกุมได้ในปีนี้ และล่าสุดเมื่อ 23 ส.ค.2567 ยังจับกุมผู้ต้องหาขณะลำเลียงยาบ้า 14,000,000 เม็ด จากพื้นที่ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เข้าสู่พื้นที่ชั้นในได้อีกด้วย ปฏิบัติการ“ ตามล่าเครือข่าย VUITTON วิตตอง” เป็นปฏิบัติการสำคัญที่สามารถสืบสวนจับกุมเครือข่ายลำเลียงยาเสพติดจากชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือเข้าสู่ตอนใน ได้อย่างต่อเนื่องถึง 11 คดี จับกุมผู้ต้องหาในเครือข่ายไปแล้วกว่า 50 ราย ยึดยาบ้า กว่า 46 ล้านเม็ด ไอซ์และ คีตามีนรวมกว่า 100 กิโลกรัม ยึดทรัพย์กว่า 26 ล้านบาท

ผลงานสำคัญในการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดข้ามชาติ  ที่ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านลำเลียงยาเสพติดไปต่างประเทศ วันที่ 4 ธ.ค.2566 ได้เปิดปฏิบัติการสยบไพรีปราบสมุทร “Operation Poseidon ” จับกุมผู้ต้องหา             พร้อมไอซ์และเคตามีนกว่า 2,200 กก. การขยายผลนำไปสู่การออกหมายจับนายชาญชัยหรือกัปตันตุ้ยฯ พร้อมยึดทรัพย์สินกว่า 150 ล้านบาท จากการแกะรอยไล่ล่ากลุ่มเครือข่ายดังกล่าว นำไปสู่การจับกุมผู้ลักลอบลำเลียงยาเสพติดทางทะเลได้เพิ่มเติมอีก 2 คดี ได้แก่ วันที่ 8 ก.ย.67 จับกุมผู้ต้องหาพร้อมไอซ์ 600 กก.ที่ท่าเรือริมแม่น้ำท่าจีน จ.สมุทรสาคร และ วันที่ 10 ส.ค.2567 จับกุมผู้ต้องหาพร้อมไอซ์ 1,500 กก. ที่ท่าเรือในพื้นที่ อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ทั้ง 3 ปฏิบัติการสำคัญนี้สามารถสกัดกั้นการพยายามลักลอบลำเลียงไอซ์และคีตามีนข้ามชาติได้ถึง 4,300 กก. หรือ 4.3 ตัน

ผลงานสำคัญในการสกัดกั้นสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติด ที่มีการลักลอบนำเข้าและส่งออกไปยังแหล่งผลิตในประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อ 12 ก.ค.2567 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันตรวจยึดสารโทลูอีน (Toluene) 90 ตัน ลักลอบนำเข้าจากเกาหลีใต้มาที่ท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี เตรียมส่งไปแหล่งผลิตยาเสพติดในประเทศเพื่อนบ้าน สารโทลูอีนที่ยึดได้ หากหลุดรอดไปถึงแหล่งผลิต จะใช้ผลิตยาบ้าได้จำนวนมหาศาลถึง 270 ล้านเม็ด ซึ่งนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เดินทางไปร่วมตรวจสอบและแถลงข่าวผลการตรวจยึดด้วยตนเอง ผลงานสำคัญในการยึดและอายัดทรัพย์สินปีงบประมาณ2567 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ได้ดำเนินการยึดและอายัดทรัพย์สิน จำนวน 4,096,626,323 ล้านบาท  หรือคิดเป็น 32.78% ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีปฏิบัติการที่สำคัญในการยึดทรัพย์สิน ได้แก่  ช่วงเดือน พ.ค.2567 เปิดปฏิบัติการกวาดล้างเครือข่าย “ใหม่ Logistics” ของ บก.ปส.2 ที่ปูพรมตรวจค้นในพื้นที่ 8 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อจับกุมกลุ่มผู้ลำเลียงยาเสพติดผ่านบริษัทขนส่ง จากพื้น

ผิดมหันต์!! แนวคิด ‘ปล่อยธนาคารยึดคอนโดฯ’ หลังเกิดแผ่นดินไหว เพราะคือจุดเริ่มต้นของ ‘คดีความยืดเยื้อ’ เสียประวัติ-ติดเครดิตบูโร

(5 เม.ย. 68) จากเฟซบุ๊ก Joe Amatyakul ได้โพสต์ข้อความเตือนใจกลุ่มคนที่กำลังผ่อนคอนโดฯ แต่เริ่มมีความคิดจะปล่อยให้ธนาคารยึด หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว ว่า…

“หลังแผ่นดินไหว เห็นน้อง ๆ บางคนโพสต์ว่า ย้ายออกจากคอนโด จะไม่ผ่อนต่อแล้ว จะทิ้งให้ ธ.ยึดไปเลย…

“อย่าทำเด็ดขาด…อ่านโพสต์พี่โจก่อนครับ…

“ต้องแยกแยะก่อนว่า การซื้ออสังหาโดยผ่อนกับ ธ. ตัวคุณคือ ‘ผู้ถือกรรมสิทธิ์’ ในบ้าน/คอนโดนั้น ส่วน ธ.อยู่ในฐานะ ‘เจ้าหนี้’ ที่ให้คุณยืมเงินเพื่อไปจ่ายให้ผู้ขาย…

“ธ.ไม่ใช่เจ้าทรัพย์ ธ.ต้องการแค่ ‘ดอกเบี้ย’ (และเงินต้น) จากคุณอย่างครบถ้วน ธ.ไม่ต้องการบ้านของคุณ…

“การที่คุณขนของออกจากคอนโด ปล่อยให้เค้ายึด แล้วคิดว่านั่นคือจบ.. มันไม่จบครับ ‘คดีเพิ่งเริ่มต้น’ 
ธ.ไม่สนว่าคุณจะอยู่จะไป แต่เมื่อคุณหยุดจ่าย ธ.จะทวง พอเยอะเข้า ธ. ก็จะดำเนินคดีให้คุณจ่ายทั้งต้นทั้งดอก…

“เมื่อคุณไม่จ่าย ธ.ก็ฟ้องยึดบ้านไปขายทอดตลาด…

“ส่วนใหญ่ก็จะขายได้ต่ำกว่ายอดหนี้เยอะ ซึ่ง ธ.ไม่หยุดแค่นั้น จะฟ้องคุณซ้ำอีกเพื่อเรียกส่วนที่ยังขาด ถ้าคุณไม่จ่ายอีก ก็จะเข้าสู่ขั้นตอน ‘สืบทรัพย์’ ว่าคุณมีทรัพย์อะไรที่ไหนบ้าง ตามยึดที่ไร่ที่นาบ้าง ตามยึดรถบ้าง โดนอายัดเงินเดือนก็มี จนกว่าเจ้าหนี้จะได้ครบทั้งต้นทั้งดอก…

“สรุปคืออย่าหาทำนะครับ จะเป็นคดีติดตัวเปล่า ๆ ทั้งเครดิตบูโรก็จะพังเละเทะทำอะไรไม่ได้ไปอีกนาน 
จะกัดฟันส่งต่อ จะขาย จะปล่อยเช่า จะลดแลกแจกแถมอะไรก็เหอะ แต่ปล่อยให้ ธ.ยึดไม่ได้เด็ดขาด คดียาว…

“เป็นหนี้ก็ต้องใช้ ไม่มีหนี้คือดีที่สุด แต่ถ้าพลาดไปแล้วก็ต้องหาทางลงแบบถูกวิธี ปล่อยทิ้งไม่ได้นะครับ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top