Tuesday, 22 April 2025
ฟอกขาว

‘ก้าวไกล’ สวน!! 'โสภณ' ปั้นภาพสวยให้สายสีส้ม เอาความเห็นส่วนตัวมาพูดโดยไม่ยึดมติที่ประชุม

(16 ธ.ค. 65) ที่รัฐสภา สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการคมนาคม พร้อมด้วย ทวี สอดส่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคประชาชาติ ในฐานะ กมธ.การคมนาคม แถลงข่าวตอบโต้กรณี โสภณ ซารัมย์ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ประธาน กมธ.การคมนาคม และ นิกร จำนง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทยพัฒนา รองประธาน กมธ.การคมนาคม ออกมาแถลงข่าวเชิงฟอกขาวให้โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ซึ่งไม่เป็นไปตามมติที่ประชุม กมธ.การคมนาคม ว่า การกระทำดังกล่าวเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เนื้อหาที่แถลงเป็นความเห็นส่วนตัวของประธาน กมธ. ซึ่งมาจากพรรคภูมิใจไทยที่กำกับดูแลรถไฟฟ้าสายสีส้ม ไม่ได้เป็นมติที่ประชุม จึงไม่สามารถแถลงในนาม กมธ. ได้ ตนและทวีจึงต้องออกมาแถลงในนามพรรคร่วมฝ่ายค้าน

สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ตนเป็นผู้นำเรื่องรถไฟฟ้าสายสีส้มเข้าที่ประชุม โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ไม่เข้ามาชี้แจงตามนัด ตนจึงกดดันประธาน กมธ. ว่าฝ่ายนิติบัญญัติต้องใช้อำนาจตรวจสอบทางการเมือง ไม่ใช่บอกว่าเมื่อโครงการอยู่กับฝ่ายตุลาการแล้ว จะแตะต้องไม่ได้เลย ในกรณีนี้ ทั้งสองอำนาจสามารถเดินหน้าไปพร้อมกันได้ ตนยืนยันว่า กมธ.ของสภาผู้แทนฯ สามารถตรวจสอบได้ โดยเฉพาะโครงการใหญ่ที่ต้องมีความโปร่งใส

“มติจริง ๆ ของ กมธ.การคมนาคม เมื่อวานนี้ (15 ธันวาคม 2565) คือ ขอเอกสารประกอบและให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตอบคำถาม ไม่ได้ฟอกใสตามที่ประธาน กมธ.การคมนาคมแถลง ทั้งประเด็นส่วนต่างราคาและการกีดกันการเสนอราคา นอกจากนี้ จากการตรวจสอบกับคนอื่นๆ รวมทั้งนิกร พบว่าไม่มีใครใน กมธ.การคมนาคมบอกว่าเป็นมติที่ประชุมอย่างที่ประธาน กมธ.การคมนาคมแถลงข่าวไป เพราะเรื่องนี้ต้องมีการประชุมกันอีก” สุรเชษฐ์กล่าว

ต่อไปไม่ง่ายอีกแล้ว!! ‘ข้าราชการน้ำดี’ เริ่มขยับเอาจริง สกัดขบวนการ ช่วยต่างด้าวฟอกขาวเป็นคนไทย

(9 ต.ค. 67) ต้องขอบคุณสื่อหลักที่เริ่มมองเห็นภัยคุกคามที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะกับกลุ่มชาติพันธุ์ในเมียนมา ซึ่งถึงวันนี้ต้องยอมรับว่า คนพวกนี้เคลื่อนไหวเงียบ ๆ ใต้ปีก NGO  มานับสิบๆปี สร้างเครือข่ายใต้ดินจนแข็งแกร่งยิ่งใหญ่และนำพาเหล่าคนเมียนมาเข้ามาฟอกขาวเป็นคนไทยนานนับหลายศตวรรษ 

ที่ผ่านมาเอย่าไปคุยกับพี่ ๆ หลายคน และมีพี่ท่านหนึ่งที่ให้ความเห็นที่น่าสนใจ  เธอคนนั้นบอกว่าสมัยเธอยังเป็นนักเรียน ย่านวงเวียนใหญ่ สมัยนั้นใคร ๆ ก็เรียกว่าลาวเซ็นเตอร์ เพราะทุกวันหยุดจะมีแรงงานชาวลาวที่ทำงานในตลาดแถวนั้นหรือร้านค้าบริเวณนั้นเข้ามาจับกลุ่มใต้ต้นไม้ที่วงเวียนใหญ่ยึดเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ชาวลาวก็เริ่มหายไปกลายเป็นชาวพม่าเข้ามาแทน จนเธอรู้สึกตัวอีกทีทุกหนแห่งก็อุดมไปด้วยคนพม่าหมดแล้ว ที่น่าตลกคือเธอที่เป็นคนไทยไปตลาดไม่สามารถซื้อผักในราคา 10 บาทได้ ในขณะที่เด็กคนพม่าคนงานข้างบ้านเธอซื้อได้เพราะคนขายเป็นชาวพม่า ทำให้เธอรู้สึกว่าแม้เธอเป็นคนไทยแต่กลายเป็นคนที่มีต้นทุนการใช้ชีวิตที่สูงกว่าคนพม่าในไทยเสียอีก

แม้เธอคนนั้นจะพูดติดตลกก็ตาม สำหรับเอย่าคงไม่รู้สึกตลกกับเรื่องแบบนี้ เพราะกลายเป็นว่ากลุ่มคนเหล่านี้ได้ลอบเร้นเข้ามากันเป็นหลายสิบปี พร้อมฟอกขาวออกลูกหลานเตรียมการเป็นคนไทยจนหลายคนได้สัญชาติไปแล้วก็มี

เหตุการพวกนี้เราคงไปว่าคนพม่าอย่างเดียวไม่ได้ คงต้องว่าคนไทยด้วยกันเองนี่แหละ เพราะเหล่ากรรมาธิการกลุ่มต่าง ๆ ในสภาที่มีการเลือกมาเป็นกลุ่มย่อย ต่างก็เป็นคนในอาณัติของท่าน สส. ผู้ทรงเกียรติกันทั้งนั้น  คนเหล่านั้นคือกำลังหลักในการผลักดันร่างกฎหมาย ข้อบังคับต่าง ๆ ที่ช่วยเอื้อให้ต่างชาติเหล่านี้ อย่างว่าเอย่าได้ข่าวว่าแม้เงินเดือนกรรมาธิการเหล่านี้ไม่ได้สูง แต่รายได้พิเศษนี่มาจากไหนไม่รู้ทอนกันมา 7 หลักขึ้นทั้งนั้น รายได้ดีขนาดนี้ จ้างผีโม่แป้งยังได้ ทำไมจะจ้างคนไทยให้ขายจิตวิญญาณไม่ได้

อีกอย่างสำหรับคนดีมีอุดมการณ์ที่หลุดเข้าไปเป็นกรรมาธิการพวกนี้ พอไม่ทำตามที่ท่าน สส. ผู้ทรงเกียรติต้องการก็ต้องมีอันกระเด็นจากตำแหน่ง อย่างว่ากฎหมายให้อำนาจ สส. คุมคนพวกนี้อีกทีจะกล้าหือได้อย่างไร

สงสารก็เพียงคนไทยที่พยายามเป่าปากโห่ร้องหาประชาธิปไตย 3 นาทีในคูหา แล้วต้องก้มหน้าก้มตาดูคนที่เลือกมาให้โอกาสพวกต่างชาติมีต้นทุนการใช้ชีวิตที่ถูกกว่าคนไทย ก็ช่วยไม่ได้รักชอบเลือกกันเข้ามาเองทั้งนั้น

สุดท้ายเอย่าคงได้แต่หวังว่า คนไทยเราได้ตื่นรู้แล้ว ข้าราชการดีๆเริ่มขยับแล้ว ทำให้แผนฟอกขาวตามชายแดนเริ่มลำบากขึ้น และแผนของกลุ่มคนบางกลุ่มที่ต้องการเอาคนพวกนี้มาเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไม่เป็นไปดังหวัง 

เอย่าต้องขอบคุณข้าราชการน้ำดีที่เริ่มตรวจตราเอาจริงเอาจังกับทุกกลุ่ม อย่างที่บอกคนพวกนี้ไม่ใช่แค่แรงงานแต่คนส่วนใหญ่เป็นคนมีความรู้และใช้ประเทศไทยเป็นฐานเคลื่อนไหวสร้างปัญหาในเมียนมา ทั้งเรื่องการระดมทุน ซื้ออาวุธ ซื้อเสบียง ซึ่งหากข้างบ้านไม่สงบ ไทยเราจะสงบสุขได้อย่างไร เพราะตอนนี้เราได้เห็นแล้วว่าเมื่อประเทศเพื่อนบ้านเดือดร้อน ไทยได้รับผลกระทบอย่างไร

‘พม่า’ ทะลักชายแดนแห่ขอทำ ‘บัตรหัว 0’ คึกคัก หวังฟอกขาวได้สัญชาติไทยแม้ราคาพุ่งใบละ 3 แสนบาท

(21 ต.ค. 67) ช่วงนี้เรื่องราวฝั่งเมียนมาน่าจะไม่ปังนัก เนื่องจากดิไอคอนส่องแสงสว่างวาบไปทั่วปฐพีขนาดคนพม่ายังรู้และเป็นกระแสในวงโซเชียลเมียนมาด้วย

แต่เอย่าอยากให้พักดรามาร้อน ๆ แล้วหันมารับรู้ประเด็นร้อนในโลกความเป็นจริงที่ฟังแล้วเราควรจะปวดขมับดีหรือจะชั่งมันดี

ประเด็นแรกมีอยู่ว่าตอนนี้ตามแนวชายแดนไทยมีคนพม่าจำนวนมากเข้ามาเพื่อจะทำ ‘บัตรหัว 0’

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกันก่อนว่าบัตรหัว 0 คือบัตรอะไร? บัตรหัว 0 หรือบัตรผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียนไม่มีสัญชาติไทยนั่นเอง

ซึ่งหลายคนรู้จักกันในชื่อบัตรชมพู หรือบัตร 10 ปีที่เอย่าเคยเล่ามาในบทความก่อนๆแล้ว โดยข้อดีของบัตรนี้คือถ้าพ่อแม่ถือบัตรหัว 0 ลูกที่เกิดมาจะสามารถขอสัญชาติไทยได้เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์นั่นเอง นั่นทำให้คนพม่าแห่เข้ามาเพื่อมารอทำบัตรหัว 0 กันอย่างเนืองแน่น เพราะเขาคิดว่าหากถูกถอนสัญชาติหรือพาสปอร์ตหมดอายุและไม่ต่ออายุด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม คนกลุ่มนี้ก็สามารถอาศัยในไทยได้ เพราะใช้บัตรดังกล่าว แถมบัตรนี้ออกโดยทางการไทยจะขอลี้ภัยไปประเทศไหนก็ง่ายดายเพราะมีข้อมูลยืนยัน

และที่เป็นประเด็นร้อนในขณะนี้คือข้าราชการฝ่ายปกครองต่างพยายามออกบัตรหัว 0 กันอย่างคึกคัก เพราะคิดราคาต่อใบ ใบละ 200,000 - 300,000 บาทต่อคน จนท่านผู้ว่าราชการจังหวัดต้องลงมาลุยเองเรื่องถึงได้เงียบลง แหม่ช่างเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจชายแดนให้คึกคักเสียจริง

ประเด็นที่ 2 ก็ร้อนแรงไม่แพ้กันว่ากันว่ามีขบวนการพม่ารับขนเด็กจากชายแดนมายังกรุงเทพโดยขบวนการนี้จะทำการสวมสูติบัตรเด็กคนอื่นที่ไปเช่ามาใบละ 500-1,000 บาท

โดยเด็กกลุ่มที่มีฐานะดีหน่อยถูกพาไปหาพ่อแม่ตัวจริงในกรุงเทพ ในขณะที่เด็กอีกกลุ่มเป็นเด็กที่พ่อแม่ขายมาให้เป็นแรงงานในไทย โดยขบวนการนี้คิดค่าดำเนินการ 3,000-7,000 บาท  ข่าวว่ากันว่า กลุ่มที่ทำงานตรงนี้มี 2 กลุ่มคือกลุ่มพม่าเชื้อสายแขกกับกลุ่มพม่าชาติพันธุ์ที่อาศัยในไทยมาเป็นเวลานาน โดยมีข้าราชการไทยบางคนร่วมขบวนการ

เห็นเรื่องที่ 2 นี่เอย่าคิดถึงลุงตู่เลยที่ท่านพยายามอย่างหนักเพื่อให้ไทยเราปลอดการค้ามนุษย์แต่สุดท้ายก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่ร่วมมือกับคนต่างด้าวทำลายชื่อเสียงของประเทศไทย

ว่าแล้ว....เราควรจะวางเฉยแล้วเสพดรามากันต่อไปหรือจะเริ่มสอดส่องภัยใกล้ตัวขึ้นอยู่ตัวพวกเราด้วยกันเอง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top