Tuesday, 22 April 2025
พิชัย_ชุณหวชิร

เปิดโปร์ไฟล์ 5 รมต.ใหม่ รัฐบาลเศรษฐา ดีกรีไม่ธรรมดา ผ่านงานใหญ่ มาอย่างโชกโชน

(28 เม.ย. 67) หลังจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง คณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐา 1/1 มีรัฐมนตรีใหม่ป้ายแดงเข้ามาดำรงตำแหน่งในครั้งนี้ 5 คน จากพรรคเพื่อไทย 4 คน ได้แก่ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรมว.คลัง นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง นายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี น.ส.จิราพร สินธุไพร รมต.ประจำสำนักนายกฯ และจากพรรคพลังประชารัฐ 1 คน คือ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รมช.เกษตรและสหกรณ์

แต่ละคนมีโปรไฟล์น่าสนใจ ดังนี้

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรมว.คลัง เกิดเมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2492 อายุ 75 ปี ปริญญาตรี พาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาโท บริหารธุรกิจ Indiana University of Pennsylvania สหรัฐอเมริกา

เคยดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่ง อาทิ กรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย นายกสภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประธานกรรมการ และกรรมการ กลุ่มบริษัท บางจาก 3 แห่ง ที่ปรึกษาคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน

15 ก.ย.2566 นายกฯ แต่งตั้งเป็น ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี

11 ม.ค.2567 ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มีวาระ 3 ปี

6 ก.พ.2567 นั่ง ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ คนที่ 18

24 เม.ย.2567 ที่ผ่านมา ยื่นลาออกจากประธานบอร์ด ตลท. และทุกตำแหน่งในกลุ่มบริษัท บางจาก

เพื่อมารับตำแหน่งเสนาบดีเกรดเอ ในเก้าอี้ รองนายกฯและรมว.คลัง
ภารกิจหลักเพื่อช่วยรัฐบาลเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ที่ประกาศเงินจะเข้ากระเป๋าประชาชนในไตรมาส 4

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง ชื่อเล่น อ๊อฟ เกิด 22 ก.พ.2526 อายุ 41 ปี
จบปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัลเกษตรศาสตร์ ปริญญาโท บริหารธุรกิจ ม.แมสซาชูเซตส์ บอสตัน ปริญญาโท และปริญญาเอก เศรษฐศาสตร์ ม.อิลลินอย ชิคาโก

รับราชการที่สำนักนโยบายระบบการเงินและสถาบันการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
ลาออกมาทำงานการเมืองในพรรคเพื่อไทย เป็นทีมงานให้กับ ภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค เป็นรองเลขาธิการพรรค ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2561 และขยับขึ้นดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคในปี 2566

หนึ่งในบุคคลที่มีส่วนผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเล็ต และร่วมเป็นกรรมการนโยบายโครงการดังกล่าว จากเลขานุการรมว.คลัง ปรับครม.หนนี้เลยได้ขยับสู่รมช.คลัง

นายพิชิต ชื่นบาน รมต.สำนักนายกฯ อายุ 65 ปี ชาวปราจีนบุรี จบปริญญาตรี นิติศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับ 2) ม.รามคำแหง ปริญญาโท นิติศาสตรมหาบัณฑิต ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ สาขากฎหมายมหาชน เนติบัณฑิตไทย ปริญญาเอก บริหารธุรกิจอุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

เป็นทนายความและที่ปรึกษากฎหมายให้เอกชนชื่อดังหลายบริษัท เป็นหัวหน้าทีมทนายความต่อสู้คดี ให้ครอบครัวชินวัตร ตั้งแต่พรรคไทยรักไทยถูกรัฐประหาร ปี 2549 ทีมทนายความต่อสู้คดีให้ 4 อดีตนายกฯ นายทักษิณ ชินวัตร นายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

เคยเป็นประธานที่ปรึกษากฎหมายให้พรรคไทยรักษาชาติ ตอนจัดตั้งรัฐบาลเศรษฐา 1 มีชื่อติดโผ รมต.สำนักนายกฯ มาแล้ว แต่ถูกจับตาเรื่องคุณสมบัติ ปมถุงขนม 2 ล้าน เจ้าตัวไม่อยากให้การตั้งรัฐบาลยืดเยื้อ เลยยอมถอย ก่อนได้นั่งที่ปรึกษานายกฯ ปรับครม.เศรษฐา 1/1 จึงได้ขึ้นนั่งรัฐมนตรีครั้งแรก

น.ส.จิราพร สินธุไพร รมต.สำนักนายกฯ ชื่อเล่น ‘น้ำ’ เกิดวันที่ 1 ก.ย. 2530 อายุ 37 ปี
ลูกสาวคนโตของ นิสิต สินธุไพร อดีตสส.ร้อยเอ็ด และอดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ จบ ปริญญาตรี คณะศิลปศาสตร์บัณฑิต ม.อัสสัมชัญ ปริญญาโท 2 ใบ รัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และธุรกิจระหว่างประเทศ เกียรตินิยมอันดับ 2 มหาวิทยาลัยเรดดิ้ง ประเทศอังกฤษ

เคยเป็นนักวิชาการพาณิชย์ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ลงสมัครสส.ครั้งแรกในปี 2562 ได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนสูงเป็นอันดับที่ 1 ของร้อยเอ็ด ปี 2562 เป็นรองโฆษกพรรคเพื่อไทย ถึงการเลือกตั้ง 2566 ชนะเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 2 ปัจจุบันเป็นรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในยุค แพทองธาร ชินวัตร นั่งหัวหน้าพรรค และเป็นวิปรัฐบาล ประเดิมเก้าอี้รัฐมนตรีครั้งแรกกับตำแหน่ง รมต.สำนักนายกฯ

นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รมช.เกษตรและสหกรณ์อายุ 40 ปี เกิดเมื่อ 7 ส.ค. 2527 ที่อ.พนมสารคาม ฉะเชิงเทรา ลูกชายของ อิทธิ ศิริลัทธยากร อดีตรมช.คมนาคม
จบปริญญาตรี ด้าน Communication Arts จาก ม.กรุงเทพ ปริญญาโท Marketing Management จาก MIDDLESEX UNIVERSITY ประเทศอังกฤษ 

ทำธุรกิจส่วนตัว ปี 2554 จึงลงสมัคร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้รับเลือกตั้งเป็น สส.สมัยแรก ต่อมาเลือกตั้งปี 2562 ย้ายมาสังกัดพรรคพลังประชารัฐ ลง สส.บัญชีรายชื่อ ได้รับเลือกตั้งอีกครั้ง มิ.ย.2564 ได้รับเลือกเป็น กก.บห.พรรคพลังประชารัฐและโฆษกพรรค

ปี 2567 ถูกพรรคขับพร้อม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า แล้วย้ายไปสังกัดพรรคชาติพัฒนากล้า ได้เป็นรองหัวหน้าพรรค ที่สุดย้ายกลับพลังประชารัฐพร้อมร.อ.ธรรมนัส อีกครั้ง
ปรับครม.ครั้งนี้ ไผ่ ลิกค์ ติดปัญหาคุณสมบัติ ผู้กอง จึงดัน อรรถกร นั่งเก้าอี้รมช.เกษตรฯ แทน

'อ.พงษ์ภาณุ' ยก 4 เรื่องที่เป็นอุปสรรคขวากหนามของประเทศ หวัง 'พิชัย ชุณหวชิร' สะสาง พา ศก.ไทยสู่เป้าหมายที่รัฐบาลวางไว้

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่มาร่วมพูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'ของฝากถึงรัฐมนตรีคลัง' เมื่อวันที่ 5 พ.ค.67 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

น่าเสียดายที่เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวเร็วอย่างที่คาด

เมื่อสิ้นไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 หลายสำนักรวมทั้งสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ต่างก็ปรับลดประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจลงเหลือไม่ถึง 3% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าศักยภาพของไทย แม้ว่าจะมีพัฒนาการที่ดีหลายประการในช่วงปลายไตรมาส อาทิ งบประมาณประจำปี 2567 มีผลบังคับใช้ / มาตรการดิจิทัลวอลเล็ตเริ่มมีความชัดเจน / นักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาไทยอย่างท่วมท้นจนดุลบริการและดุลการชำระเงินเกินดุล แต่น่าเสียดายที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกลับทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลอง โดยตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับสูง และไม่ฟังเสียงสาปแช่งจากประชาชนทั่วประเทศ

อย่างไรก็ตามความหวังของคนไทยเริ่มจุดประกายขึ้นใหม่ เมื่อเราได้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังท่านใหม่ที่ชื่อ 'พิชัย ชุณหวชิร' ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ด้านการเงินการคลังมาอย่างโชกโชน และเป็นที่ยอมรับในทุกวงการ เราเชื่อมั่นว่าท่านจะนำพาเศรษฐกิจไทยไปสู่เป้าหมายที่รัฐบาลวางไว้ได้ หากสามารถสะสางงาน 3-4 เรื่องที่เป็นอุปสรรคขวากหนามของประเทศอยู่ ดังนี้...

ประการแรก ความขัดแย้งระหว่างนโยบายการคลังและนโยบายการเงิน ได้เป็นตัวบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างรุนแรง ไม่มีที่ไหนในโลกปล่อยให้ธนาคารกลางมีอิสระอย่างไร้ขอบเขตและไร้จิตสำนึกเช่นประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทยล้มเหลวในการดำเนินนโยบายการเงินอย่างสิ้นเชิง ปี 2565 เงินเฟ้อขึ้นไปสูงถึงกว่า 6% พอปี 2566 เงินเฟ้อกลับติดลบจนจะเข้าสู่ภาวะเงินฝืด (Deflation) เพราะการขึ้นดอกเบี้ยที่ผิดจังหวะจะโคน นโยบายการเงินจึงเป็นตัวถ่วงความเจริญของประเทศ หากไม่สามารถเรียกความร่วมมือจากนโยบายการเงินได้ ก็สมควรที่จะพิจารณาเปลี่ยนตัวบุคคลที่คุมนโยบายนั้นเสีย

ประการที่สอง การปรับโครงสร้างการคลังเข้าสู่สมดุล โดยเฉพาะการปฏิรูปภาษีอากรเพื่อเพิ่มรายได้รัฐบาล ขณะนี้รายได้ภาษีของไทยอยู่ที่ระดับเพียง 13% ของ GDP ซึ่งต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น และไม่เพียงพอต่อความจำเป็นในการใช้จ่ายของรัฐบาล เป็นเหตุให้ต้องกู้เงินจนหนี้สาธารณะอยู่ในระดับสูงในปัจจุบัน ระยะต่อไปรัฐยังมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายจำนวนมากเพื่อรองรับสังคมสูงอายุ จัดโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ตลอดจนการป้องกันประเทศ เป็นต้น

ประการที่สาม ภาวะโลกร้อนทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น แม้ว่าจะดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการคลังโดยตรง แต่กระทรวงการคลังมีบทบาทสำคัญในการจัดโครงสร้างแรงจูงใจและการจัดสรรทรัพยากรไปสู่การลงทุนในโครงการที่เอื้อต่อการลดคาร์บอน รวมทั้งการจัดการตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตในฐานะที่เป็นหลักทรัพย์ประเภทหนึ่ง

ประการสุดท้าย ในฐานะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังท่านนี้เป็นบุคคลในวงการกีฬา ประกอบกับปีนี้จะ มีมหกรรมกีฬาโอลิมปิกที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ก็อยากขอให้ท่านรัฐมนตรีสนับสนุนการพัฒนากีฬาของประเทศเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการใช้เงินของกองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ ซึ่งมาจากเงินภาษีอากร ดูเหมือนจะยังไม่มีประสิทธิภาพและมีการรั่วไหลอยู่พอสมควร เราเชื่อมั่นว่าหากท่านรัฐมนตรีเข้ามาจัดการวงการกีฬาอย่างจริงจัง ก็น่าจะสามารถทำให้คนไทยมีความสุขกับความสำเร็จของทีมนักกีฬาไทยในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกปารีสนี้

'ครม.ไฟเขียว!! 'คลัง' แจกหมื่นกลุ่มเปราะบาง 14.55 ล้านคน เริ่ม 25 ก.ย.นี้ พร้อมยืนยัน!! เดินหน้า 'ดิจิทัลวอลเล็ต' 10,000 บาท เฟส 2 แน่นอน

(17 ก.ย. 67) ทำเนียบรัฐบาล นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 17 ก.ย. 2567 มีมติเห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ โดยรัฐจะจ่ายเงินสดจำนวน 10,000 บาทต่อคน ให้กลุ่มเป้าหมายรวมประมาณ 14.55 ล้านราย ซึ่งสามารถนำไปใช้จ่ายซื้อสินค้าที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตโดยไม่จำกัดประเภทร้านค้า มั่นใจว่าสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบและกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศในช่วงปลายปี 2567 ได้อย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าการมีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจ 145,552.40 ล้านบาท ช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 0.35% ต่อปี เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีโครงการ

“เชื่อว่าโครงการนี้ จะมีผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ให้ขยายตัวได้ อาจไม่ถึง 3% แต่ก็ใกล้เคียง”

โดยรัฐจะจ่ายเงิน 10,000 บาท ให้แก่กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการ ประมาณ 12.40 ล้านราย ผ่านบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชนหรือผ่านบัญชีเงินฝากธนาคารตามที่ได้แจ้งความประสงค์เป็นหนังสือ ณ สำนักงานคลังจังหวัดหรือกรมบัญชีกลาง (เฉพาะกรณีผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป)

ส่วนกลุ่มคนพิการ ซึ่งเป็นผู้เปราะบางที่ขาดความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ประมาณ 2.15 ล้านราย  รัฐจะจ่ายเงินสด 10,000 บาทต่อคน ผ่าน 2 ช่องทาง ได้แก่ 

1.ช่องทางการรับเงินเบี้ยความพิการที่ได้รับข้อมูลจาก อปท. กทม. และเมืองพัทยา 
2.บัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชนของคนพิการ (กรณีไม่ปรากฏข้อมูลช่องทางการรับเงินเบี้ยความพิการตามข้อ 1 ให้มีโอกาสเข้าถึงการใช้จ่ายที่สามารถสนองตอบต่อความต้องการและความจำเป็นของคนพิการแต่ละประเภท

สำหรับการดำเนินการทั้ง 2 โครงการ กระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางจะเริ่มทยอยจ่ายเงินให้แก่ กลุ่มเป้าหมายตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย. 2567 เป็นต้นไป โดยขณะนี้กระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางได้เตรียมความพร้อมที่จะจ่ายเงิน กลุ่มคนพิการ และผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีเลขประจำตัวประชาชนหลักสุดท้ายเป็นเลข 0 จะได้รับเงินวันที่ 25 ก.ย. 2567

คนพิการ และผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีเลขประจำตัวประชาชนหลักสุดท้ายเป็นเลข 1-3 จะได้รับเงินวันที่ 26 ก.ย. 2567

คนพิการ และผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีเลขประจำตัวประชาชนหลักสุดท้ายเป็นเลข 4-7 จะได้รับเงินวันที่ 27 ก.ย. 2567

คนพิการ และผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีเลขประจำตัวประชาชนหลักสุดท้ายเป็นเลข 8-9 จะได้รับเงินวันที่ 30 ก.ย. 2567

ในกรณีที่จ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมายไม่สำเร็จในครั้งแรก จะมีการดำเนินการจ่ายเงินซ้ำ (Retry) ให้กลุ่มเป้าหมายดังกล่าว 3 ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ 1 ภายในวันที่ 22 ต.ค.2567 / ครั้งที่ 2 ภายในวันที่ 22 พ.ย.2567 และครั้งที่ 3 ภายในวันที่ 22 ธ.ค.2567 โดยเมื่อพ้นกำหนดการ Retry ครั้งที่ 3 แล้ว จะยุติการจ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมาย และถือว่ากลุ่มเป้าหมายไม่ประสงค์รับเงินภายใต้โครงการ

อย่างไรก็ตาม ขอให้กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการและคนพิการตามเป้าหมายของโครงการดำเนินการตรวจสอบบัญชีธนาคารที่ผูกพร้อมเพย์ กับเลขประจำตัวประชาชนว่ายังสามารถใช้งานได้หรือไม่ หรือหาก มีบัญชีธนาคารเดิมอยู่แล้วแต่ยังไม่ได้ผูกพร้อมเพย์ ขอให้ดำเนินการผูกพร้อมเพย์ด้วยเลขประจำตัวประชาชน และสำหรับคนพิการที่ไม่มีบัตรประจำตัวคนพิการหรือบัตรประจำตัวคนพิการหมดอายุ ขอให้ทำบัตรหรือต่ออายุบัตรให้เรียบร้อยภายในวันที่ 3 ธ.ค. 2567 เพื่อรับสิทธิตามโครงการดังกล่าว

ทั้งนี้ เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพและเพิ่มศักยภาพของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ให้เข้าถึงการใช้จ่ายที่จำเป็นในการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เมื่อผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้นจะช่วยก่อให้เกิดการผลิต การค้าขาย การจ้างงาน และการคมนาคมขนส่งตามมา ซึ่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นจะเอื้อให้ภาครัฐสามารถจัดเก็บภาษีอากรได้เพิ่มขึ้นในระยะต่อไป

ส่วนการลงทะเบียนสำหรับผู้มีสิทธิรับเงินโครงการดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท แต่ไม่มีโทรศัพท์สมาร์ตโฟนนั้น จะมีการตั้งคณะกรรมการเพื่อหารือและกำหนดรายละเอียดให้มีความชัดเจนหลังจากการจ่ายเงินกลุ่มเปราะบางเสร็จเรียบร้อยแล้วอีกครั้ง พร้อมยืนยันว่าโครงการดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท เฟส 2 ยืนยันจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ยังเป็นการสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของรัฐบาล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top