Tuesday, 6 May 2025
พล.ต.ท.อาชยน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติสรุปผลงานประจำปี 2567 จับกุมคดีอาญาได้เกือบ 5 แสนคดี คดียาเสพติดกว่า 2 แสนคดี คดีออนไลน์อีกว่า 3 หมื่นคดี พร้อมเดินหน้าปราบปรามอาชญากรรมทุกประเภท เพื่อความผาสุกแก่ประชาชน

(30 ธ.ค. 67) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีนโยบายให้ตำรวจทุกหน่วยดำเนินการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทุกมิติ ตามนโยบายรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเคร่งครัด จริงจัง และต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมามีผลการปฏิบัติเป็นที่น่าพอใจ โดยผลงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติประจำปี 2567 ในส่วนของการดำเนินคดีความผิดอาญา ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 26 ธันวาคม 2567 รวมทั้งหมดกว่า 500,000 คดี จับกุมได้ 479,516 คดี คิดเป็นร้อยละ 93 แบ่งเป็น 

1. คดีอาญา 5 กลุ่ม ทั้งหมด 218,421 คดี จับกุมได้ 196,148 คดี ผู้ต้องหา 237,223 คน 
1.1 ประเภทความคดีผิดอุกฉกรรจ์และสะเทือนขวัญ 2,280 คดี จับกุมได้ 2,158 คดี ผู้ต้องหา 3,003 คน คิดเป็นร้อยละ 95 
1.2 ประเภทคดีความผิดเกี่ยวกับชีวิต ร่างกาย และเพศ 16,618 คดี จับกุมได้ 15,790 คดี ผู้ต้องหา 21,273 คน คิดเป็นร้อยละ 95 
1.3 ประเภทคดีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ 42,330 คดี จับกุมได้ 39,308 คดี ผู้ต้องหา 47,297 คน คิดเป็นร้อยละ 93 
1.4 ประเภทคดีที่น่าสนใจ 32,582 คดี จับกุมได้ 17,514 คดี ผู้ต้องหา 21,238 คน คิดเป็นร้อยละ 54 
1.5 ประเภทคดีที่รัฐเป็นผู้เสียหาย 124,611 คดี จับกุมได้ 121,378 คดี , ผู้ต้องหา 144,412 คน คิดเป็นร้อยละ  97 

2. การปราบปรามยาเสพติดนโยบายสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาล : สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ตั้งศูนย์อำนวยการปราบปรามยาเสพติด ขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมด 249,029 คดี จับกุมได้ 241,607 คดี ผู้ต้องหา 250,878 คน ในจำนวนนี้เป็นการจับกุมข้อหาความผิดร้ายแรง 34,959 คดี ยึดทรัพย์ 118,836 รายการ มูลค่า 13,000 ล้านบาท ออกหมายจับ 1,362 หมาย ดำเนินคดีฟอกเงิน 208 ราย ยึดของกลางยาเสพติด ยาบ้า 1,026 ล้านเม็ด , ไอซ์ 33,136 กิโลกรัม , เฮโรอีน 1,955 กิโลกรัม , ยาอี 203,692 เม็ด , เคตามีน 5,000 กิโลกรัม และอื่นๆ

3. คดีความผิดเฉพาะทาง เช่น ความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก , ความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ เป็นต้น จับกุมได้ 8,050 คดี ผู้ต้องหา 9,422 คน

4. การปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี การพนันออนไลน์ : ถือเป็นนโยบายสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนดำเนินการอย่างจริงจังในทุกมิติ รับแจ้งความออนไลน์รวม 305,762 เรื่อง ความเสียหาย 35,416 ล้านบาท ขออายัดบัญชี 336,943 บัญชี อายัดได้ 7,326 ล้านบาท สถิติประเภทคดีที่เกิดสูงสุด ได้แก่ หลอกซื้อขายสินค้าหรือบริการ (ไม่เป็นขบวนการ) , หลอกให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ , หลอกให้กู้เงิน , หลอกให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ , ข่มขู่ทางโทรศัพท์ (Call
Center) โดยระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 จับกุมได้ 33,280 คดี ผู้ต้องหา 33,635 ราย ออกหมายจับ 871 หมาย แยกเป็น 
4.1 การหลอกลวงออนไลน์ทางด้านการเงิน 2,901 คดี ผู้ต้องหา 2,896 ราย 
4.2 การหลอกลวงจำหน่ายสินค้าออนไลน์และสินค้าผิดกฎหมาย 4,858 คดี ผู้ต้องหา 4,973 ราย   
4.3 การเผยแพร่ข่าวปลอมและความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ 6,117 คดี ผู้ต้องหา 5,857 ราย 
4.4 การล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็ก สตรีทางอินเตอร์เน็ตและค้ามนุษย์ 340 คดี ผู้ต้องหา 445 ราย 
4.5 การพนันออนไลน์ อาชญากรรมข้ามชาติอื่น ๆ 15,395 คดี ผู้ต้องหา 15,885 ราย
4.6 ความผิดประเภทซิมผี บัญชีม้า 3,669 คดี ผู้ต้องหา 3579 ราย

5. คดีอื่นๆ จับกุมได้ 431 คดี ผู้ต้องหา 826 คน

นอกจากนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ตั้งคณะทำงานเพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมและคดีที่ประชาชนให้ความสนใจที่สำคัญ ได้แก่  
1 คดีฉ้อโกง บริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด : มีผู้เสียหายแจ้ง 10,352 ราย ยอดความเสียหายเกือบ 3,000 ล้านบาท ได้ออกหมายจับและจับกุมตัวผู้ต้องหา 18 ราย พร้อมยึดอายัดทรัพย์สินหลายรายการ 

2. คดีฉ้อโกงทอง บริษัท เคทูเอ็น โกลด์ จ จำกัด (คดีทองแม่ตั๊ก) : รวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับและจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ 2 ราย ยึดอายัดรถยนต์หรู 6 คัน และเงิน 20 ล้านบาท รวมทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องทั้งสิ้น 70 ล้านบาท พบเป็นผู้เสียหาย 3,827 ราย ความเสียหาย 130 ล้านบาท 

3. คดีฉ้อโกงประชาชนจับกุมยูทูบเบอร์นัตตี้ : ออกหมายจับผู้ต้องหา 2 ราย รวม 15 หมายจับ มีผู้เสียหาย 6,000 คน มูลค่าความเสียหาย 2,000 ล้านบาท ประสานขอความร่วมมือตำรวจต่างประเทศ และตำรวจสากล นำตัวผู้ต้องหาทั้งสองรายกลับมาดำเนินคดีในประเทศได้สำเร็จ  
 
4. คดีไฟไหม้รถบัสนักเรียน : แจ้งข้อกล่าวหากลุ่มผู้ต้องหา 3 ราย ได้แก่ คนขับรถเจ้าของรถและผู้ประกอบการ ในความผิดเกี่ยวกับกระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายสาหัส และไม่หยุดแสดงตัวต่อเจ้าพนักงาน และสืบสวนขยายผลผู้มีส่วนเกี่ยวข้องรายอื่น เช่น ผู้ดัดแปลง ติดตั้งถังแก๊ส ผู้ตรวจสภาพ

5. เปิดยุทธการปราบปรามผู้มีอิทธิพลและจัดตั้งศูนย์ปราบปราบผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้างและผู้ร้ายรายสำคัญ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอร.ตร.) : ปฏิบัติการตรวจค้นจับกุมแก๊งอาชญากรรม, เงินกู้นอกระบบ , ผู้มีอิทธิพล , ฮั้วประมูล, บุกรุกที่สาธารณะ 2 ยุทธการ ได้แก่ ยุทธการ “พิทักษ์ประชาราษฎร์ 767” ตรวจค้น 183 จุด 200 เป้าหมาย จับกุมผู้ต้องหา 87 ราย พร้อมอาวุธปืน 880 กระบอก , อาวุธสงคราม , เครื่องกระสุน 6,946 นัด , ยาบ้า 7,726,626 เม็ด และอื่นๆ จำนวนมาก โดยเป็นคดีที่สำคัญ เช่น แก๊งฮั้วประมูลกำนันนก , แก๊งยาเสพติด จิ๊บไผ่เขียว อยุธยา เป็นต้น และยุทธการ “CIB ขยี้อิทธิพล” ตรวจค้น 118 จุด จำนวน 121 จับกุมผู้ต้องหา 102 ราย  พร้อมอาวุธปืน เครื่องกระสุน ยาเสพติด และของกลางอื่นๆ อีกหลายรายการ โดยเป็นคดีที่สำคัญ เช่น กลุ่มขบวนการโจรกรรมรถทั่วประเทศ, ลักลอบค้าสัตว์ป่า จ.ราชบุรี, ตลาดที่มีคนต่างด้าว พื้นที่เขตบางบอน กรุงเทพมหานคร , ยุทธการปราบปรามผู้มีอิทธิพลพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรีและจังหวัดอื่น ๆ เป็นต้น

พร้อมกันนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดสวัสดิการ แก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการตำรวจ : โดยได้ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาหนี้สินโดยเร่งรัดแก้ไขปัญหาในกลุ่มสีแดง (ถูกฟ้อง) และกลุ่มอื่นๆ ในภาพรวม รวมทั้งปลูกฝังความรู้และปรับเปลี่ยนทัศนคติในเรื่องเกี่ยวกับการบริหารการเงินและวินัยทางการเงิน รวมทั้งความรู้ในเรื่องการลงทุนและการออมให้แก่ตำรวจตั้งแต่เป็นนักเรียนตำรวจ และบรรจุลงในหลักสูตรต่างๆ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีข้าราชการตำรวจ ลูกจ้าง สมัครเข้าร่วมโครงการ 11,810 ราย แก้ไขหนี้สินสำเร็จ 7,835 ราย เป็นเงิน 10,804 ล้านบาท 

และล่าสุดสำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบของขวัญปีใหม่ประชาชน จำนวน 5 โครงการ ได้แก่ 
1. โครงการ Cyber Check : ช่วยคัดกรองมิจฉาชีพจากเบอร์โทรปริศนา รวมทั้งใช้ตรวจสอบเลขบัญชีธนาคารก่อนจะโอนเงิน 
2. โครงการพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพการรับแจ้งเหตุฉุกเฉิน นักท่องเที่ยว ผ่านแอปพลิเคชัน Thailand Tourist Police แนะนำข้อมูลข่าวสารแก่นักท่องเที่ยว     
3. โครงการบูรณาการระบบบริหารรับแจ้งเหตุนักท่องเที่ยว 1155 และศูนย์ประสานงานการแก้ไขปัญหานักท่องเที่ยวแบบรวมศูนย์ 
4. โครงการส่วนลดพิเศษสำหรับที่พัก The Cop Hotel and Villa Pattaya สำหรับข้าราชการตำรวจและประชาชนทั่วไปสามารถเข้าพักได้ ในราคาพิเศษ 
5. โครงการห้องพักทั่วไทย จากใจตำรวจทางหลวง 205 แห่ง ทั่วประเทศ (20 ธันวาคม 2567 ถึง 10 มกราคม 2568) รวมทั้งมีจุดกางเต็นท์สำหรับสายแคมป์ปิ้ง โดยบริการฟรีทั่วประเทศ

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมุ่งมั่นขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล และปรับวิธีคิดเจ้าหน้าที่ตำรวจ เร่งปราบปรามอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างจริงจัง ต่อเนื่องโดยเฉพาะคดียาเสพติด อาชญากรรมออนไลน์ ฉ้อโกงประชาชน ผู้มีอิทธิพล ฯลฯ เน้นการปฏิบัติหน้าที่ตามยุทธวิธีตำรวจ หลักกฎหมาย สุจริต โปร่งใส เพื่อให้ความผาสุกเกิดแก่ประชาชนต่อไป

ผบ.ตร.สั่งดำเนินคดีแก็งลูกตำรวจรุมทำร้ายเหยื่อพื้นที่ สน.ลาดพร้าว ตรวจค้นบ้านพบปืน 3 กระบอก ย้ำเป็นลูกตำรวจก็ต้องเคารพกฎหมาย และควรทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดีในสังคม หากทำผิดต้องถูกดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมาด้วยเช่นกัน

(23 ม.ค. 68) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึง กรณีมีผู้ร้องพาผู้เสียหายเดินทางมาพบตำรวจ สน.ลาดพร้าว ติดตามคดีที่ถูกกลุ่มวัยรุ่นที่มีข่าวว่าเป็นแก๊งลูกตำรวจ รุมทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดกลางดึกวันที่ 21 มกราคม ที่ผ่านมา ภายในซอยลาดพร้าว 101 

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้รับรายงาน และสั่งการให้ พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เร่งติดตามตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี พร้อมดูแลให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียหาย 

ล่าสุดตำรวจชุดสืบสวนได้ติดตามจับกุมผู้กระทำผิดแล้ว โดยในรายของนายมาตี้ ซึ่งเป็นลูกของตำรวจนั้น จากการตรวจสอบพบว่าเป็นของลูกตำรวจจริง แต่พ่อแม่แยกทางกัน โดยนายมาตี้ได้อาศัยอยู่กับทางแม่ ซึ่งตำรวจได้นำกำลังไปตรวจค้นที่บ้านพักในพื้นที่ สน.บางชัน พบปืนไทยประดิษฐ์ 3 กระบอก บนฝ้าเพดานภายในบ้านพัก ได้ทำการตรวจยึด และดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว

ส่วนผู้ต้องหารายอื่นๆ ตำรวจได้ดำเนินอย่างเต็มที่ทุกรายในแนวทางเดียวกัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มแก๊งวัยรุ่น เป็นเยาวชนที่จะต้องดำเนินการภายในกรอบของกฎหมายที่ให้อำนาจดำเนินการ 

นอกจากนี้ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ผบ.ตร.สั่งการให้ดำเนินคดีนี้อย่างเด็ดขาด ตรงไปตรงมา ไม่มีการช่วยเหลือกัน ไม่ว่าจะเป็นลูกตำรวจ หรือลูกใคร หากทำผิดก็ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ไม่มียกเว้น  ยิ่งเป็นลูกตำรวจ ยิ่งควรทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดีในสังคมมากกว่าเด็กทั่วไป ซึ่งเรื่องนี้ ผบ.ตร.ได้กำชับไปยังข้าราชการตำรวจในการสอดส่องดูแลบุตรหลาน รวมทั้งให้ผู้บังคับบัญชาลงไปสอดส่องดูแลอีกส่วนหนึ่งแล้ว

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแสดงความเสียใจกับการสูญเสียตำรวจน้ำดี “ส.ต.อ.เจริญพรฯ” ตำรวจ สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี ช่วยคนขับรถจักรยานยนต์โซ่ขาด ถูกรถพุ่งชนจนเสียชีวิต 

(29 ม.ค. 68) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สูญเสียตำรวจน้ำดีอีก 1 ราย กรณี ส.ต.อ.เจริญพร เนียมนิยม อายุ 35 ปี ผู้บังคับหมู่ งานป้องกันและปราบปราม สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี ปฏิบัติหน้าที่ตำรวจสายตรวจหน่วยบริการประชาชนบ้านบางใหญ่ ซึ่งถูกรถกระบะพุ่งชนท้ายระหว่างช่วยเหลือคนขับรถจักรยานยนต์โซ่ขาด ทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมาที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี เมื่อคืนวันที่ 27 มกราคม ที่ผ่านมา 

เหตุดังกล่าวเกิดเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2568 เวลาประมาณ 18.10 น. ส.ต.อ.เจริญพร เนียมนิยม ผบ.หมู่ (ป.) สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ออกตรวจพื้นที่รับผิดชอบ และได้เข้าช่วยเหลือรถจักรยานยนต์ของผู้อื่นซึ่งเกิดโซ่รถหลุดระหว่างทาง ด้วยการพาไปซ่อมบริเวณที่พักสายตรวจบางใหญ่ โดย ส.ต.อ.เจริญพรฯ ใช้เท้ายันรถจักรยานยนต์คันที่โซ่ชำรุดทางด้านหลัง โดยให้เจ้าของรถนั่งประคองรถของตนเองไป เมื่อไปถึงบริเวณ ถ.เลี่ยงเมือง ตรงข้ามสถานีบริการน้ำมันเชลล์ ต.มะขามเตี้ย อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี ได้ถูกรถยนต์กระบะคู่กรณีแล่นเข้ามาเฉี่ยวชนทางด้านหลัง เป็นเหตุให้ ส.ต.อ.เจริญพรฯ เสียชีวิตในเวลา 

นอกจากนี้ เนื่องจาก ส.ต.อ.เจริญพรฯ ผู้เสียชีวิต ได้เคยแจ้งความประสงค์บริจาคอวัยวะกับสภากาชาดไทย ล่าสุดภรรยาของ ส.ต.อ.เจริญพรฯ จึงได้ติดต่อศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี และศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย ในการบริจาคอวัยวะ ซึ่งคณะแพทย์โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีได้ผ่าตัดอวัยวะสำคัญของ ส.ต.อ.เจริญพรฯ เพื่อนำไปปลูกถ่ายให้กับผู้ป่วย 5 คน ต่อไปแล้ว

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติรับทราบกรณีดังกล่าว ได้แสดงความเสียใจต่อครอบครัวของ ส.ต.อ.เจริญพรฯ ผู้เสียชีวิต พร้อมยกย่อง ส.ต.อ.เจริญพรฯ ปฏิบัติหน้าที่สมกับความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ช่วยเหลือประชาชนจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต นับเป็นอีกหนึ่งความสูญเสียครั้งสำคัญของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมชื่นชมภรรยาของ ส.ต.อ.เจริญพรฯ ที่ติดต่อบริจาคอวัยวะตามเจตจำนงของผู้เสียชีวิต ทั้งนี้ ได้สั่งการให้ผู้บังคับบัญชาดูแลสิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เบื้องต้นครอบครัวจะได้รับเงินช่วยเหลือประมาณ 1,150,000 บาท เลื่อนเงินเดือนไม่เกิน 3 ขั้น และเสนอเลื่อนยศเป็น ร.ต.ต.

ผบ.ตร.สั่งดำเนินการเด็ดขาด รอง ผบก.อก.ภ.8 หลังถูกตรวจพบโพยทุจริตการสอบตุลาการประจำศาลปกครองชั้นต้น ให้ต้นสังกัดตั้งสอบวินัยร้ายแรง ฐานเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง

(17 มี.ค 68) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึง กรณีสื่อสังคมออนไลน์ วิพากษ์วิจารณ์คลิป เจ้าหน้าที่ตำรวจ ยศ พ.ต.อ. ถูกเจ้าหน้าที่คุมสอบ จับได้ว่า นำโพยเข้าไปห้องสอบ ตุลาการศาลปกครองชั้นต้นว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ทราบเรื่องแล้ว ได้สั่งการให้ตรวจสอบ เบื้องต้นพบว่า เป็นข้าราชการตำรวจ ยศ พ.ต.อ.จริง ตำแหน่ง  รอง ผบก.อก.ภ.8  แต่มีคำสั่ง ไปช่วยราชการที่ กอ.รมน.ภาค 4 

โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นในการสอบคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นตุลาการประจำศาลปกครองชั้นต้น ที่ศูนย์ประชุมธรรมศาสตร์ รังสิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เมื่อบ่ายวันเสาร์ที่ 15 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ตุลาการศาลปกครองที่ทำหน้าที่ประจำหน่วยสอบได้ตรวจพบการทุจริตการสอบ นำโพยเข้าไปลอกในสนามสอบ จึงประสานมายังตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี (ภ.จว.ปทุมธานี)

พล.ต.ต.ยุทธนา จอนขุน ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี พร้อมด้วย พ.ต.อ.อธิเมศร์ ไชยศรัณวิชย์ ผกก.สภ.คลองหลวง ได้เดินทางไปยังศูนย์สอบฯ ดังกล่าว และได้พบกับคณะตุลาการที่ควบคุมการสอบคัดเลือกฯ ได้รับฟังข้อเท็จจริงในการทุจริต จากนั้นได้พูดคุยกับข้าราชการตำรวจรายดังกล่าว ได้ยินยอมให้บันทึกถ้อยคำ และทางคณะตุลาการที่คุมสอบแจ้งว่าจะประชุมสรุปข้อเท็จจริง และเสนอสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อดำเนินการในส่วนเกี่ยวข้องต่อไป

ผบ.ตร. ได้สั่งย้ำไปที่ พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.ภ.1 ให้ ภ.จว.ปทุมธานี ประสานกับทางสำนักงานศาลปกครอง ให้ดำเนินการตามข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงไป สืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อทราบข้อเท็จจริงและพิสูจน์ความผิดต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น

ส่วนทางวินัยนั้น ผบ.ตร. ได้สั่งการให้หน่วยงานต้นสังกัดดำเนินการทางวินัยทันที หากเป็นความผิดฐานทุจริตการสอบจริง ถือเป็นวินัยร้ายแรง ฐานการกระทำอันเชื่อได้ว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 มาตรา 112 (6) ซึ่งสร้างความเสื่อมเสียต่อหน่วยงานองค์กร  รวมทั้งให้พิจารณาการสั่งให้พักหรือออกจากราชการไว้ก่อนด้วย พร้อมสั่งตรวจสอบที่มาที่ไปของการไปช่วยราชการ กอ.รมน. เป็นการขาดจากต้นสังกัดหรือไม่ การไปช่วยราชการนั้นมีหน้าที่อะไร และในการไปสอบเป็นเวลาปฏิบัติราชการหรือไม่ มีการลาถูกต้องตามระเบียบหรือไม่ 

นอกจากนี้ โฆษก ตร. กล่าวว่า ผบ.ตร.ย้ำว่ากรณีที่เกิดขึ้นนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเอาจริงเอาจัง ดำเนินการอย่างเด็ดขาด ทั้งคดีอาญาที่เกี่ยวข้อง และการดำเนินการทางวินัย เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง เพราะข้าราชการตำรวจที่เป็นผู้รักษากฎหมาย แต่กระทำผิดทุจริตในการสอบ จะไปรักษาความเที่ยงธรรมกับผู้อื่นได้อย่างไร และเป็นการสอบเพื่อแต่งตั้งเป็นตุลาการประจำศาลปกครองชั้นต้น ย่อมเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ จะเร่งดำเนินการทุกมิติ เพื่อดำเนินการเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด

โฆษก ตร. ยืนยัน โครงการปรับเปลี่ยนกำลังพล รุ่นที่ 26 ยังไม่แล้วเสร็จ อยู่ระหว่างการพิจารณาตามหลักเกณฑ์ เอกสารรายชื่อที่ถูกส่งต่อตามโซเชียล ยังไม่ได้เป็นความสมัครใจผู้เข้าร่วมโครงการ

(18 มี.ค. 68) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (โฆษก ตร.) เปิดเผยว่า จากกรณีมีการเผยแพร่ข่าวสารทางสื่อต่าง ๆ กรณีความคืบหน้าโครงการปรับเปลี่ยนกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รุ่นที่ 26 นั้น ขอชี้แจงว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จ ยังอยู่ในขั้นตอนของการดำเนินการ และเอกสารรายชื่อผู้ประสงค์เข้าร่วมโครงการที่ถูกส่งต่อ หรือปรากฏตามสื่อต่าง ๆ ยังไม่ใช่เอกสารที่แสดงรายชื่อผู้สมัครใจลาออกตามโครงการแต่อย่างใด 

โครงการปรับเปลี่ยนกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รุ่นที่ 26 รอบวันที่ 1 เมษายน 2568 เฉพาะกรณีผู้มียศ พล.ต.ต. หรือ พล.ต.ท. ยังอยู่ในขั้นตอนดำเนินโครงการ และสำรวจรายชื่อข้าราชการตำรวจผู้มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์

อย่างไรก็ตาม หากสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ เสร็จสิ้นแล้ว  จะประกาศให้ทราบต่อไป

ผบ.ตร.สั่งย้ำทุกหน่วยคงเข้มเร่งช่วยเหลือประชาชนเหตุแผ่นดินไหวต่อเนื่อง ระดมตำรวจดูแลมิติจราจร งานอาชญากรรมป้องกันมิจฉาชีพซ้ำเติมประชาชนทุกรูปแบบ พร้อมส่งชุดปฏิบัติการพิเศษร่วมค้นหาผู้รอดชีวิต เปิดหน่วยนิติเวช ตรวจDNA เปรียบเทียบ 

(30 มี.ค. 568) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงความคืบหน้ามาตรการดูแลพี่น้องประชาชนหลังเหตุภัยพิบัติแผ่นดินไหว ว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้สั่งการทุกหน่วยยังคงความเข้มในการดำเนินการบูรณาการร่วมหน่วยงานเกี่ยวข้อง ในการช่วยเหลือ อำนวยความสะดวกการจราจร ตลอดจนการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน หลังเหตุภัยพิบัติแผ่นดินไหวที่ผ่านมา โดยให้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) และศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า (ศปก.สน.) ของกองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อบริหารจัดการร่วมกับหน่วยต่างๆ  ดังนี้

1) การช่วยค้นหาช่วยเหลือผู้ประสบภัยเหตุตึกถล่ม และการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล : ได้สั่งการให้หน่วยปฏิบัติการพิเศษ ส่งกำลังพลชุดปฏิบัติการเข้าร่วมช่วยเหลือ ทั้งในส่วนของกองบัญชาการตำรวจนครบาล , กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน , ตำรวจภูธร รวมทั้งมีสุนัขตำรวจ และโดรนตรวจจับความร้อน ร่วมหน่วยเกี่ยวข้องสำรวจช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่ในภายในตึก ซึ่งขณะนี้ยังร่วมทำงานเข้มข้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังสั่งการให้สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ทำการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล พร้อมขอฝากประชาสัมพันธ์ญาติผู้ได้รับผลกระทบสูญหายจากเหตุอาคารถล่มเนื่องจากแผ่นดินไหว ให้มาตรวจเก็บ DNA เพื่อตรวจเปรียบเทียบได้ที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ  

2) การดูแลอำนวยการจราจร : ได้สั่งระดมตำรวจจราจรทุกพื้นที่ออกให้การจราจรดูแลพี่น้องประชาชน มีกองบังคับการตำรวจจราจรเป็นหน่วยงานในการบริหารจัดการจราจร  มีการจัดกำลังเป็นชุดปฏิบัติรถนำรถพยาบาล ขนย้ายผู้ป่วย ขนย้ายเครื่องมือ กำลังพล เพื่อให้สามารถช่วยเหลือเหตุได้อย่างรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ ขณะนี้ภาพรวมการจราจรเริ่มสู่สถานการณ์ปกติ เหลือเพียงจุดด่วนดินแดงที่ยังปิดให้บริการ ซึ่งได้ประสานงานกับเอกชน เพื่อให้สามารถเปิดการจราจรให้เร็วที่สุดและต้องปลอดภัยที่สุดด้วย 

3) การดูแลความปลอดภัย : ได้สั่งการให้ทุกสถานีตำรวจนครบาลที่มีการเปิดสวนสาธารณะ หรือสถานที่อื่นๆ ให้เป็นที่พักชั่วคราวของประชาชน ต้องจัดสายตรวจดูแลความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งการเพิ่มความเข้มป้องกันมิจฉาชีพที่จะฉวยโอกาสซ้ำเติมพี่น้องประชาชน โดยจะต้องเพิ่มวงรอบตรวจตรามากขึ้น รวมทั้งการปฏิบัติการทางสื่อโซเชียล ออนไลน์ โดยมอบหมายให้ตำรวจไซเบอร์เฝ้าระวังการส่ง SMS หรือกลลวงต่างๆ ที่จะไปหลอกหลวงประชาชน หากพบให้รีบดำเนินการจับกุม มิให้เป็นเยี่ยงอย่าง 

นอกจากนี้ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ผบ.ตร.ได้เน้นย้ำกับกำลังพลทุกภาคส่วน “ทุกวินาทีมีค่า” ตำรวจจะต้องทำงานอย่างหนักและต่อเนื่องในห้วงนี้ ร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้อง เร่งสนับสนุน ช่วยเหลือค้นหาผู้ประสบภัย รักษาชีวิต จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย รวมทั้งการปกป้องรักษาความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชน การดูแลอำนวยความสะดวกการจราจรอย่างเต็มกำลัง รวมทั้งได้สั่งการให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้น ลงไปตรวจสอบดูแลอาคาร ที่พัก ความปลอดภัยของข้าราชการตำรวจ ดูแลสวัสดิการความเป็นอยู่ของผู้ใต้บังคับบัญชา และช่วยเหลือทุกด้าน

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนต้องการความเหลือสามารถติดต่อที่หมายเลข 191 หรือ 1599 หรือติดต่อสอบถามการจราจรที่สายด่วนกองบังคับการตำรวจจราจรกลาง 1197 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top