Tuesday, 22 April 2025
พล.ต.ท.สำราญ

ตำรวจปราบปรามยาเสพติด สกัดจับ “ทีมนักบินตายแทน” ยึดยาบ้ากว่า 19 ล้านเม็ด, ไอซ์ 500 กก., และ คีตามีน 200 กก. คาดเตรียมกระจายของช่วงสงกรานต์

ตามนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เน้นใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อทำลายเครือข่ายยาเสพติดอย่างจริงจังทั้งระบบ ประกอบกับนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. รรท.ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา, พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี, พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. มุ่งปราบปรามจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ และขยายผลเครือข่ายที่จับกุมได้ทุกระดับอย่างจริงจังทุกพื้นที่รวมทั้งการขยายผลเพื่อยึดอายัดทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ทั้งของผู้ค้า ผู้ช่วยเหลือและสนับสนุนเครือข่ายทั้งหมดมาตรวจสอบ

วันนี้ 5 เม.ย.67 เวลา 10.00 น.  พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.สมเกียรติ วัฒนพรมงคล, พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง, พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์ รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง รอง ผบช.ฯ, พล.ต.ต.นพสิทธิ์ มิตรภักดี ผบก.ปส.1, พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.อดิศ เจริญสวัสดิ์ ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4, พล.ต.ต.อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร ผบก.ขส. และพล.ต.ต.วิทัศน์ บริรักษ์ ผบก.สกส. ร่วมแถลงผลการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญในห้วง 11 – 28 มี.ค. 67 จำนวน 11 เครือข่าย ผู้ต้องหารวม 29 คน ตรวจยึดยาบ้ากว่า 19 ล้านเม็ด, ไอซ์ 500 กก., และ คีตามีน 200 กก. พร้อมของกลางรถที่ใช้ก่อเหตุ 23 คัน 

คดีแรก ตำรวจ กก.1 บก.ปส.1 สืบสวนขยายผลจนทราบว่า “เครือข่ายสองพี่น้อง ลาดกระบัง” จะเดินทาง ขึ้นไปรับของทางภาคเหนือมาจำหน่ายในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยใช้รถกระบะลำเลียง กระทั่งวันที่ 28 มี.ค.67 พบความเคลื่อนไหว รถเป้าหมาย 2 คัน ขับตามกันมา ผ่าน จว.เชียงราย-เชียงใหม่-ลำพูน-ลำปาง-ตาก-กำแพงเพชร -นครสวรรค์ จนมาถึงด่านตรวจพยุหะคีรี จว.นครสวรรค์ ตำรวจได้เรียกรถกระบะบรรทุกส่วนบุคคลแบบตู้ทึบ หมายเลขทะเบียน 1ฒณ 73xx กรุงเทพมหานคร เพื่อตรวจสอบ แต่คนขับได้ขับหลบหนี ตำรวจจึงโยน Stop Stick เพื่อเจาะทำลายยางรถยนต์ และสกัดกั้นการหลบหนีของยานพาหนะ ทำให้ยางหน้ารถทั้งสองข้างและยางหลังขวาแตก แต่ยังขับหลบหนีไปได้กว่า 1 กิโลเมตร ก่อนจะควบคุมรถได้บริเวณริมถนนพหลโยธินขาออก ต.ย่านมัทรี อ.พยุหะคีรี จว.นครสวรรค์ ส่วนคนขับขี่ได้วิ่งไปขึ้นรถกระบะของเครือข่ายที่จอดรออยู่ฝั่งตรงข้าม มุ่งหน้าไปทางจังหวัดชัยนาท เบื้องต้นพบยาบ้า 5 กระสอบ อยู่บริเวณท้ายกระบะรวมทั้งสิ้น 1,000,000 เม็ด ระหว่างนั้นตำรวจได้จัดกำลังกันติดตามจับกุมตัวนายวิษณุ หรือณุ พร้อมรถกระบะบรรทุกส่วนบุคคล หมายเลขทะเบียน บษ 85xx ฉะเชิงเทรา อีกคัน  ซึ่งเป็นรถนำทาง  ได้บริเวณริมถนนสายเอเชีย ต.อู่ตะเภา อ.มโนรมย์ จว.ชัยนาท แต่ไม่พบตัวคนขับรถตู้ทึบ และไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย ซึ่งนายวิษณุ รับสารภาพว่าเป็นคนขับรถนำสำรวจเส้นทางจริง จากนั้นได้ขยายผลไปตรวจสอบยังที่พักห้องเลขที่ 4/5 ชั้นที่ 4 อ่อนนุชเพลส แขวงทับยาว เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร พบนายมานะชัย คนขับรถกระบะตู้ทึบสารภาพว่าเป็นคนขับรถบรรทุกยาเสพติดจริง โดยรับมาจาก อ.แม่สรวย จว.เชียงราย เพื่อนำไปส่งที่ อ.ทุ่งสง จว.นครศรีธรรมราช  
  
คดีที่ 2 ตำรวจ กก.3 บก.ปส.2 สืบสวนพบว่ามีเครือข่าย อัญชนา มีพฤติการณ์ลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ตามแนวชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ไปส่งให้กับลูกค้าในเขตพื้นที่ตอนใน ต่อมา เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 67 เวลาประมาณ 15.00 น. พบเครือข่ายลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่แนวชายแดน ด้าน จว.นครพนม โดยใช้รถยนต์ หมายเลขทะเบียน ขย 3213 ขอนแก่น ลำเลียงยาเสพติดในครั้งนี้ กระทั่งเวลาประมาณ 19.30 น. รถเป้าหมายได้ขับมาจอดบริเวณสี่แยกไฟแดงหน้า ธ.กรุงเทพ สาขาสว่างแดนดิน ต.สว่างแดนดิน อ.สว่างแดนดิน จว.สกลนคร ชุดจับกุมจึงแสดงตัวขอตรวจค้นพบ นายพายุ เป็นผู้ขับขี่ และ นางสาวอัญชนา โดยสารข้างคนขับ จากการตรวจค้นรถพบยาบ้าจำนวน 200,000 เม็ด อยู่ภายในห้องโดยสารของรถยนต์ 

คดีที่ 3 ตำรวจ บก.ปส.2 จับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายลำเลียงยาเสพติด อ.ศรีสงคราม จว.นครพนม พร้อมยาเสพติดจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง 3 คดี จึงได้สืบสวนขยายผลจนทราบว่านายสุรพงษ์ หรือโต้ พร้อมพวก 2 คน จะลำเลียงยาเสพติดจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณชายแดนริมแม่น้ำโขง ด้าน จว.นครพนม เข้ามาพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล กระทั่งวันที่ 21 มี.ค.67 พบรถเป้าหมายจอดอยู่ที่บริเวณสถานีบริการน้ำมัน ปตท.สาขาศรีนคร อ.ธาตุพนม จว.นครพนม และขับออกมาติดตามกันเป็นรูปขบวน มุ่งหน้าไป จว.กาฬสินธุ์ - จว.มหาสารคาม - จว.บุรีรัมย์ - จว.นครราชสีมา กระทั่ง รถยนต์ หมายเลขทะเบียน กต-93xx ระยอง ได้ขับขี่มาถึงบริเวณถนนเจนจบทิศ ต.เทพาลัย อ.คง จว.นครราชสีมา ชุดจับกุมจึงแสดงตัวเพื่อขอตรวจค้น พบนายวีระพงศ์ หรือแม็ก เป็นผู้ขับขี่ และพบนายสุรพงษ์ หรือโต้ นั่งด้านหน้าคู่คนขับและ ยาบ้า 7 กระสอบ จำนวน 3,000,000 เม็ด บรรทุกอยู่ในห้องโดยสารและบริเวณกระโปรงด้านหลังของรถยนต์ ขณะที่เจ้าหน้าที่อีกชุดสามารถสกัดจับรถนำ หมายเลขทะเบียน 4ขฉ-57xx กรุงเทพมหานคร ได้บริเวณลานจอดรถยนต์หน้าร้านสะดวกซื้อ ภายในสถานีบริการน้ำมัน ปตท. สาขาดอนหวาย ต.โตนด อ.โนนสูง จว.นครราชสีมา พบนายสมโภชน์ หรืออู๊ด เป็นผู้ขับขี่ สอบสวนผู้ต้องหาสารภาพ ร่วมกันขนยาบ้าทั้งหมดมาจากจังหวัดนครพนม เพื่อจะนำไปส่งให้ลูกค้าที่บริเวณ จว.สระบุรี จริง โดยแบ่งหน้าที่กันทำคดีที่ 4 ตำรวจ บก.ปส.2 ได้ทำการขยายผลจากการจับกุมผู้ต้องหาพร้อมยาบ้า 12 ล้านเม็ด เมื่อวันที่ 24 ม.ค.67 จนทราบตัวบุคคลและรถยนต์ของเครือข่ายที่ใช้ในการลำเลียงที่ต้องเฝ้าระวัง ต่อมาเมื่อวันที่ 26 มี.ค.67 พบรถต้องสงสัยใช้เส้นทางจาก จว.บึงกาฬ – จว.สุพรรณบุรี จนวันที่ 25 มี.ค.67 พบรถเป้าหมายมีเคลื่อนไหวอีกครั้ง จึงจัดกำลังเฝ้าติดตาม พบรถเป้าหมายออกจาก อ.บุ่งคล้า จว.บึงกาฬ มุ่งหน้ามาทางถนนมิตรภาพ ถึงบริเวณสี่แยกท่าพระ อ.เมือง จว.ขอนแก่น กระทั่งตำรวจชุดจับกุมสามารถเข้าสกัดจับกุม นายศรีพรม ผู้ขับขี่รถยนต์ Toyota Fortuner สีดำ หมายเลขทะเบียน 1 กน  3796 กรุงเทพมหานคร ได้บริเวณสี่แยกสัญญาณไฟจราจร บ้านเกิ้ง ต.บ้านไผ่ อ.บ้านไผ่ จว.ขอนแก่น ตรวจค้นภายในรถพบยาบ้าถูกบรรจุอยู่ในถุงดำขนาดใหญ่ รวมจำนวน 4,000,000 เม็ด คดีที่ 5 เมื่อวันที่ ๑๘ มี.ค.67 เวลาประมาณ ๑๘.00 น. ตำรวจ กก.๒ บก.ปส.๓ สืบสวนพบว่าจะมีเครือข่ายยาเสพติดกลุ่มนายปรัชญา กับพวก ใช้รถยนต์นำยาเสพติดจำนวนมากจากพื้นที่ อ.แม่แตง จว.เชียงใหม่ นำไปส่งต่อให้กับกลุ่มเครือข่าย ในพื้นที่ภาคกลาง กระทั่งเวลาประมาณ ๑๙.๓๐ น. พบรถยนต์เป้าหมายขับเข้าไปพื้นที่ ต.บ้านเป้า อ.แม่แตง จว.เชียงใหม่ และจอดที่หอพักแห่งหนึ่งใน ต.ป่าแดด ต่อมาเวลา ๑๐.๐0 น. ของวันที่ 19 มี.ค.67  เครือข่ายได้ขับรถยนต์ไปรับ หญิงสาว ที่สนามบินเชียงใหม่ ก่อนจะไปเช่ารถยนต์ 1 คัน และขับตามกันเพื่อเข้าพักที่รีสอร์ตใน ต.ป่าแดด ต่อมาช่วงเช้ามืดของวันที่ ๒๒ มี.ค.67 พบว่ารถที่เช่ามาถูกขับออกจากรีสอร์ต และมีรถอีกคันขับตามไป มุ่งหน้า จว.ลำพูน จากนั้นรถเช่าได้เลี้ยวกลับรถ บริเวณหน้าวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี ต.เชียงทอง อ.เมืองตาก จว.ตาก มุ่งหน้ากลับ จว.เชียงใหม่ ชุดจับกุมจึงประสานด่านตรวจแม่พริก (ขาขึ้น) ให้ทำการสกัดจับกุมพบนายสุทธิวัฒน์ ซึ่งเป็นผู้ขับขี่รถเช่า ขณะเดียวกันรถเป้าหมายพบว่าจอดบริเวณร้านค้าริมถนนพหลโยธิน ต.เพชรชมกู อ.โกสัมพีนคร จว.กำแพงเพชร ก่อนที่คนขับจะลงจากรถ ตำรวจชุดจับกุมจึงเข้าควบคุมตัวแต่ปรากฏว่าผู้ต้องหาได้วิ่งหลบหนีเข้าป่าละเมาะข้างทาง ตำรวจจึงระดมกำลังติดตามจนจับกุม นายปรัชญาฯ ได้ที่บริเวณริมแม่น้ำปิง ห่างจากริมถนนพหลโยธิน ประมาณ ๓ กม. ขณะเดียวกันชุดจับกุมอีกชุดได้ควบคุมตัว น.ส.อินธิชาฯ ซึ่งโดยสารมากับ นายปรัชญาฯ พร้อมตรวจค้นรถพบยาบ้ารวม 334,000 เม็ด ถูกซุกซ่อนบริเวณช่องยางอะไหล่ และใต้เบาะหลังผู้โดยสาร ที่ถูกดัดแปลง  เป็นช่องลับ สอบสวน นายปรัชญา สารภาพว่ามีการซุกซ่อนยาเสพติดบริเวณช่องใส่ยางอะไหล่และใต้เบาะหลังผู้โดยสาร  
  
 คดีที่ 6 ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 ได้ทำการสืบสวนเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดกลุ่มนายหวือ และนายเปา ชาวเขากลุ่มชาติพันธุ์ม้ง มีพฤติการณ์ลักลอบลำเลียงยาเสพติดจำนวนมาก จากพื้นที่ อ.ภูซางจว.พะเยา ไปส่งให้กลุ่มเครือข่ายในพื้นที่ตอนในของประเทศ ต่อมาสืบทราบว่าช่วงปลายเดือน มี.ค.67 พบว่าเครือข่ายนี้ จะลำเลียงยาเสพติดไปส่งมอบให้กับลูกค้าในพื้นที่ จว.สุพรรณบุรี และพบว่าลูกค้าของเครือข่าย คือนายนัธธี และนางสาวโชติกา จึงได้ทำการสืบสวนและเฝ้าติดตาม กระทั่งพบว่า ในวันที่ 26 มี.ค.67 นางสาวโชติกา ได้ขับรถปิคอัพนำเส้นทาง นายนัธธี ซึ่งขับรถเอนกประสงค์สีดำ ลักษณะบรรทุกส่งของมีน้ำหนัก ก่อนจะเข้าที่พักบริเวณ หมู่บ้านลาดตะโก ต.ดอนมะสังข์ อ.เมืองสุพรรณบุรี จว.สุพรรณบุรี ชุดจับกุมจึงเข้าสกัดจับรถยนต์ทั้งสองคันพร้อมตรวจค้น พบยาบ้า 7,000,000 เม็ด ระหว่างที่ควบคุมตัวผู้ต้องหา ได้มีนายอัครพล  หรือนิว ทราบชื่อภายหลังได้โทรศัพท์เข้ามา แจ้งให้นำยาบ้าไปส่งมอบให้กับกลุ่มเครือข่าย โดยนัดหมายบริเวณลานจอดรถยนต์ถนนทางเข้าสนามกอล์ฟไพน์เอิรส์ท กอล์ฟคลับ ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จว.ปทุมธานี ในวันที่ 27 มี.ค.67 เวลาประมาณ 02.00 น. ตำรวจจึงมขยายผลและสามารถจับกุมผู้ต้องหาในเครือข่ายเพิ่มเติม ได้แก่ นายณัฐรณ, นายอมรเชษฐ์, นายธีรวัฒน์ และ นายพีรพัฒน์ ขณะมารับยาเสพติดจำนวนดังกล่าว  คดีที่ 7 เมื่อวันที่ 11มี.ค.67 ตำรวจ บก.ปส.4 จากการสืบสวนเครือข่ายนักค้ายาเสพติด ทราบว่าจะมีการลำเลียง ยาเสพติดจากพื้นที่ภาคกลางไปส่งพื้นที่ภาคใต้ ชุดจับกุมจึงออกตรวจสอบตามเส้นทางก่อนถึงด่านตรวจยานพาหนะชุมพร กระทั่งมาถึงบริเวณริมถนนเพชรเกษมขาล่องใต้ เยื้องร้านเจ๊แก้ว อาหารอีสาน ต.สลุย อ.ท่าแซะ จว.ชุมพร พบรถบรรทุกพ่วงตัวแม่ และมีลูกพ่วง ที่กำลังเฝ้าระวัง หมายเลขทะเบียน 83-0xxx นครศรีธรรมราช จึงแสดงตัวขอตรวจสอบ พบนายอนุวัฒน์ เป็นผู้ขับขี่ แสดงอาการมีพิรุธ  ตำรวจจึงนำรถยนต์บรรทุกเข้าด่านตรวจยานพาหนะชุมพร เพื่อทำการเอกซเรย์พบวัตถุต้องสงสัยมีลักษณะเป็นแท่ง ๆ อยู่ภายในหัวเก๋งและวางอยู่ด้านบนหัวเก๋ง จึงตรวจค้นโดยละเอียด พบเป็นยาบ้า 200,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่บริเวณหลังเบาะฝั่งผู้โดยสาร และยาบ้า 400,000 เม็ด รวม 600,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่หลังคาหัวเก๋ง สอบปากคำนายอนุวัฒน์ สารภาพว่า ถูกว่าจ้างให้ลำเลียงยาบ้าจาก อ.ลาดหลุมแก้ว จว.ปทุมธานี เพื่อไปส่งให้ลูกค้าที่ อ.ทุ่งสง จว.นครศรีธรรมราช  

คดีที่ 8 เมื่อวันที่ 17 มี.ค.67 ตำรวจ บก.ปส.4 บูรณาการร่วมกับหน่วยที่เกี่ยวข้องสนธิกำลังร่วมกันตั้งด่านตรวจบริเวณริมถนนเพชรเกษม (กรุงเทพฯ-ชุมพร) ขณะปฏิบัติหน้าที่บริเวณหน้าที่ทำการด่านตรวจยานพาหนะชุมพร มีรถยนต์บรรทุก ยี่ห้ออีซูซุ ทะเบียน 71 3xxx เพชรบุรี ซึ่งเป็นรถที่เฝ้าระวังขับผ่านมา ตำรวจจึงเรียกให้หยุดเพื่อขอตรวจสอบมี นายวันชัย เป็นผู้ขับขี่ จึงขอให้นำรถเข้าไปภายในบริเวณที่ทำการด่านตรวจฯ เพื่อทำการเอกซเรย์ พบสิ่งของที่มีลักษณะเป็นก้อน จึงตรวจค้นโดยละเอียด พบยาบ้ารวม 1,000,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่บริเวณหลังกระบะท้ายรถยนต์บรรทุกคัน สอบถาม นายวันชัย สารภาพว่าถูกจ้างให้ขนยาบ้าจากพื้นที่เขตป

“บิ๊กราญ” รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. สั่งระดมทุกหน่วยปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดทั่วประเทศ ห้วงเมษามหาสงกรานต์ จับผู้ต้องหา 321 คน ยึดทรัพย์กว่า 369 ล้านบาท

วันนี้ 3 พ.ค. 67 พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. เป็นประธานแถลงผลการปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญ 300 เครือข่าย ทั่วประเทศ ในห้วงระหว่างวันที่ ๑๐ - ๓๐ เม.ย.๖๗ พร้อมระบุว่า การปราบปรามยาเสพติดในทุกพื้นที่เป็นวาระเร่งด่วนของรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่เน้นการใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาด เพื่อตัดวงจรและท่อน้ำเลี้ยง รวมทั้งทำลายเครือข่ายยาเสพติดทุกระดับทั้งระบบ ประกอบกับนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. รรท.ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศอ.ปส.ตร. ให้ทุกหน่วยทำงานเชิงรุกปราบปรามจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในทุกพื้นที่และสืบสวนขยายผล ทุกคดี เพื่อยึดอายัดทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ทั้งของผู้ค้ายาเสพติดเอง รวมทั้งผู้ช่วยเหลือและสนับสนุนเครือข่ายทั้งหมดมาตรวจสอบ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยเปิดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญ 300 เครือข่ายทั่วประเทศ ในห้วงระหว่างวันที่ ๑๐ - ๓๐ เม.ย.๖๗ ซึ่งหน่วยที่ปฏิบัติการประกอบด้วย ตำรวจภูธรภาค 1 – 9 , กองบัญชาการตำรวจนครบาล, กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และเจ้าหน้าที่จาก ป.ป.ส. ร่วมปฏิบัติในทุกพื้นที่ โดยมีเป้าหมายเข้าตรวจค้น 703 เป้าหมาย และเป้าหมายจับ 209 หมายจับ ผลการปิดล้อมสามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 142 คดี 143 คน จับกุมคดียาเสพติดรวม 421 คดี ผู้ต้องหา 465 คน ตรวจยึดยาเสพติดคือยาบ้า 11,833,925 เม็ด, ไอซ์ 936 กก. ,คีตามีน 0.591 กก, เฮโรอีน 22 กก., ยาอี 2 เม็ด และ อิริมินไฟท์ 80 เม็ด ตรวจยึดอายัดทรัพย์สิน ได้แก่ เงินสด 5,652,429 บาท, อาวุธปืน 47 กระบอก มูลค่า 1,751,501 บาท, เครื่องกระสุนปืน 418 รายการ มูลค่า 15,404 บาท,สิ่งปลูกสร้างพร้อมที่ดิน/ที่ดิน 76 รายการ มูลค่า 157,690,380 บาท, ทองรูปพรรณ 74 รายการ มูลค่า 4,981,358 บาท, รถยนต์ 191 รายการ  มูลค่า 13,898,000 บาท, รถจักรยานยนต์ 199 รายการ มูลค่า 13,902,890 บาท โทรศัพท์ 199 รายการ มูลค่า 2,413,239 บาท สมุดธนาคาร 96 รายการ และ อื่นๆ อาทิ เงินสดในบัญชีธนาคาร, เรือประมง, เรือหางโหง, คอมพิวเตอร์, Notebook, พระเครื่อง, นาฬิกา และ วิทยุสื่อสาร รวมทรัพย์สินที่ตรวจยึดได้ 172 รายการ มูลค่า69,460,752 บาท ตรวจยึดทรัพย์สินทั้งสิ้น 1,520 รายการ รวมมูลค่า 369,765,953 ล้านบาท

ซึ่ง พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าวว่า จากผลการปฏิบัติในห้วง 20 วัน ของการปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญ 300 เครือข่าย จะเห็นว่าตำรวจทั่วประเทศได้รุกอย่างหนักเป็นรูปธรรม ทำจริง จับจริง และยึดจริง จนทำให้เครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญที่กระจายอยู่หลายพื้นที่สั่นสะเทือน โดยในขณะนี้ สำนักตำรวจแห่งชาติ มีนโยบายเน้นการปราบปรามผู้ค้ารายย่อยซึ่งมีผลกระทบโดยตรงกับประชาชนในชุมชนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าผลการดำเนินการด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ในห้วง 7 เดือน ที่ผ่านมา (ต.ค. 66 – เม.ย.67) สามารถจับกุมผู้ค้ายาเสพติดได้ถึง 61,196 ราย เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว จำนวน 15,976 ราย หรือเพิ่มขึ้น 35.33 % ขณะเดียวกันได้เน้นการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด ทำให้สามารถสกัดกั้นจับกุมยาบ้าปริมาณ 100,000 – 500,000 เม็ด จับกุมได้ 149 คดี เพิ่มขึ้น 21 คดี คิดเป็น 16.41 %, ยาบ้าตั้งแต่ 500,000 เม็ด จับกุมได้ 137 คดี เพิ่มขึ้น 52 คดี คิดเป็น 61.18 % ทั้งนี้ สามารถตรวจยึดยาบ้ารวม 522,555,662 เม็ด เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 166 ล้านเม็ด คิดเป็น 47.56 %, ยาอี 115,665 เม็ด เพิ่มขึ้น 15,514 เม็ด คิดเป็น 15.49 %, ยึดไอซ์ 8,407 กก. เพิ่มขึ้น 390 กก. คิดเป็น 4.84 %, ยึดคีตามีน 3,807 กก. เพิ่มขึ้น 879 กก. คิดเป็น 30.02 %, ยึดเฮโรอีน 649.27 กก. เพิ่มขึ้น 223 กก. คิดเป็น 52.33 % และ ยึดโคเคน 20 กก. เพิ่มขึ้น 10 กก. คิดเป็น 95.32 % รวมทั้งเน้นการยึดทรัพย์สินซึ่งสามารถตรวจยึดทรัพย์สิน รวมมูลค่า 4,862,700,7475 บาท

'บิ๊กราญ' รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. เปิดการอบรมเชิงสัมมนา ด้านการปราบปรามยาเสพติด รับฟังเสียงสะท้อนจากคนทำงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิผล ประชาชนอุ่นใจ ตามนโยบายรัฐบาล

(28 ส.ค. 67) พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส., พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส. ร่วมเปิดโครงการอบรม เชิงสัมมนาเรื่องมุมมองและเสียงสะท้อนจากผู้ปฏิบัติงานป้องกันปราบปรามยาเสพติด เพื่อเพิ่มประสิทธิผล ด้านความสงบสุขของประชาชนตามนโยบายรัฐบาล โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด ในสังกัด บช.ปส., บช.น., ภ. 1 – 9, สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ , สำนักงานกำลังพล, สำนักงานงบประมาณและการเงิน, ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศอ.ปส.ตร.), ศอ.ปส.ภ.1 -9, น. และผู้สังเกตการณ์ เข้าร่วมทั้งสิ้น 175 คน โดยมีระยะเวลาอบรม ตั้งแต่วันที่ 28 – 30 สิงหาคม 2567 ณ ห้องประชุมฟีนิกซ์ ศูนย์ประชุมเอ็กซิบิชั่น เมืองทองธานี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ทั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนงบประมาณการสัมมนา จาก สำงาน ป.ป.ส. เป็นเงินจำนวน 1,810,700 บาท

การจัดสัมมนาในครั้งนี้เกิดมาจากสภาพปัญหาสังคมอันเกิดจากการใช้สารเสพติด และปัญหาอาชญากรรมที่เป็นผลโดยตรงจากยาเสพติดได้ทวีความรุนแรงจนส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและความปลอดภัยของประชาชน เพื่อรับมือกับปัญหาดังกล่าว คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2567 เห็นชอบตามที่ นายกรัฐมนตรีเสนอ ให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นนโยบายเร่งด่วน และสำคัญของรัฐบาล โดยได้มอบนโยบายเร่งรัดการป้องกันและปราบปรามในด้านต่าง ๆ เพื่อให้สามารถลดความเดือดร้อนของประชาชนจากปัญหายาเสพติด ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอยู่ในระดับที่ประชาชนเกิดความพึงพอใจ ซึ่งการป้องกันปราบปรามยาเสพติดในมิติที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับผิดชอบนั้น เมื่อพิจารณาจากเกณฑ์การผ่านตัวชี้วัดในด้านต่าง ๆ อาจถือว่าประสบความสำเร็จตามเป้าประสงค์ อย่างไรก็ตามทุกความสำเร็จ ทุกกระบวนงานที่ขับเคลื่อน และจากการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ได้ทุ่มเทกำลังแรงกายทั้งหมดที่มีในการลงพื้นที่ชุมชน/หมู่บ้าน อย่างหนัก เพื่อเสาะแสวงหาข้อมูล และความร่วมมือของประชาชน ผู้นำชุมชน เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลผู้เสพ และผู้ค้ารายย่อยในชุมชน จนนำมาซึ่งการป้องกันและการปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ แต่ยังคงไม่สามารถลดสภาพปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติด และเพิ่มความพึงพอใจของประชาชนได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ด้วยเหตุนี้ ทิศทางการดำเนินการในไตรมาสสุดท้าย ซึ่งอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของแผนปฏิบัติการด้านยาเสพติดของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงอยากรับฟังมุมมอง และเสียงสะท้อนจากเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านการป้องกันปราบปรามยาเสพติด ที่อยู่ในพื้นที่โดยตรง เพื่อนำข้อมูล และข้อเสนอแนะมาใช้ในการปรับปรุงเป้าหมายตัวชี้วัด และผลสัมฤทธิ์ในช่วงเวลาสำคัญที่เหลืออยู่ เพื่อเพิ่มประสิทธิผลด้านความสงบสุขของประชาชนตามนโยบายรัฐบาลและใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแผนปฏิบัติงาน   ด้านยาเสพติด ในปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ต่อไป โดยการสัมมนามีการอภิปรายเรื่องการนำนโยบายของรัฐบาลมาสู่การปฏิบัติด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด , การสนับสนุนการทำงานด้านการป้องกันปราบปรามยาเสพติดให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ นอกจากนี้ยังมีการปฏิบัติ

โดยแบ่งกลุ่มสัมมนา (Workshop) ในหัวข้อ ต่าง ๆ อาทิ สรุปประเด็นปัญหา อุปสรรคที่เกิดจากการปฏิบัติงานแนวทางแก้ไข และข้อเสนอแนะการเพิ่มประสิทธิภาพงานในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเร่งด่วน, แนวทางการเพิ่มความพึงพอใจของประชาชน และเครื่องมือวัดผลที่ควรนำมาใช้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568, แนวทางและเกณฑ์ด้านการสืบสวนปราบปราม และสอบสวนที่ควรกำหนดในแผน และตัวชี้วัดของงานยาเสพติด ในปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๘ และข้อเสนอแนะที่สามารถนำมาใช้ในการปฏิบัติงาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือสามารถเปลี่ยนแปลงผลสำเร็จของงานได้อย่างสิ้นเชิง เพื่อผู้ปฏิบัติสามารถนำสิ่งที่ได้อบรมไปใช้ลดปัญหาอุปสรรค และประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ในทุกมิติ และอาจส่งผลต่อการลดสภาพปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติด เพิ่มความรู้สึกพึงพอใจของประชาชน ลดจำนวนผู้เสพยาเสพติด และผู้มีอาการทางจิตประสาทจากฤทธิ์ยาเสพติด ทั้งในมิติด้านการค้นหาการนำส่งการสนับสนุนงานด้านการบำบัดรักษา และการบูรณาการกับหน่วยงานภาคีและภาคเอกชน ให้ปัญหาอยู่ในระดับที่ประชาชนยอมรับได้ และสิ่งที่สำคัญคือการเพิ่มความอุ่นใจปลอดภัยให้กับประชาชนในพื้นที่ต่อไป

ผู้ช่วย ผบ.ตร.และคณะ ให้กำลังใจตำรวจไทยโชว์ศักยภาพในการแข่งขัน UAE SWAT CHALLENGE 2025 ณ นครดูไบ

วันแรกทำคะแนนเยี่ยมเป็นลำดับที่ 4 พร้อมใช้โอกาสนี้กระชับความสัมพันธ์และเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างประเทศ 

พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ต.ชูสวัสดิ์ จันทร์โรจนกิจ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล , พล.ต.ต.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และคณะเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวม 9 นาย เดินทางเข้าร่วมชมการแข่งขัน UAE SWAT CHALLENGE 2025 ที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อให้กำลังใจนักกีฬาตำรวจไทยที่เข้าร่วมการแข่งขันทั้ง 3 ทีม ซึ่งเข้าร่วมการแข่งขันระหว่างวันที่ 1-5 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งการแข่งขัน UAE SWAT CHALLENGE 2025 เป็นเวทีสำคัญที่แสดงถึงความสามารถของตำรวจไทยในการปฏิบัติภารกิจยุทธวิธีในระดับสากล พร้อมทั้งเป็นโอกาสในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านความมั่นคงกับหน่วยงานตำรวจนานาชาติ 

วานนี้ (1 กุมภาพันธ์ 2568) เป็นการแข่งขันในวันแรก โดยก่อนการแข่งขันคณะผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ให้กำลังใจนักกีฬา โดยทีมตำรวจไทย 2 ทีมที่แข่งขันในช่วงเช้า ได้แก่ ทีม C (ทีมตำรวจหญิง) ลงแข่งเป็นลำดับที่ 9 , ทีม A ลงแข่งเป็นลำดับที่ 13 และทีม B ลงแข่งขันในช่วงบ่าย จากนั้นคณะเข้าร่วมพิธีเปิดการแข่งขัน UAE SWAT CHALLENGE 2025 โดยมีผู้บัญชาการตำรวจดูไบเป็นประธาน ผลการแข่งขันวันที่ 1 ตำรวจไทยทำผลงานน่าประทับใจ โดย Stage 1 : Assault Event (สถานการณ์โจมตี) จากทั้งหมด 105 ทีมที่เข้าร่วม ปรากฏว่าทีมตำรวจไทย ทีม B คว้าอันดับที่ 4 ทำเวลา 1.43.61 นาที , ทีม C (ตำรวจหญิง) คว้าอันดับที่ 32 ทำเวลา 2.19.15 นาที , ทีม A คว้าอันดับที่ 34 ทำเวลา 2.25.32 นาที 

นอกจากนี้ พล.ต.ท.สำราญฯ และคณะ ยังได้พบกับ พล.ท.อับดุลลาห์ คาลิฟา อัล มาร์รี (Lieutenant General Abdullah Khalifa Al Marri) ผู้บัญชาการตำรวจนครดูไบ พร้อมเยี่ยมชม สถานีตำรวจอัจฉริยะ (Smart Police Station) ในย่าน Al Seef ซึ่งเป็นสถานีตำรวจไร้เจ้าหน้าที่ ซึ่งเปิดให้ประชาชนแจ้งเหตุและดำเนินการต่าง ๆ ผ่านระบบตู้คีออส (kiosk) และในช่วงบ่าย คณะได้เดินทางไปให้กำลังใจทีม B ที่ลงแข่งขัน และพบกับ Mr. Andrew Kamarchevakul เจ้าหน้าที่ประสานงานจาก NYPD ประจำนครดูไบ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านความร่วมมือทางการบังคับใช้กฎหมาย ก่อนเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำตามคำเชิญของ น.ส.นิภา นิรันดร์นุต กงสุลใหญ่ ณ นครดูไบ ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญในการหารือประเด็นความร่วมมือด้านความมั่นคง โดยเฉพาะการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าและค้ายาเสพติด รวมถึงการค้ามนุษย์ในลักษณะถูกหลอกมาค้าประเวณี โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติมุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพของเจ้าหน้าที่ เพื่อยกระดับมาตรฐานความมั่นคงของประเทศให้ทัดเทียมระดับสากล

“พล.ต.ท.สำราญฯ” และคณะ ร่วมประชุมกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ติดตามสถานการณ์ความมั่นคงในพื้นที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน 

(26 ก.พ. 68) ตามที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ดำเนินการเชิงรุกตรวจสอบพฤติกรรมกลุ่มคนต่างด้าว กรณีที่ปรากฎข้อมูลข่าวสารว่ามีกลุ่มคนต่างด้าวมีพฤติกรรมที่อาจขัดต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ฝ่าฝืนกฎหมายบ้านเมืองก่อความวุ่นวายหรือความเดือดร้อนรำคาญในที่สาธารณะ ตลอดจนการรวมกลุ่มแสดงออกหรือจัดกิจกรรมในลักษณะที่กระทบภาพลักษณ์และความมั่นคงของประเทศ ในพื้นที่่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน นั้น     

วันนี้ (26 กุมภาพันธ์ 2568) เวลา 10.30 น. พล.ต.ท.สำราญ  นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.พิเชษฐ จีระนันตสิน รอง ผบช.ภ.5 , พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.ทรงกริช ออนตะไคร้ ผบก.ภ.จว.แม่ฮ่องสอน , พล.ต.ต.ภานพ วรธนัชชากุล ผบก.สส.สตม. และ พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5 ได้เข้าร่วมประชุมติดตามสถานการณ์ความมั่นคงในพื้นที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อรับทราบสถานการณ์และแนวทางการแก้ไขปัญหา ณ ห้องประชุม โรงแรมมอนทีส รีสอร์ท อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย นางออร์นา ซากิฟ เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย , นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย , นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง , นายเอกวิทย์ มีเพียร ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน , นางอาภรณ์ แสงโชติ ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอปาย , นายชัยวิชช์ สัมมาชีววัฒน์ อุปนายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวอำเภอปาย ตลอดจนหน่วยราชการต่างๆ ,องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้ประกอบการในพื้นที่เข้าร่วมประชุม 

จากนั้น พล.ต.ท.สำราญฯ ได้เดินทางไปยัง สภ.ปาย เพื่อประชุมในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับฟังสภาพปัญหา และเพิ่มเติมมาตรการในการปฏิบัติ โดยเน้นมาตรการบังคับใช้กฎหมาย บูรณาการกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง รักษาไว้ซึ่งอัตลักษณ์แหล่งท่องเที่ยวของอำเภอปาย และวางมาตรการในการรักษาความปลอดภัยความสงบเรียบร้อย เพื่อให้เกิดดุลยภาพระหว่างความต้องการในการเสนอขายในการท่องเที่ยวและความต้องการของนักท่องเที่ยวโดยเร่งด่วน และในส่วนการต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ อ.ปาย เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความ ปลอดภัยจากการกระทำความผิดอาชญากรรมทุกประเภท สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้อย่างยั่งยืน อีกทั้ง ประชาสัมพันธ์โดยบูรณาการร่วมกับทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง ในการให้ความรู้ทั้งนักท่องเที่ยวอิสราเอล นักท่องเที่ยวสัญชาติอื่น ตลอดจนชุมชนชาว อ.ปาย และประชาชนในภาพรวม เพื่อให้ทราบสถานการณ์ที่แท้จริงต่อไป

ผู้ช่วย ผบ.ตร.ประชุมติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ในห้วงเดือนรอมฎอน

(15 มี.ค.68) เวลา 14.00 น. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร./ผบ.ศปก.ตร.สน.) ได้เดินทางไปยังประชุมติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ในห้วงเดือนรอมฎอน(ถือศีลอด) และนำความห่วงใยของ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. มาแจ้งแก่กำลังพล ณ ห้องประชุม war room ศปก.ตร.สน. จังหวัดยะลา โดย มี พล.ต.ท.ปิยวัฒน์ เฉลิมศรี ผบช.ภ9/รอง ผบ.ศปก.ตร.สน. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น./รอง ผบ.ศปก.ตร.สน. , พล.ต.ต.กฤษฎา แก้วจันดี รอง ผบช.ภ.9/รอง ผบ.ศปก.ตร.สน. , พล.ต.ต.ธเรศ แก้วละเอียด รอง ผบช.ภ.9/รอง ผบ.ศปก.ตร.สน. , พล.ต.ต.ณฐกรณ์ กาญจนภรณ์ ผบก.ภ.จว.ยะลา , พล.ต.ต.สันทัศน์ เชื้อพุฒตาล ผบก.ภ.จว.ปัตตานี , พล.ต.ต.ไมตรี สันตยากุล ผบก.ภ.จว.นราธิวาส , พล.ต.ต.เสกสันต์ ชูรังสฤษฏ์ ผบก.ภ.จว.สงขลา , พล.ต.ต.ยุทธพงษ์ ทองนุ้ย ผบก.ศฝร.ภ.9 , พล.ต.ต.อนุราช จิตศีล ผบก.สพฐ.10 ฝ่ายสืบสวน/อำนวยการและสนับสนุน และส่วนที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม พร้อมทั้งหัวหน้าสถานีตำรวจภูธรทั้ง 62 แห่ง ร่วมประชุม ผ่านระบบ zoom

ในการประชุมได้เน้นเรื่องการกำหนดแผนให้ครอบคลุม ครบถ้วนตามสถานการณ์ของแต่ละพื้นที่ จากนั้นมอบหมาย รองผู้บังคับการตำรวจภูธร 4 จังหวัด ได้แก่ สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ที่รับผิดชอบพื้นที่ ลงรายละเอียดเพื่อช่วยหัวหน้า สภ.ทุกแห่ง กำกับดูแลพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ตลอดจนมาตรการต่างๆ ของทุกส่วนรับผิดชอบเพื่อลดความสูญเสียของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ อันเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่พี่น้องประชาชน ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถรักษาความสงบปลอดภัยในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ได้อย่างแท้จริง เพื่อเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล

จากนั้น พล.ต.ท.สำราญฯ พร้อมคณะ ได้ออกตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญและทบทวนการปฏิบัติ การซ้อมแผนเผชิญเหตุ จากการถูกซุ้มโจมตี ของ มว.ฉก.ตร.ยะลา 9121 (เมืองยะลา) และ มว.ฉก.นปพ.ยะลา 13 (กรงปินัง) และรับข้อเสนอ จากผู้ปฏิบัติ ด้านอาวุธ อุปกรณ์ โดยจะได้สนับสนุน เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้แก่กำลังพลของหน่วย ให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top