Saturday, 7 June 2025
พระราชกรณียกิจ

‘ผู้พันเบิร์ด’ เผย ร.10 ทรงงานแบบประชาธิปไตย ดำเนินพระราชกรณียกิจอย่างเหมาะสมและแยบยล

‘ผู้พันเบิร์ด’ พบ นร.แผนที่ทหาร เผยแพร่ สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ปรับบทบาทให้เข้ากับบริบทสังคม และทรงพระราชกรณียกิจเพื่อบ้านเมืองนำสมัยนำพาประเทศชาติรอดพ้นวิกฤต ระบุ ร.10 ทรงงานแบบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง 
 
พ.อ.วันชนะ สวัสดี รองโฆษกกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่พบนักเรียนแผนที่ทหารร่วมพูดคุยถึงความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ว่าจะเป็นการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชหรือประชาธิปไตย ในหลวง ทุกพระองค์มีพระราชกรณียกิจที่เหมาะสมและแยบยล นำมาซึ่งความผูกพันระหว่างสถาบันกับประชาชนมาโดยตลอด 

โดยการทรงงานของในหลวงแต่ละพระองค์นั้นมีวิธีที่แตกต่างกันโดยเฉพาะรัชกาลปัจจุบันนั้น ถือได้ว่าเป็นการทำงานแบบประชาธิปไตยอย่างแท้จริงพระองค์ทรงงานผ่านฝ่ายเสธ (องคมนตรี) รับการรายงานเรื่องราวความทุกข์ร้อนของประชาชนผ่านองคมนตรี มีการส่งงานอย่างเป็นระบบและสืบสานต่อยอดจากในหลวงรัชกาลที่ 9 อย่างชัดเจน อย่างในกรณีการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ในรัชสมัยของในหลวงรัชกาล ร.9 มีการสอนตั้งแต่ป.1-ม.6 แต่เมื่อลงไปสืบสภาพแล้ว ม.4-ม.6 มีครูเพียงพอ พระองค์จึงให้เอาสามปีท้ายนี้ไปเพิ่มในสามปีแรกในระดับอนุบาล

‘คุณอ้อย พอใจ’ เผย ความภาคภูมิใจที่ได้ถวายงาน ‘ในหลวง ร.9’ เมื่อครั้งยังเป็นเจ้าหน้าที่กระจายเสียง กรมประชาสัมพันธ์

เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 66 คุณพอใจ กิจถาวรรัตน์ หรือ ‘พี่อ้อย’ ข้าราชการบำนาญ อดีตหัวหน้าผู้ประกาศของสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี ได้เล่าถึงประสบการณ์ชีวิตการทำงาน ในบทบาทของเจ้าหน้าที่กระจายเสียง ผ่านรายการ ‘Baby Boom ภูมิใจ วัยเก๋า ไปด้วยกัน’ EP.1 ตอน อายุเป็นเพียงตัวเลข ออกอากาศเมื่อวันที่ 26 ส.ค. 66 รับชมผ่านช่องทางรับชมในเครือ THE STATES TIMES และ MAYA Channel ช่อง 71, 93

โดยคุณพอใจ ได้เล่าย้อนกลับไปในสมัยเข้าบรรจุครั้งแรกที่สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ จังหวัดนครราชสีมา ก่อนจะย้ายเข้ามารับตำแหน่งที่กรุงเทพฯ ด้วยฝีมือและผลงานของตัวเอง ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างมากเนื่องจากในสมัยก่อน งานสื่อวิทยุกระจายเสียงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก และต้องมั่นฝึกฝนทักษะ และเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ จึงจะโลดแล่นในวงการได้อย่างราบรื่น

อย่างไรก็ตาม ในขอบเขตงานที่คุณพอใจได้ทำ และมีความภาคภูมิใจที่สุด คือการได้ถ่ายทอดเสียงพระราชกรณียกิจ ของในหลวง รัชกาลที่ 9 ซึ่งในรัชสมัยของพระองค์ท่านนั้น พระองค์ทรงงานเยอะมาก รวมถึงยังได้มีโอกาสถ่ายทอดเสียงพระราชพิธีต่างๆ ซึ่งทำให้คุณพอใจมีความภาคภูมิใจมากๆ ที่ได้ทำงานตรงนี้

“ในตอนเด็กๆ พี่เคยสงสัยว่า เวลาเขาเล่าเรื่องราว ถ่ายทอดเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ ทำไมเขาถึงดูซาบซึ้งกันจังเลย ซึ่งนั่นเป็นไปด้วยความคิดแบบเด็กๆ ของพี่ในตอนนั้น แต่เมื่อเราโตขึ้น เราได้ไปศึกษา หาข้อมูล เราได้ติดตาม ได้รู้ ได้เห็น ก็ทำให้เข้าใจว่า ที่เขาเคยๆ พูดกันเรื่องพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านนั้น ไม่มีอะไรเกินจริงเลย”

“อย่าลืมนะว่าในยุคสมัยนั้นไม่มีสื่อโซเชียลเหมือนอย่างในยุคสมัยนี้ เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมีการมานั่ง ‘สร้างภาพ’ อะไรกันเลย ทำงานก็คือทำงานกันจริงๆ”

“ดังนั้น พี่พอใจ จึงมีความภาคภูมิใจที่เราได้ทันเห็นพระองค์ท่าน ได้มีโอกาสถวายงานแก่พระองค์ท่าน ได้มีโอกาสทำงานรับใช้บ้านเมืองค่ะ” คุณพอใจ ทิ้งท้าย

หากต้องการติดตามเรื่องราวดีๆ จาก ‘Baby Boom ภูมิใจ วัยเก๋า ไปด้วยกัน’ EP.1 ตอน อายุเป็นเพียงตัวเลข แบบเต็มๆ สามารถคลิกลิงก์ >> https://www.youtube.com/live/FSYnVvf4WZQ?si=MYKTE708E9GwEeb8

‘อนุทิน’ ชวนร่วมงาน ‘ลมหายใจของแผ่นดิน’ 28-30 ก.ค.นี้ สนามช้างอารีน่า เผย!! มีไฮไลต์ ‘ออร์เคสตรา 250 คน’ บรรเลง ดนตรีไทย-ตะวันตก-อีสานใต้

(27 ก.ค.67) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการ รมว.มหาดไทยและโฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ตลอดเดือน ก.ค.จังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศได้จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา ซึ่งในส่วนของจ.บุรีรัมย์ เป็นอีกหนึ่งจุดที่มีกิจกรรมเทิดพระเกียรติอย่างยิ่งใหญ่ ระหว่างวันที่ 28-30 ก.ค. ทางจังหวัดพร้อมทุกภาคส่วน รัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้จัดงาน ‘ลมหายใจแห่งแผ่นดิน’ ซึ่งมีหลากหลายกิจกรรมและการแสดงแสง สี เสียง เสียงระดับโลก ให้ประชาชนสามารถเข้าร่วมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ณ สนามช้างอารีน่า อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ 

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า โดยหนึ่งไฮไลต์ของงานคือการแสดงมิวสิคัลชุด “ลมหายใจของแผ่นดิน” ซึ่งได้รวมเยาวชนที่มีความสามารถด้านดนตรีและการแสดงจากทั่วจังหวัดบุรีรัมย์ ประกอบด้วย นักดนตรีวงดนตรีออร์เคสตรา 250 คน บรรเลงเครื่องดนตรีทั้งไทย เครื่องดนตรีตะวันตก เครื่องดนตรีอีสานใต้ และนักแสดงเดอะมิวสิคัล 70 คน ซึ่งได้ฝึกซ้อมตลอดเวลาหลายเดือนเพื่อการแสดงในงานนี้

ทั้งนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย จะเป็นส่วนหนึ่งของมิวสิคัลชุดนี้ โดยร่วมแสดงในการบรรเลงเพลงจอมราชา ในตำแหน่งเป่าแซ็กโซโฟน ซึ่งที่ผ่านมา รมว.มหาดไทย ได้ร่วมฝึกซ้อมกับเยาวชนนักดนตรีทั้ง 250 คนมาแล้วหลายครั้ง 

“ท่านอนุทิน เชิญชวนคนไทยทุกคนร่วมกิจกรรมเทิดพระเกียรติในสถานที่ต่างๆ ที่มีการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ แต่หากมีโอกาสไปเยือนหรืออยู่พื้นที่ใกล้เคียง จ.บุรีรัมย์ ก็ขอเชิญร่วมงานเฉลิมพระเกียรติที่ทางจังหวัดจัดขึ้น นอกจากจะได้ร่วมแสดงออกถึงพลังความรักที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งชาติแล้ว ยังได้ร่วมให้กำลังใจกับน้องๆ นักดนตรี นักแสดงและทีมงาน ให้ทุกคนได้แสดงออกถึงศักยภาพและความสร้างสรรค์ซึ่งอนาคตทุกคนจะกลายเป็นพลังสำคัญของชาติต่อไป” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

สำหรับงาน ‘ลมหายใจของแผ่นดิน’ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 28-30 ก.ค.ตั้งแต่เวลา 18.00 น.เป็นต้นไป ณ สนามช้างอารีน่า จ.บุรีรัมย์ จะมีการแสดงเทิดพระเกียรติสุดยิ่งใหญ่ด้วยเทคโนโลยีการจัดแสดงระดับโลก ได้แก่ การแสดงแสงสีเสียงประกอบ 3D Mapping,วงดนตรีออร์เคสตรา, การแสดง มิวสิคัล, นิทรรศการผลงานประกวดวาดภาพ พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมถึง การบำเพ็ญสาธารณกุศลต่างๆ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อาทิ บริจาคโลหิตส่งต่อผู้ป่วย จำนวน 720 ยูนิตต่อวัน รวม 7,200 ยูนิต โรงทานปันสุข ร้านชื่อดังต่าง ๆ นำอาหารเครื่องดื่มมาบริการแก่ผู้มาร่วมงาน โดยทั้งหมดสามารถเข้าชมได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย

‘นักเรียนดี’ เปิดตัว งานนิทรรศการเมต้าเวิร์ส ในหลวงรัชกาลที่ 10 ‘King Rama X’ เพื่อให้ ‘พระราชกรณียกิจ’ ของกษัตริย์ผู้ปิดทองหลังพระ ได้เผยแพร่สู่สายตาคนทั่วโลก

(27 ก.ค.67) ‘นักเรียนดี’ เปิดตัวงานนิทรรศการเมต้าเวิร์สในหลวงรัชกาลที่ 10 ‘King Rama X’ เพื่อให้ทุกคนได้ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สู่สายตาคนทั่วโลกบน VR Metaverse เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว

โดยสามารถเข้าชมได้ผ่านแพลตฟอร์ม Spatial. io ซึ่งสามารถเข้าได้ผ่าน Website หรือ Mobile Application ทั้ง Oculus / IOS และ Android

โดยในงานแบ่งการจัดแสดงออกเป็น ‘6 ส่วน’ ตามธีมนิทรรศการดังนี้

1. โซนพระราชประวัติ
2. โซนพระราชกรณียกิจ
3. โซนพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
4. โซนภาพวาดฝีพระหัตถ์
5. โซนพระราชกรณียกิจที่หลายคนอาจไม่เคยรู้
6. โซนห้องภาพแห่งความทรงจำ

ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภารกิจในการส่งเสริมคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของประชาชน

งานนิทรรศการเมต้าเวิร์สในหลวงรัชกาลที่ 10 ‘King Rama X’ จึงเป็นนิทรรศการที่พสกนิกรจะร่วมรำลึกถึงพระมหากรุณาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงปิดทองหลังพระและทรงงานเพื่อปวงชนชาวไทยโดยเสมอมา

โดยท่านสามารถสมัครและ login เข้าไป จากนั้นค้นหา นิทรรศการ ‘Metaverse King Rama X’ หรือคลิกลิงก์ในโพสต์ตามลิ้งที่เราได้แนบไว้ หรือสแกน Qrcode แล้วท่านจะพบความประทับใจอันล้ำค่าที่พร้อมเผยแพร่สู่สายตาคนทั่วโลก บน Spatiol. io ที่จัดทำกันโดยกลุ่มนักเรียนดี ได้แล้ววันนี้

เข้าไปชมงานที่ลิงก์นี้ได้เลยจ้า
> https://bit.ly/3Sr7vkG

บันทึกเรื่องราวตราตรึงจิตตราบนิจนิรันดร์ แม้ถ่ายทอดได้เพียงเศษเสี้ยว ‘พระราชกรณียกิจ’

ในหลวงในดวงใจ เรื่องราวประทับของนักเล่าเรื่องแห่ง THE STATES TIMES 

วันที่ 13 ตุลาคม 2567 วันคล้ายวันเสด็จสวรรคตของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร หรือ 'วันนวมินทรมหาราช' เวียนมาบรรจบเป็นปีที่ 8 แล้ว ซึ่งไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี นักเล่าเรื่องราวอย่างผมก็ยังอยากจะเล่าเรื่องราวของพัฒนากรผู้ยิ่งใหญ่ของโลกอย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 เพราะเรื่องราวของพระองค์ท่านช่างมีมากมายเสียเหลือเกิน ซึ่งเรื่องราวเหล่านั้นเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าประเทศไทยช่างโชคดีที่มีพระมหากษัตริย์อย่างพระองค์ท่าน 

ผมเองไม่ได้มีความเก่งกาจอะไรในการจะมานั่งเล่าเรื่องราว หรือมานั่งเขียนบทความอะไร แต่ด้วยโอกาสจาก THE STATES TIMES ที่อยากให้มาถ่ายทอดเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และเรื่องราวของในหลวงรัชกาลที่ 9 จากการที่เป็นคนชอบอ่านและเป็นคนชอบทำ ทำให้มีเรื่องราวต่าง ๆ มาเล่าสู่กันฟัง โดยเฉพาะช่วงที่จัดรายการ “ตามรอยพระบาทยาตรา”มีเรื่องราวจำนวนมากที่ได้นำมาเล่า ซึ่งในบทความนี้ผมขอยกเรื่องเล่าประทับใจมาให้คุณได้อ่านกันเพลิน ๆ ดังนี้ 

เริ่มต้นการเล่าเรื่องของผม บอกเลยผมไม่มีความมั่นใจมากมายอะไรนัก และคิดอยู่หลายวันว่าจะเล่าเรื่องราวอะไรดี จนตัดสินใจได้ว่าจะเริ่มต้นเล่าเรื่องราวด้วยการยกเพลงพระราชนิพนธ์ “แผ่นดินของเรา” มานำเสนอ เพราะผมเองเป็นนักดนตรี และทำมาหากินเกี่ยวกับดนตรีมาตั้งแต่เริ่มมีหน้าที่การงาน และเชื่อว่าความมหัศจรรย์ของบทเพลงนี้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เวลาเพียง 10 นาที พระราชนิพนธ์เพลง ๆ นี้ เพลงที่แรกมีเพียงไม่กี่ห้อง แต่เมื่อเติมเต็มกลับกลายเป็นเพลงที่สร้างให้จิตใจของเรามีสำนึกในการรักบ้าน รักเมือง ซึ่งการนำเรื่องของบทเพลงนี้เป็นปฐม จะช่วยทำให้ผมเล่าเรื่องราวได้ดี ซึ่งการเล่าเรื่องเพลงพระราชนิพนธ์ในครั้งแรก ทำให้ผมมีความมั่นใจที่มากขึ้น ทั้งยังเล่าเรื่องราวของพระองค์ต่อไปได้อีกหลายตอน 

มาถึงเรื่องของป่า ที่ผมยกมาเล่าก็เป็นเพียงแค่เรื่องราวเล็กที่ได้ไปสัมผัสป่าในภาคเหนือจากการไปทำฝายแม้ว ได้เห็นป่าที่เรียงกันอย่างเป็นระเบียบ หนาแน่น จนได้คำตอบจากเจ้าหน้าที่ป่าไม้ท่านหนึ่งว่า ป่าที่คุณเห็นคือป่าที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 มีพระราชดำริให้ปลูกเสริม เนื่องจากพระองค์ทรงทอดพระเนตรเมื่อทรงพระราชดำเนินผ่านทางอากาศโดยเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่ง ทรงเห็นว่าเขาตรงบริเวณนั้นหัวโล้น ทั้งยังแห้งแล้ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้นที่พระองค์ทรงบินผ่าน ทรงจำได้และทรงมีพระราชดำริให้ร่วมมือกันของแต่ละหน่วยงานในพื้นที่ปลูกต้นไม้สายพันธุ์เดียวกับป่าในพื้นที่เสริมและปล่อยให้ธรรมชาติทำหน้าที่ของมันในการฟื้นฟูตนเอง โดยหลังจากปลูกเสริมพื้นที่บริเวณนั้น พร้อมกับปล่อยให้ป่าได้ฟื้นฟูสุดท้ายจากป่าบนภูเขาหัวโล้นก็กลับมาเป็นป่าสมบูรณ์อีกครั้ง อีกทั้งพระองค์ท่านยังทรงสำทับด้วยประโยคสำคัญว่า 
“…ควรจะปลูกต้นไม้ในใจคนเสียก่อน แล้วคนเหล่านั้นก็จะพากันปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดินและรักษาต้นไม้ด้วยตนเอง...” ซึ่งปัจจุบันนี้หลายคนคงหลงลืมไปแล้ว จนเกิดเหตุการณ์อุทกภัยดินโคลนถล่มเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ 

เรื่องถัดมาที่ผมยกมาเล่าก็คือเรื่องของ 'น้ำ' จากพระราชดำรัสที่ได้พระราชทานไว้ว่า 'น้ำคือชีวิต หากไม่มีน้ำ คนอยู่ไม่ได้' เป็นภาคต่อจากเรื่องของป่า จากแนวพระราชดำริว่าการทำลายป่าในพื้นที่ต้นน้ำจำนวนมากเป็นเหตุให้เกิดความแห้งแล้ง ก่อให้เกิดภัยพิบัติในช่วงฤดูฝน และสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน เมื่อมีป่า จึงก่อให้เกิดน้ำ และการจัดการน้ำคือโอกาสในการมีกิน มีใช้ ของประชาชน ผมก็ยกเรื่องราวในการไปโครงการหลวงและศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ้องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่ การไปพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติศรีลานนา และการไปทำฝายแม้วในอีกหลายพื้นที่ของจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งตอนแรกผมไม่เชื่อว่าฝายเล็ก ๆ จะสร้างผลอะไรให้เกิดขึ้นกับพื้นที่ หรือทางน้ำอะไรได้ แต่เมื่อได้ลงมือทำแล้วกลับไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นในอีกเพียง 1 ปีให้หลัง ก็ได้พบกับการเปลี่ยนแปลงของหน้าดิน ทางน้ำ ต้นไม้ จนต้องมาเล่าให้กับชาว THE STATES TIMES ฟัง ว่าสิ่งเล็ก ๆ ที่เราได้มีส่วนร่วม ตามแนวพระราชดำริมันสามารถฟื้นฟูระบบนิเวศให้กับป่าได้จริง และเมื่อเราได้รู้จักการชะลอน้ำจนเกิดป่า เมื่อถึงหน้าแล้งเราก็ยังมีน้ำ เมื่อเข้าหน้าฝนเราก็จะไม่เจอน้ำหลาก นี่คือสิ่งเล็ก ๆ ที่สร้างประโยชน์มหาศาล 

เรื่อง 'นักการเมืองให้ปลา พระราชาให้เบ็ด' เป็นหัวข้อที่ผมยกขึ้นมาหลังจากได้เห็นภาพหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์บ้านเมือง ฉบับวันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2518 ซึ่งบันทึกอยู่ใน ‘สมุดภาพโครงการตามพระราชดำริ’ พิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2525 ก็เลยไปลองหาข้อมูลต่อ โดยเฉพาะความสนใจเรื่องของ ‘ที่ดินทำกิน’ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในยุคแห่งการสร้างเนื้อสร้างตัวของคนไทย อันมีเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลัก และเป็นเรื่องหลักที่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ทรงพระราชทานให้เป็นมรดกของปวงชนชาวไทย โดยนับเนื่องมาตั้งแต่ปี 2507 จากโครงการเริ่มต้น 10,000 ไร่ ในจ.เพชรบุรีไปสู่ที่ดินทำกินหลายแสนไร่ทั่วประเทศ เกี่ยวเนื่องพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 9 เรื่องที่ดินนี้ ผมขอยกบทความของท่านอดีตประธานองคมนตรี ฯพณฯ ธานินทร์ กรัยวิเชียร เรื่อง ‘พระบารมีคุ้มเกล้าฯ’ ในหนังสือ ‘พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับคณะองคมนตรี’ โดยมีใจความบางส่วนบางตอนที่เล่าเรื่อง ‘การปฏิรูปที่ดิน เพื่อเกษตรกรผู้ยากไร้ได้มีที่ดินทำกิน’ ความว่า...

“...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นการณ์ไกลในอนาคตว่า ยิ่งนานวันชาวไร่ชาวนาจะยิ่งไม่มีที่ดินทำกิน เพราะความยากจนของเขาเหล่านี้ พวกที่เคยมีที่ดินต้องยอมสูญเสียกรรมสิทธิ์ให้แก่นายทุน และกลายมาเป็นผู้เช่าหรือไร้ที่ดินทำกินในที่สุด จึงมีพระราชดำริที่จะปฏิรูปที่ดินทำกิน เพื่อช่วยราษฎรที่ยากจนให้มีที่ดินทำกินตลอดไปชั่วลูกชั่วหลาน โดยทรงดำเนินโครงการเป็นแบบอย่างเริ่มจาก ‘โครงการจัดสรรและพัฒนาที่ดินตามพระราชประสงค์หุบกะพง’ 

เรื่องต่อไปที่ผมประทับใจและอยากยกขึ้นมาอีก 1 เรื่องก็คือเรื่องของ 'ต้นกาแฟ' 2 – 3 ต้น โดยเรื่องราวนี้เกิดขึ้นหลังจากก่อตั้งมูลนิธิโครงการหลวงในปี 2512 ด้วยพระราชปณิธานของพระองค์ที่จะช่วย 'ชาวไทยภูเขา' ด้วยการส่งเสริมการปลูกพืชเมืองหนาวแก่ชาวเขา เพื่อหารายได้ทดแทนการปลูกฝิ่น ในปี 2517 พระองค์ได้เสด็จ ฯ หมู่บ้านหนองหล่ม ในพื้นที่ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ แล้วผู้ใหญ่บ้านในขณะนั้นคือ 'ปู่พะโย่' ได้ทูลเกล้า ฯ ถวาย เมล็ดกาแฟที่ได้พันธุ์มาจาก UN จำนวน 1 กิโลกรัม ซึ่งมาจากต้นกาแฟ 2 – 3 ต้น พระองค์ทรงสนใจว่าต้นกาแฟที่ว่าอยู่ตรงไหน จึงได้เสด็จ ฯ ด้วยรถยนต์พระที่นั่ง ต่อด้วยการทรงม้าที่เพื่อไปทอดพระเนตรต้นกาแฟที่ปลูกไว้เหนือหมู่บ้าน พระองค์ทอดพระเนตรแล้วก็ได้ตรัสว่า "จะกลับมาช่วยอีกครั้ง" จนมาปี 2518 พระองค์ทรงกลับไปที่หมู่บ้านแห่งนี้พร้อมเมล็ดพันธุ์กาแฟ 'อาราบิก้า' เพื่อส่งเสริมให้ชาวไทยภูเขาได้ปลูก จนเป็นที่มาของ 'กาแฟโครงการหลวง' จากดอยสูง กาแฟพันธุ์ดีที่ส่งขายไปสู่มูลนิธิโครงการหลวงและบริษัทกาแฟชั้นนำทั้งในไทยและต่างประเทศ 

เรื่องราวที่ผมยกขึ้นมานี้ เป็นเรื่องราวแห่งความประทับใจที่ผมเล่าไปพร้อมรอยยิ้มและน้ำตา ในช่องทางของ THE STATES TIMES ซึ่งเรื่องที่เล่าเป็นเพียงเศษเสี้ยวของโครงการต่าง ๆ หลายพันโครงการ ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชนของพระองค์ 

ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้

11 พฤษภาคม พ.ศ. 2511 ในหลวง ร. 9 พร้อมด้วยสมเด็จพระพันปีหลวง ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวิสาขบูชา ณ วัดพระธาตุเชิงชุมฯ

วันนี้ เมื่อ 57 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวิสาขบูชา ณ วัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร พระอารามหลวง ตำบลธาตุเชิงชุม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร 

วัดพระธาตุเชิงชุมฯ ถือเป็นวัดที่มีความสำคัญในจังหวัดสกลนคร เป็นพระอารามหลวงที่พระบรมวงศานุวงศ์ แทบทุกพระองค์เคยเสด็จฯ บำเพ็ญพระราชกุศล เมื่อเสด็จฯมาทรงงานยังพื้นที่จังหวัดสกลนคร 

โดยครั้งที่มีความสำคัญครั้งหนึ่ง คือเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณฯ ในขณะทรงผนวชและดำรงพระยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงถวายสักการะองค์พระธาตุเชิงชุมและหลวงพ่อพระองค์แสน ณ วัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2521

หนุ่มโชคดี โพสต์ประทับใจ!! ‘กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ’ ได้เห็นที่สนามบิน!! ทุกครั้งคือ บินไปทรงงาน ไม่ใช่การพักผ่อน

(24 พ.ค. 68) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Pathom Indarodom’ ได้โพสต์ข้อความสุดประทับใจ เกี่ยวกับ ‘กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ’ โดยมีใจความว่า ...

จะมีสักกี่ครั้งในชีวิตกัน ที่เราเดินอยู่ในสนามบิน แล้วหันไปเห็นใครสักคนที่รู้จัก… หนึ่งครั้ง? สองครั้ง? ห้าครั้ง? ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราบินบ่อยแค่ไหน
สำหรับผม… ไมล์สะสมมีพอให้แลกโดนัท ไม่ใช่ตั๋วเครื่องบิน โอกาสจะเจอคนรู้จักในสนามบินจึงน้อยมาก (น้อยยิ่งกว่าความหวังว่าจะได้ที่นั่งริมหน้าต่างโดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม)

แต่เชื่อไหมครับว่า ผมเคย “บังเอิญ” เจอคน ๆ หนึ่งถึง 5 ครั้ง คนที่ว่านั้นไม่ใช่เพื่อนเก่า ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่คนในเฟซบุ๊กที่ยังไม่เคยเจอกันจริงๆ ด้วยซ้ำ

แต่เป็น “กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ” ใช่ครับ… พระองค์ท่าน

ทุกครั้งที่เจอ เป็นสนามบินต่างจังหวัดที่พระองค์ฯ เสด็จไปทรงงาน โดยครั้งล่าสุดนี้คือสนามบินสุราษฎร์ธานีเมื่อวานนี้เอง

3 สนามบิน 5 ช่วงเวลา 5 ภารกิจ ไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมเห็นพระองค์เดินทางเพื่อพักผ่อนหรือส่วนพระองค์ ทุกครั้งคือการเสด็จไป “ทรงงาน”
ผมไม่ใช่คนเชื่อเรื่อง “โชคชะตา” เท่าไร แต่เจอถึง 5 ครั้ง ทั้งที่ผมเดินทางปีละไม่กี่ครั้ง — แบบนี้จะไม่ให้คิดได้ยังไงครับว่าพระองค์ทรงงานมากขนาดไหน

บางคนอาจโชคดีที่ได้สะสมไมล์จนได้อัพเกรดตั๋วเป็นประจำ แต่สำหรับผม… โชคดีที่สุด คือการได้เห็นแบบอย่างของความเสียสละและความทุ่มเทอย่างแท้จริง แม้เพียงแค่ผ่านไปในสนามบินครับ

ทรงพระเจริญ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top