‘อ.เพิ่มศักดิ์’ ฟาดใส่ ‘งานวิจัยที่บิดเบือน’ ชี้!! ‘กองทัพไทย’ คือ ‘ฝ่ายปกป้อง’ สงครามที่แท้จริง!! ไม่ใช่รบกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ แต่ต้องต่อสู้กับความยากจน
(14 ต.ค. 67) ผศ.ดร.เพิ่มศักดิ์ จะเรียมพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้วิพากษ์วิจารณ์หนังสือ ‘ในนามความมั่นคงภายใน การแทรกซึมของกองทัพไทย’ ซึ่งเขียนโดย รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ โดยได้ แสดงความคิดเห็นในรายการ ‘อิสรภาพแห่งความคิด กับ.. สำราญ รอดเพชร’ ทางช่อง Thaipost โดยมีใจความว่า …
หนังสือ ‘ในนามของความมั่นคงภายใน การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย’ นั้น มันมีปัญหาในเรื่องของกรอบทฤษฎีที่มันไม่ตรงกับแนวคิดเรื่องความมั่นคง และการวิจัยมันก็ไม่ได้มีความสมเหตุสมผล จากกระบวนการได้มาซึ่งความรู้
เรื่องของในนามของความมั่นคงภายใน ก็คือการแทรกซึมสังคมของกองทัพ ก็คือว่าถ้าเราเป็นฝ่ายซ้ายเนี่ย เราก็จะมองว่ากองทัพเป็นปฏิปักษ์ต่อชีวิตของเราใช่ไหม ทีนี้ถ้าเราย้อนกลับไปในทางรัฐศาสตร์ก็ต้องย้อนกลับไปต้องนานมาก
สมัยสมเด็จพระนเรศวรฯ เนี่ยเราก็จะพบว่าภัยความมั่นคง ก็คือ พม่าใช่มั้ย ทีนี้พม่ามันก็เข้าตีเราสองทาง คือเข้าตีผ่านกําลังทางการทหาร คือเอาทหารมาบุก อีกประการนึงคือมันก็ส่ง ‘เสือหมอบแมวเซา’ หรือแม้แต่กระทั่งการติดสินบนข้าราชการ อันนี้ก็คือการแทรกซึมใช่ไหม ดังนั้นเนี่ย ‘ฝ่ายกองทัพ’ ก็คือ ‘ฝ่ายปกป้อง’
ในยุคสงครามเย็น ‘อาจารย์พวงทอง’ ยกบริบทของสงครามเย็นเนี่ยมันคือการต่อสู้กันระหว่าง ‘โลกเสรี’ กับ ‘โลกคอมมิวนิสต์’ ใช่ไหมครับแล้วก็ในทางปฏิบัติสงครามเย็นเนี่ย มันคือสงครามตัวแทน ก็คือรัฐมหาอํานาจ มันไม่ทําสงครามเองมันแย่งชิงพื้นที่แล้วก็จะพบว่า สงครามตัวแทนมันทําให้รอบโลกเกิดสงครามกลางเมืองทุกที่สงครามเกาหลี บ้านเราก็สงครามอินโดจีน หรือสงครามเวียดนาม สงครามกัมพูชาในไทยก็คือสงครามระหว่างกองทัพไทย กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ดังนั้น ‘ฝ่ายกองทัพไทย’ จึงเป็น ‘ฝ่ายปกป้อง’
พคท. รอ. หรือ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยรักษาพระองค์ ไม่ใช่กลุ่มมวลชนจัดตั้งของ กอ.รมน. และกองทัพตามข้อเสนอในหนังสือ ในนามความมั่นคงภายในฯ (หน้า 202) ของพวงทอง ภวัครพันธุ์
แต่คือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ‘พระบาทสมเด็จพระภัทรมหาราช’ ทรงแผ่พระบารมียุติความขัดแย้งในสงครามกลางเมือง (Civil War) ระหว่างประชาชนคนไทยด้วยกันเอง
ในรัชสมัยของพระองค์ ความขัดแย้งทางสังคมที่มีความรุนแรงระหว่างคนไทยด้วยกันเอง มีต้นเหตุมาจากสงครามเย็น ที่เป็นสงครามความขัดแย้งทางอุดมการณ์ระหว่างโลกเสรีกับโลกคอมมิวนิสต์ ผ่านสงครามตัวแทนที่เกิดขึ้นในทั่วทุกภูมิภาคทั่วโลกในห้วงเวลาดังกล่าว
ในประเทศไทย ความขัดแย้งระหว่างรัฐไทยและ พคท. เต็มไปด้วยความรุนแรงที่แผ่ขยายออกเป็นวงกว้างทั่วประเทศ เกิดเหตุความรุนแรง การชุมนุมประท้วง การก่อความไม่สงบ จนถึงการปะทะกันด้วยอาวุธจนมีการสูญเสียทั้งสองฝ่าย
หลังจากความพ่ายแพ้ของโลกคอมมิสต์และ พคท. เกิดนโยบาย 66/23 ที่เปิดโอกาสให้ พคท. กลับเข้ามาร่วมกันพัฒนาสังคมไทยหรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย’
เมื่อประชาชนเคยถูกผลักไส หรือมีแนวคิดที่ต่างกันกับคนในชาติอีกส่วนหนึ่งได้กลับเข้ามาใช้ชีวิตในฐานะคนไทยอีกครั้ง การส่งเสริมอาชีพ ความเป็นอยู่ และชีวิตที่ดีของ อดีตแนวร่วม พคท. ในฐานะประชาชนไทย จึงเป็นเรื่องพึงกระทำทั้งในด้านศีลธรรมและเป็นหน้าที่อันพึงกระทำของรัฐ ไม่ใช่การจัดตั้งมวลชนของรัฐตามที่พวงทองกล่าวอ้าง
ดังพระราชดำรัสของพระภัทรมหาราช ต่อข้อทูลถามใน สารคดีของบีบีซี เรื่อง ‘Soul of a Nation - The Royal Family of Thailand’ (ศูนย์รวมใจของชาติ - พระราชวงศ์ไทย) ระหว่างการเสด็จพระราชดำเนินยังพื้นที่เตรียมการสร้างเขื่อนตามพระราชดำริว่า โครงการหลวงนี้เป็นสิ่งที่จะทำให้พระองค์ทรงมีชัยชนะเหนือพวกคอมมิวนิสต์ใช่หรือไม่ พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสว่า
"ข้าพเจ้าไม่ได้ต่อสู้กับคอมมิวนิสต์หรือคนผู้หนึ่งผู้ใด แต่สู้กับความอดอยากยากจน เพื่อให้ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และเมื่อถึงเวลานั้น คนที่เรียกว่าคอมมิวนิสต์ก็จะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นไปด้วย ทุกคนก็จะมีความสุข"
การเกิดขึ้นของ พคท. รอ. จึงเป็นการแสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติตามพระราชปณิธานในการแก้ไขปัญหาความอดอยากยากจน โดยการจัดหาที่ดินส่งเสริมอาชีพในอนาคต ให้พวกเขากลับมาเป็นประชาชนที่มีคุณภาพเป็นกำลังสำคัญของสังคมไทยตราบจนทุกวันนี้
พคท. จึงไม่เคยถูกทำลายให้หมดสิ้นไปเสมือนหนึ่งไม่ใช่ประชาชนคนไทยด้วยกัน แต่พวกเขาคือ ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ที่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ที่ทรงยุติสงครามกลางเมืองระหว่างคนไทยด้วยกันเองด้วยพระบารมี
